-20-
ภูตะวันกับพระพายลาสองสามีภรรยาเจ้าของรีสอร์ทที่เป็นผู้สูญเสียจากการกระทำเลวๆของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอ พวกเขากลับมากรุงเทพฯด้วยความมั่นใจและความหวังที่เปี่ยมล้นว่าจะสามารถเอาคนผิดมารับโทษตามกระบวนการทางกฏหมายให้ได้ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความระมัดระวังและรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิม
รถเบนซ์คันหรูเทียบจอดสนิทที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลวิวรรธน์ภคไพบูลย์ในช่วงเย็น เขาตรงเข้ามาที่นี่ก่อนกลับไปที่คอนโดเพราะได้นัดกับอาทั้งสองของตนเไว้แล้ว พระพายเดินตามคนรักเข้าบ้านหลังใหญ่ด้วยความประหม่าเล็กน้อย ถึงแม้จะเคยเจอผู้อำนวยการและประธานที่โรงพยาบาลมาก่อน ทว่าความรู้สึกมันก็ต่างกันอาจจะเพราะสถานที่ที่ได้พบเจอ
“มากันแล้วเหรอ อาเพิ่งจะถึงบ้านได้ไม่นาน” หญิงวัยกลางคนทักทายด้วยความใจดีพร้อมกับรับไหว้คนอายุอ่อนกว่าทั้งสองคน
“หิวกันรึเปล่าล่ะ ทานอะไรก่อนไหม?” ประสิทธิ์เอ่ยถามด้วยเห็นว่าทั้งสองคนเดินทางมาหลายชั่วโมง หากจะให้เริ่มพูดคุยเรื่องสำคัญก็เกรงว่าคงจะใช้เวลานานพอสมควร หลานชายเจ้าของบ้านหันไปหาคนข้างกายเป็นเชิงถาม พระพายจึงยิ้มบางๆก่อนที่จะตอบออกไป
“ยังไม่หิวครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มคุยกันเลยแล้วกัน” เจ้าของบ้านเดินนำไปนั่งยังโซฟาตัวใหญ่ภายในห้องรับแขกที่มีประตูกั้นแบ่งโซนด้านนอกไว้อย่างชัดเจนเพื่อความเป็นส่วนตัว เมื่อทุกคนนั่งกันหมดแล้วภูตะวันจึงนำเอกสารที่มีทั้งหมดวางลงบนโต๊ะกลางก่อนที่พระพายจะวางโทรศัพท์ของตัวเองไว้เช่นกัน
“อาฟังดูนะครับเป็นเสียงจากผู้เสียหายที่ถูกบันทึกเอาไว้”
พระพายกดเปิดเสียงที่บันทึกไว้ทันทีให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ฟัง เสียงเริ่มเล่นไปเรื่อยๆตั้งแต่เริ่ม คุณหมอหน้าหวานลอบสังเกตสีหน้า
อาทั้งสองคนรักพวกเขามีสีหน้าเรียบนิ่งกันมากคงเป็นเพราะตั้งใจฟัง แต่ในบางครั้งท่านประธานบริหารก็แสดงความไม่พอใจออกมาเพียงเล็กน้อยจนกระทั่งเสียงนั้นเล่นจนจบลง
“มันกล้ามากที่ทำแบบนี้ อาว่ามันไม่ได้ทำคนเดียวแน่” ประสิทธิ์ขบกรามแน่น นึกโทษตัวเองที่บริหารงานด้วยความสะเพร่าไม่เคยระแคะระคายเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยและโกรธแค้นไม่น้อยที่คนที่ตนไว้ใจเหมือนญาติพี่น้องกระทำการที่ผิดจรรณยาบรรณเช่นนี้
“เพราะความโลภของเขาแท้ๆ” ณิชชาอรรำพึงเบาๆอย่างเศร้าใจและรู้สึกผิดอย่างที่สามีของเธอรู้สึก ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับโรงพยาบาลที่ได้จัดอยู่อันดับต้นๆของประเทศ โรงพยาบาลที่พวกเขาสร้างและประคับประคองมันมาด้วยความรักของคนในครอบครัว
