ตอนที่ 10
“ไอ้เอส เมื่อกี้โทรศัพท์มึงดังอะ” ทันทีที่ผมออกมาจากห้องน้ำเดินเข้าไปในห้องนอนของไอ้ปันที่ผมมาสิงสถิตอยู่ได้นานแล้ว ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่ก็บอกพร้อมชี้ไปที่โทรศัพท์โดยที่ไม่ละสายตามามองหน้าผมสักนิด
“ใครวะ?”
“ไม่รู้ว่ะ ไม่ได้ไปดูหน้าจอ”
“เออ” ผมรับคำ เดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูพลางเช็ดผมไปพลาง
สายที่ไม่ได้รับ ‘พี่ตุลย์’
ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะกดโทรกลับไป อันที่จริงผมกับไอ้คุณพ่อลูกสองนั่นต่างก็มีเบอร์กันและกันอยู่แล้วอะนะ แต่ผมและเขาต่างก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโทรหากันสักหน่อย
/ยอดเงินคงเหลือของคุณ ไม่พอสำหรับใช้บริการ กรุณาเติมเงินด้วยค่ะ/
แป่ว เมียน้อยรับ อิอิ ช่างเถอะ เดี๋ยวถ้าเขามีธุระจะคุยกับผมจริงๆ เดี๋ยวก็คงโทรมาอีก
“ใครโทรมาวะมึง”
“เรื่องของมึงเปล่า?” ผมจงใจพูดเสียงกวนกับคนที่ยังนั่งเล่นเกมอยู่ มันหันมาหัวเราะเหอะๆ ใส่ผมแล้วแยกเขี้ยวให้ ผมก็ยิ้มหวานให้มันไปเป็นการตอบแทน
พอเห็นชื่อพี่ตุลย์ แล้วผมเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อวานครับผมไปทำประโยชน์ให้พ่อแม่ภาคภูมิใจมาครับ และด้วยความเป็นพระเอกอย่างต่อเนื่อง ผมก็แอบออกจากห้องเขามาตั้งใจจะให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ปรับความเข้าใจกันและกัน ผมนี่ยิ้มหน้าบานออกมาเลยครับ
คนอะไรโคตรหล่อ!
แต่พอมาถึงหน้าลิฟท์ทุกอย่างก็ดับวูบเมื่อผมเห็นคำว่า ‘เครื่องขัดข้องงดใช้บริการ’ ผมนี่สบถเป็นภาษาที่ต้องเซ็นเซอร์เป็นการด่วนที่สุด คอนโดฯ แม่งดูดีซะเปล่าลิฟท์เสียบ่อยฉิบ! แล้วไอ้ชั้นที่ผมอยู่นี่ก็ไม่ใช่ชั้นสามนะครับ! แล้วพระเอกทำไง...
...
ก็ลงบันไดสิครับ ไม่น่าถาม TT
ตอนแรกว่าจะกระโดดลงก็จำได้ว่าตัวเองไม่ใช่ซุปเปอร์แมน จะปล่อยไยแล้วเหวี่ยงตัวไปก็ลืมไปว่าไม่ได้โดนแมงมุมกัด
ออกมาจากห้องนี่หล่อครับ พอออกมาจากคอนโดปุ๊บ ผมนี่หมาเลย สภาพนี่เรียกว่าเหี้ยเลยครับ น้ำตาจะแชร์ขอไหลนะครับ
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ขณะที่ผมกำลังคิดถึงความทรงจำครั้งก่อนเพลินๆ เสียงริงโทนแบบไทยบ้านก็ดังขึ้น ผมคว้าหมับมาดูรายชื่อทันทีพอเห็นว่าเป็นสายไม่ได้รับเมื่อหลายนาทีโทรกลับมาอีกครั้งก็ไม่รอช้ากดปุ่มรับสาย
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ”
/...แค่นี้นะ/
“เดี๋ยววววว~ ล้อเล่นครับบบ” ผมรีบเบรกก่อนที่อีกฝ่ายจะวางไปจริงๆ หยอกนิดหยอกหน่อยละทำเป็นจริงจังตลอด “มีอะไรครับบ? เดี๋ยวนะ ผมขอจดไดอารี่แป๊บ พี่โทรมาผมครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นจุง”
/...แค่นี้นะ/
“ล้อเล่นนนน นี่ก็เป็นจริงเป็นจังตลอดเลยโอออ” ผมลากเสียงยาว “โทรมามีไรครับ?”
