พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-05-2015 14:15:27

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-05-2015 14:15:27
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 26-05-2015 14:17:14
เข้ามารอจ้า..^^
หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-05-2015 14:20:45
ปลายทางคิดถึง

เรื่องย่อ : ถ้าโลกของผมเป็นโลกเบี้ยว ๆ ที่หลอมรวมขึ้นจากความเร่งรีบดิ้นรนไขว่คว้าแล้วละก็ โลกของเขาคงเป็นโลกที่เข็มวินาทีเดินช้าและท้องฟ้าก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่ากำลังขาจะไปถึง และถ้าหากภาพการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาเป็นภาพชินตาที่ผมเห็นทุกเช้า ในโลกที่แสนเงียบสงบของเขา เขาและใคร ๆ กลับตื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คนอื่น เป็นโลกคนละใบ…แต่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยความคิดถึง


เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)


สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3072425#msg3072425)
ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3073073#msg3073073)
ส่งคืนเจ้าของ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3076184#msg3076184)
ปัจฉิมลิขิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3080254#msg3080254)
ตอนจบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3082320#msg3082320)

ตอนพิเศษ


ตอนพิเศษ (1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3087956#msg3087956) 
ตอนพิเศษ (2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3098675#msg3098675) 
ตอนพิเศษ (3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3144898#msg3144898) 



บทนำ




คุณเคยยิ้มให้โปสการ์ดหนึ่งใบที่นอนเงียบ ๆ อยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านบ้างไหมครับ?



ผมเคยคิดว่าคำถามนี้มันฟังดูเพ้อฝันพิลึก จนกระทั่ง...



(http://upic.me/i/6e/wlqnn.png)





“รับจดหมายด้วยครับ”



ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นก็คือพนักงานไปรษณีย์กำลังยืนรออยู่ที่นอกรั้ว ร่างสูงจัดการวางหนังสือลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเซ็นรับเอกสารสำคัญและพัสดุจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามา

ธามนั่งลงที่เดิมวางกล่องกระดาษใบย่อมลง แล้วจึงพลิกซองจดหมายในมือเพื่อดูว่ามันคือเอกสารอะไรบ้าง พลันตาคมก็สะดุดเข้ากับโปสการ์ดใบเล็ก ภาพบนโปสการ์ดคือภาพถ่ายตอนกลางคืนของสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคย มองเห็นเนินเขาสลับซับซ้อน ที่เห็นเป็นแนวยาวบนเนินนั่นก็คงจะเป็นโดมพลาสติกที่ใช้คลุมหน้าแปลงปลูกพืชหรือดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ภายในโดมเปิดไฟสีเหลืองนวลยาวตลอดแนว มองจากที่ไกล ๆ แล้วคล้ายกับดวงดาวบนผืนดินไม่มีผิด ชายหนุ่มยังคงจ้องกระดาษในมือไม่วางตาในขณะที่ลมหายใจร้อนถูกผ่อนผ่านปลายจมูกครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยหัวใจล่องลอยไปกับภาพที่เห็นจนไม่ทันได้ใส่ใจคนที่เดินถือตะกร้าผลไม้มาหยุดตรงหน้า


“ส่งมาอีกแล้วเหรอลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นขณะนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม


ธามเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามที่ดูว่าจะไม่ได้จริงจังกับคำตอบของเขานัก เห็นได้จากเมื่อถามแล้วอีกฝ่ายก็จัดการวางตะกร้าบนโต๊ะก่อนแยกจานและมีดที่ใส่ไว้ด้วยกันออกจากตะกร้า จากนั้นจึงเอื้อมหยิบมะม่วงลูกโตขึ้นมาปอกเงียบ ๆ 


“ครับแม่” ลูกชายตอบในขณะที่ผู้เป็นแม่แทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยด้วยซ้ำ ทำเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ กระนั้นธามก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ระบายอยู่บนใบหน้าของแม่ได้อย่างชัดเจน


...



ประตูห้องนอนถูกปิดลงก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนนุ่ม พลิกอ่านข้อความที่เขียนไว้ด้านหลังโปสการ์ด


หวัดดี แกสบายดีนะ ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เดือนหนึ่งแล้วละ อยากคุยกับแกว่ะ ติดต่อแกไม่ได้เลย

แต่ก็หวังว่าแกจะได้รับโปสการ์ดของฉันและชอบมันนะ แล้วจะเขียนมาอีก คิดถึงแกว่ะ

                                                                                                                    น่าน

ปล. โทร.หาฉันด้วยล่ะ




นัยน์ตาสีเข้มไล่อ่านจนกระทั่งถึงอักษรตัวสุดท้าย มือคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพลางกดตัวเลขตามที่เจ้าของโปสการ์ดได้กำชับไว้ แต่แทนที่จะกดโทร.ออกกลับจ้องมองตัวเลขสิบตัวที่เรียงกันบนหน้าจอดิจิทัลอยู่อย่างนั้น คิ้วหนามุ่นเข้าหากันราวกับกำลังเจอโจทย์สมการที่ไม่สามารถแก้ได้ ในที่สุดธามก็วางมันลงที่ข้างตัวพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักหยิบโปสการ์ด 4-5 ใบมาวางรวมกับใบที่เพิ่งได้มาใหม่ตรงหน้า ซึ่งทุกใบลงชื่อคนส่งคนเดิมและมีรอยประทับตราที่แสดงให้รู้ว่ามาจากต้นทางเดียวกัน...



...



สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย วันนี้เราเรื่องสั้นมาฝากก่อน เพราะยังไม่มีเวลาเขียนเรื่องยาวค่ะ

มาคิดถึงไปพร้อม ๆ กันนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 26-05-2015 14:32:48
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่านะ มีบอกคิดถึงกันด้วย

ปอลอ... อ่านเนื้อความในโปสการ์ดแล้วมันเหมือน สาวน้อย ส่องให้เพื่อนหนุ่มเลยค่ะ เราชอบเรียกเพื่อนชายว่า 'แก'
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 26-05-2015 14:40:55
ธามกับน่าน ต้องมีความหลังอะไรกันซักอย่าง

มารอติดตามด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-05-2015 14:54:30
รอติดตามค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 26-05-2015 14:55:41
เหมือนกับธามงอนที่น่านต้องย้ายไปอยู่ไกลห่างกันเลยนะคะเนี่ย :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: nooklepper ที่ 26-05-2015 15:08:46
รอๆ จะสั้นก็รอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 26-05-2015 15:23:55
ไม่รู้ไปคุ้นชื่อธามมาจากไหน
นางเคยมีชื่อไปโผล่ในเรื่องก่อนๆมั้ยคะ
(ชอบรูปตรงลิ้งค์แต่ละเรื่อง น่ารักกกกก)
สงสารน่านนะ อุตส่าห์พยายามเรียกร้องความสนใจ
แต่โดน ignore ซะงั้น
รอติดตามตอนต่อไป อยากรู้เหตุผลของธาม
คุณแม่ก็รู้เห็นเป็นใจซะด้วยนะ มันต้องมีๆ
ปูเสื่อ~~~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 26-05-2015 15:34:12
ทำไมธามไม่ติดต่อกลับไปนะ
ทั้งที่ดูแล้วน่าจะคิดถึงน่านเหมือนกัน
รอติดตามนะคะ

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-05-2015 18:23:36
เข้ามาปูเสื่อรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 26-05-2015 19:42:03
มานั่งรอธามกับน่านด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ
ทำไมแค่โปสการ์ดก็ทำให้รู้สึกถึงความละมุนแล้ว

ต้นทางของโปสการ์ดนั่นมาจากไหนกันน้า?
นี่ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากแพ็คกระเป๋าตามไปแล้วล่ะค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 26-05-2015 19:59:12
น้ำตาจะไหลเมื่อเฟสบุ๊คแจ้งเตือนเพจ ถธปทฟ
นี่มันเรื่อง love postcard รึเปล่าคะเนี่ย 5555
น่านส่งโปสการ์ดมาเต๊าะธาม อุอิ อุอิ
ลุ้นๆ อัพต่อน้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (เกริ่น) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 26-05-2015 20:01:57
คนหนึ่งก็มีแต่คิดถึง  มีแต่คิดถึง555
ส่วนอีกคนก็ใจร้าย รับรู้ถึงความคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียวเนอะ555

รอเหตุผลว่าทำไมธามถึงทำแบบนี้ รอตอนต่อไปค่ะ

ชอบชื่อเรื่องจังค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ. จะเรื่องสั้นก็ทำให้หายคิดถึงผลงานของนักเขียนนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-05-2015 23:48:36
ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ


เชียงใหม่


บ้านไม้สองชั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในหลืบซอยของถนนสีหราชถูกปรับปรุงใหม่จนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน สีขาวสะอาดตาตัดกับสีเขียวของมวลหมู่แมกไม้ให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแก่บรรดานักท่องเที่ยวที่แวะเวียนกันเข้ามาหาเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือหาของหวานรับประทานให้หนักท้อง เติมพลังสำหรับการเดินทางที่จะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า


หลายคนเลือกนั่งโต๊ะจัดไว้ที่ลานหน้าบ้านซึ่งปูด้วยอิฐสีน้ำตาลแดง ในขณะที่บางคนเลือกนั่งที่บริเวณใต้ถุนของเรือนไม้หลังใหญ่ที่ด้านหนึ่งเป็นเคาท์เตอร์สำหรับผสมเครื่องดื่มติดกันเป็นตู้สำหรับวางเค้กที่เจ้าของร้านลงมือทำด้วยตัวเอง ประตูและบานหน้าต่างกระจกที่รายล้อมรอบตัวบ้านถูกพับเก็บเปิดให้ลมเข้า ดังนั้นไม่ว่าใครจะเลือกนั่งตรงไหนให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่ต่างกัน


วันนี้ลูกค้ามีจำนวนค่อนข้างหนาตาดังนั้น ‘เหนือน่าน’ หลานชายของ ‘อรินทร์’ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านจึงปักหลักยึดเอาโต๊ะญี่ปุ่นที่ริมระเบียงไม้ระแนงเป็นที่นั่งทำงานและอ่านหนังสือ ชายหนุ่มทอดตามองปลาคาร์ฟสีสดที่ว่ายเวียนอยู่ในสระน้ำซึ่งขั้นกลางแบ่งอาณาเขตระหว่างชายคาบ้านกับส่วนของสวนออกจากกัน ปล่อยใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อยกระทั่งมาสะดุ้งเมื่อเสียงโมบายแขวนหน้าต่างพร้อมใจกันดังขึ้นราวกับวงประสานเสียงยามต้องลมเย็นที่พัดผ่านมา


ไม่เท่านั้นกระแสลมยังทำให้หน้ากระดาษของหนังสือที่เปิดค้างไว้พลิกตีกันจนเกิดเสียงดังและเกือบจะทำให้โปสการ์ดทำมือ 2-3 ใบที่เสียบอยู่ระหว่างหน้ากระดาษปลิวไปตามแรงลม มือขาวรีบปิดหนังสือลงรอกระทั่งสายลมอ่อนกำลังจึงได้หยิบโปสการ์ดที่ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อเขียนถึงใครบางคนออกมาวางตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มจรดปลายปากกาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านตัวอักษร และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเขียนคำนี้เมื่อสุดพื้นที่ของกระดาษ       


คิดถึงแก

                                                           

เจ้าของโปสการ์ดวางปากกาลง ในใจได้แต่หวังว่าโปสการ์ดใบนี้จะนำพาเอาความคิดถึงของเขาส่งไปถึงคนที่ปลายทาง และในวันหนึ่งหากคนคนนั้นเกิดความรู้สึกที่คล้ายกัน เขาก็คงจะได้รับข่าวคราวหรือถ้อยคำแห่งความคิดถึงนั้นส่งคืนกลับมาบ้าง


“ทำอะไรจ๊ะหลานรัก” หม้ายสาวสี่สิบกะรัตเอ่ยขึ้นพลางถอดผ้ากันเปื้อนนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสวยเฉี่ยวที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาจ้องมองชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความลงในกระดาษสีขาวขนาดเท่ากับรูปถ่าย


“น่านเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตอบ


“เพื่อนหรือแฟนจ๊ะ”


“เพื่อนครับ เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ แยกย้ายกันไปตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่นั้นน่านก็ไม่ได้ข่าวมันอีกเลย นี่เพิ่งมาค้นเจอหนังสือรุ่นในห้องเก็บของ ก็เลยเขียนโปสการ์ดไปหามันให้โทร.กลับ แต่ก็ยังไม่เห็นโทร.มาสักที เบอร์ที่เคยมีก็ติดต่อไม่ได้แล้ว”


“อืม...น้าว่าเขาอาจจะงานยุ่งก็ได้นะ ดูอย่างหลานชายคนนี้ของน้าสิ พอเข้าวัยทำงานก็ทำแต่งานเป็นบ้าเป็นหลัง วัยกำลังจะคิดสร้างครอบครัวก็แบบนี้แหละ”


