ตอนที่ 2“เพี้ยน ไอ้เพี้ยน! เป็นไงบ้าง!”
เสียงของไอ้ยิว...สร้างความรำคาญตั้งแต่ที่ผมลืมตาตื่นเลย มันกระวีกระวาดหาน้ำมาให้ดื่ม แถมยังรีบไปตามหมอให้มาดูอาการผม แผลที่หัวกับที่ท้องเจ็บจี๊ดเมื่อผมเริ่มขยับตัว ถูกหมอตรวจเช็คอะไรอีกนิดหน่อยก็ต้องมาตอบคำถามไอ้ยิวที่เอาแต่ถามว่าผมไปได้แผลพวกนี้มาได้ยังไง
“ได้มายังไงก็ช่างเถอะน่า แล้วนี่...คนที่พากูมาส่งโรงพยาบาลล่ะ”
“ไม่รู้อ่ะ กูมาถึงก็ไม่เจอใครแล้ว”
“แล้วใครโทรตามมึงมา”
“พยาบาลอ่ะ ในมือถือมึงมีเบอร์กูคนเดียวนี่”
“อืม”
ผู้ชายคนนั้น...ดูเป็นคนใจดำจริงๆ แต่ก็...ทำให้อยากรู้จักมากขึ้น
ผมชอบดวงตาดุๆ ที่มองมา มันทำให้รู้สึกอยากเชื่อฟัง...อยากอยู่ในโอวาท ความรู้สึกเหมือนกำลังได้มอง...คนที่จากผมไปเมื่อหลายปีก่อน เธอคนนั้นก็มีดวงตาแบบนี้ ดวงตาที่ไม่เคยมีความรักให้ผม ดวงตาที่ไม่เคยแยแสต่อความรู้สึกของผม แม้ผมจะทำอะไรให้ไปเท่าไหร่...ก็ถูกมองผ่านเลยไปเหมือนไม่มีตัวตน ดวงตาแบบนั้น...มันทำให้ผมรู้สึก...ตื่นเต้นขึ้นมา อยากครอบครอง อยากเอาชนะ... อยากชนะในสิ่งที่ผม...พ่ายแพ้มันมาตลอด
“ไอ้เพี้ยน มึงฟังกูอยู่รึเปล่า”
“อะไร”
“กูถามว่ามึงพร้อมจะให้การกับตำรวจเมื่อไหร่”
“ให้การอะไร กูไม่เห็นหน้าคนร้ายด้วยซ้ำ”
“เอ้า มึงถูกแทงที่ท้องนะเว้ย อย่างน้อยก็ต้องเห็นหน้ามันดิวะ”
“มันมืด”
“อย่างน้อยก็ต้องจำรูปร่างมันได้บ้างแหละ”
“จำไม่ได้ กูไม่ได้ความจำดีขนาดนั้น”
“มึงความจำเสื่อมเหรอ แค่ถูกขวดตีหัวเนี่ยนะ”
“โดนตีอย่างกูบ้างไหมล่ะ”
“คนดีๆ อย่างกูไม่มีใครมาดักทำร้ายหรอก นี่กูสงสัยนะว่าคงเป็นบรรดาผัวของผู้หญิงที่มึงไปยุ่งด้วยอ่ะ เขาต้องตามมาแก้แค้นแน่ๆ”
ผมปล่อยไอ้ยิวมันเดาเรื่องไปต่างๆ นาๆ ในขณะที่ในความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับสายตาของคนๆ นั้น หรือมันจะเป็นแค่ความรู้สึกของผมเอง ผมแค่คิดไปเองว่ามันเหมือนกัน...แค่คิดไปเองว่าดวงตาคู่นั้นเหมือนของพี่... แต่ทำไม...ทำไมถึงได้คิดถึงมากขนาดนี้...
