Yours and Mine EP.16 :: Reward. (รางวัล) [50%]ผมกำลังนั่งรอด้วยความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องกระจกที่มีมู่ลี่บังภายในห้อง เป็นเวลาเกือบยี่สิบนาทีแล้วที่ผมนั่งรออยู่ตรงนี้ จากตื่นเต้นมากๆ ก็กลายเป็นตื่นเต้นอ่อนๆ จนผมคิดว่าอีกสักพักน่าจะนิ่งสนิท ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้จะบ่ายสองตามเวลาท้องถิ่นของลอสแองเจลิสละ ไม่รู้จะได้เข้าไปในห้องนั้นตอนไหน วิคเตอร์ขับรถวนรอบฮอลลีวูดแล้วมั้ง
“แมท…” หญิงสาวผมยาวสีแดงใส่แว่นรูปร่างท้วมคนหนึ่งเปิดประตูสีน้ำตาลของห้อง สายตามองหาสักแปบก่อนจะมาหยุดที่ผม
“…อ้อ โอเค เชิญเลยจ้ะ” เธอส่งยิ้มให้ก่อนเชิญผมเข้าไปในห้อง ผมยิ้มตอบแล้วลุกขึ้นยืน พ่นลมหายใจออกทางปากหนึ่งทีและเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
“Hello.” ชายหนุ่มมีอายุ ผมดอกเลาแซมผมดำ แต่หน้าตาดี รูปร่างล่ำสันสมส่วนเอ่ยทักผมพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นมิตร ผมกระตุกยิ้มตอบ มองสำรวจหน้าเขาอีกนิด ผิวหน้าเขาไม่ได้แก่ย่น แต่ก็ไม่ใช่หนุ่มใสวัยรุ่น และแม้พื้นที่บนหัวจะเลยเถิดไปพอสมควร แต่องค์รวมของผู้ชายคนนี้คือยังดูดีมากสำหรับคนอายุเฉียดห้าสิบ ดวงตาสีน้ำตาลมองผมอย่างสำรวจ ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเขา
“May I sit here? (ผมนั่งได้มั้ยครับ)” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ไม้มีเบาะฝังไว้ตรงกลาง เขาพยักหน้าและผายมือให้ผมนั่งลง ผมยกมือไหว้เขา ทั้งเป็นการสวัสดีและขอบคุณ เขาทำเพียงมองผมเรียบนิ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดทันที
“ฉันไม่เคยร่วมงานกับวิคเตอร์ และพูดตรงๆ ฉันแทบไม่รู้จักเขา เพราะฉันไม่ค่อยได้ติดตามใครนักหรอก ฉันเพิ่งมาหาข้อมูลเขาก็ตอนที่เขาให้คนติดต่อเรื่องเธอมา” ผมเกือบจะอ้าปากค้าง แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแบบไม่เห็นฟันอย่างทันท่วงที
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้จักดารานักแสดงทุกคนในวงการฮอลลีวูด”
“วิคเตอร์ไม่ใช่คนอเมริกันนี่”
“ครับ เขาเป็นคนอังกฤษ”
“แต่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก?”