/อื้ม...ทำไมรีบกลับอะ พอออกจากห้องนอนที่หนึ่งก็ไม่เห็นแล้ว/
“ก็อยากให้ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไงครับ หมดหน้าที่ก็ต้องออกมา” ผมหัวเราะกลั้ว และนั่นก็ทำให้ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่หันมามอง ผมยักคิ้วลิ่วตาให้จงใจกวนประสาทเล็กน้อยแล้วกลับไปคุยกับคนในสายต่อ “ว่าแต่ พี่เพิ่งนึกได้หรอครับว่า ผมออกมาตั้งแต่เย็นๆ เพิ่งโทรมาตอนจะเที่ยงคืนแล้วเนี่ยนะ”
/โทษทีๆ/ เขาหัวเราะในลำคอ /พอดีคุยกับที่หนึ่งอยู่ ลูกหลับหมดแล้วก็เลยเพิ่งว่างได้โทรเนี่ยแหละ/
“อ๋อครับ” ผมตอบรับและไม่ได้เริ่มบทสนทนาใดๆ ขึ้นอีกรอให้ผู้ที่เป็นฝ่ายโทรมาเริ่มบทสนทนาใหม่ ผมไม่คิดว่าเขาโทรมาหาผมเพื่อถามผมแค่นี้หรอกจริงๆ เพราะถ้าเขาต้องการจะถามแค่นี้รอผมไปหาพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง ยังไงผมก็ต้องเอาเงินไปให้เขาอยู่แล้ว…แต่ก็ยังเงียบ “พี่โทรมาหาผมแค่นี้หรอ?”
/เปล่า ที่จริงจะโทรมาถามว่า พรุ่งนี้ว่างไหม?/
“พี่รู้อยู่ไม่ใช่หรอว่าผมทำงานตั้งแต่เช้าถึงสี่ทุ่มทุกวันอะ”
“ใครโทรมาอะ แฟนหรอ?” ระหว่างที่ผมกำลังตอบปลายสายไป ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่เมื่อครู่ ก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ บนเตียงผม ไม่พอยังยื่นหน้าพูดเสียงดังใส่โทรศัพท์อีกแล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องใช้ฝ่าตีนดันมันออกไป “น้องครับๆ ไอ้นี่มันคบกับพี่อยู่ครับ น้องเลิกคุยกันมันไปได้เลย”
“ไอ้เหี้ยยย พูดไรของมึงเนี่ยย” ผมลากเสียงรำคาญ ออกแรงถีบอกมันอย่างแรงจนตกเตียงไป แต่คนเราครับ ยังมีหน้าผงกหัวขึ้นมาขำอีก
“เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเป็นสาววายเยอะนะมึง ได้ยินแล้วอาจจะแอบกรี๊ดในใจก็ได้”
“ประเด็นคือกูไม่ได้คุยกับผู้หญิงไง” ผมส่งนิ้วกลางให้คนที่เพิ่งตกเตียงไป แล้วกลับมาสนใจคนในสายต่อ “โทษทีนะพี่ อย่าไปสนใจเมื่อกี้นะ เพื่อนผมแม่งกวนตีนเฉยๆ”
/อ๋อ...อื้มๆ/
“เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้ว อ้อ! ผมไม่ว่างอะครับ ต้องทำงานเหมือนเดิมแหละ พี่มีอะไรเปล่า?”
/ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พรุ่งนี้สายๆ หน่อยจะชวนไปห้างฯ/
“...” เกิดเดดแอร์กับผมชั่วขณะ
ไปห้าง?
/ฮัลโล สายหลุดหรอ?/
“เปล่าๆ ยังไม่หลุดอะพี่ ถ้าจะไปห้างแล้วโทรมาชวนผมทำไมอะ ไม่โทรชวนเพื่อนๆ พี่ไปละครับ เพื่อนที่ทำงานไรงี้น่ะ”
/พรุ่งนี้ฉันลางาน เพื่อนที่ทำงานเขาก็ต้องไปทำงานกันสิ/
“ผมก็ไปทำงานเหมือนกันครับบบ ไปคนเดียวก็ได้มั้งพี่ โตแล้วอะ อายุจะ 40 แล้ว”
/ยังไม่ 30/ อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ ผมหัวเราะขนาดไม่เห็นหน้าผมก็พอนึกออกว่าเขาคงกำลังขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ อะ
“ครับๆ ยังไม่ 30 ก็ยังไม่ 30 ส่วนเรื่องนี้ผมทำงานอะพี่ ไปด้วยไม่ได้จริงๆ”
“ไหนบอกไม่ใช่ผู้หญิงไง มีนัดดงนัดเดท” ไอ้ปันที่มันนั่งมองผมคุยโทรศัพท์อยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดแทรกขึ้นมาเสียงเบา ผมก็ไม่ได้สนใจจะตอบโต้มันเท่าไหร่นะครับ แค่หันไปทำปาก ‘พ่อง’ ใส่มันแค่นั้นเฉยๆ
/ไปด้วยกันเหอะ...จริงๆ มีเรื่องอยากคุยด้วย/
“ก็บอกอยู่ว่าทำงาน ผมย้ำหลายรอบแล้วนะ พี่นี่ก็!”