พี่ครับ...ผมควรทำยังไงดี
ผมออกจากโรงพยาบาลในอีกสามวันถัดมา ไม่มีแม้แต่เงาของผู้ช่วยชีวิตจะมาเยี่ยม สอบถามคุณพยาบาลว่าได้เห็นคนที่พาผมมาส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่เห็น พอถามว่าคนที่ช่วยผมได้ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ไหม คุณพยาบาลก็พยักหน้า ผมจึงขอเบอร์มาและจัดการโทรหาเขา...แต่ที่ไหนได้...คนที่มาส่งผมที่โรงพยาบาล คือลุงแก่ๆ ที่ขับรถแท็กซี่อยู่บริเวณผับนั้น พอซักถามก็ได้ความว่ามีผู้ชายหล่อๆ คนหนึ่งอุ้มผมมาใส่รถแกที่กำลังจอดส่งผู้โดยสารอยู่หน้าผับ จ่ายเงินแล้วก็เดินหนีไป ไม่รอให้ลุงได้ถามอะไรสักคำ ได้รู้เรื่องอย่างนั้น...ผมนี่อึ้งไปเลย
ตำรวจแวะมาสอบปากคำอีกไม่กี่ครั้ง แต่เพราะผมไม่ติดใจเอาความอะไร คดีก็เหมือนจะถูกปิดไป ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ากระบวนการกฎหมายเขาต้องทำยังไงบ้าง แต่เจ้าทุกข์อย่างผมไม่เอาความก็น่าจะจบล่ะมั้ง
ผมกลับไปทำงานปกติ เรื่องที่ผมลาป่วยไม่ได้เป็นประเด็นมากนัก เพราะผมกับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันอยู่แล้ว แต่วันนี้หัวหน้าแผนกไม่อยู่ ผมทราบว่าเธอไปคุยแบบกับรองประธานกรรมการที่ห้องอาหารของโรงแรมในเครือ
อ่า...นี่สินะ...โอกาส...ผมจะได้มีข้ออ้างไปเจอเขาสักที เพราะเขาไม่ค่อยเข้าบริษัท จะรอเจอที่ทำงานก็คงอดใจไม่ไหว...
ผมโทรหาพี่กิ๊ฟ ฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ไม่กี่วินาทีเธอก็รับสายและถามไถ่เรื่องอาการป่วยของผม แถมยังตัดพ้อว่าทำไมไม่บอกเธอ แต่หลังจากที่ผมบอกว่าจะไปรับเธอกลับบ้าน เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
มาถึงที่ห้องอาหารของโรงแรมก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พี่กิ๊ฟเดินออกมาหาผม พร้อมกับบอกว่าคุยกับท่านรองเสร็จแล้ว
“แล้วท่านล่ะครับ...”
“กำลังตรวจเอกสารน่ะ”
“ปกติท่านอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“ก็ไม่หรอก แค่ช่วงนี้เข้ามาตรวจความเรียบร้อยเฉยๆ อีกสามสี่วันคงออกต่างจังหวัดแล้ว”
“ทำไมท่านไม่นั่งทำงานที่สำนักงานใหญ่ล่ะครับ ผมก็ไม่เห็นว่า CEO คนอื่นเขาจะออกพื้นที่เลย” เห็นแต่พวกตำแหน่งสูงๆ นั่งกันอยู่ที่สำนักงานใหญ่ทั้งนั้น
“ก็นอกจากจะเป็นรองประธานแล้ว เขายังเป็นหัวหน้าวิศวกรด้วยนี่นา เขาต้องไปตรวจดูการก่อสร้างที่ไซต์งานต่างจังหวัดบ้างต่างประเทศบ้าง... เอ...ว่าแต่ทำไมเราถามเรื่องคุณไร้พ่ายเยอะจัง” พี่กิ๊ฟมองผมด้วยความสงสัย
“นิดหน่อยน่ะครับ แปลกใจที่คนอายุน้อยอย่างเขาได้เป็นผู้บริหาร”
“ก็จริงนะ เขาอายุแค่สามสิบเอ็ดเอง ก็ได้ทำงานในตำแหน่งสูงๆ แล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ลูกชายเจ้าของ...ยังไงก็นำหน้าคนรุ่นเดียวกันไปหลายก้าว”
“นั่นสินะครับ...ว่าแต่ว่า...เปิดห้องที่นี่ดีไหมครับพี่”
ผมอยากอยู่...ในที่ที่เขาอยู่ ให้นานขึ้นอีกหน่อย เผื่อจะได้มีโอกาสเจอ...
