22nd Night
…HuaHin...
“ร้อนชะมัด”
รัตติกาลได้ยินคนที่ยืนข้างๆบ่นอย่างนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูเหมือนจะทนต่อแดดร้อนๆได้ไม่ดีนักทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวตรงข้ามกับเขาพร้อมกับหยิบเอาหมวกแก๊ปสกรีนลายเท่ๆที่ใส่อยู่ขึ้นมาโบกพัดด้วยท่าทางหงุดหงิดน้อยๆ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันไปมา จากที่รัตติกาลเห็นลูกค้าส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นซึ่งมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวตามประสา ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายไม่น้อยเพราะดูท่าความตั้งใจเดิมที่จะมานั่งอ่านหนังสือรอสงบๆคงเป็นไปได้ยาก
“แล้วมึงไม่เปลี่ยนชุดรึไง”
อารัณย์หันมาถามรัตติกาลโดยที่ตัวเองจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วก่อนหน้านี้พร้อมกับรพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโบชัวร์ที่ทางปาร์คแจกมาให้แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้นเลยก็ตาม รัตติกาลสังเกตเห็นเด็กสาววัยรุ่นหลายคนลอบมองมาที่ชายตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจ ท่อนขาแข็งแกร่งที่เห็นได้ชัดเพราะกางเกงว่ายน้ำรัดรูปขนาดพอดีเข่าทำให้อารัณย์ดูเหมือนหนุ่มนักกีฬามากกว่าพี่เลี้ยงเด็ก พอบวกกับผิวกายสีน้ำตาลอ่อนยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูดีมากขึ้นไปอีก แต่ก็เท่านั้นลองให้หมอนี่เปิดปากสิ...สวนทางกับหน้าตาจนน่าเสียดาย
“ไม่ล่ะ ถ้าจะเล่นค่อยไปเปลี่ยน”
“หึ กะจะไม่เล่นอยู่แล้วก็บอก เปลืองค่าบัตรชะมัด”
“ไม่เห็นต้องสนใจ ยังไงบัตรนั่นผมก็ได้มาฟรี คุณต่างหากที่ควรรีบๆไปเล่นซะให้คุ้ม นี่คงไม่ได้คิดจะเสียเงินเป็นพันเพื่อมานั่งเถียงกับผมใช่ไหม”
รัตติกาลพูดกระตุ้นให้อีกฝ่ายได้คิด เขาไม่ได้ฟอร์มจัดขนาดว่าปฏิเสธบัตรที่อารัณย์ให้รพีมา การซื้อบัตรเองไม่ได้ให้รัตติกาลลำบากแต่ถ้าจะต้องทิ้งไปเพราะไม่ชอบหน้าคนให้ก็ดูงี่เง่าเกินไปหน่อย หนำซ้ำร่างโปร่งยังรู้สึกสะใจพิลึกตอนที่อารัณย์ต้องต่อแถวเข้าคิวซื้อบัตรอย่างลูกค้าคนอื่นขณะที่เขากับรพีทำเพียงแค่ยื่นบัตรที่ได้มาแล้วเข้ามานั่งรอด้านในสบายๆปล่อยให้คนขี้ร้อนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงคนมากมาย...แค่มองก็อึดอัดแทนแล้ว
“เงินเดือนพี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนคุณหนูมันไม่ได้แย่อย่างที่มึงคิดหรอก แต่เอาเถอะ กูขี้เกียจมานั่งเถียงกับมึงให้อารมณ์เสีย”
“งั้นก็ดี...รพีครับ มานี่เร็ว เราจะย้ายไปนั่งทางนู้นกัน”
ร่างโปร่งตะโกนเรียกลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เมื่อได้ยินเสียงของบิดารพีก็รีบวิ่งเข้ามาหา เด็กชายคว้าเอามือของรัตติกาลจับไว้แล้วเงยหน้าสบตา ร่างโปร่งเข้าใจความต้องการของลูกชายดีและเพราะเห็นแก่ว่าเป็นวันพักผ่อนเขาจึงไม่ได้สะบัดมันทิ้งอย่างที่ควรจะทำ
ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่เหลือหยิบกระเป๋าใส่สัมภาระขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ รัตติกาลพารพีมายังศาลาหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้เครื่องเล่นสำหรับเด็กซึ่งเขาติดต่อเจ้าหน้าที่ขอเช่าไว้ระหว่างที่รออารัณย์ต่อแถวซื้อบัตรเข้าปาร์ค
โซฟานอนบุด้วยผ้าสีอ่อนพร้อมหมอนอิงและเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวถูกจัดไว้เหมาะสมกับราคา ทรายเนื้อละเอียดถูกโรยไว้ตามพื้นชวนให้ได้บรรยากาศเหมือนกำลังนั่งอยู่ริมทะเลจริงๆทำให้รัตติกาลพอใจอยู่ไม่น้อย เขาวางสัมภาระของตัวเองลงก่อนจะจัดแจงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเตรียมไว้ให้ ในขณะที่รพีทำหูตาโตเมื่อได้เห็นโซน Kiddie Cove ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“ใหญ่จังเลย! พีไปเล่นได้รึยังฮะพ่อ!”