“ไปๆ กลับๆ ครับ ก็เป็นไปตามข้อกำหนดของวีซ่า แรกๆ ที่เขาอยู่ที่นี่เพราะเขาได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ที่นิวยอร์ก สักพักเขาก็ได้มีโอกาเข้าสู่ด้านการแสดง เลยอยู่ยาว แต่ก็อยู่เพื่อหน้าที่การงานมากกว่า” คนตรงข้ามผมพยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นการบอกว่าเข้าใจ ผมยิ้ม ความตื่นเต้นเริ่มลดลงและเริ่มจะรู้สึกอยู่ตัวมากขึ้น
“So, what do you want? (แล้ว… เธอต้องการอะไร)”
“I want to work with you. I want to be a part of your new project. (ผมอยากทำงานกับคุณ ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็คท์ใหม่ของคุณ)” ดวงตาสีน้ำตาลมองผมนิ่ง เขาหรี่ตาลงแว้บหนึ่งแล้วก็มองผมนิ่งตามเดิม
“And who are you? (แล้วนายเป็นใคร)” ผมเผยอปากด้วยความทึ่งเล็กน้อย กำลังประมวลว่าคำถามนี้เขาต้องการสื่อแบบไหน คือนั่งคุยกันไปก็ระยะหนึ่ง และทีมงานวิคเตอร์ก็ส่งเรื่องเข้ามาแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่เปิดโอกาสให้ผมได้มาเจอหรอกเขายื่นมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาวางตรงหน้าและทำท่าจะเปิดกางออก ผมรีบขยับปากทันที
“I am the one who have a dream and you are my role model. (ผมเป็นคนนึงที่มีฝันและอยากทำงานกับบุคคลที่เป็นต้นแบบของผม…)” เขาเปิดหนังสือพิมพ์ ท่าทางไม่ได้สนใจผมเท่าที่ควรจะสนใจ ผมขมวดคิ้ว
“…I want to work with you because I want to be like you. (ผมอยากทำงานกับคุณ เพราะผมอยากเป็นเหมือนคุณ)” มือที่กำลังเปิดหนังสือพิมพ์หน้าใหม่ชะงัก ใบหน้าดูดีตามวัยเงยขึ้นมองผม ดวงตาลึกโตคู่นั้นมองผมแบบไม่กะพริบจนผมเกือบจะหลบตาเอง แต่ผมก็สั่งให้ตัวเองมองตาเขาต่อไปเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ
“I have been sent my resume to you and I believe you already read it. I have working on production, but not much. But I have intention, more intention. I want to work with someone like you. (ผมยื่นเรซูเม่มาแล้ว และผมเชื่อว่าคุณคงได้อ่านแล้ว ผมเคยผ่านงานเบื้องหลังภาพยนตร์มาไม่มาก แต่ผมมีความตั้งใจ มีความปรารถนาที่อยากจะทำงานกับคนเก่งๆ แบบคุณ)” เขาปล่อยมือออกจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ สองมือของเขายกมาวางใต้คาง มองผมอย่างต่อเนื่อง
“You were wrong. I did not read it. (เธอคิดผิด ฉันไม่ได้อ่าน)” ผมรู้สึกหน้าร้าว รู้สึกเก้อ นึกในใจว่าไปเอาความเชื่อมั่นนั้นมาจากไหน เขามองหน้าผมนิ่ง ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วตั้งสติขยับปากก่อนที่เขาจะหันไปสนใจอย่างอื่นแทน
