ตอนที่ 3“มึงไปทำยังไงให้แผลเปิดเนี่ย หรือทำกิจกรรมเข้าจังหวะมากไปวะ” ไอ้ยิวเป็นคนมารับผมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลแล้วมาส่งที่อพาร์ทเม้น ส่วนรถของผมก็ให้แฟนมันเป็นคนขับกลับ
“เออ คงงั้น”
“เพลาๆ บ้างก็ได้นะมึง ติดโรคขึ้นมาอย่าหาว่ากูไม่เตือน”
“กูก็ไม่ได้นอนกับใครไม่เลือกนะ” ผมไม่ได้เป็นประเภทวันไนท์สแตนด์นะครับ แต่ยอมรับจริงๆ ว่าบางทีก็ไม่ได้ป้องกัน ถึงอย่างนั้นเดือนๆ หนึ่งผมก็นอนกับผู้หญิงแค่สองคน ส่วนผู้ชายก็...คนเดียว
“แล้วทำไมถ่อไปไกลถึงนวนคร”
“เอาแบบงานไปส่งเจ้านาย”
“ใช่ผู้ชายที่นั่งทำงานในห้องที่มึงนอนตัวงออยู่นั่นป่ะ”
“อืม”
“แม่งโคตรใจยักษ์ใจมาร มันไม่คิดจะส่งมึงไปโรงพยาบาลเลยไงวะ” ไอ้ยิวบ่นด้วยสีหน้าเคียดแค้น
“เขาต้องทำงาน อย่าไปว่าเขาดิ” ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ว่าเขาจะดูดำดูดีผมแค่ไหน แค่ผมได้มองเขาต่อไปก็พอแล้ว
“ไอ้พวกไม่มีธรรมะในจิตใจ ไม่รู้จักช่วยเหลือคนอื่น มึงลาออกเลยนะ ไม่ต้องทำกับแม่งแล้ว” ไอ้ยิวยังคงบ่นต่อไป มันกร่นด่าสาปแช่งไปอีกหลายนาที แต่ก็ต้องชะงักเมื่อผมบอกไปว่า
“ไม่ได้ กูกำลังตามเคลมอยู่”
“ห้ะ!”
“กูพูดจริงๆ นะ แม่งรวยว่ะ ถ้าได้คบนี่กูคงไม่ต้องทำงานละ”
“เอาจริงๆ ไม่เล่น”
“ไม่ได้เล่น นี่จริง ลูกชายเจ้าของบริษัทเลยนะมึง ใช่เล่นที่ไหน ใจร้ายไปบ้าง แต่ความรวยมันลบล้างได้”
“นี่มึงอยากได้เขาเพราะเงินเหรอ ยัยพี่กิ๊ฟอะไรนั่นให้ไม่พอรึไง”
“อย่าพูดเหมือนกูเป็นแมงดาดิ”
“หรือมึงไม่ใช่”
“ไม่เถียงก็ได้ หึหึ”
ผมไม่ได้อายหากใครจะว่าผมเกาะผู้หญิงหรือปอกลอกพวกเธอ เพราะมันก็เป็นธุรกิจอย่างที่บอกว่ายื่นหมูยื่นแมว ก็ไม่เชิงว่าผมขายนะครับ เพราะผมไม่ได้ทำตามใจใคร ผมรับเงินเวลาที่พวกเธอให้แค่ตอนที่ผมเต็มใจเท่านั้น
“กูพูดตรงๆ ไอ้เพี้ยน นี่ถ้ากูไม่คบมึงมาตั้งแต่อนุบาล กูคงเลิกคบกับคนไม่ดีอย่างมึงไปแล้ว”
“งั้นไหนๆ มึงก็ไม่เลิกคบกับกู ก็อยู่ด้วยกันไปจนตายนะ” ผมหัวเราะ โดยไอ้ยิวก็มองค้อน
“ไม่มีจะสำนึก กูกำลังบอกให้มึงทำตัวดีๆ อยู่ เข้าใจไหม”
“กูเลวมากเหรอ ไม่ได้ไปฆ่าใครที่ไหนตายซะหน่อย”
“อย่างน้อยก็เลิกนอนกับแฟนชาวบ้านเขาได้แล้ว”
“มึงเตือนกู แต่มึงเลิกนอนกับกูได้เหรอ มึงก็มีแฟนแล้วนี่ งั้นเลิกดีไหม” ผมอมยิ้มถามมัน ไอ้คนที่นอนไร้เสื้อผ้าอยู่ข้างๆ ถึงกับนิ่งงันไป
ไอ้ยิวเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของผม และหลายปีมานี้ก็เป็นคู่นอนของผม มันเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมนอนด้วย แค่ช่วงนี้มันมีแฟน ก็เลยห่างๆ กันบ้าง นานๆ ครั้งถึงจะทำกันสักที
“หึหึ เงียบ...กำลังรู้สึกผิดกับแฟนมึงเหรอ”
“หุบปากเถอะ นอนได้แล้ว”
“คืนนี้จะนอนที่นี่ไง?”
