ปลายทาง...ยังคิดถึง (ตอนพิเศษ)
“รู้ไหมว่าความคิดถึงของเรามีความยาวเท่าไร”ตาคมยังคงไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงแน่นอยู่บนกระดาษ ดูเหมือนว่าประโยคที่จบลงไปเมื่อครู่จะไม่สามารถทำลายสมาธิที่จดจ่ออยู่กับตำราเล่มโตบนหน้าตักได้หากมือขาวไม่ยกขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วถามกลับด้วยถ้อยคำสั้น ๆ
“เท่าไร”
“เท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ส่วนความกว้างก็เท่า...”
เสียงนั้นเงียบหายไปอย่างผิดสังเกตจนคนฟังต้องละจากหนังสือพร้อมกับหันไปมองคนพูด เห็นว่าเจ้าของร่างซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่ไม่ไกลกำลังยกแขนทั้งสองข้างขึ้นในอากาศ สองแขนค่อย ๆ ขยายห่างออกจากกันราวกับกำลังกะขนาดของอะไรบางอย่างจนในที่สุดก็แนบลงกับที่นอนเมื่อไม่อาจจะประมาณได้ถูก
นักพฤกษศาสตร์หนุ่มส่ายศีรษะ ยิ้มน้อย ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็นก่อนจะก้มลงให้ความสนใจกับตำราพันธุ์ไม้เมืองหนาวบนตักอีกครั้ง กระนั้นปากก็ยังถามต่อ “เท่าไหน”
“เท่านี้ไง”
คำพูดชวนสงสัยทำให้เหนือน่านจำต้องปิดหนังสือ หวังจะหันกลับไปดูให้รู้ว่าความคิดถึงของธามมีขนาดเท่าไรกันแน่ แต่ก็ไวไม่เท่ากับสองแขนของอีกฝ่ายที่กอดรัดรอบเอว แม้อากาศยามค่ำคืนจะหนาวเย็นหากแต่แผ่นหลังกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นเมื่อแผงอกแนบชิด
“เท่านี้แหละ” ธามกระซิบเบา ๆ หลังจากพาดคางลงบนบ่าของคนอายุมากกว่า จากนั้นก็ขยับห่างออกเพียงนิดเพื่อให้มีพื้นที่พอที่จะให้ปลายจมูกได้สัมผัสกับผิวแก้มแสนคิดถึง ในขณะที่เหนือน่านเองก็เอี้ยวตัววางตำราลงบนลิ้นชักข้างเตียง ถือโอกาสหนีให้ห่างจากสัมผัสที่ทำให้หัวใจวูบไหว
“แล้วน่านล่ะ คิดถึงเราเท่าไหน”
“ความคิดถึงของเราไม่มีความยาว ไม่มีความกว้าง ไม่มีน้ำหนัก”
“ไม่คิดถึงก็บอกตรง ๆ” วิศวกรหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับคลายวงแขนออกเปลี่ยนมาเป็นนั่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าคมสันที่เชิดขึ้นไม่ผิดจากเด็กชายขี้งอนดูแล้วยิ่งชวนหมั่นไส้ กระนั้นคนมองกลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ยังไม่ทันพูดสักคำว่าไม่คิดถึง” ขยับเข้าใกล้พร้อมกับแตะปลายนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือลงบนหว่างคิ้วของคนอายุน้อยกว่าแล้วลากปลายนิ้วทั้งสองให้ห่างจากกันเพื่อให้หัวคิ้วนั้นคลายออกพร้อมกับกล่าวต่อ “ความคิดถึงของเราไม่มีขนาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น”
“แล้วธามจะรู้ได้ยังไงว่าน่านคิดถึง” ธามว่าพลางรั้งมือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้
“รู้สิ เพราะความคิดถึงของเรามีรส”
“รสอะไรเหรอ” คนถามทำหน้าฉงน
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องให้ธามเป็นคนตอบ” เหนือน่านคลี่ยิ้มจาง ๆ ทอดตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามก่อนจะขยับเข้าใกล้ ก่อนที่กลีบปากอุ่นจะแตะลงบนริมฝีปากเย็นเฉียบเพื่อส่งผ่านความรู้สึกไปให้กัน ไม่ถึงอึดใจก็ผละออกในขณะที่คนไม่ทันตั้งตัวได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย
“รู้หรือยังว่ารสอะไร”
“ไม่ค่อยแน่ใจ ขอใหม่ได้ไหม” ว่าแล้วก็รวบตัวเจ้าของรสจูบมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง กำลังจะหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ดั่งใจเพราะแรงดันจากสองมือที่แผงอก
“พอแล้วไอ้เด็กเพี้ยน ใครจะไปให้” คนตกเป็นรองรีบประท้วง
“อะไรนะ อ๋อ...ใครจะไม่ให้” พูดจบก็ทำหน้าทะเล้น แกล้งทิ้งน้ำหนักจนอีกฝ่ายหงายลงจนแผ่นหลังแนบกับเตียง
ธามยิ้มน้อย ๆ เมื่อแรงต้านเมื่อครู่กลายเป็นเพียงสัมผัสบางเบาที่สองบ่าของตนเอง จัดการดึงแว่นสายตาของคนใต้ร่างออกแล้ววางทับบนหนังสือ เมื่อไม่มีสิ่งใดกั้นกลางดวงตาสองคู่ก็สบกันอยู่เนิ่นนานท่ามกลางความเงียบงัน
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง”
“ไม่เคยเห็น คนอะไรชอบจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย”
“เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นหมา”
“ถึงจะเป็นหมา แต่หมาน้อยอย่างธามขึ้นดอยมาแล้วไม่กลับไปมือเปล่าแน่ ๆ”