“ผมคิดว่าคงจะมีศัลยแพทย์แผนกอื่นร่วมด้วย แต่หลักฐานที่เรามีก็น่าจะมัดตัวการหลักอย่างหมอโจได้แล้วล่ะครับ” เพราะจากที่เขานำเอกสารที่หาได้มาเทียบกันพร้อมกับคำบอกเล่าของผู้เสียหาย มันสอดรับกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเอกสารการรักษา ใบเซ็นยินยอมผ่าตัดและบริจาคอวัยวะที่เป็นของปลอม
“อาจะปรึกษากับทนายแล้วกัน ทางเราพร้อมเมื่อไหร่ก็เรียกตัวเขาเข้าห้องประชุม สู้กันด้วยหลักฐานที่มี ให้โอกาสเขาได้อธิบายก่อนจะถูกดำเนินคดีทางกฏหมาย” ภูตะวันพยักหน้ารับเล็กน้อยและรวบรวมเอกสารทั้งหมดใส่ซองไว้อย่างดี แต่จู่ๆโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็เกิดสั่นขึ้นมา พระพายมองดูหน้าจอเป็นบอสที่โทรเข้ามา แต่เขาก็เลือกที่จะไม่รับเพราะยังอยู่ในการพูดคุยเรื่องสำคัญกับผู้ใหญ่
“ไม่รับล่ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ค่อยโทรกลับก็ได้” ตอบคนรักไปแบบนั้นภูตะวันจึงพยักหน้าเข้าใจ
“คุณหมอครับ”
“เรียกผมว่าพระพายเฉยๆก็ได้ครับ” พระพายปฏิเสธการเรียกของประสิทธิ์ เพราะเกรงใจที่อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกทั้งยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ให้เงินเดือนแก่เขา อีกฝ่ายจึงระบายยิ้มบางๆทว่าแววตาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่จนเขาสังเกตเห็น
“ผมขอเป็นตัวแทนของวิวรรธน์ภคไพบูลย์เพื่อขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณหมอ พวกเราผิดเองที่บริหารงานอย่างสะเพร่าไม่รอบคอบทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นขึ้น”
“ไม่เป็นไรครับไม่ต้องไหว้!!” พระพายพุ่งตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้นอย่างตกใจพร้อมกับจับมือของผู้ใหญ่ทั้งสองคนเอาไว้ไม่ให้ไหว้ขอโทษตน ภูตะวันจึงนั่งลงที่พื้นข้างๆคนรักอย่างรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน เพราะถึงยังไงครอบครัวของเขาก็มีส่วนผิดด้วยที่บริหารงานไม่ดี
“ขอโทษด้วยจริงๆนะ” เสียงทุ้มพูดเบาๆ คุณหมอหน้าหวานหันไปหาคนรักพร้อมกับมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังวูบไหวรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่ครอบครัวนี้มีให้ตน มือเล็กวางลงบนมือของคนรักพร้อมกับบีบเบาๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
“คนที่ต้องขอโทษผมคือเขาต่างหากครับ ไม่ใช่พวกคุณ” เขาพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็มองด้วยความเอ็นดูกับความสุภาพและอ่อนโยนของคุณหมอลูกศิษย์หลานชายตน แต่เพียงครู่สั้นๆเท่านั้นที่ภูตะวันสังเกตเห็นว่าแววตาอาทั้งสองของเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“อามีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“.........” ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ไม่มีใครยอมพูดสิ่งที่สงสัยและอยากได้คำตอบก่อน หากแต่สายตาคาดคั้นของหลานชายที่นั่งคู่กันกับลูกศิษย์ก็ทำให้ต้องใจอ่อน
“คือว่า ....”
“อะไรครับอา?”