“นี่น้ารินหลอกว่าน่านหรือเปล่าเนี่ย” ชายหนุ่มเกาหัวแกรกในขณะที่ผู้เป็นน้าได้แต่ยิ้ม แทนที่เธอจะสนใจตอบคำถามนั้นกลับเปลี่ยนมาสนใจภาพถ่ายในกล่องกระดาษแทน


“ไหน...ขอน้าดูซิ” พูดพลางคุณน้าคนสวยก็หยิบภาพดอกไม้ 2-3 ใบขึ้นมาพลิกดู “นี่มันภาพถ่ายนี่นา”


“ครับ น่านเอามาทำเป็นโปสการ์ด น้ารินว่าสวยไหม”


“น่ารักดีจ้ะ ว่าแต่รูปพวกนี้น่านไปเอามาจากไหน”


“น่านถ่ายไว้ตอนที่อยู่บนสถานีเกษตร บางรูปก็ถ่ายตอนที่ตามหัวหน้าเข้าไปในป่า ลงจากดอยทีก็เอาไปเข้าร้านอัดออกมาเป็นรูปที ติดกระดาษที่ด้านหลังแค่นี้ก็กลายเป็นโปสการ์ดแล้ว”


อรินทร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ไม่คิดว่าหนุ่มนักวิจัยที่วัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าตำราและข้อมูลจะมีฝีไม้ลายมือในการถ่ายภาพกับเขาด้วย “เก่งเหมือนกันนะเรา ทำเยอะ ๆ สิ แล้วเอามาวางขายร้านน้า”


“จะดีเหรอน้า น่านว่าคงไม่มีใครซื้อหรอก” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก นั่นเพราะไม่คิดว่าโปสการ์ดภาพถ่ายฝีมือตากล้องมือสมัครเล่นจะโดดเด่นโดนใจจนทำให้ใครสามารถควักกระเป๋าจ่ายได้


“ดีสิ ลองดู ไม่ลองก็ไม่รู้ ทำสนุก ๆ อย่าไปคิดมาก เริ่มแรกเราก็ทำไม่ต้องมากนัก ถ้าขายไม่ได้ก็เอาไว้ส่งเป็น ส.ค.ส. ปีใหม่ เดี๋ยวน้าเหมาเอง เพื่อนน้าเยอะ ตกลงไหม”


เหนือน่านถอนใจยิ้ม ๆ เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจทนต่อคำรบเร้าของน้าแท้ ๆ ได้ ในที่สุดเขาก็ตอบตกลงรับขอเสนอของคนเจ้าความคิดอย่างน้ารินที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูราบรื่นง่ายดายไปเสียหมด ร้านกาแฟนี่ก็เหมือนกัน ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าทำเล่น ๆ เป็นงานอดิเรกแต่กิจการก็ไปได้ดีจนเกือบจะได้ทุนคืนทั้งที่เพิ่งเปิดมาไม่ถึงปี ลองดูสักตั้งอย่างที่น้ารินว่าจะเป็นไรไป


...



แก...


แกคงยุ่ง ๆ สินะถึงไม่ติดต่อกลับมาเลย แต่ไม่เป็นไร

เออนี่...เมื่อวันก่อนก่อนออกจากป่าลุงคนนำทางขอพรจากต้นไม้ต้นนี้ให้คณะของพวกเรา เป็นต้นใหม่ที่ใหญ่สุดในป่าแถบนี้

ลุงแกบอกว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หน้าหนาวปีนี้แกมาเที่ยวเชียงใหม่สิฉันจะพาแกมาที่นี่

แล้วก็จะพาแกไปกินของอร่อย ๆ รับรองว่าจะขุนแกให้อ้วนเลย ฉันจะรอแกนะ


                                                                                            คิดถึงแก
                                                                                                           
                                                                                                น่าน



ธามเปิดสมุดบันทึกหยิบโปสการ์ดใบล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อวันก่อนออกมาอ่าน มันเป็นโปสการ์ดที่ประทับตราต้นทางคือจังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่เล็กเขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ปิดท้ายด้วยคำว่าคิดถึงและลงชื่อผู้ส่งคนเดิม


“น่าน” จู่ ๆ ริมฝีปากอิ่มก็เรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตาคมยังคงไล่อ่านข้อความสั้น ๆ ในกระดาษใบน้อยซ้ำไปซ้ำมาราวกับมันประกอบขึ้นจากตัวอักษรเป็นล้าน ๆ ตัว ที่ใช้เวลานานเท่าไรก็อ่านไม่จบสักที


ธามพลิกอีกด้านหนึ่งขึ้นดู มันเป็นภาพที่เขารู้สึกชอบที่สุดตั้งแต่โปสการ์ดใบแรกถูกส่งมาเมื่อ 3 เดือนก่อน ภาพของต้นไม้ที่ยืนต้นเด่นตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณ ลำต้นขนาดหลายคนโอบนั้นปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดเห็นแล้วชวนให้นึกถึงอากาศเย็น ๆ ยามสายลมพัดพาเอาเมฆฝนเคลื่อนหายไปจากท้องฟ้า   


“ไอ้ธาม แกเป็นอะไรวะ ฉันเห็นแกนั่งจ้องโปสการ์ดใบนี้นานแล้วนะ” พูดจบก็นั่งลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นยากจะซ่อนเร้นเสียเหลือเกิน “เขาเขียนอะไรมายืดยาวนักวะถึงอ่านไม่จบสักที”


คนถูกถามรีบสอบโปสการ์ดเจ้าปัญหาลงในสมุดบันทึกก่อนจะปรายตามองอีกฝ่ายในขณะที่มือสองข้างยังคงยึดสมุดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะแน่น “ก็ไม่ได้เขียนอะไรยืดยาวหรอก เวลาแกเขียนโปสการ์ดแกเขียนอะไรบ้าง เขาก็เขียนแบบนั้นแหละ” ธามพูดตัดรำคาญ


“เออ ๆ ไม่อยากรู้ก็ได้วะ เตรียมตัวไปประชุมดีกว่า” ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะคว้าแฟ้มเอกสารเดินออกไปจากห้อง


ธามมองตามยักษ์ปักหลั่นอดีตนักรักบี้มหาวิทยาลัยตัวแทนคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกไปพลางทอดถอนใจ มือที่เกาะสมุดบันทึกค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่ใช้ปากกาคั่นไว้ นัยน์สีดำสนิทจ้องเขม็งที่ตัวเลขสิบหลักที่เขียนด้วยลายมือบนบรรทัดแรกของหน้ากระดาษ มันคือเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคนที่ให้ไว้ในโปสการ์ดใบหนึ่ง


ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลมือขึ้นมาจากนั้นจึงสัมผัสปลายนิ้วลงบนหน้าจอตามตัวเลขที่ปรากฏในกระดาษจนครบ ตัดสินใจกดโทร.ออกพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู นอกจากจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังโครมครามจนแทบจะหลุดออกจากอกแล้วยังได้ยินเสียง...


‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่...ท่า...น เรี...ยก’


ไม่ต้องรอฟังให้จบวิศวกรหนุ่มก็ตัดสายทิ้ง...


...



ขอบคุณสำหรับการติดตามแล้วพบกันในตอนต่อไปนะคะ  ^^


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 27-05-2015 00:42:54
รอติดตามค่ะ ว่าแต่น่านอายุ สี่สิบกว่าแล้วเหรอคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 27-05-2015 13:09:24
ลงชื่อติดตามค่ะ ชอบนิยายคุณท้องฟ้า ฟิลลิ่งกู๊ดมากๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 27-05-2015 13:31:02
ทำไมสั้นนนน กรี๊ดดดดดดดดด

ฟีลกู้ดมากกกกกกกกก
อ่านแล้วลุ้นตาม อยากให้ธามโทรหาน่านสักที
พอโทรจริงๆ แล้วก็ดันไม่ติดซะงั้น  :hao5:

เมื่อไหร่ความคิดถึงของน่านจะได้รับการตอบกลับบ้างน้าาา
นี่ขนาดไม่ใช่คนรอเองยังใจจะขาดแล้วค่ะ ฮาาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 27-05-2015 14:18:29
กรี๊ดดด~ ไม่ใช่ว่าน่านเขียนเบอร์โทรศัพท์ผิดมาให้นะค้าา อืม~ แต่ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้น่านอาจจะกำลังเข้าไปในป่าแล้วอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณก็ได้เนอะ ธามอย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อนน้าา :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 27-05-2015 19:58:45
น่าน แกไปไหน เข้าป่าอีกแล้วใช่ไหม. ธามเขาโทรหาแกแล้วนะ
เลยไม่ได้รับการตอบกลับกันสักทีทั้งสองคนเลย   รู้ไหมคนอ่านลุ้นมาก555
เข้าป่าไปคราวนั้นน่านคงขอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้ธามโทรมาหาตนแน่ๆ555
เข้าป่าคราวนี้ก็ไปขอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขอให้ติดต่อหากันได้ด้วยนะ

ลุ้นตอนต่อไปค่ะ ว่าอดีตที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นถึงไม่ได้ติดต่อกัน
ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ) 26-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-05-2015 20:48:08
น่าสนใจอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 30-05-2015 00:36:46
ส่งคืนเจ้าของ




“อะไรวะ ยังไม่ทันจะไปไหนก็ไม่มีสัญญาณเสียแล้ว”


เสียงบ่นงึมงำตามด้วยเสียงทอดถอนใจที่ดังมาจากกลุ่มนักศึกษาทำให้ชายหนุ่มในชุดเตรียมพร้อมสำหรับเดินป่าต้องหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูบ้างซึ่งสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้ต่างกันเลย เหนือน่านเก็บโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้ประโยชน์ของมันเหลือเพียงแค่เป็นนาฬิกาบอกเวลาลงในกระเป๋า จัดการเปิดเป้สะพายหลังควานหาเสื้อกันฝนออกมาแจกให้ทุกคน แม้ฝนที่ตกลงมาจะขาดเม็ดไปตั้งแต่เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นป่าดิบเขาซึ่งมีความชื้นค่อนข้างสูงหากไม่ป้องกันเอาไว้บ้างกว่าจะกลับออกมาก็คงไม่พ้นเปียกม่อลอกม่อแลกเป็นลูกหมาตกน้ำไปตาม ๆ กันแน่


“ขอต้อนรับทุกคนสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาจารย์สิทธิชัยท่านกรุณาให้ผมได้มีโอกาสมาพบกับพวกคุณทุกคน ผมชื่อปณิธิ เรียกพี่ธิก็ได้ ส่วนด้านหลังนั่นคงไม่ต้องแนะนำ น่าจะรู้จักกันแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาไปรับพวกคุณในเมือง” ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้านักวิจัยแห่งสถานีเกษตรกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางมองไปยังร่างสูงที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องร่วมสถาบันที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“ทั้งผมและน่าน เราต่างก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์สิทธิชัยเหมือนกับพวกคุณ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากหรอก” ปณิธิรอกระทั่งนักศึกษาทุกคนสวมเสื้อกันฝนเรียบร้อยจึงกล่าวต่อ “สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานนั้นเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีระยะทางเพียง 3 กิโลเมตร มีจุดศึกษาธรรมชาติทั้งหมด 21 จุด อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2000 เมตร มีเมฆปกคลุมเกือบทั้งปีจึงเรียกว่าป่าเมฆ การเดินในกิ่วแม่ปานนั้นเราจะต้องเดินช้า ๆ เพราะอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเบาบาง มันจะทำให้เราเหนื่อยง่าย เราจะหยุดพักกันเป็นระยะ ๆ และผู้ที่จะมาเป็นคนนำทางและเล่าเรื่องป่าให้เราฟังในวันนี้ก็คือลุงริงโก๊ะ”


หนุ่มฉกรรจ์ 4-5 คนพร้อมใจกันยกมือไหว้ชายชราที่กำลังยืนยิ้มฟันหลอ เส้นผมสีดอกเลาที่เหลืออยู่เพียงไม่มากบนศีรษะถูกบดบังด้วยหมอกตาข่าย ชุดสำหรับเดินป่าก็เป็นเพียงกางเกงยีนขาดสวมทับด้วยเสื้อวอร์มผ้าร่มสกรีนยี่ห้อเครื่องดื่มชูกำลัง รองเท้าผ้าใบที่สวมก็น่าจะเก่าพอ ๆ กับเป้สะพายหลัง เรียกได้ว่าน่าจะเก่าไปทั้งตัว ดูแล้วไม่เจริญตาเลยสักนิด


“จะไหวเหรอวะ ไม่รู้ว่าใครที่ต้องดูแลใครกันแน่” คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกล่าวพลางยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะมองไปยังคนนำทาง จากนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ดังระงมขึ้นทันที


“ไหวสิ” เหนือน่านตบลงเบา ๆ ที่บ่าของคนพูด “ลุงแกอาจจะให้ความรู้เชิงวิชาการไม่ได้เท่ากับตำราที่พวกนายเรียน แต่ถ้าเป็นเรื่องการใช้ชีวิตหรือเรื่องแนวความคิดที่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมีต่อป่าแล้วละก็รับรองว่ามีล้นเลยละ ป่าในความหมายของคุณลุงริงโก๊ะมันยิ่งใหญ่กว่าในตำรามาก พวกนายลองใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงนี้เรียนรู้ไปกับแกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเดินไปช่วยผู้อาวุโสที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เลือกไม้ค้ำยันอยู่ที่ปากทาง