“ใจเย็นๆครับ กินอะไรก่อนแล้วค่อยไป”
ระหว่างรอรัตติกาลก็ได้แต่มองรพีที่กำลังนั่งตักของอารัณย์พูดถึงสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ท่าทางเวลาอยู่กับเด็กของร่างสูงดูเป็นธรรมชาติจนใครๆที่เดินผ่านศาลาหลังนี้มาต่างก็เผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดูกันทั้งนั้น
“ถังอันเขียวๆนั่นน้ำจะลึกมากไหมฮะ”
“ถ้าเป็นอันจำลองของเด็กก็ไม่น่าจะลึกมากครับ พีเล่นได้”
“แล้วท่อสีส้มใหญ่ๆนั่นล่ะฮะ...พีเล่นได้ไหม”
รพีชี้ทำหน้าเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะชี้ไปยังสไลด์เดอร์อันใหญ่เกินตัว
“อืม...ถ้าเล่นคนเดียวคงไม่ไหว ต้องให้น้าพาไปนะ ตกลงไหม”
“ฮะ! พ่อกาลก็ไปเล่นกับพีด้วยนะฮะ”
รัตติกาลทำเพียงยกยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ รอไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาให้ รัตติกาลจัดแจงจ่ายค่าบริการพิเศษให้กับพนักงาน ก่อนจะแบ่งอาหารที่มีปริมาณพอรองท้องให้กับรพีโดยไม่ลืมเผื่อแผ่ให้กับอารัณย์ตามมารยาท
“พีลงมานั่งที่เก้าอี้ดีๆครับ”
ร่างโปร่งบอกกำกับเด็กชายที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของอารัณย์ ดูเหมือนเก้าอี้ส่วนตัวอันนี้จะสบายอยู่ไม่น้อยร่างป้อมจึงมีท่าทางอิดออดไม่ยอมลงจนต้องเดือดร้อนเจ้าของตักต้องอุ้มรพีวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ในขณะที่เขาและรัตติกาลนั่งลงบนเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวที่เหลือ
“พีกินไม่หมดได้ไหมฮะ...ยังอิ่มอยู่เลย”
“พ่อเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่ากินขนมเยอะ”
“ก็...น้ารัณย์ซื้อให้”
“อ้าว โทษน้าซะงั้นเลยพี”
อารัณย์ท้วงพลางหัวเราะเบาๆเมื่อโดนเจ้าตัวเล็กพาดพิง รพียิ้มแหยให้อีกฝ่ายอย่างขอโทษ แต่ที่พูดไปเพราะคิดไว้แล้วว่าคุณน้าใจดีคงไม่โกรธตนแน่ๆ รัตติกาลส่ายหัวให้กับข้ออ้างของรพีแต่จะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่ ระหว่างแวะปั้มข้างทางเขาเองก็เห็นพี่เลี้ยงหนุ่มซื้อขนมเอาใจร่างป้อมซะหลายอย่างแต่หนักท้องที่สุดคงเป็นซาลาเปาหมูแดงใบใหญ่ที่ทำให้รพีรู้สึกอิ่มมาถึงตอนนี้
“แต่ยังไงก็ต้องกินครับ ใกล้เที่ยงแล้ว กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน”
“ฮะ!”