/ไปลางานซะ ทั้งวันเลย แล้วค่าจ้างวันนั้นฉันจะจ่ายให้ โอเคไหม? ตกลงตามนั้น แค่นี้นะ ฉันง่วงแล้วต้องไปนอนก่อน ฝันดี ตี๊ด/
“ดะ เดี๋ยว!” ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียง ตู๊ด ตู๊ด แทนเสียงทุ้มๆ นั่นเสียแล้ว คิดดูครับ พี่แกเล่นพูดประโยคนั่นเร็วกว่าคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของผมคำเดียวอีกอะ! “อะไรวะ เผด็จการ?”
“อะไรมึง?”
“มึงนี่ก็ขี้เสือกเหมือนกันนะเนี่ย”
“มึงไม่เคยได้ยินคำนี้หรอ เรื่องของกูก็คือเรื่องของกู เรื่องของมึงก็คือเรื่องของกู” ไอ้ปันพูดก่อนที่จะหัวเราะใส่ผมเสียงดัง แล้วมันก็ลุกขึ้นจากพื้นไปนอนเล่นบนเตียงของมัน ทิ้งให้ผมยังนิ่งค้างอยู่กับโทรศัพท์แล้วก็ไอ้คำสั่งเผด็จการนั่น
คือ เอ่อ...คือ ผมต้องไปลางานตามพระบัญชา ของพระยาตุลย์จริงๆ ใช่ไหมวะ!?
สรุปผมก็ลางานให้กับพระยาตุลย์จริงๆ ครับ ตอนแรกผมว่าจะไม่ทำตามหรอก เรื่องไรวะ ให้หยุดงานไปเที่ยวห้างฯ แต่พอดีเซลล์สมองผมตัวนึงมันจำได้ขึ้นมาว่าใกล้ถึงวันต้องจ่ายค่ามหา’ลัยกับทำเรื่องหอในแล้วครับ แล้วพี่แกก็ยังเป็นผู้กุมเงินก้อนนั้นอยู่ ผมก็เลยยอมทำตามในที่สุด ตอนเช้า พี่ตุลย์ก็โทรมาหาผมอีก แต่คราวนี้เป็นการโทรนัดเวลากับสถานที่ครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผมต้องมายืนอยู่หน้าป้ายรถเมล์ในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาแบบนี้
ไหนบอกจะไปตอนสายๆ ไงวะ มาตอนเที่ยงแบบนี้ นี่กล้าหือกับแดดเมืองไทยใช่ปะ!
“เอ้า มาตรงเวลาจัง” ขณะที่ผมกำลังพัดผมไปมาระบายความร้อนอยู่ เสียงทุ้มของพี่ตุลย์ก็ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างของเจ้าตัว ปกติผมมักจะเห็นพี่ตุลย์ใส่สูทบ้างเสื้อเชิ๊ตบ้าง แต่พอมาใส่ลำลองสบายๆ แบบวันนี้ก็เลยทำให้เขาดูเด็กลงไปไม่น้อยทีเดียว ถ้าผมอารมณ์ดีอยู่ก็คงแซวไปแล้วครับ แต่บังเอิญว่าอากาศร้อนกับผมไม่ค่อยถูกชะตากันสักเท่าไหร่
“ตอนผมดูละคร เวลานัดไปเที่ยวนี่ มีแต่ขับรถมารับนู่นนี่นั่น ไม่ก็แท็กซี่ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเห็นผู้ใหญ่ชวนไปห้างโดยไปรถตู้!”