“ผมชื่อแมท เรียกผมแมทได้เลย ผมเป็นคนไทย จบคณะมนุษยศาสตร์ฯ เอกภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยที่ไทย ผมเรียนโทจิตวิทยา ผมเคยเรียนด้านนิเทศศาสตร์ แต่สุดท้ายผมก็รู้ตัวว่าผมชอบที่จะเรียนรู้จากของจริงมากกว่าตำรา ผมเลยออกมาเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นประโยชน์กับผมอย่างมากในตอนนี้ ในการทำงานอุตสาหกรรมภาพยนตร์”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เธอคิดว่าเรียนจากของจริงจะดีกว่าตำรา”
“เพราะจากที่ได้ทำงานมา ผมเลยรู้ว่าที่ผมคิดมันจริง”
“ไม่ ฉันหมายถึงในตอนนั้นว่าทำไมเธอถึงคิดว่าไม่ต้องเรียนรู้อะไรในตำรา แต่ก้าวผ่านมาเรียนของจริงได้เลย” เขายังมองผมอย่างสงบ เขาเหมือนราชสีห์ผู้น่าเกรงขามที่กำลังจ้องมองเหยื่อที่หลงเข้ามาในรังของตัวเอง
“เพราะผมรู้สึกแบบนั้น” เขาเลิกคิ้วดอกสีเลาขึ้น
“เธอรู้สึกแบบนั้น?” ผมเม้มปาก รู้สึกหัวใจสั่นกลัวแต่ก็พยักหน้าลงเบาๆ
“ครับ ผมรู้สึกแบบนั้น ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้น และพอได้มาทำงานจริง ยิ่งรู้สึกเลยว่าที่คิดไว้มันจริง” เขาพยักหน้าสองสามที
“คิดว่าฉันจำเป็นต้องรับเธอเข้ามาทำงานด้วยมั้ย”
“
ไม่จำเป็นครับ แต่คุณ
ต้องรับผม เพราะผมมีความตั้งใจ ผมพูดได้เต็มปากเพราะผมตั้งใจกับงานที่ผ่านมา และผมพร้อมจะเรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ จากคุณ ผมเชื่อว่าตัวเองจะได้อะไรมากมายจากการทำงานกับคุณ”
“เธออยากเป็นเหมือนฉัน?” ผมพยักหน้าหงึกๆ เม้มปากด้วยความประหม่าเล็กๆ อเล็กซ์ วินด์โกลด์ค่อยๆ กระตุกยิ้มมุมปากซ้าย ผมคลี่ยิ้มสู้
“ความฝันของเธอคืออะไร”
“ผมอยากเป็นผู้กำกับ อยากมีหนังเป็นของตัวเอง” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วยื่นมาตรงหน้า ผมมองเขาสลับกับโทรศัพท์งงๆ
“มีอินสตาแกรมมั้ย” ผมพยักหน้าหงึกๆ เขาสั่นมือถือเป็นเชิงบอกให้ผมรับไปกด
“เดี๋ยวผมเปิดจากโทรศัพท์ตัวเองให้ดูก็ได้ครับ” เขาพยักหน้าหนึ่งที ดึงโทรศัพท์กลับไปวางบนโต๊ะ มองผมด้วยความเฝ้ารอ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเข้าแอพพลิเคชั่นอินสตาแกรมก่อนส่งให้เขาดู เขารับไปเลื่อนดูอยู่พักใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง หัวใจเต้นตุบๆ เขาเลื่อนดูแบบไม่รีบร้อน จนผ่านไปได้ห้าหรืออาจจะเจ็ดนาทีแห่งความเงียบ เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนผม
“เธอเป็นผู้กำกับไม่ได้หรอก” ผมอ้าปากค้าง อเล็กซ์ วินด์โกลด์พูดแบบปกติ เหมือนกำลังบอกเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ผมก็ยิ้ม
“เรื่องจะเป็นได้หรือไม่ได้ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่านะครับ เราสองคนเพิ่งคุยกันได้สิบกว่านาทีเท่านั้นเอง…” ผมมองกลับอย่างสงบ อเล็กซ์กระตุกยิ้มมุมปาก