“ก็ได้นะ...นานๆ ทีนอนที่หรูๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน”
พี่กิ๊ฟส่งยิ้มหวานมาให้ ในขณะที่ผมยิ้มตอบกลับไป
“อาาาา เพี้ยน...พี่...พี่”
วันนี้ผมปล่อยให้พี่กิ๊ฟเป็นคนคุมเกม เพราะผมทำอะไรมากไม่ได้ ไม่งั้นแผลที่ท้องคงเปิด
ผมนั่งพิงหลังกับหัวเตียง มือจับเอวของผู้หญิงตรงหน้าเพื่อช่วยให้เธอขยับขึ้นลงได้ถนัด แต่กิจกรรมที่กำลังทำไม่ได้ดึงความสนใจของผมเท่าไหร่ ผมอยากรีบๆ ทำให้เสร็จแล้วไปสำรวจโรงแรมนี้สักหน่อย หากว่าความบังเอิญมีอยู่จริง ผมคงจะได้เจอกับเขาก็เป็นได้
เสียงครวญครางของพี่กิ๊ฟกับแรงโยกตัวของเธอในช่วงสุดท้ายดึงความสนใจของผมได้เพียงชั่วครู่ ก่อนร่างบางตรงหน้าจะกระตุกและตอดรัดท่อนกลางลำตัวของผมแรงๆ จนทำให้มันระเบิดน้ำรักออกมาด้วย เธอยกตัวขึ้น แล้วล้มตัวนอนลงข้างๆ
“เพี้ยน...”
“ครับ”
“เราคบกันดีไหม”
ผมไม่ได้ตอบคำถามในทันที เพราะผมคิดว่าผมเคยบอกเธอชัดเจนแล้วกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอ
“พี่กินยาก่อนเถอะครับ”
พูดแค่เพียงเท่านั้นเธอก็นอนหันหลังให้ผม แต่การทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกอะไรขึ้นมา
“ถ้าอยากอยู่กับผมไปนานๆ อย่าท้องนะครับ เดี๋ยวผมกลับมา” ผมก้มลงไปจูบขมับของเธอ แล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า
“จะไปไหน”
“ไปเดินเล่นครับ”
ผมออกจากห้อง เดินมาที่ลิฟท์ ลงไปที่หน้าฟร้อน
“ขอโทษนะครับ”
“คะ?” พนักงานต้อนรับหน้าตาสะสวยรับคำพลางยิ้มสวยมาให้
“คือผมมาจากสำนักงานใหญ่ ไม่ทราบว่าคุณไร้พ่ายยังอยู่ที่นี่ไหมครับ พอดีผมนัดคุยงานกับท่านไว้ ช่วยเช็คให้ผมได้ไหมครับว่าท่านออกไปธุระที่อื่นแล้วรึยัง” ผมแสดงบัตรพนักงานพร้อมกับยิ้มให้เธออย่างสุภาพ
“อ๋อ...ได้ค่ะ สักครู่นะคะ”
ใช้เวลาแค่เพียงไม่นาน พนักงานก็บอกข่าวดีกับผมว่าเขายังอยู่ที่นี่ และเพิ่งขึ้นห้องส่วนตัวไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ผมทำทียกโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครสักคน
“ให้ผมขึ้นไปได้เลยใช่ไหมครับ ครับ ไปถูกครับท่าน เดี๋ยวผมถามพนักงานที่ฟร้อนก็ได้ครับ ครับ แล้วเจอกันครับ”
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วหันไปถามทางกับพนักงานที่บอกทางให้อย่างเต็มใจ โดยไม่คิดสงสัยเลยว่าทำไมผมถึงไม่รู้เบอร์ห้องของรองประธานทั้งๆ ที่เขาน่าจะบอกผมไว้ก่อนแล้ว...