“ก็ฉันไม่มีรถนี่ แล้วไปกับรถตู้มันจะเป็นยังไง ก็ถึงเหมือนกันแหละหน่า ราคาประหยัดด้วย”
“ครับๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าแปลกดี” ผมยักไหล่ พี่ตุลย์เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม รถเมล์คันแล้วคันเล่าขับผ่านไป แต่เราสองคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุก ยังคงเอาแต่สอดส่ายสายตาหารถตู้ที่จะพาเราไปยังเป้าหมายปลายทาง
“เรื่องเงินพิเศษวันนี้ ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดรายได้นะ”
“หื้ม?” ผมขานเสียงแต่สายตาก็ยังจดจ่อบนพื้นถนน มองหารถตู้อย่างตั้งใจไม่ให้พลาด
“ฉันจะเป็นคนจ่ายเงินพิเศษให้วันนี้”
“หา!?” ผมหันขวับ
“วันนี้ ฉันจ้างนาย มาเที่ยวห้างฯ กับฉันไง”
ช่างกล้าเรียกว่า มา ‘เที่ยว’ ห้างฯ กับผม พอมาถึงห้าง ผมก็เพิ่งรู้ว่าที่จริงแล้ว ไอ้พี่ตุลย์มันตอแหลครับ! เขาไม่ได้ต้องการคนมาเที่ยว เขาต้องการคนมาเข็นรถตามครับ! แล้วของที่พะเนินเทินทึกอยู่ในรถเข็นนี่ไม่มีอะไรที่เป็นของผมสักชิ้นครับ ส่วนใหญ่เป็นของเจ้าตัวเอง ไม่ก็ของกิน แล้วก็ของเล่นของที่หนึ่งกับเด็กอ้วนตอนต้นทั้งนั้น
“ครบยังหว่า?” ไอ้พี่ตุลย์พูดเสียงเบา พลางยื่นหน้ามาเช็คของในรถเข็น
“ผมจะไปรู้กับพี่หรอครับ” แล้วผมก็ตอบไปเสียงเซ็งๆ คือไงอะ นี่ผมลางานมาเป็นเบ๊ไรงี้ปะ อันที่จริงผมไม่น่าหงุดหงิดเนาะ เพราะไอ้คุณพ่อลูกสองนี่มันก็บอกผมอยู่ว่าจะจ่ายเงินให้ แต่แบบ ที่ผมคิดเอาไว้อะครับ มาเที่ยวห้าง...มันไม่ใช่แบบนี้โว๊ย!
“ซื้อคิทแคทไปให้ที่หนึ่งด้วยดีไหมนะ? แต่ของหวานทำให้ฟันผุ” ไอ้พี่ตุลย์ยังพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป ชนิดที่ว่าผมพูดอะไรนี่ไม่เจาะเข้าไปในหูพี่แกได้เลย สุดท้ายผมก็เลยเลิกที่จะเงียบแล้วเข็นตามพี่แกไปแค่นั้นพอ
“เอาอะไรหน่อยไหม?” ไอ้คนที่เดินนำหน้าผมอยู่ ถามขึ้นขณะที่เราทั้งคู่เดินเข้ามาถึงโซนขนม อันที่จริงผมตาแววตั้งแต่ลูกกวาดตรงหัวแถวแล้ว แต่ไอ้คนที่ผมมาด้วยมันไม่ใช่พ่อผมไงครับ ก็เลยไม่อาจจะหยิบอะไรได้ตามใจชอบ แถมเงินก็ต้องประหยัด ถ้าอยากกินขนมผมก็มีแค่สองทางเลือก..
1. แย่งไอ้ปันกิน
2. แย่งไอ้เด็กที่หนึ่งกิน อิอิ
“ไม่อะ พี่จะซื้ออะไรก็ซื้อเหอะ” ผมหยิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงราวกับคนที่ไม่สนใจขนมจำพวกนี้
พรึ่บ!
“มาหน่า รู้หรอกว่าอยากกิน เห็นมองซ้ายทีขวาทีมาตั้งแต่เข้าซอยนี้มาแล้วเนี่ย” ไอ้พี่ตุลย์ขมวดคิ้วมใส่พร้อมคว้าแขนผมกระชากเข้าหาตัวจนหน้าผากผมแทบจะเคาะตาอีกฝ่ายพร้อม
“พี่จะออกเงินให้ปะละ” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นพลางจ้องมองเข้าไปในแววตาที่อยู่ตรงหน้านั้น
“ได้”
“งั้นผมเอาหมดนี่เลย”
“...”