“อืม กูบอกพี่เขาแล้ว”
“งั้นขึ้นให้กูอีกสักทีสิ”
“มึงนี่มัน...”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่ไอ้ยิวก็ยังตามใจผมทุกครั้ง มันขึ้นคร่อมผม ใช้ลิ้นเล็กๆ ของมันโลมเลียตั้งแต่ริมฝีปากของผมไปจรดกลางลำตัว มันใช้ลิ้นให้ผม ครอบครองทุกส่วนด้วยริมฝีปากของมันจนพอใจ ก่อนจะผละออกแล้วยอมรับของผมเข้าไปในตัวมัน
“อ๊า!” ผมแกล้งกระแทกสวนกลับไปเบาๆ แต่ก็ไม่ให้กระเทือนแผลมากนัก
“เพี้ยน...มึง อยู่เฉยๆ”
ไอ้ยิวทำหน้าเหยเกมองผม แต่ผมไม่ได้อยากทำตามคำสั่งมัน ผมค่อยๆ ยกตัวขึ้น โอบเอวของมันไว้ แล้วลากลิ้นเลียไปตามยอดอกของมัน เน้นแรงดูดย้ำลงไปจนไอ้ยิวแอ่นแผ่นอกขึ้นตามแรงดูดของผม ในขณะที่ช่องทางด้านหลังของมันก็ตอดรัดไม่หยุด
นี่...พี่พ่าย...ถ้าใจอ่อนเมื่อไหร่ ผมจะทำรักให้พี่ยิ่งกว่าทำให้คนอื่นซะอีก เพราะฉะนั้น...รีบๆ ใจอ่อนนะครับ ผมแทบจะอดใจ...ทำความรู้จักกับร่างกายพี่ไม่ไหวแล้ว
“ผมกลับมาแล้วครับ ผมหายดีแล้วน้า ตอนนี้ต่อให้พี่ถีบ ผมก็จะไม่เจ็บแล้ว”
แม้จะไม่ได้รับการต้อนรับจากท่านรองประธานกรรมการนามว่าไร้พ่าย แต่ผมก็ยังยิ้มและเกาะขอบโต๊ะทำงานมองหน้าเขา
“มึงยังไม่ตายอีกไง”
“ยังครับ ผมอึดจะตายไป”
“ยิ่งกว่าแมลงสาบ”
“ผมชอบนะแมลงสาบ น่ารักดี พี่พ่ายก็ชอบเหรอครับ”
“เป็นสัตว์ที่กูขยะแขยงรองจากมึง” เขาปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ชอบก็ไม่บอกชอบ
“แหม ดีใจจัง ให้ผมเป็นอันดับหนึ่งด้วย ว่าแต่ไม่เจอกันสามสี่วันเลย คิดถึงผมไหมครับ”
เขาทำหน้าบึ้งมองผม คิ้วขมวดกันยุ่ง
“แล้วนี่มึงโผล่หัวมาทำไม สำนักงานใหญ่ใช้อะไรมาอีก”
“วันนี้มาตามเสียงหัวใจเรียกร้อง ไม่มีใครใช้มาหรอกครับ มาเอง”
เขาขว้างปากกามาอีกแล้ว ทำไมปากกาที่โต๊ะทำงานเขามีเยอะจัง หรือเตรียมไว้เพื่อขว้างใส่ผมโดยเฉพาะกันนะ
“จะเอาเปรียบบริษัทไปถึงไหน เวลาทำงานไม่ทำงาน กูจะไม่เตือนมึงเป็นครั้งที่สองนะ แต่ถ้าโดนไล่ออกอย่ามาโวยวาย”
“อย่านะครับพี่ วันนี้ผมมาส่งแบบงานแถวนี้ ก็เลยแวะมาหาเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็กลับไปทำงานแล้ว”
“ไปตอนนี้เลยดิวะ ไป!”
“ทำไมต้องไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย ก็แค่อยากมาหา อยากเห็นหน้า”
เขาเงียบไปเพียงครู่ ก็หยิบเอาแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดอ่านต่อ
“พี่พ่าย กินข้าวรึยังครับ”
“...”
“อยากกินด้วยกันจัง ผมก็ยังไม่ได้กินนะ ไปกินด้วยกันเถอะครับ”
“ไม่”
ชวนกินข้าวล้มเหลวเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่มันต้องมีสักครั้งแหละที่เขายอมไป
“น้า...พี่พ่าย ไปนะครับ”
“กูบอกว่าไม่ไง!”