“เมื่อบ่ายวันนี้ที่โรงพยาบาลเขาลือกันให้ทั่วไปหมดว่าเราสองคนกำลังคบกัน ... มันจริงรึเปล่าซัน?” ภูตะวันกับพระพายหันมองหน้ากันอย่างตระหนก คนที่เข้ามาในหัวพระพายแวบแรกหลังจากที่ได้ยินคือบอส เพราะเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องของเขากับอาจารย์หมอ
“ว่ายังไงซัน?” ประสิทธิ์คาดคั้นหลานชายเสียงเข้ม หมอซันหันมองคนรักอย่างลังเลว่าควรจะพูดความจริงหรือยังไงดี พระพายส่ายหัวตอบเพียงเล็กน้อยพอให้เข้าใจกันสองคนว่าไม่ควรพูดออกไป เพราะผู้ใหญ่สองคนคงจะรับไม่ได้แน่หากรู้ว่าหลานชายของตนรักชอบเพศเดียวกัน
“.... จริงครับ ผมกับพายกำลังคบกัน” คนฟังทั้งสามคนต่างตกใจพร้อมกัน แต่ความตกใจของพระพายนั้นต่างออกไป ไม่คิดว่าคนรักจะกล้าพูดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ในครอบครัว เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับได้ สองสามีภรรยาอึ้งไปหลังจากที่ได้ยินถึงจะเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าอาจจะเป็นไปได้เพราะเห็นว่าทั้งสองคนนี้ก็สนิทกัน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
“........” พระพายก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตากับผู้ใหญ่ สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วถอนหายใจยาวอย่างปลงตก ยอมรับความจริงโดยดุษฎี
“มันก็ค่อนข้างหนักใจอยู่เหมือนกันนะ แต่ซันทำเพื่อคนอื่นมามากแล้วจะทำเพื่อตัวเองบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆมองเด็กทั้งสองคนด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่ที่แพทย์เรสสิเดนท์ที่ชื่อพระพายเข้ามาก็เห็นว่าหลานชายของตนดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนัก จึงเข้าใจว่าทั้งสองคนคงจะรักกันจริงๆ
ภูตะวันและพระพายหันมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยทว่าดวงตาของทั้งสองคนกลับเป็นประกายสะท้อนความดีใจออกมาไม่น้อยที่ผู้ใหญ่ไม่ว่าอะไรหากเขาจะคบหากัน
“แล้วที่เขาลือกันเราจะทำยังไง?”
“... ช่างเขาเถอะครับ ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาในเมื่อมันก็เป็นเรื่องจริง แต่เดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็ลืม”
“อืม แต่เราก็อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อล่ะ” ณิชชาอรปรามหลานชายเสียงเข้มเพราะไม่อยากให้ใครเอาไปพูดจนกลายเป็นเรื่องสนุกปากแล้วทั้งสองคนจะเสียหาย อาจารย์และลูกศิษย์จึงพยักหน้าและรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
หลังจากที่คุยเรื่องสำคัญจนเวลาผ่านไปพอสมควร เจ้าของบ้านจึงชักชวนให้หลานชายและคนรักอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันเสียก่อนที่จะกลับ มื้ออาหารเย็นวันนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็ดูจะอิ่มเอมอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะได้อยู่พร้อมหน้ากันอาหลานอีกทั้งยังมีคนรักของหลานชายเพิ่มอีกหนึ่งคน ถึงแม้ว่าลึกๆภายในจิตใจของแต่ละคนจะยังมีความกังวลกับเรื่องนั้นอยู่ก็ตาม
ในระหว่างมื้ออาหารพระพายเองก็ยังมีเรื่องของเพื่อนเก่าอย่างบอสวนเวียนอยู่ในหัวด้วยความไม่พอใจเล็กๆที่นำเรื่องของตนไปพูดจนกลายเป็นเรื่องที่ลือกันสนุกปาก เขาจึงขอตัวจากโต๊ะอาหารเพื่อต่อสายไปหาบอสทันที
(ฮัลโพลพาย)
“เรามีเรื่องจะคุยด้วย บอสว่างหรือเปล่า?”