“…ผมต้องขอสารภาพว่าผมไม่ได้ดูผลงานของคุณทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องที่ผมดู ผมชอบมาก ผมชอบสไตล์การทำหนังของคุณ ผมเลยอยากทำงานกับคุณครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นธรรมชาติยังไงก็ไม่รู้ ผมกำลังสำรวจตัวเองอย่างเร็วๆ ว่า เราแหลเกินไปรึเปล่า ทำไมคำพูดคำจาดูประดิษฐ์ไปหมด แต่คิดอีกทีมันคือการมาสัมภาษณ์งาน ก็น่าจะต้องคุยประมาณนี้รึเปล่า และตัวคนสัมภาษณ์เองก็ดูไม่ใช่แนวขี้เล่นเป็นกันเองเท่าไหร่ด้วย
“เธอมาจากไทยใช่มั้ย” ผมพยักหน้ารัวๆ อเล็กซ์ยักคิ้วหนึ่งที เบี่ยงตัวไปหยิบกระดาษหนึ่งปึกที่วางไว้บนโต๊ะด้านข้างของเขา ผมกำลังรู้สึกสับสน
“เรื่องราวของหนังจะมีเกิดขึ้นที่ประเทศไทยด้วย…” ผมตาโตแล้วยิ้มปลื้มใจ มองหน้าปกของกระดาษปึกนั้นที่เป็นชื่อหนังด้วยความรู้สึกดี
“…บทเขียนเสร็จแล้ว เธอเอาไปอ่าน แล้วทำราคาออกมาว่าหนังเรื่องนี้ต้องใช้งบเท่าไหร่ ส่งข้อมูลมาให้ฉันภายในวีคนี้ เหลืออีกห้าวันน่าจะทำทันนะ” ผมอ้าปากค้าง หัวใจเต้นตึกๆ
“ผมได้งานแล้วเหรอ” อเล็กซ์วางสองแขนไว้บนโต๊ะ ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทางผิดแปลกใดๆ
“ฉันให้เธอเป็นไลน์โปรดิวเซอร์” เขาตอบตามปกติ ตอบง่ายๆ ผมที่กำลังอ้าปากค้างก็ขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มด้วยความดีใจ หัวใจเต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น แต่สติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็สะกิดเตือนอะไรบางอย่าง
“ไลน์โปรดิวเซอร์เลยเหรอครับ คือผมไม่เคยทำมาก่อน ผมเคยแค่เขียนบทกับทำตำแหน่งผู้ช่วยกองถ่าย”
“ไม่เคยทำก็ได้ทำกับฉันนี่ไง” เขาตอบอย่างสบายๆ ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นหรือหนักใจอะไรทั้งสิ้น ผมซะอีกที่เกิดความหนักใจขึ้นมา
“แต่มันเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากเลยนะครับ”
“ทุกตำแหน่งสำคัญเหมือนกันหมด ผู้ช่วยกองถ่ายที่เธอเคยทำ ถ้าไม่มีพวกเขา กองถ่ายก็ลำบาก”
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะดูถูกตำแหน่งไหนครับ คือ… ผมแค่คิดว่า ผมยังมือใหม่มากสำหรับตำแหน่งนี้” ผมมองเขาด้วยความไม่แน่ใจ กำลังคิดว่าเขาล้อผมเล่นรึเปล่าที่ให้ผมเริ่มต้นด้วยตำแหน่งนี้ เขาเอาอะไรมาไว้ใจในตัวผม และเอาอะไรมาการันตีงั้นเหรอว่าผมจะทำหน้าที่ได้รอด ไหนจะท่าทีที่เหมือนจะไม่เอาผมไปทำงานด้วยอีก
“ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ไม่ใช่มือใหม่” เออ เขาก็ว่าง่ายดีเนอะ
“สรุป ผมได้ทำงานกับคุณแล้วเหรอ”
“ก็ฉันมอบหมายหน้าที่ให้เธอไปแล้วไง” ผมมองหน้าเขา มองเพื่อความแน่ใจ อเล็กซ์ก็มองหน้าผมไม่หลบสายตา พอเริ่มแน่ใจกับตัวเองว่า เขาไม่ได้ปฏิเสธ ผมก็ลุกขึ้นยืนแล้วชูสองแขนขึ้นด้วยความดีใจ
“เย้!” ผมยิ้มกว้าง อเล็กซ์ยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ผมหยิบบทขึ้นมากอดแนบอก หัวใจเต้นโครมคราม สภาวะตึงๆ ก่อนหน้ามลายหายวับไปแทนที่ด้วยความปลื้มใจ