“ล้อเล่นคร๊าบ” ผมคอตก หูลู่ หางตกเมื่อเห็นสายตาดัง ชิ้ง! ที่ส่งมาจากคนที่อายุมากกว่า แต่พอเห็นเขาพผยิดหน้าเหมือนจะไล่ให้ผมไปหยิบขนมที่อยากกินมา หู หางก็ตั้งขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปหยิบเลย์รสออริจินอล ขนมพริงเกิ้ลสีเขียว ทาโร่สีเหลือง ป็อกกี้ช็อกโกแลตกับสตอเบอร์รี่ ลงท้ายด้วยเบนโตะสามอัน
“ลูกฉันยังไม่ได้กินขนมเยอะขนาดนี้เลย”
“พี่ก็ไปซื้อให้ลูกกินดิครับบบ” ผมว่าพลางวางขนมลงในรถเข็น เตรียมจะเข็นตามพระบัญชาของพระยาตุลย์ต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไอ้พี่ตุลย์กำลังยืนมองหน้าผมอยู่ “กรุณาอย่ามองหน้าเพราะไม่รู้ว่าพี่มีปัญา หรือหน้าตาผมดี~” ผมยิ้มหวาน
“...ปะ กินข้าว”
“แหนะๆ มีหลบหน้า กำลังคิดอยู่ใช่ปะละ ว่าผมหล่อโคตร” ผมรีบเข็นเข้าไปข้างๆ พี่ตุลย์ ทำเสียง ‘กิ้วๆ’ ล้อเลียนพี่แก
“นั่นเรียกว่าหน้าตาดีแล้ว”
“ปากแข็งซะด้วย แบบนี้แหละพี่เรียกว่าหน้าตาดีแล้ว” ผมจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย พอเห็นพี่ตุลย์ย่นคอหนี ผมก็ยิ่งตามเอาหน้าไปให้ดู
“นายต้องเข้าใจผิดคำว่าหน้าตาดีผิดอยู่แน่ๆ”
“พูดนี่คืออะไร อิจฉาที่ผมหน้าตาดีใช่เปล่า กิ้วๆ” ผมยิ้มกว้าง สนุกสนานไปกับการแกล้งคนอายุมากกว่า ผมเข้าใจนะครับเวลาเห็นคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วมันจั๊กจี้ แต่ผมไม่ไง คือสกิลหน้าหนาผมนี่มันสูงแล้วครับ แล้วผมก็ชอบให้คนมองหน้าผมด้วย ก็บอกแล้วไง ผมหน้าตาดี~
“ถ้ามีหน้าตาแบบนี้แล้วเรียกว่าดี ฉันขอมีหน้าตาแบบปัจจุบันดีกว่า”
“...” ผมมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้าผม “ผมว่าพี่หน้าตาดีนะ”
“!” ไอ้พี่ตุลย์ดูตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของผม “พูดอะไร” ว่าแล้วก็เบือนหน้าไปอีกทาง เหมือนเรื่องที่ผมพูดเมื่อครู่มันไร้สาระไม่น่าสน
แต่! ผมแอบเห็นนะครับบ แก้มพี่แกแดงกว่าปกติด้วย! ฮิ้ววววว
“เขินหรอครับบบ” ผมยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย จงใจยื่นหน้าเข้าไปหาให้ตัวเองได้เห็นใบหน้านั่นชัดๆ ยิ่งเห็นพี่ตุลย์เอาแต่คอยหลบหน้า ผมก็ยิ่งนึกสนุกแกล้งพี่แกไม่เลิก
หมับ!
“โอ๊ย!” ผมร้องลั่น เมื่อโดนอีกฝ่ายบิดแก้มผม ทันทีที่ความเจ็บตุ๊บๆ แล่นเข้ามาผมก็หลับตาปี๋ ตีมืออีกฝ่ายให้ปล่อยแก้มผมออก
“เอส”
“ครับ?” ผมลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในระยะที่ใกล้จนผมต้องเผลอกั้นหายใจ สายตาที่จ้องมองมาเหมือนราชสีห์ ตอนซิมบ้าในไลออนคิ้งพร้อมกะกระโจนไปตบสการ์ตัวร้าย TT
“ครั้งนี้ฉันจะทนไว้ในใจ แล้วจะมาเอาคืนนี้” สายตาน่ากลัวสาดดดดด
ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลยนะโว๊ยย!
ไอ้พี่ตุลย์ปล่อยแก้มผม ตีสีหน้าเรียบเหมือนช่วงสิบห้านาทีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ปะ กินข้าวเถอะ หิวแล้ว”
Holy Shit!
