ตอนพิเศษ (1)
ถ้าโลกของผม เป็นโลกเบี้ยว ๆ ที่หลอมรวมขึ้นจากความเร่งรีบดิ้นรนไขว่คว้าแล้วละก็
โลกของเขาคงเป็นโลกที่เข็มวินาทีเดินช้าและท้องฟ้าก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่ากำลังขาจะไปถึง
และถ้าหากภาพการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาเป็นภาพชินตาที่ผมเห็นทุกเช้า
ในโลกที่แสนเงียบสงบของเขา เขาและใคร ๆ กลับตื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คนอื่น
เป็นโลกคนละใบ…
แต่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยความคิดถึง
ที่ปลายทางความคิดถึงของผมคือเขา แล้วปลายทางความคิดถึงของเขาเป็นใครน่ะเหรอครับ...
...
มีเรื่องเยอะแยะอยากเล่าให้ฟัง
รีบมาไว ๆ ล่ะ
น่าน ดวงตาคมยังคงทอดมองกระดาษแผ่นน้อยในมือ เป็นกระดาษวาดเขียนที่ครูขันคำใช้เป็นสื่อการสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของพืช เห็นว่าสวยดีจึงขอมาเขียนโปสการ์ดก่อนจะออกสำรวจป่าต้นน้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เพราะไม่มีปากกาจึงต้องขอยืมดินสอของเด็ก ๆ เขียนแล้วหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์บนดอย กว่าจะเดินทางถึงคนที่ปลายทางก็ปาเข้าไปเกือบสองเดือน
เหนือน่านยิ้มให้กับกระดาษใบเล็กในมือก่อนจะวางมันบนหัวเตียงเมื่อไฟภายในบ้านดับลง พื้นที่ขนาดพอให้นักพฤกษศาสตร์ผู้รักสันโดษอาศัยอยู่ได้สบาย ๆ ปกคลุมไปด้วยความมืด ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามาก่อนจะหยุด จากนั้นที่นอนฝั่งที่ถูกเว้นว่างไว้ก็ยุบยวบลง
“เขียนอะไรไว้ตรงนั้น” คนที่เพิ่งสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเอ่ยขึ้นพร้อมกับวาดแขนแกร่งรัดรอบเอวรวบรั้งร่างที่นอนตะแคงหันหลังเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบที่ซอกคอขาวแล้วค่อยผละออกรอฟังคำตอบ
“ตรงไหน”
“ยังจะถามอีกว่าตรงไหน” นึกถึงรอยหม่น ๆ เหนือชื่อคนส่งแล้วยังขัดใจไม่หาย “เห็นนะว่าลบออก”
“ไม่ได้ลบนี่”
“อย่ามาจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” จบประโยคของธาม เหนือน่านก็หัวเราะพรืด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอดคิดไม่ได้ว่าไอ้หมาน้อยตัวนี้จะรู้ไหมว่าที่พูดออกมานั่นหมายความว่าอะไร
“แปลว่าอะไรรู้เหรอ”
ธามมุ่นคิ้ว พอถูกถามแบบนี้ก็ชักไม่มั่นใจในตัวเองเสียแล้ว ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากคนในอ้อมกอดเสียให้สมกับที่คิดถึง
“พอน่า จั๊กจี้” ทำเสียงดุพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ
“แปลว่าอะไรตอบมาก่อน”
“ไม่รู้แล้วพูดได้ยังไง”
“ก็พูดตามน้าริน”
คนฟังเลิกคิ้วพลางขยับหนีจากปลายจมูกอยู่ไม่สุขที่กำลังลากจากต้นคอมาหยุดยังข้างแก้มของตนเอง
“น้ารินบอกว่าให้ระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” พูดจบก็แตะปากลงกับเนื้อแก้มนิ่มก่อนเลื่อนมากระซิบที่ข้างหู “สรุปแปลว่าอะไร”
“อยากรู้จริงเหรอ”
“จริงสิ นะ บอกหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นไม่บอก ปล่อยให้อยากรู้ไปแบบนี้แหละ” เหนือน่านหัวเราะแต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อคนได้เปรียบระดมมือทั้งสองข้างจี้ที่เอวไม่ยั้ง
“จะบอกหรือไม่บอก”
“ธาม! หยุด!” แม้จะร้องห้ามเสียงเข้ม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของชื่อจะยอมปฏิบัติตาม ไม่ช้าเสียงขรึมก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อปลายนิ้วทั้งสิบยังคงขยับเคลื่อนไหวไม่ห่างเอว
ร่างสูงพลิกตัวกลับหวังจะดิ้นให้หลุดแต่สุดท้ายก็พบว่ากยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ จำต้องนอนนิ่ง ๆ ฝืนกลั้นหัวเราะอยู่ในอ้อมแขนแกร่งอย่างผู้ร้ายยอมจำนน
“บอกแล้ว บอกก็ได้” พูดพลางเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย แม้รอบตัวจะถูกโอบล้อมด้วยความมืดแต่แสงจันทร์วันเพ็ญที่สาดผ่านช่องหน้าต่างก็ยังช่วยให้พอจะมองเห็นหน้ากันอยู่บ้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่พักนี้เห็นทีไรก็มักจะทำให้หัวใจเต้นแรงทุกที
“เป็นเด็กดีอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” ธามกล่าวก่อนจะกดจูบลงบนปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนในอ้อมกอด รู้ดีว่าเหนือน่านเป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งพอที่จะสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่ในเวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังเช่นนี้ ธามก็อยากจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้เหมือนกับที่คู่รักคู่อื่นเขาทำกันแม้จะถูกบ่นบ้างก็ตาม
“ลามปามใหญ่แล้ว” เหนือน่านถอนใจเฮือกเมื่ออีกฝ่ายยอมหยุดเสียที
“ไม่เอาสิ อย่าเพิ่งบ่น อธิบายมาก่อนว่า จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยที่น้ารินว่าน่ะมันคืออะไร”
เมื่อสามารถปรับสายตาให้ชินต่อสภาพแสงน้อยได้ก็ยิ่งทำให้เห็นหน้าของคนพูดชัดเจนขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าหัวคิ้วเรียงเส้นหนาที่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับดวงตาเฉียบคมนั้นขณะนี้ได้เคลื่อนเข้าหากันจนแทบจะขมวดเป็นปมอยู่แล้ว ภาพที่เห็นยิ่งทำให้เหนือน่านอดยิ้มไม่ได้ ธามในเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับน้องชายช่างสงสัยที่เฝ้าเซ้าซี้จะเอาคำตอบจากพี่ชายให้ได้ เจ้าของกลีบปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นแทรกเรียวนิ้วลงบนเส้นผมของคนตรงหน้าจากนั้นก็เสยปัดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างอ่อนโยน
“ถ้าแปลตรง ๆ ก็คือหลอกลูกหมาตัวเล็ก ๆ ให้วิ่งขึ้นไปบนดอย ลูกหมาวิ่งจนเหนื่อยแต่พอขึ้นไปถึงยอดดอยก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร”
“แล้วยังไงต่อ”
“จบแล้ว”
“ต้องมีต่อสิ ทำไมน้ารินถึงบอกให้ธามระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยล่ะ หืม? ว่ายังไง” พูดจบก็รั้งมืออีกฝ่ายมาแนบไว้ที่ข้างแก้มของตนเองนอนนิ่งรอฟังคำเฉลยที่จะหลุดออกจากริมฝีปากชวนมอง
“คนเหนือเขาเปรียบเทียบกับความรักน่ะ ว่ามาหลอกให้รักแล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้อีกฝ่ายช้ำใจ”
“แล้วจริงหรือเปล่า”
“อะไรจริง”
“ก็อย่างที่น้ารินว่าไง พี่น่านจะจุ๊หมาธามตัวน้อย ๆ ขึ้นดอยจริงหรือเปล่าครับ”
“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” เหนือน่านทำหน้าหน่าย ๆ พร้อมกับดึงมือกลับ
“ธามรู้ว่าน่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น”
“ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอก กลัวด้วยซ้ำว่าน่านจะไม่คิดเหมือนกัน จนกระทั่งตอนที่ออกจากกิ่วแม่ปานคราวนั้น ตอนที่น่านปรับเข็มนาฬิกานั่นไง เราถึงรู้ว่าน่านไม่มีทางจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยแน่นอน เพราะว่า..."
"เพราะว่าอะไร"
"เพราะว่าน่านเป็นห่วงความรู้สึกเรา เราเข้าใจถูกหรือเปล่า”
เหนือน่านยังคงนอนนิ่ง นั่นไม่ใช่เพราะสิ่งที่ธามพูดมานั้นผิดเพี้ยน หากแต่มันตรงกับที่เขาคิดจนยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้งได้เลยต่างหาก คนถูกถามหลับตาลงเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจสองดวงที่กำลังเต้นเป็นจังหวะสอดประสานกัน วินาทีนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นที่แตะประคองข้างแก้มจากนั้นปลายนิ้วหัวแม่มือก็ลากผ่านกลีบปากอย่างเชื่องช้า
“ทำไมเงียบล่ะ”
“ก็พูดแทนไปจนหมดแล้ว จะให้เราพูดอะไรอีก” เสียงอู้อี้ของคนที่กำลังหลับตาพริ้มทำเอาธามถึงกับฉีกยิ้มกว้าง
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องขับรถอีกทั้งวัน” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับรั้งมือแกร่งออกจากข้างแก้ม พลิกตัวกลับหันหลังให้อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นธามที่ตามกอดไม่ยอมห่าง
“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามสุดท้ายของธามมาก่อน”
“อะไรอีก”
“ในโปสการ์ดนั่นไง ที่ลบออกไปน่ะเขียนว่าอะไร”
“อยากให้เขียนว่าอะไร” คนพูดปรือตาขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นความมืด แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากวงแขนที่โอบรัดแนบสนิทลงที่รอบเอวจนแทบไม่เหลือช่องว่าง แผงอกอุ่นชิดกับแผ่นหลัง ในขณะที่ลมหายใจร้อนยังคลอเคลียไม่ห่างจากซอกคอ
“แล้วแต่น่านสิ อยากเขียนอะไร”
“ด้วยความเคารพอย่างสูง”
สิ้นเสียงของคนในอ้อมกอด ธามก็แทบอยากจะฟัดเสียให้เข็ด กระนั้นก็ได้แต่เพียงสะกดใจเม้มปากแน่น คลายวงแขนออกขยับตะแคงหันหลังให้เอาเสียดื้อ ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับน่านแบบนี้เขาถึงได้กล้าที่จะแสดงอาการแบบเด็ก ๆ ออกมาทุกที ทั้งที่ตนเองก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ต้องรับบทหนักในการเป็นผู้นำของครอบครัวยามเมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลง อีกทั้งหน้าที่การงานก็ทำให้เขาต้องจริงจังในทุกสถานการณ์ ดังนั้นภาพของชายนุ่มผู้เคร่งขรึมจึงกลายเป็นภาพที่คนรอบข้างได้เห็น นอกจากแม่แล้วตอนนี้ก็คงจะมีน่านอีกคนที่ได้รู้จักอีกแง่มุมของเขาที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นนักแม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างเนติ
“เป็นอะไร” เหนือน่านเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชายหนุ่มพลิกตัวกลับจ้องมองแผ่นหลังว้างของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับว่า “เปล่า” ที่แค่ฟังก็รู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายตามที่ธามพูดเลยสักนิด
“อะไรกัน แค่นี้ต้องงอน?” คนอายุมากกว่ายังไม่วายกระเซ้า
ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่กำลังคิด ธามถอนใจเฮือกก่อนจะพลิกตัวนอนหงายเอามือก่ายหน้าผาก “ไม่ได้งอนสักหน่อย ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”
“แต่ที่ทำอยู่เนี่ย เราเรียกว่าเด็กนะ”
“น่านน่ะแหละ ทำเราเสียนิสัย เวลาอยู่กับน่าน น่านก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชาย ชอบบ่น บางครั้งก็ไม่สนใจเราเลย”
“ก็เลยต้องเรียกร้องความสนใจว่างั้น?”
“เรียกร้องความรักต่างหาก เมื่อไรจะรักธามสักที”
เหนือน่านยิ้มจาง ๆ พลางรั้งแขนที่อีกฝ่ายวางพาดอยู่บนหน้าผากออกก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ใช้อกแกร่งแทนหมอนหนุน “ทุกวันนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเรารู้สึกยังไง” พูดจบก็ปิดเปลือกตาลงแนบหูฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นใต้อกเสื้อ
“ไม่บอกให้รู้แล้วจะรู้ได้ยังไงกัน” มือหนาเลื่อนขึ้นวางบนศีรษะของคนที่กำลังหลับตาพริ้มก่อนจะแทรกปลายนิ้วลงบนกลุ่มผมหนานุ่มที่เคลียอยู่กับปลายคาง แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่วันนี้คนที่ปกติจะหนีตลอดจะเป็นฝ่ายขยับเข้าหาและกอดเขาเอาไว้เสียเอง (แสดงว่าไม้นี้ใช้ได้ผล?)
“เราก็รู้สึกแบบที่เขียนลงในโปสการ์ดนั่นแหละ”
“เขียนว่าอะไรล่ะ บอกหน่อยสิธามอยากรู้” แค่นี้หัวใจพองโตขึ้นราวกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปจนแน่นและพร้อมจะหลุดลอยไปไกลแสนได้ตลอดเวลาไกล
“ก็...” เหนือน่านปิดปากหาว “ง่วง นอนเถอะ เอาไว้คราวหน้าจะเอาปากกาเขียนให้ชัด ๆ ก็แล้วกัน คุณไปรษณีย์จะได้ไม่ทำมันจางอีก”
คนรอถอนหายใจเฮือกใหญ่ อุตส่าห์ลุ้น “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยนี่นา” ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มขึ้นในความมืด แขนแกร่งโอบรัดร่างในอ้อมกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมเพื่อให้แน่ใจว่าอากาศหนาวเย็นในคืนนี้หรือแม้แต่ภยันตรายใด ๆ ก็ตามจะไม่สามารถกล้ำกลายผิวเนื้อนุ่มมือนี้ได้
จบจ้ะ