รพีลงมือทานฮอดดอกโดยมีอารัณย์ช่วยกำกับอีกที ร่างสูงสังเกตรัตติกาลที่นั่งทานส่วนของตัวเองไปเงียบๆแต่ก็มักจะชำเลืองมองคนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดชังอยู่บ่อยครั้ง มือที่ครั้งหนึ่งเคยบีบลำคอเล็กของรพีเพราะความโกรธยกขึ้นเช็ดคราบซอสบนแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าที่ถึงแม้จะนิ่งเฉยแต่กลับชวนให้รู้สึกสงบของรัตติกาลทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนเป็นพ่อปกติทั่วไป แม้จะไม่ชัดเจนแต่ความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆกลับชวนให้รู้สึกอบอุ่นจนยากจะเชื่อว่าชายคนนี้กำลังมีแผนร้ายอยู่ในใจ ความโหดร้ายของรัตติกาลอารัณย์ได้เห็นมาแล้วเต็มสองตา คำประกาศกร้าวว่าจะทำลายรพียังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ และเขาก็ใช้มันตัดสินว่าชายคนนี้ไม่คู่ควรสำหรับคำว่าพ่อ
แต่ภาพตรงหน้าเขาล่ะ...มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งรึเปล่า?
เด็กชายทานไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งรัตติกาลก็ไม่คะยั้นคะยอให้กินต่อ อารัณย์อาสาพารพีไปล้างมือที่ห้องน้ำใกล้ๆโดยรัตติกาลทำหน้าที่เก็บขยะต่างๆไปทิ้งก่อนจะหยิบเอาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่จันทร์เตรียมไว้ให้มาวางไว้เพื่อให้รพีทาก่อนลงไปเล่นในสระ
“พ่อกาลไม่เปลี่ยนเสื้อหรอฮะ”
รพีเอ่ยขึ้นขณะที่อารัณย์กำลังลงมือทาครีมกันแดดลงบนแผ่นหลังเล็ก รัตติกาลละสายตาจากหนังสือแล้วสบเข้ากับดวงตาเล็กที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ขอพ่ออ่านหนังสือจบก่อนนะ”
ปากบอกว่าอย่างนั้น แต่รัตติกาลเพิ่งอ่านมันไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเล่มเลยด้วยซ้ำ หนังสือที่หนาพอๆกับวรรณกรรมแปลชื่อดังต่อให้เป็นคนอ่านเร็วแค่ไหนคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน รพีไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้น มีเพียงแต่อารัณย์ที่เข้าใจคำปฏิเสธแบบกำปั้นทุบดินของรัตติกาล
รพีพยักหน้าอย่างยอมรับ ร่างป้อมรีบสาวเท้าไปยังลานน้ำพุน้อยๆที่มีเด็กวัยเดียวกันนั่งเล่นกับสายน้ำที่ผุดขึ้นมาจากพื้นเป็นจังหวะ
“จะไม่เล่นจริงๆรึไง”
ศาลาหลังเล็กเหลือพวกเขาอยู่เพียงสองคน อารัณย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายแต่รัตติกาลกลับเพียงตอบด้วยท่าทางเรียบเฉยไม่แม้แต่จะละสายตาออกจากหนังสือเล่มหนาราวกับว่าถ้าไม่อ่านตอนนี้จะเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย
“ผมจะเฝ้าของ”
“พนักงานเดินกันให้ขวัก ของมีค่าก็ใส่ไว้ในล็อคเกอร์หมดแล้ว”
“ผมจะอ่านหนังสือ”
“มึงเป็นเด็กรึไง เถียงเก่งยิ่งกว่ารพี”
หัวคิ้วของรัตติกาลชนกันทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำลามปามของอารัณย์
“เผื่อคุณจะไม่รู้...ผมอายุมากกว่าคุณ”
“กูรู้ แล้วไง? ทำยังกับกูกับมึงเคยพูดกันดีๆ”
“โอเค...ผมเข้าใจระดับมารยาทคุณแล้ว จะไปเฝ้ารพีก็ไปซะ”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะย้ายร่างของตัวเองไปเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ หนังสือเล่มใหญ่ถูกพลิกไปยังหน้าต่อไปคล้ายกับการขับไล่คนข้างๆ แต่มีหรือที่อารัณย์จะสนใจ ร่างสูงไร้มารยาทอย่างที่รัตติกาลว่า เขาเขยิบไปนั่งบนพื้นที่ว่างที่เหลือบนโซฟาตัวเดียวกัน ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าคว้าเอาสิ่งรวมความสนใจของรัตติกาลมาถือไว้แทนอย่างถือวิสาสะ
“มึงกลัวน้ำใช่ไหมเลยไม่กล้าลงสระ”
“คนบ้าอะไรกลัวน้ำ...เอาหนังสือคืนมา”
“เป็นอย่างที่ป้าจันทร์ว่าสินะ”
“ป้าจันทร์บอกว่าผมว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ใช่กลัวมัน ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็เอาหนังสือคืนมาแล้วไปทำหน้าที่ของคุณซะ”
“หรือมึงเคยจมน้ำมาก่อน? จะว่าไปตอนนั้นมึงก็เกือบจมแล้วนี่หว่า”
“ตอนนั้น?”