บอกขอบคุณพนักงานต้อนรับเสร็จก็เดินขึ้นลิฟท์มายังชั้นที่พนักงานบอก ห้องระดับ VIP จะอยู่ชั้นบนสุดเสมอ และคงเป็นห้องที่กว้างทั้งยังเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ผมออกจากลิฟท์มายืนอยู่หน้าประตูห้อง กดกริ่งแค่ไม่กี่ครั้ง ประตูก็เปิดออก
“ต้องการอะไร” คำถามแรกที่เขาถามผม ไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร แถมเขายังยอมเปิดประตูให้ด้วย...แปลกจริงๆ
ผมมองสบกับดวงตาที่แสนหลงใหลหลังแว่นตาของเขาพร้อมรอยยิ้ม
“ผม...จะมาขอบคุณ”
“อืม แล้วไง” ใบหน้าของเขานิ่งเฉย ดวงตาไร้แววสะท้อน ไม่มีประกายให้สะดุดตา แต่กลับน่ามอง
“ก็...แค่นี้ครับ”
“หมดธุระแล้วใช่ไหม”
“...”
พอผมไม่ตอบ เขาก็เตรียมจะปิดประตู แต่มือผมก็รั้งขอบประตูไว้ เขาขมวดคิ้วมองมา ดวงตาดุที่คุ้นเคยก็มองสบมาเช่นกัน นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ผมยังมีงานต้องทำ ถ้าคุณหมดธุระแล้วก็ เชิญ” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง และท่าทางที่เย็นชาของเขาทำให้ผมรู้สึก...
“โอ้ยย!” เพราะเขาปิดประตูเต็มแรงและมือของผมก็ยังเกาะขอบประตูไว้ ทำให้มันถูกหนีบอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้สะทกสะท้านกับอาการเจ็บของผมเลย
“พี่ครับ...ผมเจ็บ” ผมยื่นมือไปตรงหน้าเขา “ผมเจ็บครับพี่...ใส่ยาให้ผมนะ”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับผม” เขาตอบมาอย่างใจร้าย แต่ผมก็ยังดื้อดึงจะไม่ไปไหน ผมยังยื่นมือไปตรงหน้าเขา ถูกเขาปิดประตูใส่ โดนหนีบไปอีกสองครั้งก็ไม่ยอมแพ้
“พี่ครับ...ผมเจ็บนะ” ผมมองเขาน้ำตาคลอ เพราะมันเจ็บขึ้นมาจริงๆ โดนรอบแรกไม่เท่าไหร่ สองรอบต่อมานี่ไม่ไหว เจ็บนรกเลย ต่อให้เขาจะใจดีเปิดออกมาดูทุกครั้งที่ผมร้องลั่นก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ใจดีถึงขนาดจะดูดำดูดี
“พี่...”
“ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอนุญาตให้คุณเรียกว่าพี่” น้ำเสียงห้วนสั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจกับสรรพนามที่ผมใช้เรียก
“งั้นผมขออนุญาตได้ไหม...ก็พี่แก่กว่าผม” ผมยิ้มให้ มองมือตัวเองที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขา มันสั่นเล็กน้อย แต่พอเขาจับมันไว้...ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา “นะครับ”
“...”