“อะพี่ น้ำ” ผมว่างแก้วให้คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะอ้อมไปนั่งอีกด้านหนึ่ง
ที่จริงผมจำได้คุ้นๆ ว่ากำลังหงุดหงิดอยู่นะ แต่พอเดินขึ้นไปชั้นสี่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารแล้วไอ้พี่ตุลย์ก็บอกผมว่า ‘อยากกินร้านไหนเลือกเลย เลี้ยง’ เท่านั้นแหละครับ อารมณ์คุกกรุ่นเมื่อครู่หายวับไปกับตา หน้าบานเป็นกระด้ง แอบหยิกตัวเองหนึ่งที หยิกไอ้คุณพ่อลูกสองอีกหนึ่งทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป ไม่ต้องให้บอกย้ำอีกครั้ง ผมลากแขนพี่แกเข้า ชาบูววววววว~ ชิ! เลย
ผมชอบร้านนี้มากนะครับ แต่ไม่ได้กินมานานมากกกกก มากๆ แล้ว วันนี้เลยตั้งใจว่าจะกินให้เกลี้ยง แบบออกจากร้านนี่พนักงานต้องคิดว่าผู้ชายท้องได้อะครับ!
“นี่พี่ นั่งโต๊ะนี่คิดดีแล้วหรอ? พี่ต้องจ่ายสี่คนเลยนะ ถ้ายังเปลี่ยนตอนนี้ก็ยังได้นะ ยังไม่เอาอะไรลงหม้อเลย” ผมถามคนที่นั่งจิบน้ำอยู่ตรงข้ามพลางหยิบเนื้อหมูที่กำลังผ่านตาไป
“นั่งนี่แหละ บอกแล้วไงว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ถ้านั่งแบบบาร์ คนอื่นก็ได้ยินหมดสิ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ “แล้วพี่จะคุยอะไร ถ้าพี่ไม่ย้ำอีกรอบผมก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเมื่อวานพี่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“นั่นแหละ”
“แล้วพี่จะคุยอะไรอะ?” ผมถามพร้อมกับใส่ผักลงในหม้อ ตามด้วยหมู กุ้ง ไข่ เต้าหู้ เห็ด ปลา ลงไป
“เรื่องแม่นาย”
“...” ผมชะงักค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าจริงจังที่มองตรงมาทำให้ผมรู้ว่าเขาต้องการที่จะคุยเรื่องนี้จริงๆ ผมก็เกือบลืมไป เมื่อวานผมบอกเขานี่เนาะ ว่าผมไม่มีแม่ “พี่จะคุยอะไร?”
“...” ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเงียบ ใช้ตะเกียบเขี่ยเนื้อหมูที่หยิบมาใส่หม้อ ผมเดาว่าเขาคงกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ละมั้ง “นาย ไม่มีแม่จริงหรอ?
“เฮ้อ ก็จริงอะ ผมจะโกหกทำไม”
“แต่นายบอกว่า...”
“ผมไม่พูดสักคำว่าคนที่บ้านคือพ่อแม่ผมนี่หน่า พี่คิดเองนะว่าผมมีพ่อมีแม่” ผมเอนตัวพิงผนักที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูเกร็งๆ ผมบอกแล้วไงครับเรื่องพ่อแม่ของผมไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาสงสารกัน หรืออะไรแบบนั้น พ่อแม่ผมตายดี โอเคไหมครับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติและผ่านมานานแล้วด้วย
“แล้วคนที่บ้านนี่คือ?”
“ป้าอะ พี่สาวของพ่อ พ่อตายตอนม.ต้น ป้าก็เลยรับไปเลี้ยงต่อ ส่วนแม่ตายตอนคลอดผม”
“ถ้างั้นที่นายทำงานพิเศษหาเงินเอง ก็เพื่อหาเลี้ยงตัวเองจริงๆ ไม่ได้หยิ่งปีกกล้าขาแข็งสินะ...”