(ว่างสิ เราก็อยากคุยกับพายเหมือนกัน) ปลายสายตอบเสียงร้อนใจ
“เจอกันที่ร้านเดิมนะ ที่เคยพาเราไป” พระพายพูดเสียงเรียบและกดวางสายทันทีหลังพูดจบโดยที่ไม่ได้ฟังคำตอบรับของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปห้องอาหารของบ้านหากออกมานานจะเป็นการเสียมารยาทเอาได้
พวกเขาขับรถกลับคอนโดกันในเวลาหัวค่ำ ระหว่างทางไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นมีเพียงเสียงวิทยุที่เปิดคลอไว้เพียงเบาๆจะได้ไม่เงียบจนเกินไป จนกระทั่งรถจอดติดไฟแดงอยู่นานพระพายจึงหันไปหาคนรักที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“พี่ไม่สงสัยเหรอครับว่าใครเอาเรื่องของเราไปพูด”
“อยากถามหรือว่าอยากบอกพี่กันแน่” ภูตะวันพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับยกมือโยกหัวอีกฝ่ายเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“ไม่รู้สิครับ แต่บอสรู้เรื่องนี้คนเดียว พายไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดเพื่ออะไร”
“...อย่าลืมสิว่าหมอบีเขาก็รู้” ภูตะวันนึกถึงเพื่อนสนิทของตน ถึงแม้ว่าจะมั่นใจมากพอควรว่าสโรชาจะไม่พูดแน่ๆ แต่ก็ไม่อยากให้คนรักต้องไปกล่าวหาเพื่อนของตัวเองโดยที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรและถึงแม้จะพูดจริงๆก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีในเมื่อเรื่องมันก็หลุดออกมาแล้ว
“........” พระพายนิ่งคิด สโรชาไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อยแต่ที่เขาคิดว่าจะเป็นบอสก็เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฝ่ายนั้นเพิ่งจะมาถามตนเรื่องอาจารย์หมอ ซึ่งก็มีสิทธิ์เป็นไปได้มากกว่าอยู่แล้ว
“ช่างมันเถอะ อย่าเก็บมาคิดเลยเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” เขาลูบหัวคนรักอย่างอ่อนโยนเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล พระพายจึงยิ้มตอบเล็กน้อยให้สบายใจแต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ยังค้างคาใจและต้องการคุยกับฝ่ายนั้นอยู่อยู่ดี
ถึงที่คอนโดต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง แม้ว่าจะอยากให้คนรักนอนด้วยกันคืนนี้แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากจะมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างจึงไม่อยากก้าวก่ายมากนักแล้วก็อยากให้พระพายได้พักผ่อนด้วยเพราะเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน
ทั้งที่ความจริงหลังจากกลับเข้าห้องพักของตนได้เพียงไม่นาน พระพายก็ออกจากห้องมาอีกรอบเพื่อตรงไปหาบอสที่ยังรออยู่ทันที เขาไม่ต้องการให้อาจารย์หมอต้องรับรู้ว่านัดกับบอสเอาไว้เพื่อคุยเรื่องที่มันค้างคาใจเพราะฝ่ายนั้นคงจะห้ามไม่ให้ไปหรือไม่ก็คงจะต้องตามไปด้วย ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากให้คนรักต้องคิดมากหรือเป็นกังวลเรื่องของตนมากนัก รวมถึงไม่ต้องมาเหนื่อยเพราะตนอีกทั้งที่ขับรถมาตลอดวันไม่ได้พัก
พระพายเดินออกมารอแท็กซี่หน้าคอนโดด้วยความเร่งรีบเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องรอนาน ในเวลานี้รถราบนถนน
ยังคงวิ่งกันวุ่นวายเหมือนทุกวัน หากแต่ไม่ค่อยมีคนเดินริมฟุตบาธมากนัก เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าค่ำคืนนี้ที่ยังคงไร้ดาวเช่นเคย ลมพัดเย็นขึ้นเรื่อยๆคาดว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาจึงพยายามชะเง้อหน้ามองหาแท็กซี่ที่ในเวลานี้คงจะหายากอยู่พอควร
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ารู้จักร้านนี้หรือเปล่า?” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากท้องถนนให้พระพายหันมามองด้านข้าง เขาตกใจเล็กน้อยที่โดนจู่โจมถามอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ยินดีจะช่วยเหลือด้วยการอ่านแผ่นกระดาษที่อีกฝ่ายยื่นให้
“อุ๊บ!” เพราะมัวแต่สนใจกระดาษแผ่นน้อยโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนเล็กก็ถูกโปะลงบนจมูกของพระพายอย่างจัง กลิ่นฉุนแสบจมูกของมันทำให้เขาเบิกตากว้างและรู้ดีว่ามันคือยาสลบที่เขาคุ้นเคย พระพายพยายามดิ้นร้นขัดขืนจนสุดกำลังที่มีทว่าเพียงไม่นานยาสลบที่ไม่เคยคิดว่ามันอันตรายก็ออกฤทธิ์จนสติเขาดับวูบลงไปในวินาทีต่อมา
“เสียเวลาให้พวกผมเฝ้าตั้งนานนะครับคุณหมอ” เสียงเย็นของชายหนุ่มพูดขึ้นในขณะที่กำลังพยุงร่างไร้สติของคุณหมอหน้าหวานขึ้นรถไปอย่างทุลักทุเล เสร็จแล้วจึงกวาดสายตามองโดยรอบว่ามีใครเห็นเหตุการณ์หรือไม่ แต่ในเวลานี้ที่ต่างคนต่างสนใจชีวิตของตัวเองบนท้องถนนคงไม่มีใครสนใจพวกเขาแน่
ร้านอาหารสุดหรูบรรยากาศเย็นสบาย หากแต่ต่างกับใจของนายแพทย์หนุ่มแผนกกุมารเวชอย่างบอสที่กำลังร้อนรุ่มอยู่ไม่น้อย เขาไม่สบายใจเมื่อรู้ว่าที่โรงพยาบาลมีข่าวลือเกี่ยวกับเพื่อนของตัวเองและอาจารย์หมอว่ากำลังคบหากัน เขากลัวว่าพระพายจะเข้าใจผิดหาว่าตนเป็นคนปล่อยข่าวลือนี้ออกมาจึงอยากพูดคุยให้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าตอนนี้เขากลับไม่สบายใจกว่าเก่าที่รู้ว่าพระพายยังมาไม่ถึงร้านทั้งที่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วอีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกว่ากำลังออกมาแล้ว ติดต่อกลับไปอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสายหรืออ่านข้อความของเขาเลย
“หรือว่าอาจารย์หมอไม่ให้มาแล้ววะ” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ อาจจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมให้เพื่อนของตนออกมาเจอเพราะไม่ไว้ใจเขาแต่ถ้าเป็นอย่างนั้นพระพายก็น่าจะติดต่อกลับมาบอกเขาเสียหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องรออยู่แบบนี้
บอสตัดสินใจต่อสายถึงแพรดาวเพื่อขอเบอร์ติดต่ออาจารย์หมอของเพื่อนทันที ถ้าอีกฝ่ายจะห้ามไม่ให้ออกมาก็ควรจะโทรบอกกันหรือไม่ก็รับสายสักหน่อย ไม่ใช่จู่ๆก็หายไปเงียบๆแล้วปล่อยให้เขารอ แพรดาวบอกให้บอสใจเย็นลงเพราะคิดว่าอาจารย์คงจะไม่ใช่คนแบบนั้น อีกทั้งยังบอกอีกว่าก่อนหน้านี้ไม่นานตนโทรไปหาพระพายก็ไม่รับเช่นกัน ก่อนที่จะวางสายและชั่งใจอยู่สักพักว่าควรจะโทรไปหาอาจารย์หมอดีหรือไม่ หากแต่สุดท้ายก็โทรไปด้วยความร้อนใจ
“ครับ?” ภูตะวันรับสายอย่างสุภาพเพราะว่าเห็นเป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา
(อาจารย์หมอครับ ผมบอสนะครับเพื่อนพระพาย ผมรู้นะครับว่าอาจารย์หวงพายมาก แต่เรามีเรื่องที่จะคุยกันและนัดกันไว้แล้ว ได้โปรดให้พายออกมาพบผมเถอะครับ) คนฟังขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจว่าปลายสายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เพราะหลังจากที่เขารับสายอีกฝ่ายก็พูดรัวๆใส่
“คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่ได้อยู่กับพระพาย”
(พายนัดกับผมไว้ว่าจะคุยเรื่องข่าวลือที่โรงพยาบาลกัน แต่เขาบอกว่ากำลังออกมาหาผมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ผมยังไม่เห็นเขามาถึงเลยคิดว่าอาจารย์ไม่ให้เขาออกมา) ภูตะวันใจกระตุกวูบและรีบวิ่งออกจากห้องตัวเองทันทีโดยที่ไม่ได้วางสายจากเพื่อนของคนรัก
“ผมกำลังลงไปดูที่ห้องเขา!” นิ้วเรียวกดลิฟท์ด้วยความร้อนใจแต่ลิฟท์ก็ช้าเกินกว่าที่เขาจะรอได้ทั้งที่มันก็ทำงานอย่างปกติของมันเหมือนทุกวัน ขายาวจึงรีบวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็ถึงห้องของคนรัก เขาเคาะประตูอยู่นานและได้แต่ภาวนาว่าขอให้อีกฝ่ายยังอยู่ในห้อง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับหรือการเปิดประตูต้อนรับเขาจากคนในห้องแต่อย่างใด
“โธ่เว้ย!!!!” เขาสบถเสียงดังไปทั่วชั้น ขบกรามแน่นจนเป็นสันด้วยความโมโหและโกรธตัวเองที่ไม่รั้งให้พระพายอยู่ด้วยกัน เสียงจากปลายสายตะโกนเรียกอาจารย์อยู่เรื่อยๆก่อนสายจะตัดไป ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจใครมากกว่าไปคนรักที่หายตัวไปโดยที่ติดต่อไม่ได้เลย ไม่ว่าจะโทรหาสักกี่สิบสายก็ไม่มีวี่แววตอบกลับมา
ภูตะวันกดลิฟท์ไปยังชั้นล่างสุดเพื่อไปที่ล็อบบี้ เขาถามยามที่คุ้นเคยกันดีว่าเห็นพระพายออกจากที่นี่ไปหรือเปล่า ทันทีที่ยามตอบออกมาว่าพระพายออกไปได้เกือบชั่วโมงแล้วเขาก็แทบจะทรุดลงตรงนั้นเพราะค่อนข้างจะเป็นไปได้ว่าพระพายอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย
ปริ๊น ปริ๊นนนน!!!