“ทำแผลให้ผมนะ ผมเจ็บ”
คราวนี้เขายอมเปิดประตูให้ผมเข้าไปในห้อง ผมเดินตามแรงกระชากของเขามาอย่างงงๆ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ ลอยวนอยู่ในอากาศ บางเบาแต่ก็ยังทำให้รู้สึกหายใจลำบาก เขาพาผมมานั่งที่โซฟา บนโต๊ะกระจกมีกองเอกสารอยู่เต็มไปหมด เขาคงกำลังทำงานอยู่จริงๆ
“นั่งรอเฉยๆ เดี๋ยวผมมา”
ผมทำตามคำสั่ง ในขณะที่เขาเดินไปที่ส่วนของครัวเล็กๆ ในห้อง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าที่ห่อน้ำแข็งไว้ เขาโยนมันมาให้ผมที่รับไว้ด้วยมือข้างเดียวเกือบไม่ทัน
“ประคบไว้” บอกแค่นั้นก็เดินไปหากล่องยาแล้วเอามาวางไว้ตรงหน้าผม “ทำเอง”
“ครับพี่” ผมยิ้มให้เขาที่นั่งลงบนโซฟาอีกตัวแล้วเริ่มหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นเปิดอ่าน
“ผมชื่อเพี้ยนนะครับ พี่คงจำผมได้ใช่ม้า เราเคยเจอกันในห้องของพี่กิ๊ฟ แล้วก็...พี่ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาลด้วย” แม้พี่จะให้แท็กซี่ไปส่งผมก็ตามทีเถอะ แต่ผมไม่ถือสาหรอก
อันดับแรกก็ต้องทำให้เขารู้จักผมก่อน เพราะความประทับใจครั้งแรกนั้นคงไม่ค่อยดีนัก แต่ครั้งนี้ผมหวังว่าเราจะได้พูดคุยกันมากขึ้น...
“นั่งเงียบๆ ได้ไหม”
ซะ..เมื่อไหร่กันล่ะ ทำไมเขาเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์แบบนี้กันนะ
“แต่ผมอยากรู้จักพี่นี่นา...”
“ทำแผลเสร็จแล้วก็กลับไป”
“ยังไม่ได้ทำเลย แต่ผมจะนั่งเงียบๆ นะ ไม่กวนพี่หรอก”
ผมรู้ว่าผมทำตัวมึนและหน้าด้านมาอยู่ข้างเขา เขาคงจะงงอยู่ไม่น้อย แต่ผมไม่สนหรอก ผมก็แค่...อยากจะมองดวงตาคู่นี้ให้นานๆ ก็เท่านั้น
“ให้ผมเรียกพี่ว่าพี่พ่ายได้ม้า... พี่ชื่อไร้พ่าย...แต่ผมอยากเรียกแค่พยางค์เดียว อนุญาตนะครับ”
เขาหยุดพลิกหน้าเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม “ผมว่าผมกับคุณ เราไม่ได้รู้จักกันถึงขั้นต้องเรียกด้วยชื่อที่สนิทสนมกันอย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักที”
“เดี๋ยวก็สนิทกันเอง ให้ผมเรียกก่อนไม่ได้เหรอครับ และต่อให้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่พี่ก็คือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมซาบซึ้งมากเลย พี่บอกว่าพี่ไม่ช่วยใครฟรีๆ ด้วย งั้นถ้ามีอะไรที่ผมพอจะทำให้พี่ได้...พี่บอกผมเลยนะครับ ผมพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง”
“งั้นทำให้ผมอย่างหนึ่งละกัน ตอนนี้ไสหัวออกไปซะ” เขามองมาด้วยดวงตาคมดุ แว่นตาสะท้อนแสงไฟอย่างน่ามอง สายตาที่ใช้มองทำให้ผมใจเต้นรัว “แล้วก็มีเรื่องหนึ่งที่คุณเข้าใจผิด ผมไม่ได้อยากช่วย แต่เพราะคุณเกาะขาผมไว้ ผมจึงไม่มีทางเลือก”
แม้เขาจะพูดจาใจร้าย แต่ผมก็ยังยิ้มให้เขา ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก...ผมรู้ เพราะตลอดเวลาที่พี่ใช้สายตาแบบนี้มองผม...สายตาที่ขยะแขยงในตัวผม แต่พอผมเจ็บหรือไม่สบาย...พี่ก็จะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ผมทุกที
“พี่ช่วยผมไว้ ความจริงข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยน ผมรอดมาได้ก็เพราะพี่ พี่พ่าย...ให้ผมตอบแทนพี่นะครับ” ผมลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วก้มลงจะจูบที่เท้าของเขา แต่ก็โดนเขาถีบจนหงายหลัง แถมจะตามมาต่อยผมอีก
“มึง...เป็นโรคจิตเหรอวะ!”