คำพูดกับแววตาแฝงความหมายนั้นทำเอาคนฟังจำต้องเสมองไปทางอื่น แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อมือใหญ่รั้งปลายคางให้หันกลับมาเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าอีกครั้ง
“จะทำอะไร”
“ก็จะหาคำตอบว่าความคิดถึงของน่านรสชาติเป็นยังไงกันแน่”
ว่าแล้ววิศวกรหนุ่มก็ลงมือค้นหาคำตอบโดยการระเลียดรสความคิดถึงนั้นอีกครั้ง...ฟ้าสางเมื่อไรคงได้คำตอบที่ชัดเจนแน่ ๆ ถึงตอนนั้นก็คงตอบได้แล้วว่าความคิดถึงของน่านนั้นหวานหอมเพียงไร...
“ธาม” เสียงเรียกนั้นดังอยู่ข้างหู มันแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครอื่นมาได้ยิน
“ธามตื่นเถอะ”
เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นและภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนรัก แม้ปกติจะชอบวางหน้านิ่งแต่เขาก็มักจะสังเกตเห็นรอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาคู่นี้ได้อยู่ดี
“เช้าแล้วเหรอ”
“ตีสามครึ่ง” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับแทรกเรียวนิ้วเสยผมยุ่งเหยิงที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนที่กำลังใช้มือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย “ข้าวพ่อกับแม่ของต้นข้าวเพิ่งมาถึง”
ธามชะงักก่อนจะพยายามลืมตาสู้แสงจากหลอดไฟนีออน มองไปรอบ ๆ ให้ถ้วนถี่ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ใดกันแน่ ในที่สุดเมื่อดวงตาชินกับแสงวิศวกรหนุ่มก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ และตรงหน้าก็คือห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำอำเภอ
“พ่อกับแม่ของต้นข้าว...”
“อืม เพิ่งมาถึงสักพักน่ะ โชคดีนะที่เจ้าตัวเล็กไข้ไม่สูงมาก ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ ๆ เลย” คนอายุมากกว่ากล่าวก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่คนฟังพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และภาพสุดท้ายก่อนที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้ก็คือ...
“ธ...ธาม พอก่อน”
คำขอร้องไม่อาจหยุดฝ่ามือใหญ่ที่กำลังลูบไล้ไปบนผิวเนื้อได้ ซ้ำกลีบปากอิ่มยังแกล้งดูดดึงเบา ๆ ที่ซอกคอก่อนจะเลื่อนขึ้นไปกระซิบชิดใบหู
“ธามไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนนะ”
เสียงแหบพร่าทำเอาสองแก้มขาวค่อย ๆ เจือสีแดงระเรื่อเพราะเลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้นพอ ๆ กับหัวใจที่เต้นรัวราวกลองสะบัดชัย
“ธ...ธาม พ...อื้อ...”
ริมฝีปากอุ่นที่ประกบลงมาทำให้ไม่สามารถกล่าวถ้อยคำใด ๆ แม้สมองจะสั่งให้หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้แต่หัวใจและร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มือขาวคลายจากบ่ากว้างก่อนจะไล้ลงไปตามลำตัวที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เผลอรั้งเสื้อของอีกฝ่ายอีกฝ่ายขึ้นเสียแล้ว
“ไหนบอกว่าให้หยุดไง” ธามกล่าวพร้อมกับถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“พูดมากน่า” เจ้าของแก้มขึ้นสีตอบห้วน ๆ ดวงตามองคนเหนือร่างที่กำลังยืดตัวขึ้นจัดการถอดเสื้อยืดใส่นอนแล้วปามันไปอีกทาง
“ถ้าอย่างนั้นขอถามคำถามสุดท้าย”
“อะไร”
“จะให้ธามหยุดแค่นี้ไหม ถ้าน่านต้องการ ธามจะหยุดตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้”
เหนือน่านไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงแต่ยกตัวขึ้นพร้อมกับใช้สองแขนคล้องที่ลำคอแกร่งก่อนจะรั้งคนพูดลงมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
“อยากทำอะไรก็ทำ” กล่าวเมื่อปลายจมูกสัมผัสกัน
ถ้อยคำง่าย ๆ ทำดวงตาคมกริบทอประกายวิวบวับ จู่ ๆ หัวใจก็ทำงานหนักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ธามประทับจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ลำคอระหงก่อนจะเลื่อนขึ้นมาตามแนวสันคาง สุดท้ายก็ไม่ลืมให้รางวัลกลีบปากบางที่วันนี้ยอมเผยความความในใจให้รู้
“อ...อื้อ...ธ...ธาม” เสียงนั้นขาด ๆ หาย ๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงต่ำในขณะที่ริมฝีปากยังไม่คลายจากกัน พลันหูก็ได้เสียงโวกเวกดังแว่วขึ้นท่ามกลางเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่ด้านนอก
“อ้ายธิ!”