“ที่โรงแรมเพื่อนมึงไง ตอนที่มึงตกไปในสระหลังจากที่กูจูบ... อุ๊บ!!”
รัตติกาลไม่ได้ขอสมบัติของตนคืนอีก กลับกันเขาเป็นฝ่ายดันหนังสือที่ร่างสูงถือไว้ไปตรงหน้าของอารัณย์จนมันกระแทกปากพล่อยๆของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง
“โอ้ย! ปากกู มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!”
“กระแทกหมาออกจากปาก”
อารัณย์จ้องรัตติกาลอย่างไม่พอใจ รสเค็มปะแล่มในช่องปากทำให้เขารู้ว่าแรงกระแทกเมื่อครู่คงทำให้เขาเสียเลือดไปจนได้ ดวงตาดื้อรั้นของรัตติกาลจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่ได้ทำไปเพราะรู้สึกเคอะเขินเหมือนสาวเสียจูบแรกแต่เพราะนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเสียมากกว่าที่ทำเหมือนว่าการจูบกับเขาเป็นเรื่องปกติทั้งที่ไม่ใช่...
“น้ารัณย์ฮะ ทำไมช้าจังเลย”
รพีวิ่งเข้ามาโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ก่อน รัตติกาลอาศัยช่วงที่ร่างสูงเผลอคว้าเอาหนังสือของตนคืนมาแล้วถดตัวไปนั่งยังอีกมุมของโซฟาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างป้อมมองผู้ใหญ่สองคนอย่างงงๆเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเองไปเล่นจนตัวเปียกปอน อารัณย์ถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย เขาขยี้กลุ่มผมเปียกชื้นของรพีแล้วบอกให้เด็กชายไปต่อแถวรอที่อีกด้านของสระ
รัตติกาลไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล ร่างโปร่งยังคงอ่านไปไม่พ้นประโยคเดิมทั้งที่เป็นไวยากรณ์ง่ายๆ
“นี่!...”
ร่างโปร่งร้องขึ้นเมื่อจู่ๆตัวหนังสือที่เขากำลังให้ความสนใจลอยหายไปต่อหน้าต่อตา อารัณย์ที่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมลงสระขโมยหนังสือของเขาไปอีกครั้งพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรัตติกาลรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดแก้มนวลของตน นัยน์ตาสีนิลจ้องมองชวนให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ลมหายใจของรัตติกาลหยุดไปดื้อๆ แม้แต่มือที่ควรผลักอีกฝ่ายออกไปก็ทำเพียงกำกันแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบ
“กูแค่จะบอกว่าไม่มีใครว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิด”
“...”
“ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องเจอความทรงจำแย่ๆ แต่ถ้าไม่...ก็คงเหมือนมึงที่กลัวจนขยาด แต่ก็นะ...มึงหนีไปได้ไม่ตลอดหรอก”
“...”