ผมสะดุ้งเพราะเสียงตวาดของเขา แต่พอได้สบตามองดวงตาคู่สวยของเขาก็ต้องยิ้มออกมา
“ไม่ก็ไม่ครับ ว่าแต่มีอะไรให้ช่วยไหม นอกจากช่วยไปไกลๆ อ่ะ”
“มี”
“อะไรล่ะครับ ผมเต็มใจนะ จะทำให้ทุกอย่างเลย”
“ช่วยไปตาย...ที่ไหนก็ไป ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก”
ผมหน้าชาไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มให้เขาอยู่เพราะเขากำลังมองมา ท่าทางเย็นชานั้นก็ไม่ได้บอกเลยว่าเขาพูดเล่น
“เกลียดผมมากเหรอครับ”
“กูพูดขนาดนี้แล้วยังจะถามอีกเหรอวะ มึงเป็นควายรึไงเพี้ยน”
“ผมไม่เข้าใจหรอก แล้วพรุ่งนี้ก็จะมาหาพี่อีก ให้ผมมานะครับ”
เขาไม่ได้เกลียดผมจริงๆ หรอก เขาล้อเล่นต่างหาก เขาเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ที่จริงน่ะอยากให้ผมมาหาจะตายไป ผมรู้
“กูไม่รู้จะทำยังไงกับมึงดีแล้ว มึงต้องการอะไร บอกมาตรงๆ เงินใช่ไหม หรืออะไรก็พูดมา”
ผมไม่ได้ต้องการเงินเหมือนที่บอกไอ้ยิว ผมก็แค่...อยากมองเขาให้นานๆ ก็เท่านั้น
“ผมอยากเจอพี่ อยากคุยด้วย อยากอยู่ใกล้ๆ แค่นี้จริงๆ ครับ”
“มึงชอบกูรึไง”
ชอบเหรอ... อืม... ก็...
“ถ้าทุกอย่างที่ผมทำ...มันทำให้พี่คิดว่าผมชอบ...ผมก็ยอมรับว่าผมชอบพี่ แล้วมันเปลี่ยนความรู้สึกที่พี่มีต่อผมได้ไหมครับ”
เขามองหน้าผมพลางแสยะยิ้ม “ได้...เพราะจากที่กูขยะแขยงมึงอยู่แล้ว กูก็ยิ่งขยะแขยงมึงมากกว่าเดิม”
“อ่า...อย่างน้อย...ตัวตนของผมก็ทำให้พี่รู้สึกได้ แม้จะเป็นแค่ความขยะแขยงก็ตาม ขอบคุณนะครับพี่”
ผมยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือเขาที่ไม่ทันตั้งตัวขึ้นมา ก่อนจะพรมจูบไปเบาๆ
“ไอ้เหี้ย!” เขาชักมือกลับ ตะโกนด่าผมเสียงดังลั่นพร้อมกับปล่อยหมัดมาที่หน้าของผมเต็มๆ
ผลัวะ!
อ่า...เจ็บจัง เลือดกำเดาไหลทะลักออกมา แต่ผมก็ทำได้แค่เช็ดมัน
“แล้วผมจะมาอีกนะครับพี่...อย่าลืมทานข้าวด้วยนะครับ”
แค่ในหนึ่งวัน...ผมได้มีโอกาสมองเขา...ก็พอแล้ว
“ทำไมมีแต่แผลทุกวันเลยวะ มึงเอาตัวไปรองมือรองตีนใครมาเนี่ย!” ไอ้ยิวกำลังบ่น มันทำแผลให้ผมทุกครั้ง ก็บ่นทุกครั้ง
“อุบัติเหตุเล็กน้อย มึงอย่ามาทำเรื่องใหญ่”
“เล็กน้อยบ้านมึงดิ ดูสภาพตัวเองรึยังก่อนจะพูดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไปแจ้งความเหอะว่ะ อย่างนี้มันไม่ดีแล้วนะเว้ย”
ผมปัดมือที่กำลังทำแผลให้ออก ก่อนจะเดินมาหาอะไรกินในครัว
เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ได้รู้จักกับพี่พ่าย เขาเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่ก็เป็นเจ้านายที่ทำงานเก่งมาก แม้เขาจะด่าว่าผมทุกครั้งที่เสนอหน้าไปหา แถมยังสั่งให้ผมหุบปากทุกครั้งที่ผมเริ่มพูด แต่ตอนที่เข้าประชุม เขาก็ยอมรับฟังความคิดเห็นของผม เวลางานกับเวลาส่วนตัวเขาต่างกันลิบลับ คงเพราะเวลางานผมเป็นลูกน้อง แต่นอกเวลาผมเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับเขาก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้น...แค่ได้มองเขาผมก็สุขใจ ต่อให้จะต้องเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
“แล้วนี่มึงจะไปทำงานที่เชียงรายเมื่อไหร่”
“เดือนหน้า”
“จะไปจริงๆ เหรอวะ อยู่ที่สำนักงานใหญ่ก็ดีแล้วแท้ๆ จะไปลำบากออกไซต์งานทำไม”
“ไม่อยากให้ไปไง”
“อืม มึงมันดูแลตัวเองไม่เป็น ไปอยู่ที่โน่นจะทำยังไงวะ”
ผมตักข้าวต้มฝีมือไอ้ยิวมานั่งกินที่หน้าทีวี ไม่ได้สนใจไอ้คนที่กำลังเก็บกวาดห้องให้แต่ปากบ่นไม่หยุดอีก
“นี่ไอ้เพี้ยน มึงฟังอยู่ไหม”
“เออ ฟังอยู่”
“ยังไงก็จะไปใช่ไหม”
“เออ”
“เฮ้อ” ได้ยินเสียงถอนหายใจของไอ้ยิว ผมจึงเหลือบไปมองหน้ามัน เห็นความไม่สบายใจปรากฎอยู่ชัด มันเก็บเครื่องดูดฝุ่นแล้วเดินมานั่งข้างๆ ผม ศีรษะได้รูปของมันก็เอียงมาซบลงที่ไหล่
“มึงชอบไอ้หมอนั่นมากเหรอวะ ถึงขั้นจะตามมันไปน่ะ”
“กูเคยบอกเหรอว่าชอบมัน”
“แล้วทำไม...”