เจ้าของใบหน้าหยาบกร้านคล้ามแดดยิ้มให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาตามประสาคนคุ้นเคยกัน


“ไงน่าน เดือนนี้เดินกิ่วไปสองครั้งแล้วไม่ใช่รึ ไม่เบื่อบ้างหรือไง”


คนถูกถามส่ายหัวดิก “ก็ลุงนั่นแหละ ทำให้ผมหลงรักที่นี่”


“แล้วทำไมคราวนี้ไม่เป็นไกด์เสียเองล่ะ เดินจนทะลุหมดแล้วไม่ใช่รึ”


“ให้ลุงนำนั่นแหละดีแล้วครับ น้อง ๆ เขาจะได้เรียนรู้อะไรที่ในห้องเรียนไม่เคยสอน เผื่อจะหลงรักที่นี่เหมือนผม”


เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ปณิธิจึงให้เหล่านักศึกษาเดินไปรับไม้ค้ำยันที่คุณลุงคนนำทางเตรียมไว้ให้ จากนั้นทั้งหมดก็พากันไปยืนออกันที่ปากทาง  รอกระทั่งตัวแทนกลุ่มลงชื่อในสมุดลงเวลาเข้าออกเรียบร้อย การเดินทางสำรวจป่าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดดอยสูงสุดบนเทือกเขาถนนธงชัยก็เริ่มต้นขึ้น


เหนือน่านที่เดินรั้งท้ายขบวนทอดตามองกลุ่มของนักศึกษาที่ต่างคนต่างก็กำลังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแวดล้อมที่แปลกไปจากในเมืองที่พวกเขาจากมา เห็นแล้วให้นึกถึงตนเองเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ ความรู้สึกของการได้ออกภาคสนามเป็นครั้งแรกของนักศึกษาสาขาวิชาพฤกษศาสตร์ในตอนนั้นก็คงไม่ได้ต่างจากความรู้สึกของพวกเด็ก ๆ ในขณะนี้


ยิ่งระยะทางเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ความหนาทึบของป่าไม้ก็มากขึ้นเท่านั้น ลุงริงโก๊ะเตือนให้ทุกคนระมัดระวังในทุกย่างก้าว เพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนนอกจากจะทำให้อากาศเย็นเฉียบแล้ว พื้นดินที่เดินไปก็ค่อนข้างเฉอะแฉะ ดังนั้นไม้ค้ำยันที่ดูเหมือนจะเป็นภาระในตอนแรกจึงกลายเป็นอาวุธคู่กายในยามยากไปโดยปริยาย ลุงริงโก๊ะพาเหล่านักสำรวจมือใหม่หยุดพักกันที่บริเวณน้ำตกเป็นจุดแรกก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของป่าใหญ่ให้คนหนุ่มได้ฟัง


“แถวนี้มีเสือไหมครับลุง” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาถามขึ้น


“ยังไม่มีใครเคยเจอนะ แต่ถ้าเป็นหมีละก็มี เพราะมีเจ้าหน้าที่เคยเจอรอยเท้าของมัน แต่นานแล้วละ อยู่บนต้นไม้โน่น” พูดจบก็ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งปรากฏรอยเล็บขูดเป็นร่องลึกให้เห็นอย่างชัดเจน


“ม...หมีเลยเหรอลุง” คนเดิมมองซ้ายมองขวาทำท่าขนพองสยองเกล้าพาให้คนอื่น ๆ หวาดระแวงไปด้วย


“อย่ากลัวเลยหนุ่ม คนน่ากลัวกว่าหมีเยอะ เพราะคนกินป่าแถมยังฆ่าหมีได้” ผู้อาวุโสยิ้มก่อนจะเดินต่อ


ลุงริงโก๊ะเดินนำไปยังสะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามธารน้ำ ชายชราหันมายิ้มโชว์ฟันก่อนจะเกาะเถาวัลย์หย่อนตัวลงไปตักน้ำในธารน้ำเล็ก ๆใต้สะพาน


“น้ำนี้ดื่มได้นะ ลุงดื่มประจำ เย็นชื่นใจนะ ไม่ต้องแช่ตู้เย็น” พูดแล้วแกก็ส่งขวดน้ำขึ้นมาให้ นักศึกษาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรับขวดน้ำนั้นไว้ก่อนจะส่งให้เพื่อนถือ หันไปยื่นมือให้ลุงจับระหว่างปีนกลับขึ้นมาข้างบนสะพานอีกครั้ง 


“แบ่ง ๆ กันนะ มาเดินป่าแบบนี้เราต้องแบ่งปันกันช่วยเหลือกัน ลุงไม่มีปริญญาแบบน้อง ๆ มีแต่ปริญญาจากป่า เวลาใครมาเดินป่ากับลุง ลุงก็จะสอนเขาแบบนี้ ถึงเราจะไม่สวยไม่หล่อแต่ถ้าเรารู้จักแบ่งปัน รู้จักยิ้ม รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ใคร ๆ ก็จะเอ็นดูเรา”
ฟังลุงริงโก๊ะพูดจบคนที่ดื่มน้ำเรียบร้อยก็ส่งต่อขวดน้ำให้เพื่อน ๆ ได้ดื่มจนครบ ทุกคนต่างยอมรับว่ามันเย็นอย่างที่คุณลุงว่าจริง ๆ เย็น...และชื่นใจแบบที่ตู้เย็นที่บ้านก็ยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะอุณภูมิในป่าหรือเพราะรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของคุณครูแห่งป่าใหญ่ผู้นี้กันแน่


หลังจากพักพอให้หายเหนื่อยคณะนักศึกษาก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดพักถัดไป คนนำทางพาพวกเขาเดินไต่ระดับความสูงไปตามทางลาดชัน บางช่วงเป็นขั้นบันไดสลับกับโขดหินปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำที่คอยจะบั่นทอนกำลังขา กระนั้นแต่ละคนก็ยังก้าวอย่างมั่นคงตามที่สติบัญชาการ มือแกร่งกำไม้ค้ำยันแน่นในขณะที่สายตาก็สอดส่ายสำรวจไปรอบ ๆ ตามลักษณะนิสัยของนักวิทยาศาสตร์ ชี้ชวนกันดูพืชพรรณแปลก ๆ ที่ก่อนหน้านี้เห็นแต่ในหนังสือเรียนเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นของจริงก็คราวนี้


“หนุ่มรู้ไหมว่าลูกไม้พวกนี้คือลูกอะไร” ชายชราเอ่ยขึ้นขณะก้มลงเก็บบางสิ่งที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้นดินในขณะที่บรรดานักศึกษาก็พากันล้อมวงเข้ามาจ้องมองลูกไม้เปลือกแข็งในมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างสนใจ บ้างก็เดาไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งใครคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวต้องร้องขอให้ช่วยเฉลย


“เขาเรียกว่าลูกอะรูมิไร้” พูดจบผู้อาวุโสก็ยิงฟันหลอ มองดูเด็ก ๆ ที่พากันยกสมุดขึ้นสเก็ตซ์ภาพของลูกไม้ชนิดดังกล่าว “หรืออีกชื่อก็คือลูกอะไรไม่รู้”


“อะรูมิไร้ อะ...ไร ไม่ รู้ มันอย่างนี้นี่เอง” นักพฤกษศาสตร์ในอนาคตถึงกับครางในลำคอเมื่อรู้ว่าถูกหลอกก็พากันหัวเราะเสียยกใหญ่


“โธ่ลุง ทำกันได้ ผมกำลังจะจดเลย” คนหนึ่งเกาหัวแก้เก้อ


“ถ้าจะจดต้องให้หัวหน้าอธิบาย” กล่าวพลางส่งลูกไม้ในมือให้ปณิธิเพื่อยกหน้าที่ในการให้ความรู้ทางวิชาการแก่เขา


“อันนี้ แล้วก็ที่หล่นกระจายอยู่ทั่วไปคือผลของไม้ก่อ เป็นไม้ยืนต้นในกลุ่มโอ๊ก ต้นก่อจัดว่าเป็นไม้เด่นที่ใช้บ่งชี้ความเป็นสังคมพืชป่าดิบเขา ในประเทศเรามีอยู่ 4 สกุล ซึ่งบริเวณกิ่วแม่ปานนี้ก็พบได้ทั้ง 4 สกุล”


ลุงริงโก๊ะรอกระทั่งเด็ก ๆ จดบันทึกและถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อยจึงพาทุกคนออกเดินต่อ แวะพักตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าต้นไม้เริ่มเตี้ยลงและพอจะเห็นท้องฟ้าอยู่บ้าง จึงบอกให้เหล่านักศึกษาธรรมชาติรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้สวรรค์บนดินแล้ว และเมื่อเดินพ้นจากแนวป่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ยิ่งตอกย้ำว่าคำพูดลุงริงโก๊ะไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย



มันคือสวรรค์บนดินจริง ๆ
 


โชคดีที่ฟ้าเปิดทุกคนจึงมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดตัดกับสีเขียวของพันธุ์ไม้ในทุ่งหญ้าเมืองหนาว ซึ่งปณิธิอธิบายถึงลักษณะพืชพรรณที่พบในบริเวณนี้ว่าเป็นไม้ล้มลุกปะปนกับไม้พุ่ม โดยตามจริงแล้วจะพบได้ในเขตหนาวที่อยู่สูงจากน้ำทะลกว่า 4000 เมตร จะเรียกว่าทุ่งหญ้าอัลไพน์ แต่สำหรับบนดอยอินทนนท์นี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์พิเศษ เนื่องจากมีความหนาวเย็นเหมาะต่อการเจริญเติบโตของไม้ล้มลุกและไม้พุ่มเล็กแบบเดียวที่พบได้บนเทือกเขาหิมาลัย ทุ่งหญ้าบริเวณนี้จึงถูกเรียกว่าทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์


หลังจากหยุดให้ถ่ายรูปกันจนชุ่มปอดแล้ว ลุงริงโก๊ะก็ไล่ต้อนเหล่าลูกปูกลับเข้าแถวเพื่อเดินทางต่อ  ซึ่งถัดจากบริเวณทุ่งหญ้านี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิวที่ทางอุทยานทำเป็นระเบียงไม้ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมทัศนียภาพของเนินเขาสลับซับซ้อนซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก เด็กหนุ่มนักศึกษาธรรมชาติจัดการวางสัมภาระก่อนวิ่งลงไปยังระเบียงไม้ที่อยู่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่ง   ต่างคนต่างหยิบกทั้งกล้องและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเพื่อนำกลับอวดคนที่ยังไม่มีโอกาสได้มาเห็นภาพที่งดงามนี้


เหนือน่านถอดเสื้อกันฝนออกผึ่งก่อนจะเดินลงมายังจุดที่เด็ก ๆ กำลังเต๊ะท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึก  ขายาวก้าวเลี่ยงไปอีกทางกระทั่งมาหยุดที่ขอบระเบียงไม้ด้านที่สามารถมองเห็นเส้นทางบนสันเขาไกลออกไป ชายหนุ่มพลางทอดสายตามองทะเลหมอกแสนกว้างใหญ่เบื้องหน้า ปล่อยให้สายลมพัดกระทบกับผิวกายหอบเอาความเหนื่อยล้าออกไปจากร่างได้สักครู่จึงหยิบกล้องคอมแพคขนาดเหมาะมือขึ้นมาลั่นชัตเตอร์บันทึกภาพผืนเมฆที่แผ่คลุมไปสุดลูกหูลูกตา


“สวยสุด ๆ ไปเลยครับพี่น่าน” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพบ้าง 


“เป็นยังไง หายเหนื่อยเลยไหมล่ะ” 


“หายเป็นปลิดทิ้งเลยพี่ ไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีป่าสวย ๆ แบบนี้ รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเมฆเลย”


คนฟังพยักหน้าพลางก้มลงดูภาพที่ถ่ายได้จากจอ LCD “ถ้าช่วงไหนไม่มีหมอก ก็จะมองเห็นอำเภอแม่แจ่มอยู่ด้านล่าง สวยไปอีกแบบ”


“พี่ขึ้นมาบนนี้บ่อยไหมครับ”


“ตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่สถานีเกษตรก็มาหลายรอบแล้วนะ สงสัยจะหลงรักที่นี่เสียแล้วละ”


“ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่จะรู้สึกแบบนั้น ที่นี่สวยจริง ๆ ผมต้องกลับมาอีกแน่ ๆ ถึงวันนั้นผมก็จะให้ลุงริงโก๊ะแกนำทางให้อีก”


“รีบ ๆ หน่อยล่ะ อีกไม่กี่ปีลุงแกก็จะปลดเกษียณตัวเองแล้ว”


“อืม...น่าเสียดายนะพี่”