“ถ้าถึงวันหนึ่งที่มึงจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด สิ่งเดียวที่มึงต้องทำก็คือว่ายต่อไปทั้งที่กลัวมันนั่นแหละ”
คนที่ผ่านโลกมาน้อยกว่าทิ้งคำพูดสั่งสอนเขาไว้ก่อนจะวิ่งไปหารพีที่กำลังต่อแถวคอยอยู่ น้ำเสียงและสายตาที่จริงจังของอารัณย์ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว วนเวียนเหมือนเทปที่ถูกเปิดซ้ำ
รัตติกาลรู้อารัณย์ไม่ได้สื่อถึงเรื่องอื่น แต่ก็ห้ามความรู้สึกสั่นไหวในอกไม่ได้ เขาสับสนจนต้องละสายตาออกจากตัวหนังสือแล้วมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่ไกลๆ อารัณย์ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา พี่เลี้ยงเด็กอวดดีคนนั้นกำลังส่งยิ้มให้รพีพร้อมกับยื่นมือไปจับกันไว้แน่น
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้กลัว...”
.
.
.
.
.
.
.
เวลาล่วงเลยไปกว่าบ่ายสองโมง อารัณย์และรพีที่ตัวเปียกปอนขึ้นจากนั่งพักที่ศาลาเป็นครั้งที่สามในขณะที่รัตติกาลก็ยังคงนั่งตัวแห้งอ่านหนังสือเงียบๆเพียงลำพังโดยปฏิเสธคำเชิญทุกครั้งเสียจนทั้งสองคนถอดใจ
รัตติดกาลทอดสายตามองอารัณ์และรพีที่กำลังสนุกอยู่กับสายน้ำและเครื่องเล่นซึ่งมีกลไกแปลกตา เด็กชายหันไปยิ้มให้อารัณย์ก่อนจะแกล้งวักน้ำใส่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มแรงที่เจ้าตัวพอจะทำได้ ชายหนุ่มก็แกล้งร้องโอดโอยเกินความเป็นจริงจนคนที่อยู่แถวนั้นต่างหัวเราะกับภาพของทั้งคู่ที่ดูสนิทสนมกันจนใครต่อใครต่างพากันพูดถึงสองหนุ่มกันอย่างสนุกปาก
“ผู้ชายคนนั้นหล่อดีเนอะ ดูอบอุ่นดีจัง”
“เธอว่านั่นใช่น้องชายเขาไหม แต่ดูแล้วก็ไม่คล้ายกันเท่าไหร่...”
“อยากขอถ่ายรูปจัง เด็กคนนั้นน่ารักจังเลย”
“หรือว่าจะเป็นพ่อลูกกัน แล้วแม่เด็กล่ะ?!”
“ให้ตายสิ ไม่เคยอยากลองเล่นสระเด็กเท่าวันนี้เลย!!!”
เสียงเซ็งแซ่ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ รัตติกาลกรอกตาที่ซ่อนอยู่หลังหนังสือเล่มหนาไปมาอย่างนึกระอา ผู้คนส่วนมากต่างหลงในรูปกายภายนอกแล้วสรรเสริญเจ้าคนหยาบคายนั่นจนเกินความจริงไปโข เสียงวี๊ดว้ายดังขึ้นอีกระลอกเพราะพี่เลี้ยงหนุ่มในชุดกางเกงว่ายน้ำรัดรูปช่วยโยนลูกบอลส่งคืนให้กับกลุ่มสาววัยรุ่นที่ต่างกรูกันเข้าไปขอบคุณอารัณย์กันยกใหญ่
รัตติกาลส่ายหัวให้กับเหตุการณ์นั้น ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่ขอโทษเถอะ ไอ้มุขทำของตกแล้วให้คนช่วยเก็บนี่มันไม่เก่าไปหน่อยรึไง...คลาสสิคเกินไปแล้ว
เขาละสายตาจากภาพตรงหน้ามายังโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหลังจากที่เพิ่งใช้มันโทรไปบ้านเพื่อรายงานความเรียบร้อย หวังจะคลายกังวลให้จันทร์ที่ทำท่าพะวงเกินเหตุ ชื่อของเด็กหนุ่มที่รัตติกาลเดินทางไปชลบุรีด้วยแต่ไม่ได้กลับมาพร้อมกันตามที่หวังปรากฏขึ้น
‘Poon’
ดวงตาสีนิลฉายแววลำบากใจ นอกจากเรื่องเมื่อวานเขาก็ผิดคำพูดกับปูนอีกครั้งที่รับปากไว้ว่าจะโทรหาแต่รัตติกาลก็ยังไม่ได้ทำ จนอีกฝ่ายต้องติดต่อมาหาเขาเอง
“ฮัลโหลปูน...”