ผมก้มลงไปจูบปากไอ้ยิวเป็นการปิดบทสนทนา ...การกระทำของผม ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับมากก็ได้ ถ้าผมอยากทำ ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นให้วุ่นวาย
“เพี้ยน...อือออ อืมมมม พอ...มึง วันนี้กูต้องกลับ อ้ะ!”
“นอนกับกู...กูขี้เกียจออกไปหาข้างนอกแล้ว”
“อ้ะ...อ้ะ เพี้ยน กูไม่ใช่ที่ระบาย...อาาา กูไม่ใช่ที่ระบายของมึงนะ”
ผมยิ้มพลางก้มลงดูดยอดอกของไอ้ยิว ปากมันปฏิเสธ แต่แทนที่มันจะผลักผมออก แต่สองแขนของมันกลับโอบตัวผมไว้
“มึงเป็น...เป็นมาหลายปีแล้วยิว”
“มึงมันใจร้าย...”
“ถ้ากูใจร้ายทำไมไม่ทิ้งกูไป”
ผมไม่เคยได้รับคำตอบของคำถามนี้จากมันเลยสักครั้ง เพราะหลังจากที่ถาม ไอ้ยิวก็จะเบือนสายตาหลบ และสองแขนของมันก็จะกอดรัดผมแน่นขึ้นไปอีก... แต่ครั้งนี้ไม่ใช่...มันสบตากับผม แววตามีแต่ความวิตกกังวล แต่สุดท้ายก็ยอมให้คำตอบกับผม
“กูรักมึง”
อา...ความรัก เป็นความรู้สึกที่ตลกจริงๆ ทำให้คนโง่งมงายอยู่กับมันก็ได้...หรือทำได้แม้กระทั่ง ฆ่าให้ตาย ผมถึงได้เกลียด...เวลาที่ใครบอกว่ามีความรักที่มั่นคง ซื่อสัตย์ต่อคนๆ เดียว แต่สุดท้าย...ก็ทรยศหักหลังกัน ผม...เป็นศัตรูกับความรักมาตั้งนานแล้ว...เป็นมาตั้งแต่มันได้ฆ่าผู้หญิงที่ผมรักและลูกของผมไป...
“เพี้ยน ...กูเจ็บ มึงทำแรงไปแล้ว เพี้ยน...อาาา เพี้ยน ปล่อยกูก่อน กูเจ็บ อ๊า!”
ผมกัดไอ้ยิวในทุกที่ที่ริมฝีปากของผมสัมผัสกับผิวมัน กระแทกเข้าใส่ตัวมันแรงทุกครั้งที่มันส่งเสียงครวญครางออกมา
“ถ้ารักกู...ก็ทนหน่อย เจ็บแค่นี้...มึงไม่ตายหรอก”
ผมไม่ได้ใจร้าย...ความรักต่างหากที่ใจร้าย...
“ไอ้หมาบ้า กูจะกลับได้ยังไง มีแต่รอยฟันรอยมือของมึง” ไอ้ยิวกำลังบ่นแต่เช้า มันนอนซุกร่างกายเปลือยเปล่าไว้ใต้ผ้าห่ม ในขณะที่ผมกำลังแต่งตัวไปทำงาน
“งั้นก็นอนรอกูอยู่ที่ห้อง”
“แต่พี่ทัศน์กำลังเป็นห่วงกู กูต้องกลับไปหาเขา...”
“ชื่อแฟนมึงเหรอ” เจอแฟนมันก็หลายครั้ง แต่เอาจริงๆ ผมเพิ่งจะรู้ชื่อเสียงเรียงนาม
“เพี้ยน...ถ้ามึงคบกับกู...กูจะเลิกกับ...”