“เป็นเรื่องปกติน่า ก็เหมือนป่าสองรุ่นที่ลุงริงโก๊ะชี้ให้ดูนั่นแหละ เมื่อต้นไม้ที่อยู่มานานเริ่มล้มตายก็จะมีกล้าไม้รุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนกัน มันเป็นวัฏจักร”


สองคนยืนคุยกันจนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“ไอ้นุ้ย!  มาถ่ายรูปกัน”


เจ้าของชื่อหันไปโบกมือให้เพื่อนก่อนจะกล่าว “ผมไปถ่ายรูปกับเพื่อนก่อนนะพี่” พูดจบก็วิ่งเข้าไปสมทบกับพวกที่ยืนอยู่สุดปลายระเบียงฝั่งตรงข้าม รับโทรศัพท์มือถือจากอีกคนมาถือเอาไว้ก่อนจะนับแล้วกดบันทึกภาพ  หลังจากพักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง จากจุดชมวิวกลุ่มนักศึกษาก็เดินต่อไปตามสันเขาที่ด้านข้างเป็นหน้าผาลาดชันมีแนวรั้วกั้นเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย   


“นี่แหละที่เขาเรียกว่ากิ่วแม่ปาน กิ่วก็คือลักษณะของสันเขาแคบ ๆ แบบที่เรากำลังเดินอยู่ตอนนี้” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะลอฝีเท้า “ถ้าพวกคุณมาที่นี่ในช่วงฤดูหนาวก็จะได้เห็นกุหลาบพันปีซึ่งเป็นพรรณไม้แบบเดียวกับที่พบบนเทือกเขาหิมาลัย” พูดจบร่างสูงก็ชี้ไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นอยู่นอกแนวรั้วหนึ่งที่ตอนนี้มีเพียงใบสีเขียวให้เห็นเท่านั้น


เหล่านักสำรวจธรรมชาติเดินเลาะสันเขาก่อนจะกลับเข้ามาในเขตป่าอีกครั้ง เส้นทางขากลับก็คล้ายกลับขามา คือมีทั้งทางลาดชันสลับกับขั้นบันไดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว จุดสุดท้ายที่คุณลุงคนนำทางพาทุกคนมาหยุดพักก็คือบริเวณของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เกือบถึงทางออก เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในป่าแถบนี้ลุงริงโก๊ะจึงมักจะมาหยุดขอพรให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ หวังอยู่ลึก ๆ ว่าหากมีโอกาสคงจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง


กว่าคณะนักศึกษาจะเดินออกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย หลังจากลงเวลาออกในสมุดเรียบร้อยแล้วตัวแทนนักศึกษากล่าวขอบคุณและอำลาบรรดาผู้ใหญ่ใจดีก่อนจะพากันไปขึ้นรถสี่ล้อที่เหมาเอาไว้ซึ่งจอดรออยู่แล้วในบริเวณลานจอดรถจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 หน้าที่ทำการเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เป้าหมายของพวกเขาก็คือการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติในช่วงปิดเทอมตามแผนการที่ได้วางเอาไว้


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 30-05-2015 00:37:11
(ต่อค่ะ)


ธามถอนหายใจเฮือกจ้องมองโทรศัพท์ในมือที่เพิ่งกดวางสาย ทั้งที่หมายเลขก็ถูกต้องตามที่เขียนอยู่ในโปสการ์ด แต่พอกดโทร.ออกทีไรก็ติดต่อไม่ได้สักที ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คิ้วหนาขมวดมุ่นในขณะที่ดวงตายังคงทอดมองกระดาษใบเล็กที่เสียบอยู่กับสมุดบันทึกจนไม่ทันได้สนใจร่างสูงใหญ่ที่ผลักประตูเข้ามา


“เป็นอะไรวะ ทำหน้ายังกับคนท้องผูก”


“เปล่า” คนถูกถามลากเสียงอย่างรำคาญเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม


“ยังจะบอกว่าเปล่าอีก แล้วนี่อะไรวะ” พูดยังไม่ทันจบอดีต Winger ก็คว้าสมุดบันทึกตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว แม้คนตัวเล็กกว่าจะโผตามไปแย่งแต่ก็ไม่อาจสู้กับความไวของเจ้าของฉายายักษ์พริ้วได้


“เฮ้ย! ไอ้เน เอาคืนมาเลย” ธามโวยวายในขณะที่มือไม้ก็ยังคงตะเกือกตะกายไขว่คว้า


“อะไรวะกะอีแค่สมุดเล่มเดียว หวงอะไรนัหนา” เจ้าของริมฝีปากหนายกยิ้มยียวนก่อนจะเปิดสมุดหน้าที่ถูกขั้นด้วยโปสการ์ดออกดู “ฮั่นแน่ โปสการ์ดนี่หว่า ไหน ๆๆ ใครส่งมาให้ ไหนดูซิ”


“ไอ้เน”


เจ้าของชื่อทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจก่อนจะหยิบโปสการ์ดที่เสียบอยู่กับสมุดขึ้นมาอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย “คิดถึงแก...” ปากหนาพึมพำก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อ “มีบอกคิดถงคิดถึงด้วยเว้ย ข้างล่างนี่ก็...แหม ๆๆๆ ไอ้ธาม นี่ใช่ไหมที่ทำให้แกกดโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าน่ะ”


คนฟังถอนใจก่อนจะรีบดึงสมุดบันทึกและโปสการ์ดกลับคืนมาก่อนจะเก็บลงกระเป๋า นึกอยากจะผลักไอ้คนอยากรู้อยากเห็นที่กำลังทำคอยืดคอยาวข้ามโต๊ะมาถามว่า “ใครส่งมาวะ” เสียให้หน้าหงาย


“แฟน?”


“ไม่ใช่โว้ย อย่าเดาดีกว่า เดาให้ตายยังไงก็ไม่ถูก”


“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิวะ บอกหน่อยน่า ใครส่งมา นะ ๆ”


“ไม่รู้โว้ย!” คนถูกคาดคั้นตอบส่ง ๆ มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมานานแล้วจึงลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเดินไปออกจากห้อง 


“อ้าวไอ้นี่ ไม่มีคิดจะรอกันเลย” เนติเกาหัวก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บของที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านหลังจากนั้นจึงเดินตามออกมา ชายหนุ่มร่างยักษ์ตะโกนโหวกเหวกเมื่อเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิด ทันทีที่แทรกตัวเข้ามาในตู้เหล็กแคบ ๆ เขาก็พบพนักงานออฟฟิศจำนวนมหาศาลยืนเบียดกันอยู่ด้านใน ความคิดที่จะซักไซ้ไล่เลียงเพื่อนเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการจึงมลายสิ้น เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเขาก็ชะเง้อคอมองหาเพื่อนที่คิดว่าน่าจะลงลิฟต์มาก่อนเพียงไม่นานแต่ก็ไม่พบเสียแล้ว
 

คืนนั้นธามยังคงทำในสิ่งที่เขามักจะทำทุกคืนก่อนนอน นั่นก็คือการหยิบโปสการ์ดที่ถูกส่งจากเชียงใหม่มานั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมา เวลาผ่านไปหลายเดือนโปสการ์ดก็ยังถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยแล้วเดือนละ 2-3 ใบ มีบางช่วงที่ขาดหายไปนาน ๆ จนเขาคิดว่าคนที่ต้นทางคงจะเลิกส่งมาแล้ว แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็พบว่ามีโปสการ์ดนอนเงียบ ๆ อยู่ในตู้รับจดหาย ซึ่งทุก ๆ ใบก็เขียนลงท้ายเหมือนกันทุกครั้ง


                         อากาศที่นี่เริ่มหนาวแล้วละ ปีนี้คงหนาวกว่าปีก่อนแน่ ๆ
     
                            ถ้าแกวะมาอย่าลืมเตรียมเสื้อหนา ๆ มาด้วยล่ะ
 
                            น้ารินฝากชวนแกมากินขนมที่ร้านด้วยนะ
 
                            น้ารินทำขนมอร่อยแกต้องชอบแน่ ๆ     


                                                                      คิดถึงแก

                                                                          น่าน



ธามมองดูภาพร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ถูกนำมาทำเป็นโปสการ์ดอย่างพิจารณา เขาจำได้ว่าเคยเห็นร้านนี้มาก่อนในคอลัมน์แนะนำร้านน่านั่งของเมืองเชียงใหม่บนหน้านิตยสารแต่งบ้านที่แม่ซื้อมาอ่าน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานในห้องนอนเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะรื้อ ๆ ค้น ๆ กองนิตยสารมากมายของแม่จนในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่ต้องการ ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่โซฟาจากนั้นจึงพลิกกระดาษเคลือบมันไปทีละหน้าจนกระทั่งมาหยุดที่คอลัมน์หนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายเล่ม 


“ร้านกาแฟในสวน... ถนนสีหราช... ชื่อร้าน...อิงดอย” 


...


ในที่สุดเดือนสุดท้ายของปีก็มาถึง ค็ออฟฟี่ช็อปด้านหลังบริษัทบัดนี้กลายเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่โหยหาวันหยุดพักผ่อนในฤดูแห่งการท่องเที่ยว ระหว่างรอเครื่องดื่มหลายคนต่างพูดคุยกันถึงกิจกรรมในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง บางคนที่มีงบประมาณมากหน่อยวางแผนท่องเที่ยวในต่างประเทศ ในขณะที่คนก็เลือกเก็บเกี่ยวความสุขจากสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่า หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้วธามก็หันหลังให้ความวุ่นวายออกมานั่งลงที่โต๊ะด้านนอก


ครู่หนึ่งพนักงานสาวก็ยกถ้วยกาแฟหอมกรุ่นมาเสิร์ฟ จู่ ๆ กลิ่นหอมอบอวลของกาแฟคั่วบด เสียงโมบายแขวนหน้าต่างและอากาศที่เริ่มเย็นลงก็ทำให้วิศวกรหนุ่มคิดถึงคำเชิญของใครบางคนขึ้นมา เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองโมบายแขวนหน้าต่างที่กำลังแกว่งไกวไปตามลม หลายสัปดาห์มาแล้วที่เขาไม่ได้รับโปสการ์ดจากเชียงใหม่ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้คนที่เคยส่งมันมาให้จะเป็นอย่างไรบ้าง 


“คิดไรอยู่วะ กาแฟเย็นหมดแล้ว” คนที่เพิ่งมาถึงกล่าวก่อนจะนั่งลง


“คิดอะไรเพลิน ๆ ว่ะ” พูดพลางเลื่อนถ้วยกาแฟที่สั่งไว้เผื่อให้เพื่อน


เนติยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะมองเข้าไปในร้านที่ยังคงเต็มไปด้วยบรรดาหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศที่ยังคงนั่งรอเครื่องดื่มอยู่ด้านใน
“เอ้อ ตะกี้ฉันเจอพี่กร พี่กรให้ฝากบอกแกด้วยว่าอาทิตย์หน้าจะให้ฉันกับแกขึ้นไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่บริษัทเราประมูลโครงการก่อสร้างสถานีวิจัยเกษตรที่สูงได้”


“ที่ไหนวะ” ธามถามอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตายังคงทอดมองควันสีขาวที่ลอยอยู่เหนือถ้วยกาแฟ


“เชียงใหม่ เตรียมตัวด้วยล่ะ คิดเสียว่าเปลี่ยนที่กินกาแฟ” ชายหนุ่มร่างยักษ์กล่าวยิ้ม ๆ ไม่รู้เลยว่าคำพูดติดตลกของตนเองกำลังทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามต้องคิดหนัก


...
 