“สวัสดีครับพี่กาล เป็นยังไงบ้าง ถึงหัวหินนานรึยัง”
“อืม มาถึงตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว ปูนล่ะอยู่ไหนแล้ว”
“ผมถึงหอได้สักชั่วโมงกว่าๆเอง ตื่นสายน่ะครับ กว่าจะเช็คเอ้าท์จากโรงแรมก็สิบเอ็ดโมงแล้ว แถมปูนยังขับรถไม่เก่งอีกเลยมาถึงเอาป่านนี้”
ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้งแต่กลายเป็นรัตติกาลเสียเองที่รู้สึกแย่เมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มต้องลำบากก็เพราะเขา
“ขอโทษนะ”
“หื้ม? ขอโทษทำไมล่ะครับ ปูนไม่เป็นไรสักหน่อย พี่อย่าคิดมากสิ”
“พี่ไม่น่าทิ้งปูนไว้คนเดียว อย่างน้อยก็น่าจะพากลับมาด้วยกัน”
“ไม่เอาหรอก เกรงใจเพื่อนพี่กาลแย่ อีกอย่างกลัวพี่จะโดนแซวว่ากินเด็ก”
ปูนพูดเล่นตามประสา มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่เด็กหนุ่มจะหยิบมาแซวคนอายุมากกว่าได้แม้จะรู้ว่ารัตติกาลคงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแต่เขาก็ยังใช้มันเพื่อลดความตึงเครียดในบทสนทนา โดยไม่รู้ว่าตัวเองดันไปเหยียบกับระเบิดลูกย่อมๆเข้าให้แล้ว
“อืม...เพื่อนพี่มันไม่ว่าอะไรหรอก”
นอกจากผิดสัญญาแล้วก็ยังโกหก รัตติกาลเลือกที่จะไม่บอกว่าเขานั่งรถมากับโจทย์เก่าอย่างอารัณย์ เด็กหนุ่มรู้เพียงว่าคนที่ตัวเองหลงรักเดินทางกลับมากับเพื่อนที่บังเอิญเจอกันเลยสามารถทิ้งรถไว้ให้ตนใช้งานได้ ปูนไม่ชอบอารัณย์...รัตติกาลรู้เลยบอกตัวเองว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากกว่านี้ เขาควรจะปิดบังมันต่อไปรวมถึงเรื่องในวันนี้ด้วย
“ครับๆ แล้วนี่พี่กาลจะกลับเย็นนี้เลยรึเปล่า”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดไม่มีอะไรผิดพลาด”
รัตติกาลแหงนหน้ามองฟ้าที่ยังคงฟ้าอยู่ แม้จะไร้เงาเมฆฝนแต่ก็ยังไม่อยากไว้วางใจลมฟ้าอากาศที่แม้แต่กรมอุตุก็ยังกะเกณฑ์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“ถ้ากลับมาแล้วบอกผมนะ เงินออกแล้วว่าจะทำของอร่อยให้กิน"
“เก็บไว้ใช้เถอะ ของพี่ซื้อไปเอง เราคอยแสดงฝีมืออย่างเดียวแล้วกัน”
ปูนตอบตกลงแล้วพูดย้ำกับเขาเรื่องขับรถโดยไม่รู้ว่าเขามีอารัณย์มาทำหน้าที่นั้นให้แทน รัตติกาลวางสายแล้วหันไปมองทางสระอีกครั้ง อารัณย์ยังคงบ้าพลังให้รพีขี่คอแล้วว่ายไปมาในสระน้ำตื้นๆทำเหมือนกับว่ามันสนุกนักหนา
อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้สมาธิของร่างโปร่งไม่จดจ่ออยู่กับหนังสืออีกต่อไป เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะที่เอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ ทิ้งเปลือกตานวลให้ค่อยๆหลับลงเพื่อคลายความอ่อนล้า แต่ไม่ทันไรเงาบางอย่างที่กำลังทาบทับมาจากด้านบนก็ให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมอง
“พ่อกาลหลับ...”