“ฮ่าๆ พี่บ้าหรือเปล่า ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะมีแนวคิดแบบนั้นนะ แต่ผมว่าคนปกติเขาไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ ใครเขาอยากลำบากละ ถ้าตัวเองมีพ่อมีแม่ให้ถลุงเงินอยู่แล้ว” ผมพูด ตักเนื้อหมูกับผักที่สุกแล้วใส่ถ้วยของตัวเอง
“เก่งนะ”
“...” มือผมชะงัก แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็กลับมาเป็นปกติ รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ตั้งใจค่อยฉายขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ “ไม่เก่งหรอก ไม่ทำก็ไม่มีกิน มันก็เลยต้องทำก็แค่นั้น ประมาณว่าสถานการณ์บังคับ”
“นายเก่งน่ะ ถูกแล้ว มีหลายคนที่ก็เจอชีวิตทีไม่ต่างกัน แต่ก็เลือกที่จะยอมแพ้ ยอมใช้ชีวิตตามยถากรรม ไม่ขวนขวาย ไม่พยายาม แต่นายไม่ได้เป็นอย่างนั้น นายพยายามขีดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่แค่เรื่องกินเรื่องอยู่ แต่รวมถึงเรื่องเรียนด้วย นั่นแหละ ฉันถึงบอกว่านายเก่ง”
ผมยิ้ม และเปล่งเสียงออกใบอย่างแผ่วเบา “ขอบคุณ”
หลังจากที่ผมกับไอ้พี่ตุลย์กินชาบูวววว~ชิ! กันเสร็จก็ตกลงกันว่ากลับบ้านเถอะ ไอ้ตัวผมยังไงก็ได้ แค่อิ่มจังตังอยู่ครบ วันนี้ผมก็คุ้มค่าแล้วคร๊าบบ แต่ระหว่างทางที่จะเดินออกจากห้างฯ ไปนั่งรถตู้กลับบ้าน พี่ตุลย์ก็ลากผมที่หอบของเต็มสองไม้สองมือเข้าไปในร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค ไม่พูดไม่จาอะไรกับผมสักคำเดินลิ่วๆ เข้าไปในโซน ‘แม่และเด็ก’ ทิ้งให้ผมต้องยืนเฟร้งฟร้างอยู่กลางร้าน
คือ ผมไม่กล้าเดินเข้าไปด้วยครับ คุณลองนึกสภาพผู้ชายตัวเกือบเท่ากันสองคนมายืนดูหนังสือด้ยวกันในโซน ‘แม่และเด็ก’ จะคิดยังไงคร๊าบบบ! อย่าได้ดูถูกสาววายไป ถ้าวันต่อมา ผมแผ่หล่าอยู่หน้าเฟสบุ๊ค ‘เจอคู่เกย์มาดูหนังสือแม่และเด็กด้วยกัน น่ารักมาก’ ผมก็ซวยสิ! เอออออ
แต่มายืนโง่ๆ อยู่กลางร้านแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ผมเลยเดินหอบของทั้งหลายไปโซนหนังสือนิยายแนวลึกลับแทน มันเป็นโซนที่เซฟที่สุดสำหรับผู้ชายวัยอย่างผมแล้วล่ะผมว่า
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ไอ้พี่ตุลย์ก็เดินหอบหนังสือสองสามเล่มมาหาผมที่ปักหลังนั่งอ่านหนังสือฟรีแล้วเรียบร้อย
“จะซื้อไหม?”
“ไม่อะ แค่นั่งอ่านรอเฉยๆ”
“งั้นปะ จ่ายตังแล้วจะได้กลับบ้าน” พี่ตุลย์เดินนำหน้าผมไปก่อน ผมก็เก็บหนังสือเข้าชั้นแล้วเดินตามออกไป ผมรอนอกร้านไม่นานเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็เดินออกมาพร้อมกับถุงหนังสือในมือ อันที่จริงผมบอกแล้วมันรู้สึกตลกในใจพิลึกนะ เขาเป็นคุณพ่อแล้วมีลูกคนโตนี่จะ 10 ขวบแล้วไง แต่เพิ่งซื้อหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกอะ ฮาปะ ผมว่ามัน เออ พิลึกดี
“คำพูดผมคงฝังใจเยอะเลยใช่เปล่า”
“ก็ประมาณนั้น”
“ปกติผู้ใหญ่มันจะต้องมศักดิ์ศรีไม่ใช่ไง แบบไม่เชื่อคำพูดของเด็กไรงี้”
“ก็ประมาณนั้น แต่นี่มันเรื่องของลูกฉันไง ฉันย่อมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว แม้มันจะต้องลงศักดิศรีลงไปบ้าง”
ผมหัวเราะ “คุณพ่อยอดเยี่ยมมม” ผมลากเสียงยาวเหน็บแหนมเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับเพียงหัวเราะ ‘หึๆ’ เป็นการตอบกลับมา “ว่าแต่ผมเพิ่งนึกได้ พี่ถามเรื่องแม่ของผมไปแล้ว ผมขอถามเรื่องแม่ของที่หนึ่งกับตอนต้นบ้างสิ”
“ถามอะไร?”
“คือ...เอ่อ...พี่กับแม่ของเด็กสองคนนั้นอะหย่าร้างกันใช่ปะ” ผมเลือกใช้คำที่เลี่ยง ‘ตาย’ มากที่สุด คนเราจะไม่มีแม่ได้ก็แค่สองกรณีเท่านั้นแหละครับ ไม่ตาย ก็หย่าร้างกับสามี แต่ถ้าส่วนใหญ่ถ้าหย่าร้างมันก็ยังเจอกันได้ไงครับ แต่ดูจากอาการที่หนึ่งแล้วเหมือนกับไม่ได้เจอกันอีกแล้ว...