“หืม...ไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูแล้วไง”
“...”
“คบกับแฟนมึงต่อไปก็ดีแล้วยิว กูไปทำงานนะ”
ผมไม่ชอบความสัมพันธ์ที่ต้องผูกมัดกับใครสักคนไว้ เพราะผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง หากจะต้องติดอยู่กับใครสักคนไปนานๆ
เป็นเวลาเกือบแปดโมงที่ผมขับรถมาถึงบริษัท เช้านี้ก็น่าเบื่อเหมือนเดิม สาวๆ หลายคนเดินเข้ามาทักทายผม แต่กับผู้ชายไม่ได้มีใครอยากคบค้าสมาคมกับผมเลยสักคน คงเพราะอิจฉาในสิ่งที่ผมมี หรือไม่พอใจกับสิ่งที่ผมได้มาง่ายๆ ก็ไม่อาจบอกเหตุผลที่แน่ชัดได้ แต่โดยรวมแล้วก็ทักทายกันตามมารยาท พูดคุยเรื่องงานไม่ให้กระทบการทำงานขององค์กรก็เท่านั้น
วันนี้แผนกผมต้องเข้าประชุมกับทีมนายช่าง ผู้หญิงในแผนกที่มีอยู่แค่สองคนต่างก็ตื่นเต้นกันใหญ่ เพราะนายช่างของบริษัทผมนี่เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทุกแผนกอยู่แล้ว จะว่าไปพวกวิศวกรมันก็เนื้อหอมตั้งแต่ที่อยู่มหาวิทยาลัยแล้วครับ ผมนี่โดนพวกมันแย่งผู้หญิงที่นอนด้วยบ่อยๆ
“เพี้ยน กินอะไรมารึยัง เดี๋ยวจะเข้าประชุมแล้วนะ” พี่กิ๊ฟเดินมาหาที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มใจดีของเธอทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ยังเลยครับพี่ พอดีวันนี้ผมตื่นสาย”
“งั้นเดี๋ยวลงไปที่โรงอาหารกับพี่นะ กินแซนวิชท์อะไรสักหน่อยคงดี”
“ครับ”
“พี่กิ๊ฟ งั้นให้ผมไปด้วยสิครับ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน” เอ...ไอ้หมอนี่มันชื่ออะไรนะ มันเข้าทำงานพร้อมผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจจะรู้จักกับมัน อีกอย่างมันก็ไม่ชอบขี้หน้าผมด้วย ก็เลยเลี่ยงกันตลอด
“ได้จ้ะน้องแกว งั้น มีใครจะเอาอะไรบ้าง พี่เลี้ยงเอง” อ้อ...ชื่อแกว ชื่อเหี้ยอะไรของมัน ชื่อผมยังหรูกว่าเป็นไหนๆ
ด้วยเหตุนั้นทั้งแผนกจึงพร้อมใจกันลงไปที่โรงอาหาร ไอ้แกวนี่ตามติดพี่กิ๊ฟแจ ผมดูออกว่ามันกำลังคิดจะจีบเธอ แถมยังมาทำหมาหวงก้างกับผมด้วย ...ไอ้คนที่มันไม่รู้เรื่องอะไรนี่ก็น่าหัวเราะจริงๆ ทำตัวน่าขำจนผมจะกลั้นหัวเราะไว้แทบไม่อยู่
“เพี้ยนจบจากที่ไหนมาเหรอครับ ผมจบที่...” ไอ้แกวกำลังอวดชื่อมหาวิทยาลัยของมัน อวดมาพร้อมเกรดเฉลี่ยระดับเกียรตินิยม พี่ๆ คนอื่นๆ ก็ชื่นชมมันกันใหญ่ว่าจบมอดัง เป็นเด็กระดับหัวกะทิ แต่เรื่องแค่นี้เหรอที่มันอยากอวด... ยิ่งมันรู้ว่าผมจบมาด้วยเกรดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเกทับ
“ตอนเรียนเพี้ยนมันไม่ค่อยสนใจเรียน แต่ความจริงก็เป็นเด็กที่เรียนดีมากเลยนะ พี่รู้จักเพี้ยนมาตั้งแต่ปีสองแล้วล่ะ”
แน่นอน...เพราะเธอส่งเสียผมจนเรียนจบ อายุของเธอพอๆ กับพี่พ่าย เป็นพี่สาวที่แก่กว่าผมอยู่เกือบเจ็ดปี แต่เวลาอยู่บนเตียงก็เหมือนเด็กสาวขี้อ้อนดีๆ นี่เอง ก็เป็น...ผู้มีพระคุณคนหนึ่งล่ะครับ เพราะผมไม่ใช้เงินที่แม่ส่งให้มานานแล้ว พี่กิ๊ฟจึงเป็นเหมือน...ตู้ ATM ล่ะมั้ง