รพีที่กำลังยืนเกาะขอบโซฟาพูดกับเขา เด็กชายที่วันนี้ยิ้มและหัวเราะบ่อยกว่าเคยมองพ่อของตนพร้อมกับยื่นมือเล็กที่เย็นจัดเพราะน้ำเข้าไปสัมผัสแก้มนวลของรัตติกาลด้วยความห่วงใย ร่างโปร่งหลับตาลงรับสัมผัสนั้น อุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าที่คิด
“เปล่าครับ แค่พักสายตานิดหน่อย”
เขายันกายขึ้นแล้วจับมือเล็กๆตอบโดยไม่ทันยั้งคิด เด็กชายมองมาที่พ่อของตนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักแม้แต่รัตติกาลก็ยังสังเกตได้ รพีทำหน้าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป จนคนถูกมองทนไม่ไหวเอ่ยปากถามก่อนด้วยความอยากรู้
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“คือ...พ่อกาลไม่สนุกหรอฮะ”
“หื้ม?”
“พีอ้อนให้คุณพ่อพามา แต่พีสนุกอยู่คนเดียว...”
รพีพูดแบบนั้นก่อนจะส่งยิ้มแกนๆมาให้ ร่างกายเล็กๆสั่นเทิมจนเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยรัตติกาลไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัวกันแน่
“พ่อไม่ได้เบื่อ...แค่ไม่ชอบว่ายน้ำเท่าไหร่”
“ไม่ชอบ?...ทำไมล่ะฮะ?”
“ก็...มีเรื่องไม่ดีเคยเกิดขึ้นน่ะ”
“เรื่องไม่ดี...หรือว่าพ่อกาลเคยจมน้ำ”
จะว่าจมน้ำก็ไม่ใช่ แต่ไหนแต่ไรรัตติกาลมีนิสัยรักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ จะมีก็แต่กีฬาทางน้ำนี่แหละที่ดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับเขาเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่เคยจมน้ำอย่างที่อารัณย์ปรามาส แต่ความรู้สึกยามถูกมวลหนักๆของน้ำกดทับจนขยับแขนขาไม่ได้ดั่งใจก็ทำให้เขาไม่ชอบมันอยู่ดี
ร่างที่เปียกปอนของรพีปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของรัตติกาลที่นึกสงสัยว่าเด็กชายกำลังจะทำอะไร พอขึ้นมาได้ทั้งตัวรพีก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นด้วยเข่าทั้งสองข้าง เขาใช้มันคลานเข้าไปหาบิดา มือเล็กทั้งสองข้างป้องไปยังหูข้างขวาของรัตติกาล รพีมองซ้ายมองขวาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นได้ยิน
“อย่าบอกน้ารัณย์นะฮะ จริงๆแล้วพีก็ไม่ชอบว่ายน้ำเหมือนกัน”
รพีละออกมาเพื่อสบตากับบิดาที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ชอบ? ก็เห็นเล่นกันสนุกดีนี่”
“มันไม่เหมือนกัน ที่นี่มีแต่ของสนุกๆ แต่สระที่โรงเรียน พีไม่ชอบ...”
เด็กชายทำสีหน้าลำบากใจยามที่พูดถึงมัน แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟังแต่รัตติกาลก็จำคำพูดของอารัณย์ตอนที่เล่าถึงความกระตือรือร้นของรพีในชั่วโมงพละได้
“ที่โรงเรียนมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีปัญหาอะไรฮะ ครูอ๋องสอนเก่ง น้ารัณย์ก็ใจดี แต่...มันน่ากลัว”
“กลัว? แล้วทำไมไม่บอกครู!”
รัตติกาลไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตะคอกรพีแต่น้ำเสียงที่เจือด้วยความห่วงใยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รพีเม้มปากพลางเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา ความอึดอัดที่ถูกปลดเปลื้องออกทางสีหน้าทำให้รัตติกาลสัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆนี่คงทนเก็บความกลัวไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน ก่อนมันจะพังทลายลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาเอง
“พีกลัว...แต่พีอยากว่ายน้ำเก่งๆ”
“...”
“ฮีโร่ในการ์ตูนบอกว่า...คนที่แข็งแรงจะปกป้องคนอื่นได้”
“ปกป้องงั้นหรอ...”