“ก็ประมาณนั้น”
ผมถอนหายใจฮู่ว “ที่จริงแล้ว พี่น่าจะลองคุยกับแม่ที่หนึ่งกับตอนต้นให้มาหา พาไปเที่ยวบ้างไรงี้นะ ไอ้เด็กสองคนนั้นมันจะไม่ได้ไม่รู้สึกแบบขาดแม่อะไรแบบนั้น”
“ถ้าทำได้ฉันก็ทำไปแล้วสิ”
“ทำไมอะ? พี่กับเขาจบไม่สวยหรอ?”
“มันก็...รถตู้มาแล้วไปกันเหอะ” ไอ้พี่ตุลย์รีบวิ่งจากหน้าห้างไปยังป้ายรถเมล์ที่มีรถตู้เข้ามาเทียบจอด โดยมีผมวิ่งถือของพะรุงพะรังตามอยู่ข้างหลัง ทันทีที่ก้าวขึ้นรถตู้หาที่นั่งได้ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา พิงหลังไปกับเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งขึ้นรถ
ต้องเข้าใจนะครับว่า ระหว่างหน้าห้างฯ กับป้ายรถเมล์มีเพียงถนนสองเลนขวางไว้ก็จริง แต่ก็ยังมีบันไดที่ทอดจากหน้าห้างไปตรงถนนอีก มีทางเดินเท้าอีก ขยายที่เอาไว้ปลูกต้นไม่อีก ดอกไม้ด้วย! สรุปมาถึงป้ายรถเมล์ได้คือเหนื่อย
“นี่พี่ตุลย์ เรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อกี้...” ขณะที่ผมหันมาเพื่อจะคุยหัวข้อที่ค้างไว้ต่อ คนที่นั่งอยู่ข้างผมก็หยิบหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกออกมากางต่อหน้าต่อตาผม เป็นการบอกนัยๆ ว่า ‘กูจะอ่านหนังสือกรุณาหุบปาก’ ผมก็เลยต้องรูดซิปปากแล้วนั่งกรอกตาเซ็งๆ แทน
อะไรวะ ทีเขาถาม ผมยังตอบเลย ทีผมถามบ้างแม่งทำเลี่ยง!
ผมมองวิวผ่านม่านหน้าต่างที่แง้มได้นิดเดียวเป็นการฆ่าเวลา ส่วนใหญ่คนที่ขึ้นรถตู้แล้วต้องมานั่งแช่นานๆ เขาก็ฟังเพลง อ่านหนังสือ แชทกันไปครับ แต่มืถือรุ่นราคา 1990 บาทอย่างผมจะทำไรได้
“ฮ้าว...” ผมหาวออกมาเสียงเบาๆ อาจเพราะเมื่อคืนผมนอนดึกแล้วยังถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้ามาใช้แรงงาน ความง่วงก็เลยเข้ามาครอบงำผมได้ในที่สุด
…
ตึง!
หัวที่โขลกเข้ากับรถทำให้ผมรู้สึกตัวจากการเผลอหลับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ลืมตา ความง่วงที่เข้ามาเพียงทำให้ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะหามุมนอนใหม่
ตึง…
หัวของผมกระแทกอีกครั้ง
“มานอนนี่” ผมได้ยินเสียงคนข้างกายพูดเบาๆ ก่อนที่เขาจะเอามือใหญ่ของตนมาจับหัวผมให้นอนอิงไหล่แกร่ง ผมพยายามที่จะอยู่นิ่งให้มากที่สุด ให้เขาเข้าใจว่าผมหลับไปแล้วจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เพราะผมหล่อและใจดีมากหรอกนะ เลยจะยอมนอนอิงไหล่ให้สักวัน : )
TBCฮูเร่~ ตั้งใจว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ว่ามันยังไม่จบตอนดี ก็เลยมาแต่งต่อตอนเช้า
มีคนถามว่าจะ
มีภาคต่อ ของที่หนึ่งไหม?
อยากบอกว่า...
ไม่มี ฮอลลลลลลลลลลล TT
แต่มีของ ตอนต้น... 55555555 มันมีเหตุผลอยู่นะว่าทำไม! แต่เหตุผลอยู่ในเรื่องของตอนต้นนะ
ถ้ายังอติดตามเด็กอ้วนคนนั้นอยู่
#daddybelover