เสียงบีบแตรจากรถที่จอดเทียบหน้าคอนโดเรียกความสนใจจากภูตะวันและยามให้หันไปมอง กระจกจากฝั่งข้างคนขับลดลงเรื่อยๆ พร้อมปรากฏหน้าเจ้าของรถในเวลาต่อมา
“อาจารย์ครับ ออกไปตามหากันเถอะครับ!!” แพทย์หนุ่มตะโกนเสียงดัง ภูตะวันจึงรีบวิ่งไปฝั่งคนขับเพื่อที่จะขับเองอย่างไม่ลังเล เพราะคิดว่าตนขับจะได้ดั่งใจมากกว่า
“ผมขับเอง!!” บอสรีบลุกจากที่นั่งคนขับและวิ่งไปขึ้นที่นั่งอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วินาทีรถสีดำสนิทของนายแพทย์หนุ่มเพื่อนพระพายก็ขับออกจากคอนโดด้วยความเร็วจากแรงเหยียบของภูตะวัน
ทั้งสองคนช่วยกันกวาดสายตามองคนที่ตามหาด้วยความหวัง ตรงไหนที่มีคนพลุกพล่านเช่นป้ายรถเมล์ เขาก็จะชะลอความเร็วลง จนเวลาผ่านไปได้สักพักก็ยังไร้วี่แววของพระพาย ภูตะวันแทบจะอยู่ไม่ติด เขากลัวไปหมดว่าพระพายจะเป็นอะไรและพยายามนึกว่าคนรักจะไปที่ไหนได้ในตอนนี้ หากถูกจับตัวไปจริงๆจะถูกจับไปไว้ที่ไหน
“บ้านหมอโจ!” คิดได้ดังนั้นก็ตีไฟเลี้ยวขวาและหักรถยูเทิร์นทันที เสียงยางของล้อรถเสียดสีกับถนนจนเกิดเสียงดังแสบแก้วหู ก่อนที่รถคันสีดำจะถูกแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง
ระหว่างนั้นเสียงเตือนข้อความในสมาร์ทโฟนของภูตะวันก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาและรีบเปิดอ่านทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของคนที่ตามหาส่งเข้ามา ... มันเป็นเพียงการส่งสถานที่มาบอกเขาเท่านั้นว่าตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์อยู่ที่ไหน ภูตะวันกัดกรามแน่นและส่งสมาร์ทโฟนให้อีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆท
“คอยดูทางให้ผม” บอสรับคำและรีบกดดูเพื่อให้แผนที่นำไปยังจุดหมายที่ต้องการทันที สายตาคมกริบของภูตะวันมองถนนตรงหน้าเขม็ง มือกำพวงมาลัยรถแน่นอย่างโกรธและแค้น ไม่ว่าคนที่เอาพระพายไปเป็นใคร ทางออกสุดท้ายของมันคือบทลงโทษจากนรก ...
**************
Talk : เรามีเพจใน facebook แล้วนะคะ >>
GgbazoStory <<
เอาไว้พูดคุย ติดตามอัพเดทนิยายกันเนอะ

เจอกันตอนหน้านะคะ