รัตติกาลคิดถึงคำพูดที่ครูสาเคยบอกกับเขา กอปรกับสิ่งที่ร่างโปร่งเห็นมันด้วยตาตัวเองบ่อยครั้งจากความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นในระยะหลัง บ่อยครั้งที่เข้าเห็นรพีเสียสละสิ่งที่ตัวเองชอบให้เพื่อนแล้วแอบทำหน้าเสียดายลับหลัง และแม้แต่เรื่องในโรงเรียนที่รพีเล่าให้เขาฟังก็มักจะเป็นเรื่องราวทำนองนี้อยู่เสมอ
ทั้งที่ข้างในก็ยังคงอ่อนไหวและไม่มั่นคงเหมือนเช่นเด็กในวัยเดียวกันแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้มแข็งอยู่เสมอ แม้แต่ตอนนี้รัตติกาลก็ยังแอบเห็นความสั่นไหวในดวงตาของคนที่พยายามทำเพื่อคนอื่นด้วยการทำร้ายตัวเอง
รพีเป็นคนที่ตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง รัตติกาลไม่ชอบเอาเปรียบใครแต่การต้องเบียดเบียนตัวเองเพื่อคนอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบทำ มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่เขาแหกกฎนั้นและผลของมันก็ร้ายกาจยิ่งกว่าที่คาด ความรู้สึกเหมือนนกที่พยายามสยายปีกอยู่ท่ามกลางมวลน้ำ มันทั้งทรมานและไร้จุดหมาย
“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ น่าเบื่อจะตาย”
“พี่ชอบตัวเองเวลาอยู่กับกาล...แล้วกาลล่ะชอบตัวเองเวลาอยู่กับพี่ไหม?” คำพูดที่คนคนหนึ่งเคยมอบให้เมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมาเหมือนจดหมายในขวดแก้วที่เคยกว้างทิ้งไปลอยย้อนกลับเข้าหาฝั่ง แม้จะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่เด็กชายตรงหน้าเขากลับมีความเชื่อมั่นในตนเองแตกต่างจากผู้เป็นพ่อเสียจนน่าขัน
ในขณะที่รพีพยายามว่ายน้ำให้เก่งเพื่อปกป้องคนอื่น
เขาคนนั้นคงบอกว่ามันงี่เง่าแล้วตะกายเข้าหาฝั่งด้วยท่าทางที่ทุเรศที่สุด
“กลัวก็คือกลัว...ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นได้ทุกอย่างหรอก”
“แต่...”
“ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆก็ไม่ต้องฝืน”
“...”
“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ...”
“...”
“มันน่าเศร้านะ”
รพีเอนคอมองอย่างไม่เข้าใจ ไม่ต่างจากรัตติกาล ใบหน้าหวานคมฉายแววสับสนอยู่เพียงครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะต่อความคิดที่ยังวนเวียนถึงคนที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะมีตัวตนในความทรงจำ
“พ่อกาลเป็นอะไร”
เด็กชายวางฝ่ามือของตนลงบนแก้มทั้งสองข้างของบิดา ใบหน้าพิมพ์เดียวกับคนไร้ค่าคนนั้นกำลังทอดสายตามองเขาด้วยความห่วงใยเหมือนเช่นทุกครั้ง รัตติกาลอยากบอกให้รพีหยุด อยากให้รพีเลิกพยายามทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อเขา แต่ถึงอย่างนั้นการนั่งมองตัวเองในแววตาของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้
“ถ้าพีเห็นแก่ตัวบ้าง...เรื่องมันคงไม่ยากขนาดนี้”
รัตติกาลคว้ารพีมากอดไว้เพื่อปิดปากของรพีที่กำลังจะเอ่ยถามและปิดดวงตาคู่นั้นไม่ให้เห็นความอ่อนแอในตัวเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รัตติกาลต้องบอกตัวเองซ้ำๆว่าต้องเกลียดคนตรงหน้า ฝันร้ายที่เขาเคยอยากวิ่งหนีบัดดี้กลายเป็นรัตติกาลเองที่อยากกระโจนเข้าหามัน
อย่าหลงลืมความทรงจำเลวร้ายนั้น
อย่าหลงลืมจุดยืนของตัวเองสิ...รัตติกาล
.
.
(มีต่อเม้นท์ล่าง)