“อ้าว! คุณไร้พ่าย พาลูกทีมมากินข้าวเหมือนกันเหรอคะ” จู่ๆ พี่กิ๊ฟ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วทำท่านอบน้อม พวกผมก็เลยต้องลุกขึ้นยกมือไหว้กันด้วย
พี่พ่ายมากับลูกน้องของเขาอีกกลุ่มใหญ่ เป็นเป้าสายตาของคนอื่นได้ดีทีเดียวเพราะเป็นกลุ่มผู้ชายล้วน แถมแต่ละคนก็ยังดูภูมิฐาน น่าจับตามอง
“อืม คุณกิ๊ฟก็เหมือนกันเหรอ” น้ำเสียงที่ฟังดูถือตัวของเขาทำให้ผมต้องลอบยิ้มออกมา อ่า...นี่สินะไร้พ่าย เป็นผู้ชายที่อยากทำให้แพ้จริงๆ
“ใช่ค่ะ คิดว่าวันนี้ประชุมกันทั้งวัน คงมีแต่เรื่องเครียดๆ ก็เลยพาเจ้าพวกนี้มาเติมพลังก่อนน่ะค่ะ”
“อืม”
“มานั่งด้วยกันสิคะ โต๊ะอื่นคงมีคนจองหมดแล้ว”
เห็นเขาทำท่าจะปฏิเสธเพราะสายตาที่มองผมราวกับไม่อยากจะร่วมโต๊ะด้วยเท่าไหร่ แต่ลูกน้องของเขาก็คะยั้นคะยอ คงเพราะเห็นสองสาวสถาปนิกหน้าสวยๆ ทั้งสองคนก็เป็นได้
“ป๋าครับ นั่งที่นี่เถอะ จะได้คุยงานกันไปคร่าวๆ เลยไงครับ” หืม...ป๋า... ทำไมถึงเรียกพี่พ่ายว่าอย่างนี้กันนะ
เพียงเท่านั้น...ท่านรองประธานกรรมการก็มานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผม เขาคงเป็นคนเดียวในหมู่ CEO ที่มานั่งกินข้าวกับพนักงานระดับล่างอย่างนี้
ผมมีโอกาสได้นั่งข้างๆ เขา เพราะพี่กิ๊ฟที่นั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามส่งสายตามาเป็นเชิงบอกให้ผมสละเก้าอี้ให้เขานั่ง ผมเต็มใจยกให้แล้วก็ย้ายตัวเองมานั่งเก้าอี้ตัวถัดไปแทน
“ชอบกินแซนวิชท์ทูน่าเหรอครับ” ผมตั้งคำถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขา
“ผมก็ชอบกินนะ...ถ้าพี่ชอบกิน วันหลังผมซื้อไปให้ที่ไซต์งานนะครับ”
“ไม่จำเป็น”
“ดีจัง...พี่คุยกับผมแล้ว”
“เพี้ยน ...สนิทกับคุณไร้พ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะเรา” พี่กิ๊ฟถามพลางมองมาอย่างสงสัย สายตาของคนอื่นๆ ในโต๊ะก็เช่นกัน
ผมยิ้มเป็นคำตอบให้พวกเขา ในขณะที่พี่พ่ายก็ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามหรือสายตาสงสัยจากใคร เขากินเสร็จก็ลุกออกไป พร้อมกำชับลูกน้องว่าให้ขึ้นประชุมในเวลาที่กำหนด ส่วนผมก็ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ แต่ที่จริงกำลังเดินตามเขาต่างหาก
“พี่พ่าย รอผมก่อนสิครับ” ผมวิ่งตามไปจนทัน แล้วจับข้อมือเขาไว้ เขาหยุดเดินพลางเหลือบมองมาที่มือของผม ตาคมดุนั้นมีแต่ความไม่พอใจ
“โกรธเหรอที่เมื่อวานผมไม่ได้ไปหา”
“...”
“คิดถึงผมใช่ม้า...”
เขายกมือขึ้นปิดปากผมไว้ ก่อนจะลากเข้ามาในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดของแม่บ้านที่อยู่ห่างจากลิฟท์ไม่มากนัก
“มึงอย่ามาคิดแทนคนอื่นให้มากนักไอ้เพี้ยน”
ใบหน้าบึ้งตึงของเขา...ไม่ว่าจะมองกี่ทีก็ทำให้อยากหัวเราะ พี่พ่ายปิดปากผม แล้วดันตัวผมจนชิดกับผนัง แรงกดของเขาทำให้ผมเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แล้วเขาก็ต้องปล่อยเมื่อผมใช้ลิ้นเลียตรงฝ่ามือของเขา
“ทำบ้าอะไรของมึง” เขากัดฟันถาม เช็ดมือที่เปื้อนน้ำลายกับเสื้อของผม
“วันนี้ไม่ตบผมเหรอครับ...”