“ผมเปล่าครับพี่...ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ”
“มึงรีบๆ ออกไปจากห้องกู ก่อนที่กูจะหมดความอดทน ออกไป!”
“พี่พ่าย...”
“กูบอกให้ออกไป!”
ผมยังไม่ยอมแพ้หรอก...วันนี้กลับก่อนก็ได้ เขาคงอารมณ์ไม่ดีแล้ว แต่ผมจะหาโอกาสมาเจอพี่อีก...
“แล้วเจอกันนะครับพี่...”
“ห้ามมาให้กูเห็นหน้าอีก ไม่งั้นมึงตายแน่!”
เขาก็แค่ขู่ไปอย่างนั้น...ผมถึงได้ยิ้มแล้วยกมือโบกลา โดนเขาขว้างแฟ้มใส่อยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร...ผมชอบคนอารมณ์ร้ายแบบนี้แหละ น่ารักดี
“พี่พ่าย บังเอิญจังเลยครับ เจอกันอีกแล้ว”
วันนี้ผมอาสาเอาแบบงานมาส่งให้กับรองประธานกรรมการแทนพี่กิ๊ฟที่ต้องไปประชุมกับหัวหน้าฝ่ายคนอื่นๆ แต่กว่าจะขับรถมาถึงได้ก็เสียเวลาไปนานเหมือนกัน เพราะตอนนี้เขาอยู่ที่ไซต์งานแถวนวนคร ผมก็เลยต้องฝ่าการจราจรที่ติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋มา แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เห็นหน้าเขา ได้มองดวงตาที่แสนคิดถึงอยู่นานสองนาน
“ผมเอาแบบงานมาให้น่ะครับ”
ผมบอกแล้วมองไปรอบๆ ห้องทำงานที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ ในอากาศอีกแล้ว
“เอาวางไว้บนโต๊ะ”
ผมทำตามที่สั่ง ก่อนจะลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาออกมานั่ง ห้องทำงานของเขาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ อากาศต่างจากข้างนอกลิบลับ แต่เสียงเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่ภายนอกก็น่าหนวกหูไม่น้อย คนขี้รำคาญอย่างพี่พ่ายทนอยู่ไปได้ยังไงกันนะ
“พี่พ่ายกินอะไรรึยังครับ ผมยังไม่ได้กินเลย เราไปหาอะไรกินกันไหม”
“...”
“ถ้าพี่ไม่อยากไป ผมซื้อมาให้ก็ได้นะครับ”
“...”
“กินก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งดีครับพี่”
“เงียบปากดิวะ กูกำลังทำงาน”
“เราสนิทกันมากขึ้นแล้วใช่ม้า พี่พ่ายถึงได้ใช้คำแทนตัวแบบนี้อ่า... ผมดีใจจัง”
“มึงนี่มันเพี้ยนสมชื่อจริงๆ”
“พี่พ่ายชมเหรอครับ”
“กูด่าไหม”
“แต่ผมอยากนึกว่าเป็นคำชมนี่นา”
“ไปโลกสวยไกลๆ”
“ทำไงได้อ่ะ ผมอยู่ใกล้พี่พ่าย...โลกก็เป็นสีชมพูไปหมด”
เขาขว้างปากกามาโดนหน้าผากผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร “มึงออกไป กูจะทำงาน”
“แต่มันเที่ยงแล้วน้า ไปกินข้าวกันนะครับ”
“ไปกินข้าวกับเกย์โรคจิตอย่างมึง กูกินไม่ลง”
“พูดจาใจร้ายจัง แต่ผมไม่ถือสาหรอก”
เพราะผมไม่ได้โรคจิต เรื่องเกย์นี่ผมก็ไม่แน่ใจนะ เพราะผมเป็นพวกผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็เอา ขอแค่ใครสักคนเต็มใจขึ้นเตียงด้วยก็พอ ใครสักคนที่จะทำให้ผมเหนื่อยจนนอนหลับไปได้...ก็เท่านั้น
“พี่พ่าย จะไปเชียงรายเมื่อไหร่เหรอ”
“...”