“ส่งอีเมลกลับมาให้ฉันเมื่อทำเสร็จแล้ว” เขายื่นกระดาษแข็งสีขาวอันนึงมาให้ผม คล้ายว่าจะเป็นนามบัตร แต่ก็เป็นแค่กระดาษธรรมดา แล้วมีเขียนอีเมลของเขาไว้เท่านั้น ผมยื่นมือไปรับ เบรกความดีใจสักแปบ ก้มหน้าลงมองปึกบทหนังแล้วเงยหน้ามองอเล็กซ์อีกครั้ง
“รายละเอียดอื่นๆ ของหนังล่ะครับ”
“ทำอย่างแรกที่ฉันสั่งให้เสร็จก่อน”
“อะ… อ๋อ โอเคครับ” ถึงจะดีใจ แต่สัมผัสได้ว่าความเครียดกำลังคืบคลานเข้ามา ผมไม่เคยทำจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิธีคิดงบ คิดเงินทำหนังแบบนี้มันต้องทำยังไง เขาให้ผมทำตำแหน่งใหญ่ไปรึเปล่า ผมกะมาเป็นผู้ช่วยกองถ่ายไม่ก็เขียนบทก็ยังดี เพราะอย่างน้อยผมก็เคยเขียนมา
“คุณจะสอนผมหน่อยมั้ยครับว่ามันต้องทำยังไง” อเล็กซ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปิดหนังสือพิมพ์
“ไปลองทำมาก่อน” เขาพูดจบก็เดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมา แล้วก็เดินผ่านผมไปแบบไม่สนใจ ทิ้งให้ผมเหวอและเอ๋ออยู่ที่เดิม ผมมองประตูสีน้ำตาลที่ค่อยๆ ไหลปิดลง ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอีกสักพักก็เดินกอดบทปึกนั้นออกไปจากห้อง พอเดินออกมาข้างนอกผมก็ไม่พบเขา ไม่รู้ว่าเขาไปไหน ผมเดินไปตามทางเดิมที่เดินมา แล้วก็เจอเขายืนชงกาแฟอยู่ตรงมุมเครื่องดื่ม เขาเงยหน้ามองผมแว้บหนึ่งแล้วก็กลับไปชงกาแฟต่อ
อันนี้คือตูได้งานแล้วแน่ใช่มั้ย มันต้องยังไงต่อ ผมต้องกลับบ้านใช่รึเปล่า ผมยืนงงสักแปบก่อนเดินเข้าไปหาเขา
“ผมกลับได้เลยใช่มั้ยครับ”
“เธอจะอยู่ดูดาวก็แล้วแต่” ผมหน้าเหวอไปมาก เลยได้แต่พยักหน้าเงอะงะแล้วหมุนตัวเดินออกไปทางประตูออฟฟิศของเขา พอออกมาเจออากาศอุ่นๆ ด้านนอก ผมก็ยืนนิ่งรับอากาศอีกสักแปบก่อนที่จะคลี่ยิ้มด้วยความดีใจอีกรอบ ผมก้มหน้าลงกรี๊ดกับปึกบท
“แอร้ยยยย แอร้ย! แอร้ย!”
“เสร็จแล้วใช่มั้ย…”
“….เฮ่ย!” ผมเงยหน้าด้วยความสะดุ้ง กำลังกรี๊ดฟินๆ ก็มีเสียงเหมือนคนพร้อมต่อยมาขัด ใบหน้าบูดบึ้งของไอ้ยักษ์ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลมปรากฎชัดเต็มสายตา
“มารอนานรึยังเนี่ย”
“นาน” น้ำเสียงและหน้าตาบ่งบอกชัดเจนว่านานตามที่พูด แต่นานของวิคเตอร์แค่สิบนาทีก็คือนานแล้วนะ ห้านาทีก็คือเริ่มหงุดหงิดละ
“แหม ก็บอกแล้วว่าจะโทรบอก” วิคเตอร์ชี้ไปที่รถเก๋งสีดำแบรนด์วงกลมสามวงคล้องกันที่พวกเซล่าจัดการเตรียมไว้ให้ก่อนบินมา เนื่องจากบ้านที่ซื้อไว้ไม่ใช่บ้านที่เราจะใช้ชีวิต วิคเตอร์ซื้อบ้านใน LA เพราะเอาไว้พักตอนมาทำงาน ส่วนมากงานหนังมันก็ทำที่นี่แหละ เพราะที่นี่คือฮอลลีวู้ด วูด วูดดดด ดินแดนแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ซีรีส์ มูฟวี่ ความบันเทิงต่างๆ คืออยู่ในเมืองนี้เยอะมาก ผมยังเคยคิดช่วงแรกๆ ที่รู้จักวิคเตอร์ว่าเขาควรมีบ้านที่นี่มากกว่านิวยอร์ก แต่ตอนนั้นเขามาในฐานะนายแบบ การอยู่นิวยอร์กจะสะดวกมากกว่า และอีกอย่างบ้านหลังนั้นเป็นมรดกของย่าที่เขารักมาก แต่อีกไม่นานเราก็จะขายบ้านหลังนั้นทิ้งไปแล้ว คิดๆ ไปก็แอบใจหายเหมือนกัน วิคเตอร์บอกว่า ขายคือขาย จบไป ไม่อยู่แล้ว ที่เขามาอยู่ที่นี่เพราะอยากห่างจากพ่อ รำคาญพ่อตัวเอง แต่ตอนนี้มีผม อยากมีบ้านเป็นครอบครัวของตัวเอง
คริๆ พูดแล้วก็เขิน
“เป็นไงล่ะ สมใจมั้ย” เขาถามหลังจากหักพวกมาลัยออกจากบ้านหลังชั้นเดียวหลังใหญ่ที่แบ่งโซนนึงเป็นสำนักงาน รถสามห่วงแล่นไปตามถนนใน LA ที่ด้านหลังเป็นภูเขา Hollywood อันเป็นเอกลักษณ์โด่งดังไปทั่วโลก
“ไม่มีพลาด!” ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจ วิคเตอร์แบะปาก ยกมือขวามาผลักหัวผมหนึ่งทีจนผมหัวคว่ำไปด้านขวาตัวเอง ผมกัดปากล่างแน่น ยกมือขวาขึ้นขู่ทำท่าจะตีเขา แต่ไม่กล้าตีจริงหรอก กลัวโดนต่อย
“เขาให้ผมเป็นไลน์โปรดิวเซอร์เลยอะวิคเตอร์” ผมทำปากยื่นพลางยกมือลูบผมม้าด้านหน้าที่ยุ่งเพราะโดนผลักเมื่อกี้ วิคเตอร์ที่กำลังมองทางหันมามองผมแล้วย่นคิ้ว สีหน้าเขาตกใจเล็กๆ ผมพยักหน้ายืนยันคำพูดตัวเอง
“นายทำเป็นรึไง” ผมสั่นหัวทันทีแล้วชูปึกบทที่อเล็กซ์ให้มา
“เขาให้เป็นตำแหน่งนี้เลยอะ ผมบอกไปแล้วนะว่าไม่เคยทำ”
“มันคิดว่านายฉลาดมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถลึงตา เบะปากใส่เขา นึกอยากจะทำร้ายร่างกายเขาบ้างนะ แต่ทำร้ายเขาไปก็เหมือนทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่ารักล้นปรี่ รักตายแทนกันได้ แต่เพราะเขาจะทำผมกลับแบบหนักยิ่งกว่าเดิม
“เดี๋ยวผมก็ทำได้!...” ผมเชิดปากขึ้น วิคเตอร์เบะปาก มองอย่างหมั่นไส้กลับมา ผมย่นจมูกแล้วหันไปมองข้างทางตามเนินเขาซึ่งเป็นทางขึ้นบ้านของเรา บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของเมือง Los Angeles ราวสิบแปดนาที บ้านที่วิคเตอร์ซื้ออยู่บนเขา วิวหลังบ้านสวยมากเลยละ มองเห็นวิวเมืองแห่งอุตสาหกรรมบันเทิงของโลกได้กว้างไกลสุดสายตา แม้ว่ามันจะเป็นเมืองแห้งแล้งไปสักหน่อย แต่ภูเขาโล้นสลับเขียวกับต้นปาล์มอันเป็นเอกลักษณ์ก็ช่วยทำให้มันดูน่ามองนะ เสน่ห์ของเมืองนี้คงเป็นเรื่องสีสันของต้นกำเนิดความบันเทิงนี่แหละ มันคือนครแห่ง (ดวง) ดารา
มองวิวทางขึ้นบ้านเพลินๆ สลับกับกังวลเรื่องการทำงบจากบทที่ได้มา ผมก็นึกอะไรบางอย่างได้ แม้ว่าดูจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ “…เตอออร์!...” ผมยิ้มหวาน เจ้าของชื่อหันมามองด้วยความระแวงทันที
“…คุณช่วยสอนผมหน่อยสิ” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว จังหวะนั้นเขาตีไฟเลี้ยวเข้าเนินถนนเส้นเล็กที่นำไปสู่หน้าประตูบ้าน