“กูเบื่อจะใช้กำลังกับคนอย่างมึง ทำไปแม่งก็ไม่สะเทือน”
ผมหัวเราะเบาๆ กับคำตอบของเขา ก่อนจะใช้มือจับชายเสื้อสูทราคาแพงของเขาไว้
“ไม่สะเทือนที่ไหนกันล่ะครับ ผมเจ็บนะ...แผลพวกนี้ยังไม่หายดีเลย”
“อย่ามาจับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“มึงมันสกปรก”
“อ่า...โดนด่าอีกแล้ว”
ผมยืนพิงหลังกับผนังแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา พี่พ่ายสูงกว่าผมไม่มาก ขนาดตัวก็หนากว่าไม่มาก ถ้าผมต่อยกับเขาจริงๆ ก็คงสูสี แต่ผมจะไม่ทำร้ายพี่พ่ายหรอก...แม้เขาจะชอบทำรุนแรงกับผมก็ตามที
“ในเวลาทำงาน อย่ามาคุยกับผม”
ใบหน้าเคร่งขรึมและความจริงจังนั้น ทำให้ผมเผลอจ้องมองโดยไม่กระพริบตา ความสุภาพและความห่างเหินที่เขามีให้ ก็ทำเอาหัวใจเต้นรัวไม่น้อยเลยทีเดียว
“งั้นนอกเวลาทำงานผมคุยได้เหรอครับ”
“ผมไม่ได้อนุญาต แต่คุณก็ทำตามใจตัวเองมาตลอด”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าห้ามคุยในเวลาทำงานผมจะฟังล่ะครับ”
“ไอ้เพี้ยน!”
“พี่ก็รู้อยู่แล้วว่าความรุนแรงของพี่กับความหน้าด้านของผม...อะไรมันชนะ”
เขายกมือขึ้นบีบที่คอของผม เพิ่มแรงขึ้นทีละนิด แววตาจงเกลียดจงชังนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้เขา
“ดูมึงจะภูมิใจกับชัยชนะที่น่าสมเพชนี่จริงๆ นะ”
แรงบีบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นจนผมแทบหายใจไม่ออก เริ่มทุรนทุราย ผมรั้งมือเขาไว้ไม่ให้ลงแรงไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนแขนขาของผมจะอ่อนแรงไปหมด คิดว่าใกล้จะตายแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยมือ
“แค่กๆๆๆ” ผมหอบหายใจ และพยายามโกยอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด ในขณะที่เขาได้แค่ยืนมอง
“ทำตามที่กูสั่ง ไม่งั้น...มึงได้ตายจริงๆ แน่”
“พี่พ่าย...”
“ห้ามเรียกชื่อกู!”
“ต่อให้ผมต้องตาย...ผมก็ไม่กลัว จะฆ่าผมเมื่อไหร่ก็ได้...ถ้านั่นเป็นความต้องการของพี่ แต่ไม่ว่าผมจะอยู่หรือตาย...พี่ก็แน่ใจได้เลยว่า ผมจะไม่ยอมห่างจากพี่หรอก”
“มึง!”
“พี่พ่าย ชื่อนี้...ผมจะเรียกจนตายจากกันเลยทีเดียว”
เขาคงโกรธมากจริงๆ เพราะเขาตบหน้าผมไปหลายที แต่ผมก็ยังกอดเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยกู ไอ้เพี้ยน!”
“หน้าผมบวมอย่างนี้ คงเข้าประชุมไม่ได้แล้ว ทำไงดีล่ะครับพี่”
“เรื่องของมึงดิวะ! ปล่อยกู”
“ถ้าพี่พ่ายทำเสียงดังกว่านี้ เดี๋ยวใครเดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยินเอานะครับพี่”
เขายอมเงียบเสียงลง คงไม่อยากให้ใครรู้ว่าอยู่ในห้องแคบๆ มืดๆ อย่างนี้กับผม
อา...กลิ่นตัวพี่ หอมจริงๆ ไม่ว่าจะสูดดมตรงไหน ก็น่าหลงใหลไปหมด ผมอยากแนบชิดกับพี่อย่างนี้ไปนานๆ แม้ในที่ที่แสงไม่มากจะทำให้มองเห็นใบหน้าและดวงตาที่น่าหลงใหลของพี่ได้ไม่ชัด แต่ผมก็ดีใจที่มันทำให้ผมได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพี่ขนาดนี้...
ผมต้องการพี่...จริงๆ นะครับ
“พี่พ่าย...ให้ผมทำนะ”
เพียะ!