“พี่กิ๊ฟบอกผมว่าพี่พ่ายไปนาน”
“...”
“ผมเลยรับอาสาจะดูแลแบบงานของโรงแรมที่เชียงราย...จากนี้เราก็จะได้เจอกันทุกวันแล้วน้า ผมดีใจมากเลย”
“มึงถามกูด้วยก็ดีนะว่ากูดีใจด้วยไหม” ไม่ต้องถามหรอก แค่มองตาพี่ผมก็รู้คำตอบ
“ผมรู้ว่าพี่พ่ายซึนอ่ะ พี่พ่ายไม่พูดหรอกว่าดีใจที่จะได้เจอผม เพราะกลัวเสียฟอร์ม”
“ไอ้เพ้อเจ้อ”
“ผมไม่ได้เพ้อเจ้อ ก็ถ้าพี่พ่ายเกลียดผม ไม่อยากเจอผมจริงๆ พี่พ่ายคงไล่ผมออกไปนานแล้ว จริงไหมครับ”
“แค่เพราะคุณกิ๊ฟขอไว้ ไม่งั้นมึงไม่รอด”
พี่กิ๊ฟเป็นหัวหน้าแผนกที่มีอำนาจพอสมควร ผมยังไม่เคยบอกใช่ไหมว่าเธอเป็นลูกสาวผู้ถือหุ้น แม้จะไม่ได้มีอำนาจเท่าผู้ชายตรงหน้าผม แต่ก็อยู่ในระดับที่ก็ต้องมีคนเกรงใจเหมือนกัน
“พี่พ่ายเกรงใจพี่กิ๊ฟเหรอ”
“เขาทำงานให้บริษัทมานาน ผลงานก็ดีในระดับที่เด็กใหม่อย่างมึงไม่เคยทำได้ เพราะฉะนั้น อย่าทำตัวให้คนที่ออกหน้าปกป้องมึงเขาลำบากใจ”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง แต่ว่านะพี่พ่าย ต่อให้ผมจะทำงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องอื่นผมเก่งนะ ถ้าพี่พ่ายอยากลอง...”
ปึง!
เขาปิดแฟ้มเอกสารแล้ววางลงบนโต๊ะเสียงดัง แม้หน้าตาจะไร้อารมณ์ แววตาจะว่างเปล่าแค่ไหน แต่ผมก็รู้ตัวว่าตอนนี้ควรหยุด
“กูเป็นเจ้านายที่ไม่ชอบให้ลูกน้องมาเล่นหัว แล้วนี่มึงไม่มีงานทำรึไง หรือจะให้กูไล่มึงออกจริงๆ”
“ผมขอโทษครับ” ยกมือไหว้พร้อมทั้งคลี่ยิ้มให้ แต่เขาก็ยังตีหน้ายักษ์ใส่ สงสัยตั้งแต่โตมา พ่อของเขาคงลืมสอนวิธียิ้ม เพราะตั้งแต่ตามเขาไปทุกที่ที่มีโอกาสนี่ ผมไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย ประชุมก็หน้าบึ้ง คุยงานกับลูกน้องก็หน้าบึ้ง คุยโทรศัพท์ก็หน้าบึ้ง กินข้าวยังหน้าบึ้งเลย
“กลับไปทำงาน”
“ผมลางานครึ่งวันครับ”
“...”