ปลายสัปดาห์ต่อมาสองวิศวกรหนุ่มก็พากันเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือพื้นที่บนดอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลเบื้องต้นร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะดิน ทิศทางการไหลของน้ำ เพื่อนำมาวางแผนการก่อสร้างอาคารสถานีวิจัยเกษตรที่สูงต่อไป


หลังจากฝังตัวอยู่ในพื้นที่เกือบสองวันเต็ม ก็ได้เวลาเดินทางกลับของธามและเนติ สองหนุ่มขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อหาที่พักสำหรับคืนสุดท้าย จัดการเก็บข้าวของไว้ที่โรงแรมก่อนจะถือโอกาสขับรถตะเวนเที่ยวภายในเมืองก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น


“จะไปไหนวะ” เนติเอ่ยขึ้นเมื่อฟอร์จูนเนอร์สีดำเลี้ยวจากถนนรอบคูเมืองเข้าสู่ถนนสีหราชจนกระทั่งมาหยุดที่ท้ายจี๊ปแรงเลอร์สีส้มซึ่งจอดอยู่ริมกำแพงอิฐที่ปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแก


“พามากินกาแฟไง” พูดจบเจ้าของรถก็เอี้ยวตัวไปหยิบกล่องกระดาษลายสวยที่วางอยู่ด้านหลัง


“แล้วนี่เอาอะไรไปด้วยวะ”


“เออน่า ถามมากจริง เข้าไปข้างในก่อนเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”


เนติเปิดประตูลงจากรถด้วยความงุนงงก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปในบริเวณของร้านกาแฟบรรยากาศร่มรื่น รอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้ม มีโต๊ะให้เลือกนั่งทั้งด้านนอกและด้านในชายคา ขณะที่สองหนุ่มกำลังมองหาโต๊ะว่างอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากในบ้าน กว่าธามจะหันกลับไปมองให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งสวนออกมาเสียแล้ว นั่นทำให้กล่องกระดาษที่ถืออยู่ในมือร่วงลงกับพื้น โชคดีที่ของที่ฝาไม่เปิดไม่เช่นนั้นของที่อยู่ข้างในคงกองกระจัดกระจายอยู่กับพื้นแน่


“อุ้ย! ขอโทษครับ” คนผิดเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มหยิบกล่องใบนั้นแล้วส่งคืนให้


“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ” ธามรับมันมาถือเอาไว้ก่อนจะมองอีกฝ่ายให้ชัด เขาคือหนุ่มเหนือผิวขาวสวมแว่นสายตากรอบหนาเจ้าของผมสีเข้มที่ไม่ได้แต่งทรงยาวระต้นคอ ประมาณด้วยสายตาแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กว่าก็คงไม่กี่ปี


ชายหนุ่มแปลกหน้ากล่าวขอโทษขอโพยอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าไปที่รถปลดเป้ใบโตแล้วโยนไว้ที่เบาะหลังจากนั้นจึงขึ้นนั่งประจำที่คนขับติดเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว


“จะรีบไปไหนของเขาวะ” เนติบ่นก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปด้านในแต่ก็ไม่วายต้องย้อนกลับมาสะกิดคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่


ทันทีที่สองคนก้าวเข้าไปภายใต้ชายคาของบ้านไม้สองชั้น พนักงานสาวสวยก็ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างเป็นมิตร เธอเดินนำสองหนุ่มไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ก่อนจะส่งเมนูให้


“เลือกตามสบายนะคะ อีกสักครู่จะกลับมารับรายการอาหารค่ะ” พูดจบเธอกับเดินหายเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อปล่อยให้ลูกค้าได้มีเวลาเป็นส่วนตัว


เนติไล่ดูรายการอาหารและเครื่องดื่มก่อนสังเกตได้ว่าคนที่มาด้วยกันนั้นเงียบเชียบผิดปกติ ทันทีที่ละสายตาจากรายการอาหารก็เห็นธามกำลังชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง ด้วยความสงสัยหนุ่มร่างใหญ่จึงเอ่ยขึ้น “หาอะไรวะ หรือว่าแกนัดใครไว้”


“เปล่า ไม่ได้นัด” พูดจบธามก็ก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องดื่ม ครู่หนึ่งพนักงานคนเดิมก็เดินกับมารับรายการอาหาร ในขณะที่รอธามก็ยังคงแสดงท่าทางผิดปกติจนเห็นได้ชัด   


“ถามจริงเถอะ แกมีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่าวะที่มาที่นี่”


คนถูกถามนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ายอมรับ พร้อมกับดึงกล่องกระดาษที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ฉันมาตามหาเจ้าของ”


เนติมุ่นคิ้วและเมื่อเขาเอื้อมมือดึงฝากล่องขึ้นก็พบว่าข้างในมีโปสการ์ดอยู่จำนวนหนึ่ง  “โปสการ์ดพวกนี้ของใครวะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน มันถูกส่งมาตั้งแต่ฉันกับแม่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น” ธามกล่าว


“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม แกถึงได้มาที่นี่” คนฝั่งตรงข้ามกล่าวพลางดึงโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาจากกล่อง มันเป็นภาพของร้านนี้ไม่ผิดแน่ เขาจำต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้เกือบติดชายคาบ้านได้


“ฉันก็ว่ามันน่าจะใช่ เลยชวนแกมาที่นี่”


“มาแล้วจ้ะ” เสียงเจื้อยแจ้วทำให้สองหนุ่มต้องละสายจากกัน เธอไม่ใช่พนักงานคนเมื่อครู่หากแต่เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ที่สำคัญเธอคนในภาพที่ตัดจากนิตสารแล้วเข้ากรอบอย่างดีซึ่งติดอยู่กับผนังด้านหนึ่งของร้าน เพียงเท่านั้นธามก็พอจะคาดเดาได้ว่าเธอคืออรินทร์ผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟบรรยากาศร่มรื่นแห่งนี้


“ขอบคุณครับ” เนติกล่าวเมื่อถ้วยกาแฟและขนมถูกวางลงตรงหน้า


“อ...เอ้อ...เดี๋ยวครับคุณน้า” ธามเอ่ยขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังกลับ


“รับอะไรเพิ่มเหรอคะ”


“ค...คือ...คุณน้า....เป็นคุณน้าของน่านใช่ไหมครับ”


“ใช่จ้ะ” คนถูกถามยิ้มกว้าง “พวกคุณเป็นเพื่อนของน่านเหรอ เอ...แล้วทำไมน่านไม่เห็นทักเลยหรือว่าจำไม่ได้”  อรินทร์ขมวดคิ้วสงสัย


“ไม่ทักเหรอครับ” ธามเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนอายุมากกว่าพูดจบลงไปเมื่อสักครู่


“ก็ที่เพิ่งเดินสวนออกไปเมื่อกี้ไงจ๊ะ”


“คนเมื่อกี้?” สิ้นเสียงของธาม ทั้งสามคนต่างก็มองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังต้องการคำอธิบายจากใครคนใดคนหนึ่ง


...


“น่านน่ะเพิ่งจะขอย้ายขึ้นไปประจำที่สถานีวิจัยบนดอยจ้ะ” อรินทร์กล่าวหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากธามและจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขา


“ครับ เขาเล่าไว้ในโปสการ์ดหมดแล้ว”


“นี่ถ้ารู้ว่าส่งโปสการ์ดผิดไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”


“จริง ๆ ผมน่าจะบอกเขานานแล้วว่าเจ้าของบ้านคนเก่าย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะลูกสาวคนโตแต่งงานกับชาวต่างชาติแล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันกับสามีที่ต่างประเทศ ผมน่าจะพยายามติดต่อจากเบอร์ที่เขาทิ้งไว้ให้ให้มากกว่านี้”


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ อย่าไปคิดมากเลย น่านเองก็ไม่รู้จักหาข้อมูลให้ดีก่อน เพื่อนไม่เจอกันตั้งนานก็ใช่ว่าเขาจะอยู่ที่เดิมเสียเมื่อไร”


“แล้วนี่หลานชายคุณน้าเขาจะกลับลงมาอีกทีเมื่อไรครับ” เนติแทรกขึ้น


“อืม คงไปนานเลยละจ้ะ พักนี้บ่นว่างานข้างบนยุ่ง ๆ แถมยังต้องตามหัวหน้าออกไปเก็บข้อมูลตามต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ”


ธามพยักหน้า นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงหลัง ๆ เขาจึงไม่ได้รับโปสการ์ดจากเชียงใหม่อีกเลย ในเมื่อไม่มีโอกาสได้เจอตัว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจฝากโปสการ์ดทั้งหมดไว้กับน้ารินทร์ก่อนจะขอตัวกลับ รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่วันนี้ได้มีโอกาสสะสางข้อข้องใจให้หมดไปเสียที


ต่อไปนี้คงไม่มีโปสการ์ดที่ส่งจากเชียงใหม่อีกแล้ว...




....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 30-05-2015 01:38:55
ไม่จบแค่นี้ใช่ไหมคะ ไม่น้า~~~~~
สงสารน่าน อกหักซำ้ซ้อนมาให้พี่ธามดามใจก่อน
ปล.อ่านแล้วอยากกลับไปชม.อีกสักร้อยรอบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 30-05-2015 10:10:14
ไม่น๊าาาาาา
ส่งผิดหรอเนี่ย จิร้องไห้ ฮ่าๆๆๆ
รออีกตอนจ้า ลุ้นใจจะขาด><~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-05-2015 12:12:59
อ้าวววววว ผิดบ้าน ผิดคน ผิดคาด
งื้ออออออออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-05-2015 12:53:44
T T ไม่นะ ถึงหนุ่มน่านไม่ส่งมา เราก็ส่งไปเองสิคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 30-05-2015 14:13:28
โหยยย เรานึกว่าเขาจะมีเบื้องหลังกัน
ปรากฎว่าเป็นพรหมลิขิตนี่เอง

เฉียดกันนิดเดียวเองอ่ะ
ถ้าน่านรู้ น่านจะทำยังไงต่อไป...


ตื่นเต้นจังเลยค่ะ
ชอบเวลาคุณถ้าเทอเป็นท้องฟ้าเขียนเรื่องแนวท่องเที่ยว
เหมือนกับว่าเราได้ไปมองประเทศไทยในมุมใหม่
เพราะเราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเยอะด้วยหล่ะส่วนหนึ่ง

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ นะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 30-05-2015 15:18:23
กรี๊ดดดดดดด หักมุมมาก นึกว่าเค้ามีเบื้องหลังกันซะอีก
แต่ทำไมอ่านแล้วชอบแบบนี้จังเลยก็ไม่รู้ค่ะ แงงงงงง  :hao5:

อ่านนิยายของคุณถธปทฟ.แล้ว ตอนนี้เราเก็บกิ่วแม่ปานเข้าลิสต์
สถานที่ที่ต้องไป พอๆ กับสวนสนบ่อแก้วเลยค่ะ ชอบมากกกกกก
ทำไมถึงเขียนนิยายให้คนอ่านนึกอยากตามรอยได้ดีขนาดนี้ 5555555  :impress2:

เพราะอย่างนี้นี่เอง ความคิดถึงของน่านก็เลยไม่ได้รับการตอบกลับสักที
แต่ก็ไม่อยากให้มันหยุดอยู่แค่นี้นะ ธามอุตส่าห์ตามมาหาถึงที่
อยากให้เจอกันสักครั้งงงง >_< เอ๊ะ? ไม่สิ เจอกันแล้วแค่ไม่รู้จักกัน 5555

รออ่านตอนหน้านะคะ จะมีต่อใช่มั้ยคะ? ฮริ้งงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 30-05-2015 15:27:45
ปกติก็เข้าเล้าทุกวัน ยิ่งรู้ว่ามีเรื่องสั้นมาให้ติดตามยิ่งอยากอ่าน
แต่ 2-3 วันมานี้ งานราษฎร์งานหลวง รุมเร้าจนไม่ได้เข้ามาส่อง
มาอีกที เรื่องราวก็ผ่านไปหลายตอน
รู้เหตุผลที่ธามลังเลไม่ติดต่อกลับซะที
ทีแรกก็นึกว่าเป็นเพื่อนเก่าที่มีความหลังกัน
กลายเป็นว่าส่งผิดคน นี่เกือบจะได้เป็นจดหมายผิดซองแล้วเชียว ฮ่าๆๆๆ

เห็นจากในเพจว่าจะมีบทสรุปอีก
หวังว่าธามกับน่านจะได้เจอกันอีก
นี่ยังไม่รู้ ใครพระ ใครนายเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 30-05-2015 16:20:10
เจ้าของบ้านย้ายไปแล้ว คนรับเลยผิดคน มันคงเป็นพรหมลิขิต
แต่ถ้าน่านรู้แล้วจะยังส่งไปหาอีกไหม แล้วธามจะกลับมาอีกไหม เมื่อไรจะได้เจอกันนะ

ชอบบรรยากาศตอนที่น่านขึ้นไปกิ่วแม่ปานมากอยากไปบ้างเลย คงสวยมากแน่ๆ

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 31-05-2015 15:11:20
คราวนี้อาจจะไม่มีโปสการ์ดจากเชียงใหม่ส่งไปหาหาธามแล้วก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่า 'หนุ่มเชียงใหม่' จะไม่เดินทางไปหาธามถึงที่กรุงเทพฯ แบบตัวเป็นๆ เสียเมื่อไรล่ะค้าา >\\< พูดแล้วก็เขิน~ น่านจ๊ะ รบกวนฝากสานต่อความหวังของเราด้วยค่ะ!!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 31-05-2015 21:42:26
นักเขียนสุดยอด หลอกเราหลงป่าไปโน้น555 นักเขียนเป็นศิษย์คุณลุงริงโก๊ะอ่ะ หลอกเราได้:ling1:

จินตนาการที่น่านกับธามชนกัน เก็บและรับของกัน ธามมองน่านจนถึงขึ้นรถ.  โรแมนติกจัง

ประโยคสุดท้ายเหมือนธามใจหายเนอะ ก็นะคนเคยได้รับรู้เรื่องราวต่างๆได้เห็นโปสการ์ดสวยๆทุกเดือน ต้องรู้สึกบ้างแหละเนอะ

หนทางที่จะมาคบกันได้ดูลำบากจังค่ะ เรื่องสนุกน่าลุ้นตลอด ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ส่งคืนเจ้าของ) 30-05-2558 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-06-2015 23:57:43
ชอบบรรยากาศมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-06-2015 02:43:20
ปัจฉิมลิขิต