เขาปัดมือผมที่กำลังลูบไล้ที่เป้ากางเกงของเขา ตบหน้าผมที่กำลังใช้ลิ้นเลียผ่านเนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตชั้นดีเพื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายใน
“มึงมันโรคจิตจริงๆ”
ผมยิ้มรับ พลางเกี่ยวรัดตัวของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ถ้าพื้นที่ในห้องมันไม่คับแคบ ผมก็คิดว่าคงได้โดนพี่พ่ายถีบกระเด็นไปไกลแล้วกระทืบซ้ำแน่ๆ แต่เพราะความกว้างของห้องประกอบกับอุปกรณ์ที่ถูกเก็บไว้จนแทบไม่มีที่ว่างให้ทำอย่างนั้นได้ เขาจึงทำได้แค่ตบหน้าผมก็เท่านั้น
“พี่พ่าย...พี่พ่ายครับ” ผมใช้มือข้างหนึ่งรูดซิบกางเกงของตัวเองแล้วล้วงเข้าไปสัมผัสสิ่งที่ซ่อนไว้ใต้เนื้อผ้า เขาจ้องเขม็งมาที่ผมทันที
“ไอ้เหี้ย!”
“ไม่อยากเห็น...ก็ออกไปสิครับพี่ ออกไปตอนที่มีคนกำลังยืนพูดคุยกันอยู่ข้างนอก” เขาออกไปไม่ได้หรอก เพราะเสียงพูดคุยกันข้างนอกห้องมันทำให้รองประธานกรรมการอย่างเขาจะโผล่หน้าออกไปไม่ได้ “ออกไปเพื่อให้เขาสงสัยว่าพี่เข้ามาทำอะไรในห้องเก็บของนี่กับผม...”
“มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้เพี้ยน” เขากระซิบมาเสียงดุ มือจับข้อแขนผมไว้แน่น
“อาาา พี่พ่ายครับ อย่าทรมานผมสิครับพี่ ให้ผมได้ขยับนะ... ผมไม่ไหวแล้ว”
เพราะมือถูกเขาหยุดไว้ ทำให้ผมต้องสาวเอวเข้าออกเอง ผมทำจนเสร็จ หอบหายใจอยู่ข้างหูเขา พลางส่งลิ้นเลียวนไปรอบๆ ต้นคอของคนที่กำลังนิ่งเงียบ
“พี่พ่าย...พี่พ่าย แฮ่ก...แฮ่ก...สูทพี่เลอะหมดแล้ว”
น่าแปลกที่เขายังคงไม่ตอบโต้อะไร มองสบดวงตาที่ผมหลงใหลก็พบแต่ความว่างเปล่า ราวกับมองไม่เห็นผม...
“พี่...โกรธผมเหรอครับ”
เขาไม่ตอบคำถาม ไม่สะดุ้งสะเทือนในสิ่งที่ผมกำลังทำเลยสักนิด
“มองผมสิ! อย่าเมินผมนะ! พี่พ่าย!”
ตัวตนของผม...แม้แต่ความขยะแขยงในตัวผม...ก็ไม่หลงเหลือในแววตาคู่นั้น...
“เกลียดผม...ขยะแขยงผม หรืออะไรก็ได้ บอกผมให้ไปตายก็ได้ แต่พี่อย่าทำแบบนี้นะครับ ผมอยู่ตรงนี้นะ...ผมอยู่ตรงนี้”
ไม่มีแม้แต่คำด่าทอต่อว่า หรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาเห็นผมอยู่ตรงหน้าทั้งนั้น เขาถอดสูทออกแล้วโยนลงบนพื้น ก่อนจะหันหลัง เปิดประตูก้าวออกไป...
................................................................................TBC.......................................................................
สวัสดีค่าาาาา ทุกคนนนนน เป็นยังไงกันบ้างกับน้องเพี้ยน เห็นหลายๆ คนตกใจในตัวน้องกัน น้องน่ารักนะคะ และป๋าพ่ายไม่ใช่แค่นี้หรอกกกกกกก การให้ชื่อว่าไร้พ่าย และให้น้องเพี้ยนเรียกว่า พี่พ่าย มีความหมายในตัวมันอยู่แล้วค่ะ ไร้พ่ายไม่มีชื่อเล่น ไร้พ่ายก็คือไร้พ่าย ไม่มีใครกล้าเรียกพี่แกว่าพ่ายสักคน นอกจาก พ่อ เพื่อนสนิทที่จะเรียกเวลาอยากด่าหรืออยากประชด และน้องเพี้ยนที่บังอาจเรียกเท่านั้น อิอิ
ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นและกำลังใจนะคะ ประโยคนี้พิมพ์บ่อยๆ แต่ก็มาจากใจทุกครั้ง
พี่พ่ายของหม่อมฉันมีอะไรมากกว่าที่คิด และน้องเพี้ยนก็ไม่ได้มีแค่มุมแย่ๆ น้องก็น่ารักเป็นนะ เพราะฉะนั้น ฝากติดตามด้วยนะคะ

ปล. ขออภัยหากน้องเพี้ยนจะไม่ใส่ถุงไปบางครั้ง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะ