ตอนพิเศษ (3)
สิบแปดนาฬิกาตรงทุกชีวิตบนถนนต่างพากันหยุดกิจกรรมเมื่อเสียงประกาศตามสายเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงชาติไทย บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พลอยพากันยืนนิ่งไปกับเขาด้วย ทันทีที่จบเพลงความมีชีวิตชีวาก็กลับคืนสู่ถนนราชดำเนินหรือถนนคนเดินท่าแพแห่งนี้อีกครั้ง
ร่างสูงก้าวที่ในมือกำถุงใส่พวงมาลัยดอกมะลิมองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามจากฝั่งจากกำแพงเมืองเก่าเดินปะปนไปกับผู้คนที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนตำบลใดกันบ้าง สองเท้าก้าวไปตามทางชื้นแฉะเพราะฝนที่ขาดเม็ดไปได้เพียงไม่นาน แม้ท้องฟ้าจะยังคงขมุกขมัวแต่เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็พร้อมใจหุบร่มพับเก็บผ้าพลาสติกเพื่อแสดงสินค้าและร้องเรียกคนผ่านไปผ่านมาให้แวะชมด้วยภาษาคำเมืองหวานหู
นัยน์ตาสีเข้มที่บัดนี้ปราศจากแว่นสายตามาบดบังกวาดตามองไปยังร้านรวงที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ในใจนึกทบทวนว่านานเท่าไรกันที่ไม่ได้มาเดินเที่ยวในย่านสำคัญแห่งนี้ พยายามมองหาเพื่อนฝูงที่รู้จักแต่ก็ไร้วี่แววจะได้พบเจอ นั่นคงเพราะต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานลงหลักปักฐานยังที่ต่าง ๆ เหนือน่านเดินมาหยุดที่หน้าร้านขายของที่ระลึกซึ่งทำจากผ้า มีทั้งกระเป๋า หมอน พวงกุญแจและของแต่งบ้าน ชายหนุ่มโน้มตัวลงหยิบเจ้าตุ๊กตาทำจากเศษผ้าสีสดที่ดูคล้ายจิงโจ้ผสมกับสุนัขหูตูบขึ้นมาจากกองตุ๊กตาก่อนจะจ้องมองมันด้วยความสงสัย ตาโต ๆ กับท้องป่อง ๆ นั่นดูแล้วชวนขันยิ่งนัก
“เอาตัวมอมไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหมคะพี่”
“ตัวมอม?” เหนือน่านทวนคำ “ที่เห็นปีนอยู่ตามทางขึ้นวิหารในวัดน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะพี่” เจ้าของร้านสาวสวยยิ้มหวาน
‘ไม่เหมือนเลยสักนิด’ นักพฤกษศาสตร์หนุ่มคิดในใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมที่จะควักเงินจ่ายด้วยเหตุผลที่ว่ามันน่ารักดีและทำให้นึกถึงใครบางคน
เสียงเรียกเข้าและแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงทำให้เหนือน่านต้องสลัดความคิดนั้นทิ้ง รีบรับถุงกระดาษจากเจ้าของร้านคนสวยก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมากดรับสาย
“ว่าไง” กล่าวในขณะที่เท้าก้าวต่อ เพิ่งสังเกตเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ผู้คนดูหนาตาขึ้น การเดินจึงไม่คล่องตัวนักเพราะนอกจากต้องคอยระวังไม่ให้เหยียบพื้นรองเท้าของคนข้างหน้ายังต้องระวังไม่ให้ชนเข้ากับคนที่กำลังเดินสวนทางมา
“ทำอะไรอยู่”
“ซื้อของอยู่”
“ดีจังเลยเนอะ ลงจากดอยมาแทนที่จะโทร.มาบอกคิดถึงกันสักคำ ไม่มีเลย”
คนฟังหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของอีกฝ่าย “ก็บอกแล้วไงว่ามายืนอยู่ตรงหน้าสิแล้วจะพูดให้ฟัง”
“ให้มันจริงเถอะ ถ้าธามไปอยู่ตรงหน้าน่านจริง ๆ จะให้น่านตะโกนว่าคิดถึงธามให้เขาได้ยินกันทั้งถนนเลยดีไหม”
คำพูดนั้นของธามทำเอาชะงักกึก เหนือน่านกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่เพราะไม่มีแว่นสายตาจึงทำให้ความสามารถในการมองภาพระยะไกลไม่ดีเท่าที่ควร
“รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ไหน”
“วันอาทิตย์แบบนี้ แถมมีทั้งเสียงรถเสียงคนดังขนาดนี้ อยู่ถนนคนเดินแน่ ๆ เดาไม่ถูกก็บ้าแล้ว”
“แล้วไป”
“ทำไม คิดว่าธามอยากฟังน่านพูดว่าคิดถึงกันจนต้องขับรถไปเชียงใหม่อย่างนั้นเหรอ”
“ใครจะไปรู้ ก็เห็นชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย” คนอายุมากกว่าถอนใจพลางเลี่ยงหลบกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนมา
“หลงตัวเอง ไม่ได้อยากฟังมากขนาดนั้นหรอกน่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“แล้วนี่จะกลับบ้านตอนไหน ค่ำแล้วนะ”
“ยังทำธุระไม่เสร็จ”
“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ธามไม่กวนแล้ว”
“ด...เดี๋ยวสิ ทำไมวันนี้ยอมวางง่าย ๆ”
“ก็น่านบอกเองว่าจะไปทำธุระนี่นา”
“ก...ก็ใช่”
“ทำไม? อยากคุยกับธามต่อเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ค...แค่...รู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งคุยนานกว่านี้”
“พี่น่านอยากคุยต่อก็บอกสิครับ ธามจะได้ไม่วางสาย”
“อ...ไอ้เด็กเพี้ยน บอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างนั้น เราก็แค่...”
“เอาละ ๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ธามไม่กวนแล้วจริง ๆ แค่นี้นะ”
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด!!!‘อยากได้ยินเสียง’“อ...อ้าว ยังพูดไม่ทันจบเลย”
เหนือน่านโคลงศีรษะก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า นักท่องเที่ยวที่แห่แหนมารวมกันอยู่ที่นี่ทำให้ระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรดูไกลขึ้นไปอีก กว่าจะฝ่าผู้คนออกมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม ชายหนุ่มหยุดพักที่สุดปลายถนนทอดตามองไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระสิงห์วรมหาวิหารเป็นวัดเก่าแก่ของชาวเมืองเชียงใหม่ นัยน์ตาพร่าเพราะแสงไฟหน้ารถที่สัญจรขวักไขว่ หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นานกระทั่งเห็นรถทิ้งช่วงจึงตัดสินใจก้าวไปตามทางม้าลายแต่แล้วเสียงแตรที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องชักเท้ากลับ
ชายหนุ่มมองรถจักรยานยนต์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนใจเฮือกพร้อมกับประโยค ‘เกือบเอาชีวิตมาทิ้งที่หน้าวัดเสียแล้ว’ ผุดขึ้นในหัว กระนั้นเหนือน่านยังต้องตกใจยิ่งกว่าเพราะจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่มือของตนเอง ไล่มองเรื่อยไปตามลำแขนแกร่งกระทั่งหยุดที่ใบหน้าอาบแสงสีนวลของไฟถนนก็พบว่าเขาคือคนที่เพิ่งวางสายจากกันไปเมื่อไม่นานนี่เอง ยังไม่ทันจะถามไถ่ให้ได้ความอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นด้วยเสียงขรึมทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเด็กไม่รู้ประสา
“เดินข้ามถนนไม่ระวังเลย เกือบถูกรถชนแล้วเห็นไหม”
“ก็เพราะไม่เห็นน่ะสิ” คนอายุมากกว่าบ่นมุบมิบในขณะที่เท้าก็ยังคงก้าวตามอีกฝ่ายต้อย ๆ
เมื่อข้ามถนนมาได้ธามก็ค่อย ๆ คลายมือออกสบตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถาม
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
“หลังจากน่านออกมาจากร้านน้ารินสักพัก น้ารินบอกว่าน่านไปตลาดวโรรสแล้วจะมาเดินเล่นที่นี่ธามก็เลยตามมา”
“เราพูดผิดที่ไหนกัน ชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาป...เป็น...”
“หืม?”
“ว...วุ่นวายอยู่เรื่อย” เหนือน่านมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้เลย
“เอาน่า เก็บไว้บ่นรวมกันครั้งอื่นได้ไหม แล้วนี่จะไปไหน”
“ไปไหว้พระขอพร”
“ให้ธามไปด้วยคนนะ”
“มีมาลัยมาพวงเดียว”
หนุ่มกรุงเทพฯ คลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงตั้งแง่ “ดีเลย น่านไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาเจอกันอีก”
“ชาติเดียวก็แย่แล้ว” พูดจบก็เดินผ่านกำแพงซึ่งมีสิงห์คู่สีขาวตั้งเด่นอยู่เหนือซุ้มประตู
“ต้องไปไหนก่อน”
“เข้าไปในโบสถ์ก่อน”
ธามพยักหน้าหงึกเดินตามเจ้าถิ่นไปอย่างว่าง่าย หลังจากนมัสการพระประธานในโบสถ์แล้วเหนือน่านก็พาวิศวกรหนุ่มเดินไปยังวิหารลายคำซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมศิลปะล้านนา ด้านหน้ามีสิงห์คู่และปูนปั้นรูปพญานาคทอดตัวลงมานามแนวราวบันได ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อกันว่าคนที่เกิดปีมะโรงควรต้องหาโอกาสมาไหว้ให้ได้สักหน
สองคนเดินผ่านซุ้มประตูช่องประตูเข้าไปในวิหารที่ประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมเรื่องราวในวรรณคดีไทย ตรงหน้าคือพระพุทธรูปสีทองอร่ามรับกับฉากหลังซึ่งเป็นผนังที่เขียนภาพลายทองบนพื้นแดงทำเอาคนเพิ่งเคยมาครั้งแรกถึงกับตะลึงในความงดงามของศิลปกรรมที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ทิ้งเอาไว้ให้
“สวยจัง” ธามกล่าวก่อนจะนั่งลงกราบพระ
“เอาพวงมาลัยไปบูชาพระสิ” พูดจบเหนือน่านก็ส่งมาลัยดอกไม้กลิ่นหอมเย็น ๆ ที่เตรียมมาให้ในขณะที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีลังเลที่จะรับไว้อย่างเห็นได้ชัด
“น่านเอาไปบูชาเถอะ นี่มันของน่านนี่นา”
“น้ารินบอกว่าคนที่เกิดปีมะโรงชีวิตหนึ่งต้องมาไหว้พระสิงห์ให้ได้สักครั้ง เราให้ ธามเอาไปบูชาพระเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าพลางรับพวงมาลัยดอกมะลิมาถือไว้ก่อนจะคลานไปวางบนแท่น จากนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับออกมาจากวิหาร และธามก็ไม่ลืมที่จะถามคำถามที่ตัวเขายังคงข้องใจ
“น่านมาที่นี่ตั้งใจจะมาขอพรให้ตัวเองหรือขอให้ใครกันแน่”
เจ้าของชื่อกลับมาสบตาก่อนจะตอบด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังยิ้มไม่หุบ
“เราตั้งใจจะมาขอพรให้คนเกิดปีมะโรง”...
รถสองแถวสีแดงแล่นฝ่าความมืดหนีการจราจรคับคั่งในบริเวณคูเมืองกระทั่งมาหยุดส่งผู้โดยสารยังสะพานซึ่งมีโครงเหล็กครอบ ทอดตัวเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำปิงเข้าไว้ด้วยกัน
“คุ้นตาที่นี่จัง” ธามเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวลงจากรถ
“เคยเห็นในหนังละมั้ง มีหนังหลายเรื่องมาถ่ายที่นี่ สะพานนี้เขาเรียกว่าสะพานเหล็กหรือสะพานดำ ถนนลอยเคราะห์” พูดจบก็เดินไปยืนเกาะราวสะพานทอดตามองแสงไฟระยิบระยับที่เห็นอยู่ไกล ๆ “แล้วนี่จะกลับเมื่อไร”
“อะไรกัน เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถามถึงวันกลับเสียแล้ว” น้ำเสียงตัดพ้อนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัว ทันทีที่อีกคนก้าวมายืนข้างกันก็ทำให้นึกขึ้นมาได้จึงยื่นถุงกระดาษให้
“อ่ะนี่ เราให้”
“อะไร”
“เปิดดูสิ”
ธามล้วงมือลงไปในถุงกระดาษก่อนจะดึงตุ๊กตาผ้าหน้าตาตลกออกมา “ตุ๊กตาเหรอ”
“อื้อ คนขายเขาบอกว่ามันคือตัวมอม แต่เราว่าไม่เหมือนเท่าไร จริง ๆ แล้วที่เห็นอยู่ตามวัดมันคล้าย ๆ ลิงผสมเสือ ตำนานทางเหนือเล่าเกี่ยวกับตัวมอมว่าเอาไว้สำหรับแห่ขอฝน”
“เหมือนแห่นางแมวเลย”
“อืม นั่นแหละ”
“น่ารักดีเนอะ”
เหนือน่านพยักหน้ายิ้ม ๆ รู้สึกดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายชอบของที่ตนเองให้ แต่แล้วคำพูดต่อมากับสายตาหวานเชื่อมของธามก็ทำให้ต้องเสมองไปทางอื่น นึกอยากจะเขกหัวตัวเองที่ดันมาตกม้าตายแสดงท่าทีเขินอายต่อหน้าผู้ชายด้วยกันเช่นนี้
“หมายถึงคนให้นะ”
ธามขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดไหล่ ตาคมละจากปรางแก้มสีนวลยามต้องแสงไฟจากนั้นก็มองออกไปยังเวิ้งน้ำท่ามกลางความมืด ต่างคนต่างปล่อยให้ลมพัดเอาไอเย็นจากสายน้ำขึ้นมากระทบผิวหน้า ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมสองร่างเอาไว้และปล่อยหัวใจได้ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้
“อยากรู้จังว่าภาพที่น่านเห็นอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง”
“มันเบลอ ๆ แต่รู้ว่าเป็นแสงไฟ”
“จริงสิ เพิ่งสังเกตว่าวันนี้ไม่ได้สวมแว่น”
“ลืมไว้ที่บ้านพักบนสถานีน่ะ”
“อืม...” มือหนายกขึ้นถูปลายคางของตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมารวดเร็วราวกับเด็กชายที่คิดเกมสนุก ๆ ได้ “น่านหลับตาแล้วยืนอยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องตามมา” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเริ่มเดินถอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดปลายสะพาน
“น่านลืมตาได้แล้ว ดูซิว่ามองเห็นธามชัดไหม” ธามป้องปากร้องถาม คนถูกถามจึงลืมตาขึ้นพยายามหรี่ตามองจนในที่สุดก็โบกมือให้รู้ว่า ‘ไม่’ เป็นคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นหลับตานะ พอตอบเสร็จก็หลับตาทุกครั้ง”
แม้เหนือน่านจะไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของอีกฝ่ายสักเท่าไรนักกระนั้นเขาก็ยังยอมทำตามแต่โดยดี ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอีกครั้งรอกระทั่งเสียงขานคำถามดังขึ้น
“แล้วถ้าใกล้เข้ามาอีกหน่อยอย่างนี้ล่ะ”
คำตอบที่ได้ยังคงเป็นเช่นเดิม
“ชัดหรือยัง”
“มันไม่ชัด”
“นี่ล่ะ ชัดไหม” พูดพลางขยับใกล้เข้ามาอีกแต่ก็ยังใกล้ไม่พอที่จะทำให้คนสายตาสั้นเห็นชัด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มยังคงโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวันก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามากระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่กับข้างแก้มกับคำพูดแผ่วเบาที่ข้างหู
“ลืมตาสิน่าน แล้วตอบธามทีว่าใกล้ขนาดนี้น่านเห็นธามชัดไหม”
ธามจ้องเปลือกตาที่กำลังปรือขึ้นช้า ๆ พลางยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ารักแบบที่แม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นนัก
“ธามมายืนอยู่ตรงหน้าน่านแล้วนะ”
“เห็นแล้ว”
“ถ้าเห็นแล้วก็พูดให้ชื่นใจหน่อยว่าคิดถึงกันไหม”
เมื่ออยู่ต่อหน้ากันเช่นนี้ก็ยากที่จะหนีได้ โดยเฉพาะหนีความรู้สึกที่อยู่ในใจขณะนี้ เหนือน่านเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดพลางคลี่ยิ้มบางเบาก่อนจะกล่าว “คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย”
ธามอมยิ้มเมื่อในที่สุดก็ได้ฟังคำนั้นจากปากของคนรัก แต่ก็ไม่วายถามย้ำให้แน่ใจ “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยหรือเปล่า”
“แล้วหมาน้อยยอมให้เราจุ๊หรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าไม่ยอมจะมาข้ามป่าข้ามเขามาถึงนี่เหรอ เต็มใจให้จุ๊เลยละ” พูดจบก็ดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้ก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่ที่ไม่อาจละไปไหนได้เลยแม้สักนาทีเดียว
คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยกมือข้างที่เหลือเสยผมสีเข้มที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคู่สนทนา “แต่เราไม่ได้จุ๊ เราพูดเรื่องจริง”
“พูดอีกรอบได้ไหม เมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งตัว”
“อีกสิบรอบหรือร้อยรอบก็จะบอกว่าคิดถึง อยากฟังเสียงแล้วก็อยากเห็นหน้า”เอาละสิทีนี้คิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไรดี ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เสียแล้วสิธามเอ๋ยธาม...
จบจ้ะ
ภาพปลากรอบ >>>
https://www.facebook.com/AmInTheSky/posts/609478345905223 สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ฝนตกเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ
ขอบคุณคุณ Ailime13 ที่แนะนำเรื่องนี้นะคะ ^^ (ขออนุญาตปัดพื้นแล้วกราบบบบบบเบญจางคประดิษฐ์ที่สาธุประดิษฐ์ค่ะ)