“ธ...ธาม หยะ...”
“อ้ายธิ!”
“ธามหยุดก่อน” พูดพร้อมกับคว้าข้อมือที่กำลังวนไล้อยู่ที่หน้าท้อง “หยุดก่อนนะ” ว่าพลางรั้งมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบที่แก้ม เงี่ยหูฟังความเป็นไปที่ด้านนอก
“อ้ายธิ!”
“ร...เรา...ไปดูนะ” เอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าธามไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านจึงยันกายลุกขึ้น หยิบแว่นสายตามาสวมก่อนจะเดินไปมุ่งหน้าไปยังประตูระเบียง ทันที่ประตูเปิดออกความหนาวเย็นจากก็ปะทะเข้ากับร่างจนผิวกายชาไปหมด ดวงตาภายใต้กระจกใสมองตามแสงจากกระบอกไฟฉายที่กำลังส่ายไปมาอยู่หน้าเรือนพักของหัวหน้านักวิจัยซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปยนเนิน
“อ้ายธิ! อยู่หรือเปล่าเจ้า” เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่ธิไม่อยู่หรอกครับ ไปในเมืองตั้งแต่เช้า” เหนือน่านตะโกนบอก รอกระทั่งแสงไฟใกล้เข้ามาจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ ‘ต้นข้าว’ ลูกสาววัยสิบปีของคนงานในสถานีวิจัยนั่นเอง
“อ้ายน่าน อ้ายน่านช่วยน้องหนูด้วย น้องตัวร้อนจี๋เลย ยายบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล พ่อกับแม่ไปงานศพที่ลำพูนตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับ หนูเลยมาหาพี่ธิ” เสียงสะอื้นฮักทำเอาคนฟังใจคอไม่ดี
“รอเดี๋ยวนะ พี่ไปเอากุญแจรถก่อนแล้วจะพาไปโรงพยาบาล”
เมื่อเหนือน่านกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งเขาก็เห็นว่าธามที่สวมเสื้อเรียบร้อยกำลังยืนรออยู่แล้ว
“ธามพาไปเอง เรารีบไปกันเถอะ”“ธาม คิดอะไรอยู่”เมื่อมืออุ่นแตะที่ลำแขน ความคิดที่ล่องลอยไปไกลก็กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เจ้าของชื่อส่ายหัวเบา ๆ ไล่ภาพของอีกฝ่ายกับคำพูด ‘อยากทำอะไรก็ทำ’ ที่ยังคงก้องอยู่ในหู ก่อนจะตอบ “เปล่า”
“แล้วเป็นอะไร ยังง่วงอยู่เหรอหรือว่าโกรธอะไรเรา ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
ธามส่ายหัวดิกก่อนจะปฏิเสธ “ธามจะโกรธน่านเรื่องอะไร น่านดีขนาดนี้” ว่าแล้วก็ถือโอกาสเอียงศีรษะลงบนไหล่ของคนที่ความสูงพอ ๆ กันพร้อมกับหาวหวอด ๆ
“ถ้าง่วงก็ไปนอนในรถ ขืนนอนแบบนี้ปวดคอแน่” นักพฤกษศาสตร์หนุ่มทอดตามองมือใหญ่ที่เลื่อนมากุมมือของตนเอง
“ไม่เอา ธามอยากกลับบ้าน ยังเสียดายไม่หาย”
“เสียดายอะไร” เหนือน่านถามซื่อ ๆ
“เสียดายเรื่องที่ทำค้างไว้เมื่อตอนหัวค่ำ”
คำตอบแบบตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังไปไม่เป็นได้แต่ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเอง แล้วจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ลุกพรวดขึ้น
“รีบไปกันเถอะ”
“จะไปไหน”
“กลับบ้านไง”
“กลับได้ยังไง ประตูอุทยานยังไม่เปิดเลย ต้องรอหกโมงเช้าโน่น”
“ถ้าอย่างนั้นไปรอในรถนะ” ธามกล่าวพลางรั้งแขนอีกคนให้ลุก “เร็ว ๆ รีบไป”
“จะรีบไปไหนเนี่ย” เหนือน่านบ่นแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย และหากเขาตั้งใจฟังดี ๆ คงได้ยินประโยคสุดท้าย...
“ระหว่างรอ เราจะได้ทำเรื่องที่ค้างไว้ต่อด้วย"...จบ...