สายลมแห่งเหมันตฤดูพัดผ่านทิวเขาพาเอากิ่งไม้ไหวลู่ เสียงใบไม้เสียดสีสอดประสานกับเสียงกระดิ่งของโมบายรูปสัตว์ที่ทำจากลูกตีนเป็ดติดขนนกตรงส่วนหาง ยามเมื่อลมพัดมาทีไรก็หมุนติ้วราวกับมีชีวิตลอยคว้างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีส้มอมม่วงยามดวงตะวันกำลังเคลื่อนคล้อยลงลับเหลี่ยมเขา ไม่นานความมืดก็โรยตัวห่มคลุมดอยทั้งดอยเอาไว้ในอ้อมกอด


เสียงหรีดหริ่งราไรร้องระงมราวกับจะขับกล่อมส่งทุกชีวิตเข้านอนในคืนที่บนฟ้าปราศจากแสงดาวแต่บนผืนดินกลับพร่างพราวไปด้วยแสงไฟ ดวงตาสีเข้มภายใต้กรอบแว่นสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพลายเส้นต้นไม้ใบหญ้ามาร่วมชั่วโมงกว่า มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ได้ชื่อว่าหนอนหนังสืออย่างเหนือน่าน ลองได้หยิบจับมาอ่านเมื่อไรก็จะมีสมาธิจดจ่อเสียจนแทบจะลืมโลกรอบตัวไปเลย ตาคมกวาดไล่ลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า มาเงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวดังแว่วมาจากบ้านพักหัวหน้านักวิจัยที่อยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน


จากหน้าต่างมองเห็นแสงรำไรจากตะเกียงเจ้าพายุที่แกว่งไกวไปตามแรงลม อากาศหนาวเย็นที่แทรกผ่านช่องประตูระเบียงเข้ามาทำให้เจ้าของบ้านพักหลังน้อยต้องลุกขึ้นเดินไปรั้งประตูปิด ม่านสีขาวผืนบางถูกดึงชนกัน ร่างสูงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ถอดแว่นสายตาวางบนตำราที่ยังคงกางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอนหลังหลับตาลงเงี่ยหูฟังบทเพลงโปรดของหัวหน้ากระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายแผ่วหายไปกับสายลม เปลือกตาบางจึงเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะดังขึ้นทำลายความเงียบ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตกรุ่นเครื่องนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพเสียที หน้าจอดิจิทัลไร้สีสันแสดงหมายเลขปลายทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทันทีที่กดรับเสียงหวานที่ต้นทางก็ดังสวนขึ้นก่อนที่คนปลายสายจะกล่าวทักทายเสียอีก


“น่านใช่ไหม”


“ใช่ครับ”


“แก แกรู้ตัวไหมว่าแกเป็นคนที่ติดต่อยากมาก”


“ค...ครับ เอ้อ...นี่ใครครับ”


ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกก่อนจะเริ่มสาธยาย “ฉันซัน อรุณรุ่งที่เลขที่ตามตูดแกตั้งแต่มอหนึ่งไง”


“เฮ้ย! ซัน! จำได้ ๆ” เหนือน่านละล่ำละลัก ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ


“ฉันได้โปสการ์ดของแกแล้วนะ ขอบใจมาก แต่ขอด่าหน่อยเถอะ แกมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะ เข้าป่าเป็นฤาษีตัดขาดจากโลกภายนอกหรือไง โทรศัพท์ก็โทร.ติดยากมาก ไม่มีเพื่อนโรงเรียนเก่าคนไหนติดต่อแกได้เลยสักคน โซเชียลมีเดียน่ะหัดเล่นเสียบ้างสิ งานแต่งงานฉันแกก็ไม่ได้ไป เป็นเพื่อนสนิทก...กัน...ภาษา...อะไร...ว...วะ”


ท้ายประโยคถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นจนคนฟังใจรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มือกำโทรศัพท์แน่นพอ ๆ กับคมฟันที่กดลงบนเนื้อปาก หากย้อนเวลากลับไปได้เขาเองก็อยากจะยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนคนนี้ในวันพิเศษที่สุดของเธอ


“ขอโทษนะซัน” เสียงนั้นรอดผ่านริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาแต่มันกลับหนักแน่นราวกับจะตอกย้ำยืนยันความรู้สึกของคนพูด “ขอโทษจริง ๆ”


“ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันกะว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว แกรู้ไหม วันนี้ฉันร้องไห้อย่างกับคนบ้าตอนที่ได้รับพัสดุของแก ร้องจนสามีกับลูกฉันตกใจ”


“นี่แกมีลูกแล้วด้วยเหรอ” เหนือนน่านหัวเราะ


“ฉันแต่งงานมาจะสองปีแล้วนะแก ว่าแต่แกเถอะ มีครอบครัวหรือยัง”


คนถูกถามหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบ “ยังไม่ได้คิด”


“ยังไม่ได้คิดได้ยังไงกัน แถวนั้นไม่มีสาวชาวดอยสวย ๆ ให้จีบหรือไง”


“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ คุยเรื่องแกดีกว่า เล่าเรื่องของแกให้ฉันฟังบ้างสิ ฉันอยากฟัง” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางศอกลงกับโต๊ะในที่มือก็ประคองข้างแก้มตั้งอกตั้งใจฟัง


“อืม...หลังจากเรียนจบมัธยมแล้วฉันก็มาเรียนต่อที่เยอรมันน่ะแก ส่วนสามีของฉันก็เป็นคนเยอรมัน เราเจอกันเมื่อตอนที่ฉันตามอาจารย์มางานคอนเฟอเรนซ์ที่มิวนิก เขาก็เรียนปริญญาโทเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คบกันนะ เพิ่งมาตกลงคบกันตอนที่ฉันเรียนจบแล้วกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย เขาก็ย้ายมาทำงานที่นี่ด้วย จนเมื่อสองปีที่แล้วเขาขอฉันแต่งงาน แม่เขาอายุมากแล้วเราเลยตกลงกันว่าจะย้ายกลับเบอร์ลิน”


“แล้วลูกแกล่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”


“ผู้ชายจ้ะ อ้วนจ้ำม่ำเลยละแก เอาไว้ฉันกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่เมื่อไร ฉันจะพาลูกหมูน้อยของฉันไปเยี่ยมลุงน่านนะ”


เสียงใสยังคงจ้อไม่หยุด เรื่องราวมากมายในช่วงเวลาเกือบสิบปีถูกถ่ายทอดให้กันฟังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ถูกวางลงในช่องว่างทำให้ความห่างของวันเวลาได้ประสานกันสนิทอีกครั้ง หากไม่ติดว่าเป็นการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศเหนือน่านคงจะฟังเรื่องของอีกฝ่ายไปถึงเช้า สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่เอ่ยปากเตือนให้เพื่อนรู้ว่าเธอไม่ได้ใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญเหมือนเมื่อสมัยเด็ก ดังนั้นก่อนจะวางสายอรุณรุ่งจึงวายบ่นเรื่องที่เหนือน่านเองก็ทำตัวล้าหลังเอาตัวออกห่างจากเทคโนโลยีปลีกวิเวกเสียจนเพื่อน ๆ แทบจะพากันลืมเขาไปหมดแล้วเช่นกัน


“ขอบคุณสำหรับโปสการ์ดนะแก ขอบคุณที่แกยังคิดถึงฉัน”


ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ คำพูดสุดท้ายของเพื่อนรักยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทขณะที่หน้าคมก็ยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ตาสีเข้มละจากโทรศัพท์ในมือมองเลยไปยังกล่องกระดาษลายสวยที่วางทับอยู่บนกองหนังสือก่อนจะเอื้อมหยิบมันมาวางตรงหน้า เมื่อยกฝากล่องขึ้นก็พบเพียงโปสการ์ดใบหนึ่งซึ่งเขาจำได้ดีว่ามันวางขายอยู่ที่ร้านของน้าริน มันเป็นโปสการ์ดใบเดียวที่เหลืออยู่หลังจากเขาส่งใบอื่น ๆ ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้ว เป็นอีกครั้งที่เหนือน่านหยิบกระดาษใบเล็กซึ่งนอนนิ่งอยู่ก้นกล่องขึ้นมาพลิกดูและเริ่มอ่านข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัดอีกครั้ง


สวัสดี น้ารินคงเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังแล้ว

วันนี้ผมก็เลยขอคืนโปสการ์ดทั้งหมดให้คุณ

เผื่อว่าคุณจะได้ส่งมันให้ผู้รับตัวจริงได้อ่าน

และผมก็ต้องขอโทษที่ไม่รีบบอกให้คุณรู้

ธาม   
       


...



จี๊ปแรงเลอร์สีส้มแล่นขึ้นมาจอดสนิทที่ปลายเนินซึ่งเป็นจุดชมวิวของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทันทีที่เสียงของเครื่องยนต์เงียบลงชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถก็เปิดประตูลงมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากขับรถบุกป่าฝ่าดงด้วยระยะทางกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตจนมาถึงที่นี่ ดอยเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ซึ่งอยู่เกือบสุดขอบจังหวัดเชียงใหม่


แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแต่อากาศก็ยังคงเย็นเฉียบจนเหนือนน่านต้องสอดมือลงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวหนา ชมความงามของป่าเขาอยู่ได้เพียงไม่นานชายหนุ่มก็รีบคว้าเป้สะพายหลังเดินลงไปตามทางคอนกรีตแคบ ๆ ที่ใช้สัญจรภายในหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่โรงเรียนที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น


รอยยิ้มและคำทักทายของชาวบ้านที่พบระหว่างทางยังคงเป็นสิ่งที่เหนือน่านได้รับทุกครั้งที่มีโอกาสได้หวนกลับมาที่นี่ ที่ซึ่งเขาเคยมาออกค่ายกับเพื่อน ๆ ชมรมอาสาของมหาวิทยาลัย เมื่อขายาวก้าวเข้าภายในเขตรั้วไม้ไผ่ซึ่งสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ เพื่อใช้บอกอาณาเขต


ตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ มีเพียงอาคารชั้นเดียว ธงชาติบนยอดเสา และเสียงท่องอาขยานดังแว่วมาแต่ไกลเท่านั้นที่พอจะบอกให้รู้ว่าบริเวณที่เขายืนอยู่นี้คือโรงเรียน ชายหนุ่มเดินอ้อมไปด้านหลังอาคารเรียนซึ่งเป็นโรงเพาะเห็ดและแปลงเกษตร ที่นั่นเด็ก ๆ กำลังล้อมวงดูวิธีการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย


“พี่น่าน!” เด็กหญิงชายในชุดนักเรียนเก่าคร่ำคร่าต่างเรียกชื่อคนมาใหม่เป็นเสียงเดียวกัน ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาจนลืมคุณครูและเชื้อเห็ดในตะกร้าไปเสียสนิท


“ดูสิเจ้าพวกนี้ พอเห็นพี่น่านมาละลืมครูไปเลย” ผู้อาวุโสพูดกลั้วหัวเราะ


“สวัสดีครับครู” เจ้าของชื่อยกมือไหว้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีกากีที่กำลังลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือก่อนจะรับไหว้ 


“ทำไมวันนี้ถึงมาเอาตอนนี้ล่ะน่าน แล้วนี่จะค้างด้วยกันหรือเปล่า”


“ไม่ละครับครู พอดีวันนี้ผมแวะมาทำธุระในตัวเมือง แวะเอาเมล็ดผักจากสถานีเกษตรมาฝาก ไว้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันปลูก” พูดรับก็ปลดเป้จากหลังก่อนจะรูดซิปหยิบถุงใส่ซองเมล็ดฝักจำนวนมากส่งให้


“ดีเลย จะได้เอาไว้ทำอาหารกลางวัน ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ” เจ้าของใบหน้าที่โทรมเหงื่อยิ้มน้อย ๆ พลางรับถุงใบโตมาถือเอาไว้


“แต่เดี๋ยวอีกหน่อยมีสถานีวิจัยเกษตรที่สูงมาตั้งที่นี่ก็น่าจะดีขึ้นนะครับครู ชาวบ้านน่าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ว่าแต่นี่ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”


“กำลังสอนเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าน่ะ พอดีได้นายช่างจากกรุงเทพฯ ที่เขามาเก็บข้อมูลสำหรับวางแผนก่องสร้างสถานีวิจัยนั่นแหละช่วยซ่อมโรงเรือนให้ ครูก็เลยสอนเด็ก ๆ เพาะเห็ดด้วยวัสดุที่หาได้จากในบ้าน เผื่อจะเอาความรู้กลับไปถ่ายทอดต่อให้ผู้ปกครองได้บ้าง”


“ผมว่าครูนั่นแหละครับถ่ายทอดได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ขอความร่วมมือจากหัวหน้าหมู่บ้านนัดประชุมหรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านล่ะครับ ศาลาประชาคมก็มีหรือให้มาดูของจริงที่โรงเรียนได้เลยยิ่งดี”


“อืม เป็นความคิดที่ดีนะ ไว้ครูจะลองคุยกับผู้ใหญ่แกดู”


หลังจากส่งเด็ก ๆ ขึ้นห้องเรียนเพื่อเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านแล้ว ‘ครูขันคำ’ ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ก็เดินคุยกับเหนือน่านมาจนถึงบริเวณสนามฟุตบอลที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี


“นั่นไง นายช่างกลับมาพอดี”


เหนือน่านมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามของสนามซึ่งมีฟอร์จูนเนอร์สีดำจอดหลบอยู่ใต้เงาไม้ พลันร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในมือของเขาถือลูกฟุตบอลใหม่เอี่ยมที่เพิ่งแกะออกจากถุงหมาด ๆ เดินมาหยุดที่ข้างสนามก่อนจะโยนลูกกลม ๆ ลงบนพื้นจากนั้นจึงง้างเท้าหวดเข้าเต็มข้อตกลงกลางสนามซึ่งบรรดาเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่แบ่งกันเป็นสองทีมรออยู่แล้ว และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นวิ่งลงมาในสนามการดวลแข้งระดับประถมก็เริ่มต้นขึ้น


“เขาดูเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีนะครับครู”


“อืม นายช่างแกใจดี เวลาเข้าไปในเมืองทีไรก็จะซื้อขนมมาฝากเด็ก ๆ” ครูขันคำกล่าวพลางทอดตามองร่างสูงที่กำลังวิ่งไล่แย่งบอลกับเด็ก ๆ อยู่ที่กลางสนามอย่างชื่นชมกระทั่งเสียงรถจักรยานยนต์สับปะรังเคของกระจอกข่าวประจำหมู่บ้านดังใกล้เข้ามา


“ครู เมื่อกี้ผมเจอป้าจันเมียลุงผู้ใหญ่ที่ตลาด แกบอกว่ามีจดหมายจากทางการฝากมาถึงครู ให้ครูแวะไปเอาด้วย” หนุ่มน้อยวัยกระเตาะในชุดชาวเขาร้องขึ้นในขณะที่รถยังไม่จอดดี


“เอ้อ ขอบใจมากนะอินถา เอาไว้ครูจะแวะไปเอาก็แล้วกัน”


“ครูไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยไหม ผมจะไปแถวหลังวัดอยู่พอดี เสร็จธุระแล้วผมจะส่งครูให้ถึงหัวกระไดบ้านเลย” อินถาเสนอ


“เอ็งไปเถอะอินถา เอาไว้ค่ำ ๆ ครูค่อยแวะไป”


“แล้วครูจะไปยังไง ปั่นรถถีบไปน่ะเหรอ ไกลอยู่นะครู แมงกะไซค์ผมดีกว่า เร็วกว่ากันเยอะ”


คำพูดของหนุ่มน้อยชาวเขาทำเอาเหนือน่านกระตุกยิ้ม หากเปรียบเทียบความเร็วระหว่างจักรยานคันเก่าของครูขันคำกับมอเตอร์ไซค์แก่ ๆ ที่เสียงเครื่องยนต์ฟังแล้วเหมือนคนจะหมดลมก็คงไม่ได้ต่างกันนัก


“ไปเถอะครับครู อุตส่าห์มีพลขับขันอาสาแล้ว ผมเองก็จะลากลับอยู่พอดี”


เมื่อกล่าวคำร่ำลานักวิจัยหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้วครูขันคำก็ขึ้นซ้อนท้ายแมงกะไซค์ที่เจ้าของคุยนักคุยหนาว่าเครื่องแรงที่สุดในหมู่บ้าน


“อย่าซิ่งนักล่ะอินถา” เหนือน่านไม่วายกระเซ้า


“รถมันแรงน่ะพี่น่าน แต่อินถาจะพยายามขับนิ่ม ๆ เพื่อความปลอดภัยของครู” พูดจบหนุ่มน้อยก็บิดคันเร่งพาครูขันคำค่อย ๆ ห่างออกไปด้วยความเร็วชนิดที่เดินเอาก็อาจจะเร็วกว่า


เหนือน่านละสายตาจากรถจักรยานยนต์คันเก่าหันมองไปที่สนามเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งตกตุ้บอยู่ไม่ไกล พลันลูกกลม ๆ ก็กลิ้งหลุน ๆ มาหยุดที่ปลายเท้า ชายหนุ่มก้มลงเก็บลูกบอลและเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าร่างสูงที่เคยวิ่งอยู่กลับเด็ก ๆ ที่กลางสนามกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เส้นผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อตกลงมาปรกหน้าผากเคลียอยู่กับแผงคิ้วหนาจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นเสยไปด้านหลัง


ดวงตาสีดำสนิทยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง รู้สึกเหมือนเคยพบกับเขาที่ไหนมาก่อน พยายามคิดทบทวนแต่ก็นึกไม่ออก ความคิดหยุดลงแค่นั้นเมื่อรอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าชื้นเหงื่อของชายหนุ่มแปลกหน้า   


“ขอบอลคืนด้วยครับ”


คำพูดของร่างสูงตรงหน้าทำให้เหนือน่านต้องโยนลูกกลมคืนให้โดยอัตโนมัติ และเมื่ออีกฝ่ายรับลูกบอลคืนไป เขาก็จัดการเตะมันกลับลงไปในสนาม เกมการแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า” พูดพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตนเอง


“อ...เอ้อ...ม...ไม่ ไม่มีครับ ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยพบคุณที่ไหนมาก่อน”


“ในทีวีหรือเปล่า มีหลายคนบอกว่าผมหน้าเหมือนดารา” หนุ่มหน้าทะเล้นพูดติดตลกก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงไปกันใหญ่ “ผมล้อเล่นน่ะ เราเคยเจอกันมาก่อนถ้าคุณยังจำได้ คุณเดินชนผมที่ร้านของน้าริน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเหนือน่านก็ขยับแว่นสายตาพลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันทันทีที่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเริ่มแจ่มชัดขึ้นในความคิด “คุณ...”


“ธามครับ”


“คุณนั่นเองที่ส่งโปสการ์ดคืนให้ผม”


ธามพยักหน้ารับพลางมองคนตรงหน้าให้ชัด ชัดกว่าคราวที่แล้วที่ได้พบกัน


“ขอบคุณมากนะที่ช่วยเอามาคืนให้”


“ไม่เป็นไร ไม่ได้ลำบากอะไร ผมมีธุระต้องมาเชียงใหม่อยู่พอดี”


“ครูขันคำบอกว่าคุณมาเก็บข้อมูลวางแผนสร้างสถานีวิจัย?”


“ครับ ผมเป็นวิศวกร บริษัทของผมประมูลโครงการก่อสร้างสถานีเกษตรที่สูงได้ ผมก็เลยต้องมาลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่นี่ ส่วนคุณ....อืม ตามที่คุณเล่า” ธามมุ่นคิ้ว “นี่ผมไม่ได้เสียมารยาทนะ คุณส่งมาผมก็อ่าน”


คนฟังพยักหน้าส่ง ๆ 


“คุณเป็นนักพฤกษศาสตร์ใช่ไหม ชื่ออะไรนะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าคิด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มจึงตอบเสียเอง 


“น่าน”


“ใช่ ๆ จำได้แล้ว ชื่อน่านนี่เอง ตอนที่ได้รับโปสการ์ดครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่าคนอะไรชื่อแปลกจัง ว่าแต่คุณอายุเท่าไรจะได้เรียกถูก”


“ยี่สิบแปด”


“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”


“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”


“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”


“ก็แล้วแต่” เหนือน่านถอนใจเฮือก ตอบไปแบบนั้นเพราะคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับคนประหลาด ๆ เช่นนี้ ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าควรจะกลับเสียทีจึงกล่าวคำอำลาอีกฝ่าย "ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ"


“อืม” ธามตอบเพียงสั้น ๆ ยืนนิ่งมองร่างสูงที่กำลังเดินหันหลังให้ และก่อนที่เหนือน่านจะเดินพ้นรั้วโรงเรียนออกไป เขาก็ตัดสินใจพูดขึ้น


“น่าน”


เจ้าของชื่อชะงักดึงเท้ากลับหันมาสบตาคนเรียกอีกครั้ง แต่แทนที่อีกคนจะสบตากลับก็ดันทำจกกระเป๋าเสมองขึ้นฟ้าเอาเสียดื้อ ๆ


“ค...คือ ผมคงคิดถึงโปสการ์ดจากเชียงใหม่นะ ถ...ถ้าคุณจะส่งมาอีกผมก็ไม่ว่านะ ผมชอบอ่าน” พูดจบก็เลื่อนสายตาลงมามองกันจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้ง “แต่ไม่ต้องลงท้ายว่าคิดถึงแกนะ มันจั๊กจี้” สำหรับธามถ้อยคำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับปัจฉิมลิขิตในจดหมาย...เขียนไว้สุดท้ายแต่กลับสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าเนื้อความที่ว่ามาทั้งหมด


‘ไอ้เด็กเพี้ยน’ คนฟังคิดในใจก่อนจะหันหลังให้เจ้าของหน้าทะเล้น ขายาวก้าวห่างออกมาโดยไม่รู้เลยว่าดวงตาของใครอีกคนยังคงตามติดตัวมาด้วย




...


ในที่สุดเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนก็ทำให้ผมได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

...เพื่อนที่ทำให้ผมยิ้มทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นโปสการ์ดของเขาในตู้รับจดหมาย...

...


อุณหภูมิบนดอยอินทนนท์ใกล้ติดลบเต็มทีแล้ว

เราว่าสัปดาห์หน้าคงได้เห็นแม่คะนิ้งแน่ ๆ

คิดว่าปีนี้น่าจะหนาวกว่าปีก่อนด้วย

เมื่อวันก่อนก็เลยแวะเอาเสื้อกันหนาวที่ฝากมาไปให้ครูขันคำที่โรงเรียน

ตอนนี้นอกจากครูจะเป็นครูใหญ่และสอนเด็ก ๆ ปลูกผักแล้ว

ครูแกยังเป็นโค้ชให้ทีมฟุตบอลของหมู่บ้านด้วยนะ

ก็คงเป็นเพราะลูกฟุตบอลลูกนั้นนั่นแหละ เด็ก ๆ ถึงหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น

กระดาษหมดพอดี จบแค่นี้ก็แล้วกัน


น่าน


ป.ล. น้ารินฝากถามว่าเมื่อไรจะแวะมาที่ร้านอีก





ธามโคลงหัวพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อไล่สายตามาจนถึงตัวอักษรตัวสุดท้าย


“เขียนเล่าแต่เรื่องของคนอื่นทุกทีสิน่า”


ถึงปากจะบ่นแต่กระนั้นรอยยิ้มก็ยังผุดพรายระบายทั่วใบหน้าอยู่ดี




...นี่ก็ยิ้มได้ทุกทีสิน่า...





 

 
 
....



คิดว่าจะจบในตอนนี้ แต่จบไม่ลง ยกไปไว้ตอนหน้านะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-06-2015 06:18:10
โด่ว ธามไม่ได้เขียนหาน่านมั้งเหรอ?

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-06-2015 07:50:19
เหยยยยยยยย~ เราฟิน พี่ธาม ไม่สิ น้องธามแอ๊วไดเเนียนมากมีการยอมเสียเปรียบลดอายุด้วย
โอ๊ย! อิจฉาน่านอยากได้คนโกงอายุมาเท่ากันสักคน
มาต่อเร็วๆนะคะ

ปล. ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร แต่เรื่องของคุณมักอัพในวันที่เราแย่ๆ แล้วคืนรอยยิีมให้เราเสมอ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 03-06-2015 08:40:42
ธามหวังอยู่ลึกๆละสิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 03-06-2015 09:25:55
ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วนะ ^^

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: หมวกฟาง ที่ 03-06-2015 10:19:54
 นี่ก็อ่านไป อบอุ่นหัวใจไปทุกทีสิน่า...
 :katai2-1: :heaven
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 03-06-2015 13:01:47
อ้างถึง
“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”


“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”


“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”

ชอบท่อนนี้มากค่ะ ตอนแรกเข้าใจว่าธามจะขรึมๆ ซะอีก สุดท้ายก็เป็น 'ไอ้เด็กเพี้ยน' นี่เอง
น่ารักมากเลย


สุดท้ายก็รู้จักกันจริงๆ จังๆ แล้ว น่ารักมากเลยค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 03-06-2015 17:25:42
เรื่องบังเอิญแบบนี้นี่โรแมนติกจังเลยค่าา~ :heaven อู๊ยย~ ทั้งสองคนทำเรายิ้มตามจนปวดแก้มเลยเชียวน้าา ><