“ฉันทำเป็นที่ไหนล่ะ” ผมทำปากยื่น หน้าตาจะร้องไห้ วิคเตอร์ไม่ได้โกหกหรอก ก็เขาไม่ใช่เบื้องหลัง แต่ผมลองถามดู เผื่อมีความหวัง
“ทำไงดีอะ T^T” วิคเตอร์ยิ้มเย้ยแล้วดับเครื่องยนต์ก่อนจะดึงเบรกมือ ผมเปิดประตูรถ ออกไปยืนบนพื้นถนนหน้าบ้านด้วยความเศร้า ประตูไม้เลื่อนขนาดใหญ่ค่อยๆ เลื่อนออกด้วยระบบอัตโนมัติ และมีอัตโนมือของออสตินช่วยให้เร็วขึ้น ไมเคิลที่เราพกขึ้นเครื่องบินเจ็ทมาด้วยวิ่งดุ๊กๆ ออกมากระโดดโลดเต้น มันดูแฮปปี้มากที่ได้มาที่นี่ ก็แหงล่ะ สนามหญ้ารอบบ้านที่มี มันวิ่งวนจนเบิร์นไปได้หลายหมื่นแคลแล้วมั้ง ส่วนฟอกซ์ก็ได้ที่ประจำใหม่คือหลังบ้าน มันชอบไปกลิ้งตรงเนินเขาหลังบ้าน ผมล่ะกลัวมันกลิ้งตกเขาเป็นที่สุด
“ผมเตรียมของสำหรับทำอาหารไว้ให้แล้วนะครับ” ผมเอาปึกบทหนีบใต้แขนซ้ายแล้วยกมือพนมขึ้นเหนือหัว
“แต้งกิวเวรี่มัช” นอกจากจะเป็นบอดี้การ์ด เป็นคนเลี้ยงหมาแล้ว ตอนนี้ออสตินเริ่มจะกลายมาเป็นพ่อบ้านอีกตำแหน่ง จริงๆ เขาก็เป็นหลายตำแหน่งมานานแล้วละ อย่างว่า ค่าจ้างแพง ต้องใช้ให้คุ้ม
“แล้วผมจะทำไงดีอะ” ผมเบะปากจะร้องไห้ตอนเดินเข้ามาภายในบ้านอันกว้างขวางตรงโซนลีฟวิ่งรูม วิคเตอร์หันมาทำหน้ามึนใส่แล้วยักไหล่สองที
“ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ” ผมจิ๊ปากและมองค้อนไปหนึ่งที วิคเตอร์เดินหนีไปทางครัว ทิ้งให้ผมยืนเกาหัวงุนงง มองปึกบทที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนขนาดเตี้ยที่ไว้สำหรับวางของและของกินเวลานั่งดูทีวีหรือนั่งเล่นในนี้ ผมเห็นวิคเตอร์เดินออกจากประตูกระจกตรงครัวไปสูบบุหรี่ที่สนามหญ้าด้านนอกของฝั่งนั้น ผมมองเขาสักพักก็ยิ้มด้วยความรู้สึกอบอุ่น เดินข้ามจากห้องเอกเขนกไปที่ครัว ซึ่งเดินไกลอยู่เหมือนกันสำหรับการเดินในบ้าน คือบ้านนี้เป็นลักษณะแนวยาวเหมือนตัวแอลนอนหงาย ลากยาวตั้งแต่ห้องนอนขนาดใหญ่อยู่ตรงริมสุดและวิวดีสุดๆ จะให้เจ้าของบ้านนอนหรือแขกนอนก็แล้วแต่สะดวก (แต่ตอนนี้ออสตินครองไปแล้ว) แล้วก็ไปยกสูงเป็นสองชั้นตรงฝั่งโซนนอนกับใช้ชีวิตส่วนตัวผัวเมียละเหี่ยใจ ผิดกับบ้านที่นิวยอร์กที่แคบเล็กๆ
“เตอร์…” ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลัง วิคเตอร์เอี้ยวตัวมามอง ผมยกยิ้ม วิคเตอร์ดึงบุหรี่ออกจากปากแล้วถือไว้ในมือ เขาหันตัวมาหาผมและก้มลงหอมหน้าผากผมหนึ่งที
“ออกมาทำไม เหม็นบุหรี่”
“รู้ว่าเหม็นก็เลิกสูบสิ ขอมานานแล้วนะบุหรี่เนี่ย” ลดลงก็จริง แต่ถ้าเลิกได้เลยจะดีกว่า
“อาทิตย์นี้เพิ่งตัวที่สอง” ผมกลอกตา มันก็วันล่ะมวนนั่นแหละ พรุ่งนี้มวน มะรืนมวน ครอบอาทิตย์ก็เจ็ดมวนพอดี แต่เรื่องบุหรี่พักไว้ก่อนแล้วกัน