“ให้ผมอยู่ช่วยงานพี่ที่นี่เถอะนะ ผมเต็มใจ ผมอยากเป็นประโยชน์ให้พี่ ผมทำได้นะ ทุกอย่างเลย”
“มึงต้องการอะไรจากกูวะ”
“แค่อยากตอบแทนที่ช่วยชีวิตผม”
“จะเป็นการตอบแทนมากถ้ามึงเลิกมายุ่งวุ่นวายกับกู”
“ไม่ได้หรอก ทำอย่างนั้นจะทำให้พี่พ่ายที่ซึนจนไม่กล้าร้องขอต้องหงุดหงิดใจ”
“ไอ้เพี้ยน!”
“พี่อย่าโมโหสิครับ ความดันจะขึ้นเอานะ”
“กูไม่ได้เป็นโรคความดัน!”
“ว้า...โมโหอีกละ”
เขาขว้างปากกามาโดนหน้าผากผมอีกรอบ แต่ผมก็ได้แค่ยิ้ม
“ทำร้ายผมจนพี่พอใจเลย ผมเป็นเด็กดีนะครับ ผมไม่โวยวายหรอก”
เขามองหน้าผม ท่าทางเหนื่อยใจอย่างนั้นทำให้ผมหัวเราะ “มึงอยู่เงียบๆ กูจะพักสายตา”
ผมพยักหน้า ในขณะที่พี่พ่ายถอดแว่นออกวางบนโต๊ะแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าชวนมองเชิดขึ้นเล็กน้อย แล้วผ่อนลำตัวที่ตั้งตรงตามฉบับชายหนุ่มผู้มีบุคลิกภาพที่ดีลง
พอเขาหลับตา ผมก็หยุดยิ้มทันที ใบหน้ารูปสลักเวลาที่ดวงตาปิดสนิท...ไม่ได้น่ามองอย่างที่คิดเลย ผมลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปใกล้ โน้มหน้าลงไป ก่อนจะจูบเบาๆ ลงบนเปลือกตาของเขา พลางไล้นิ้วไปตามแนวขนตา
“ตื่นนะครับพี่...ผมอยากมองดวงตาคู่นี้ไปนานๆ”
เขาลืมตาขึ้นทันที จับมือผมไว้ ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่ท้องผมเต็มๆ
พลั่ก!
“มึงทำเหี้ยอะไร!”
“พี่พ่าย...ผมเจ็บ”
เพราะกระเด็นมากระแทกตู้เอกสาร แถมแผลที่ถูกแทงเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ปริออกมาจนมีเลือดซึม ผมงอตัวเล็กน้อย ใช้มือข้างหนึ่งกุมแผลที่ท้องเอาไว้
“ผมเจ็บแผล...พี่พ่าย ช่วยผมด้วย”
“...”
“ช่วยผมด้วยนะ...ผมเจ็บ” ผมคลานเข้าไปใกล้ นอนอยู่แทบเท้าของเขาพลางยกมือขึ้นลูบที่ข้อเท้าของเขาเบาๆ เขาสะบัดเท้าแรงๆ จนมันโดนเข้าที่แก้มข้างขวาของผม แรงกระแทกอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเผลอกัดลิ้นตัวเอง
“อย่ามาทำตัวน่าขยะแขยงกับกู”
“พี่...”
“มึงมันวิปริต”
“ผมขอโทษ...อย่ารังเกียจผมเลย ผมขอโทษนะครับ”
อย่าเบือนสายตาหนีจากผม...มองผมสิครับพี่...มองมาที่ผม ต่อให้พี่จะขยะแขยงผมมากแค่ไหน...ก็อย่าละสายตาจากผม เพราะผมก็แค่อยาก...มองดวงตาคู่นี้ไปนานๆ เท่านั้นเอง...
..................................................................TBC....................................................................
เพี้ยนคนนี้ กับเพี้้ยนคนนั้น ต่างกันเธอรู้ดี คนที่ดี กับคนที่บ้า ต่างกันเธอรู้ไหม *ร้องเป็นเพลง*
สงสารพี่พ่ายที่ต้องเจอกรรมหนัก สู้ๆ นะคะพี่
ปล. ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นค่าาา ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
ปล2. ห้ามแย่งพี่พ่ายจากเรานะ 5555555