“ขอบคุณนะ” มือซ้ายเขาลูบท้ายทอยผมเบาๆ ผมปลดกระดุมเสื้อลายดอกที่เหมาะกับบรรยากาศเมืองลอสแองเจลิสของเขาออกแล้วแหวกเสื้อให้เห็นรอยสักก่อนจะยื่นหน้าไปจูบเนินอกซ้ายเขาหนึ่งที พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขาคลี่ยิ้มกว้างแบบที่ผมชอบ ยิ้มจนร่อมแก้มขึ้น ผมยาวของเขาปลิวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาแบบเอื่อยๆ เรื่อยๆ ตามประสาบ้านที่อยู่บนเนินเขาสูง
“Thank you my dear husband. (ขอบคุณคุณสามีที่รัก)” ผมยกมือซ้ายขึ้นไปลูบอกเนินอกที่มีรอยสักสีดำ แหวนเพชรบนนิ้วนางข้างซ้ายทอประกายวิบวับกับแสดงแดดเป็นช่วงๆ
“I am so glad that I have you. (ผมดีใจที่มีคุณ…)” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเขินให้เขา วิคเตอร์ยักคิ้วหนึ่งที ผมปล่อยมือซ้ายออกจากอกแล้วเอาสองมือประกบแก้มตัวเอง
“Because you are a millionaire. (…เพราะคุณรวยมาก)” แล้วผมก็ยิ้มยิงฟันหัวเราะร่วน วิคเตอร์คลี่ยิ้ม ยกบุหรี่ในมือขวาขึ้นสูบยาวๆ หนึ่งทีแล้วพ่นควันออกมา ควันสีขาวลอยไหลไปตามแรงลม วิคเตอร์บี้บุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุรี่ที่วางไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้นอนมองวิวสีดำตัวยาวโค้งเป็นคลื่น
“Let’s fuck. (เย็xกันเถอะ)” เขาถอดเสื้อออกจนเห็นหุ่นยั่วยวนที่ผมคุ้นตา ผมยิ้มกริ่มและตอบเสียงใส
“Okay.”
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้

เอเลี่ยนได้งานแล้วข่าคู๊นนน โดยมีสามีหน้ายักษ์เป็นสปอนเซอร์หลักอีกเช่นเคย และเมื่อได้งานแล้วก็ต้องมีการขอบคุณสปอนเซอร์นะคะ คิๆ
ตอนแรกจะอัปเมื่อวานนี้พร้อมพี่แซ็คตามที่แจ้งไว้ในเพจ แต่เข้าใจผิดคิดว่าฉากจุ๊กกรู้วอยู่ในช่วงนี้เลยขี้คร้านแยกไปบล็อก เพราะเมื่อวานอยู่ในจุดที่อินเตอร์เน็ตเหียกมาก เลยไม่อยากรอมันหมุนวน แต่กลับมาบ้านแล้วอ่านทวนเลยได้รู้ว่าเข้าใจผิด แต่ก็มาอัปแล้วนะก๊ะวันนี้
ช่วงนี้เปิดพรีฯ อยู่ก็จริง แต่ตอมก็อัปนิยายตามปกติ แต่ห้า-หกตอนสุดท้าย จะยังไม่อัปจนกว่าหนังสือจะถูกจัดส่งจนหมดตามที่แจ้งไว้ในรายละเอียดการพรีออเดอร์ค่ะ
เปิดพรีออเดอร์หนังสือภาคสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้แล้วนะคะ รายละเอียดของหนังสือและรายละเอียดการพรีออเดอร์ตามไปอ่านได้ที่ >
พรีออเดอร์ Yours&Mine เจอกันอีกครึ่งที่เหลือค่ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นจากคนอ่านทุกคนที่คอมเม้นให้กันนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ มันเป็นกำลังใจดีๆ สำหรับคนเขียนมากๆ มันคือแรงขับเคลื่อนและกำลังใจในการเขียนมากเลยค่ะ รู้ว่ามีคนรออ่านและรอมีอินเนอร์ร่วมไปด้วยกันทุกครั้งที่ลงเนื้อเรื่องก็ปริ่มใจ ขอบคุณค่ะ และขอบคุณโหวตที่มอบให้ด้วยค่ะ ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร แต่พอได้ก็ดีใจ ฮ่าาา และขอบคุณยอดวิวจากนักอ่านเงานะคะ
แท็กเรื่องนี้ #LoveNoBoundaries