เราว่าที่ธามไม่ยอมเขียนโปสการ์ดมาหาน่านเขาบ้างก็เป็นเพราะว่า ตัวจะมากระซิบเล่าเรื่องราวทุกอย่างเบาๆ ที่ข้างหูน่านเขาใช่ไหมล่ะค้า~ :oni1: จั๊กจี้แทนน่านจังเลย~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 03-06-2015 19:56:11
อะไรน่ะคุณธามๆๆๆๆ
เต๊าะพี่น่านรึหึหึ ไม่นึกว่าธามจะทะเล้น
อ่านตอนแรกนึกว่าเงียบขรึมซะอีก
อ่าลุ้นมากๆ อัพๆต่อน๊า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-06-2015 21:15:02
หว๊ายๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยเลยนะธามมม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 03-06-2015 21:25:50
อยากไปตามรอย ธาร น่าน จัง คิดถึงเชียงใหม่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-06-2015 21:37:29
แล้วน่านไปหาที่อยู่ซันมาจากไหนล่ะเนี้ย เก่งจัง หลังจากส่งผิดมาตั้งนาน ฮ่าๆๆๆ
แหม ถ้าธามบอกพี่เค้าซะตั้งแต่เนิ่นๆก็ไม่มีข้ออ้างเอาโปสการ์ดมาคืนถึงร้านน้ารินสิเนาะ
แล้วต่างคนต่าง"ร่างสูง"เรื่องนี้ใครพระใครนายต้องลุ้นต่ออีกใช่มั้ยคะ
เรตติ้งกำลังดี เอานโยบายละครไทยหน่อยมั้ย ยืดดดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-06-2015 23:34:11
อมยิ้มเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 04-06-2015 15:09:22
โอยยย น่ารักมากกกกก
อ่านแล้วเย็นๆ วูบๆ วาบๆ สบายใจ
บรรยากาศชวนเคลิ้มเคลิ้มจริงๆ นะเนี่ย
ว่าแต่ธามไม่เขียนโปสการ์ดหาน่านบ้างหรอ?
ให้น่านเขียนเล่าอยู่ฝ่ายเดียวเลย 555555555

น่ารักเนอะ
รอธามกลับไปเยี่ยมร้านน้ารินอีก

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ปัจฉิมลิขิต) 03-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 04-06-2015 18:03:02
เป็นนิยายรักที่โรแมนติกจัง. ทำเรายิ้ม เขิน มีความสุขมากๆค่ะที่ได้อ่าน. ขนาดยังไม่ได้เป็นคนรักกันนะเนี่ย555
เหมือนธามและน่านมีอยู่จริง และลุ้นให้เขาทั้งคู่รักกันจริงๆ. เป็นคู่รักคู่แท้กันเลยเนอะ

ตอนนี้อะไรก็เป็นเหมือนเราคู่กันเนอะธามน่าน
คนหนึ่งมาสร้างโรงเรือน อีกคนก็มีเมล็ดเพาะปลูกมาให้
คนหนึ่งจ้องมอง อีกคนก็ต้องเป็นฝ่ายถูกมองบ้างแล้ว555
คนหนึ่งส่งบอลไปถึง(ตั้งใจใช่ไหมอ่ะธาม555รู้นะ)  อีกคนจำเป็นต้องรับบอลไว้ให้
คนหนึ่งเขียนโปสการ์ด อีกคนอ่านโปสการ์ด(รอคอยแต่จะอ่านอย่างเดียวไม่คิดเขียนไปบ้างหรือไอ้เด็กเพี้ยน555)
 
แนะนำให้ธามไปหาน่านเร็วๆ อยากรู้เรื่องราวเขาก็ต้องไปสัมผัส(น่าน)ด้วยตนเองค่ะ :mew2:

ธามหลอกเรา แกไม่ใช่คนเงียบขรึมอย่างที่คิดไว้อ่ะ
หรือว่าเป็นคนทะเล้น กวน เพี้ยนไปโดยอัตโนมัตเมื่อเจอคนพิเศษคนที่ใช่จ๊ะ555

ขอบคุณมากๆค่ะ ดีใจที่นิยายยังไม่จบ ไม่ว่าเรานะที่คิดแบบนี้.
อ่านทุกครั้งมีความสุข มีพลังจริงๆค่ะ :L2: :pig4:




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 04-06-2015 22:37:22
ตอนจบ



ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวนักพฤกษศาสตร์หนุ่มมักใช้ช่วงเวลานี้เดินตรวจดูแปลงปลูกดอกเบญจมาศภายใต้หลังคาโค้งที่คลุมทับด้วยพลาสติกสีขาว รวมถึงตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้าภายในโรงเรือนที่ใช้สำหรับควบคุมไม่ให้ดอกเบญจมาศออกดอกเร็วกว่ากำหนด ร่างสูงเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกกระทั่งพ้นร่มหลังคาโรงเรือนจึงหยุดยืนทอดมองไปยังเนินเขาเบื้องหน้าที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟภายในโดมพลาสติกแบบเดียวกันที่เรียงตัวทอดยาวอยู่บนแนวคันดินลดหลั่นเป็นขั้นบันได เป็นดวงดาวบนผืนดินที่ทอแสงให้เห็นทุกค่ำคืนจนกลายเป็นภาพชินตาของคนแถวนี้


เหนือน่านยกมือขึ้นป้องปากเป่าลมร้อนให้อาการชาบรรเทาลงแต่ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ในช่วงเวลาแบบนี้การได้นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ คือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินกลับขึ้นมาที่หน้าสถานีวิจัยอีกครั้งตั้งใจจะกลับเข้าบ้านพัก แต่แล้วเสียงของเครื่องยนต์กับแสงไฟที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้ต้องหยุดรอดูว่าใครกันที่มาเยือนที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงลานจอดรถก็พบกับฟอร์จูนเนอร์สีดำขลับที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ประตูรถเปิดออกหลังจากเครื่องยนต์ดับสนิทได้เพียงไม่นานจากนั้นร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมายืนบิดให้กล้ามเนื้อได้คลายความเมื่อยล้า
   

“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” นั่นคือคำทักทายแรกที่เจ้าถิ่นกล่าวกับคนที่เพิ่งมาถึง


อีกฝ่ายปิดปากหาวหวอด ๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของร่างสูงที่สาวเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่วายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ชวนให้คนฟังเถียงไม่ออก “พูดยังกับติดต่อง่ายอย่างนั้นแหละพระฤาษี”


“ฤาษีบ้าอะไรเล่า” เหนือน่านมุ่นคิ้ว อดนึกคนที่นิยามตัวเขาด้วยคำนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน อรุณรุ่งเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง เขามีโอกาสพบเธออีกครั้งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ถ้าเมื่อหนึ่งปีก่อนธามไม่เอาโปสการ์ดมาคืนและไม่ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ติดต่อคุณลุงที่ขายบ้านให้เอาไว้กับน้าริน ตัวเขาก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนรักอีกหน


“ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมงถึงได้มาถึงเอาค่ำมืดแบบนี้ แล้วบอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา”


ธามทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปเปิดท้ายรถคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง หันกลับมาอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายยังมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบให้ได้จึงถอนหายใจเฮือก “แทนที่จะถามว่าเหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง” คนพูดวางหน้านิ่งก่อนจะเดินผ่านร่างเจ้าของคำถามมุ่งสู่ทางขึ้นบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน ไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจจะตอบคำถามนั้น


เหนือน่านโคลงศีรษะมองตามคนตัวสูงที่กำลังเดินห่างออกไปในความมืด นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนับแต่รู้จักกับธามคนนี้ เขามักจะทำเรื่องให้ต้องประหลาดใจเสมอ ดูภายนอกสุขุมนุ่มลึก หากได้รู้จักกันจริงจังแล้วละก็จะพบว่าเป็นคนหนุ่มที่ดื้อชนิดหาตัวจับยากทีเดียว กระนั้นแล้วก็ยังมีมุมสนุกสนานให้คนรอบข้างพลอยได้ยิ้มตามอยู่บ้าง


สองคนอาศัยแสงจากเสาไฟสูงหน้าที่ทำการสถานีก้าวตามกันไปบนทางลาดยางที่เวียนขึ้นสู่เนินเขา ในขณะที่คนเดินตามหลังกำลังจะซักไซ้ให้ได้ความก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะแสงจากไฟฉายกระบอกเล็กของใครคนหนึ่งที่สวนทางลงมา


“อ้าว เพื่อนมาเหรอน่าน” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับรับไหว้หนุ่มกรุงเทพฯ ที่เคยพบกันมาแล้วหลายครั้ง “พี่ว่าจะชวนลงไปในหมู่บ้านสักหน่อยเห็นอยู่ว่าง ๆ”


“พี่ธิจะไปทำอะไรเหรอครับ”


“ว่าจะไปหาอะไรร้อน ๆ ดื่มน่ะ ไม่ไหว อากาศมันหนาวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ลองไปชวนคนอื่นดูก็ได้” พูดจบหัวหน้านักวิจัยก็หันมากล่าวกับผู้มาใหม่ “นี่เพิ่งมาถึงเหรอ แล้วกินอะไรมาหรือยังไปนั่งดื่มด้วยกันในหมู่บ้านไหม”


“เรียบร้อยมาจากในเมืองแล้วครับพี่” ธามตอบพลางหันไปส่งสายตาให้คนที่ไม่คิดจะถามคำถามนี้กับเขาบ้าง


“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ”


วิศวกรหนุ่มค้อมศีรษะ มองตามร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินหายไปในความมืด เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าคนที่เดินตามกันมาเมื่อสักครู่เดินห่างออกไปแล้ว ขายาวรีบสาวเท้าก้าวตามในขณะที่ปากก็พร่ำบ่นไปด้วย   


“คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน”


คนเดินนำหันกลับมาสบตาเจ้าของถ้อยคำประชดประชันเมื่อครู่ “ไม่ถูกหรือไง”


“ก็...”


ไม่รอฟังให้จบเหนือน่านก็เบนสายตาหนีเสียก่อน เท้ายังคงก้าวไปตามขั้นบันไดดินได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว”


ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังน้อยก่อนจะไขกุญแจเปิดประตู เชิญผู้มาใหม่เข้าไปด้านใน ทันทีที่ดึงประตูปิดเจ้าของบ้านก็ถามคำถามเดิมซ้ำ “แล้วตกลงว่าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมง บอกแม่หรือเปล่า” 


“ออกมาตั้งแต่เช้ามืด ถึงเชียงใหม่ก็แวะหาน้ารินแล้วก็ตรงมาที่นี่ ทำไมชอบทำตัวเป็นพี่ชายอยู่เรื่อย ไม่ได้อยากให้เป็นสักหน่อย” ธามบ่นพลางปลดเป้จากหลังวางลงกับพื้นก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ พื้นที่ขนาดไม่มากไม่มายนี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่เขาแวะมาในช่วงต้นหน้าฝน ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านเลยด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าห้องมากกว่า โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างมีแต่ตำราหนา ๆ เฟอนิเจอร์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นสมกับเป็นอาศรมฤาษีจริง ๆ 


“ก็เพราะชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ไง” คนอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางของเหนือน่านตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่ชายใจเย็นที่กำลังสอบสวนน้องชายผู้เก็บงำความผิดเอาไว้ “สรุปว่ามานี่แม่รู้หรือเปล่า”


“รู้น่า ถ้าไม่เชื่อจะโทร.ไปคุยไหม จะต่อสายให้” พูดไปอย่างนั้น ไม่ต้องดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็รู้ว่าไม่มีสัญญาณ ที่นี่มันเมืองลับแลชัด ๆ


“ก็แค่นั้น ตอบคำถามที่เราถามมันยากเย็นตรงไหน มัวลีลาอยู่ได้”


“แล้วคำถามของธามล่ะตอบยากตรงไหน ทำไมเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมตอบสักที รอนานแล้วนะ” ธามกล่าวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงอย่างถือวิสาสะ ดวงตายังไม่ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย


“......”


คนรอถอนใจเบา ๆ ไม่มีอะไรผิดจากที่คาดหมายเอาไว้ ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดออกจากกลีบบาง เหนือน่านยังคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาเหมือนเคย เลี่ยงมาอย่างนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สารภาพความในใจให้รู้


“ซันส่งรูปลูกชายมาให้ดู” ธามเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วที่ทำให้พื้นที่แคบ ๆ ยิ่งแคบไปกันใหญ่ พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เดินมาหยุดแบมือรออยู่ตรงหน้า “ซันบอกให้เราบังคับน่านให้เปลี่ยนโทรศัพท์แล้วก็หัดเล่นโซเชียลมีเดียแบบคนอื่นเขาบ้าง ใช้อยู่ได้ไอ้เครื่องแก่ ๆ เนี่ย เห็นทีไรแล้วนึกว่าอยู่ในยุคคุณยาคุณยายยังเด็ก”


“พูดยังกับไม่เคยใช้” เหนือน่านกล่าวพลางคว้าสมาร์ทโฟนมาเปิดดูรูป 


“เคยใช้ แต่ใช้ตั้งแต่เรียนมัธยมโน่น เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วครับคุณ”


“ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น”


ธามทอดตามองคนพูด ดวงดวงตาของเหนือน่านยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยภาพของเด็กชายลูกครึ่งไทย-เยอรมันเจ้าของพวงแก้มยุ้ยน่าฟัด รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับกำลังมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่ปราศจากความรีบร้อน โลกที่ตัวธามเองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแต่ก็หวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะเปิดรับให้เขาได้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยกัน
   

“ระวังให้ดีจะโขมยไปทิ้ง” คนพูดลุกขึ้นก่อนจะเดินไปรั้งเป้ขึ้นมาวางบนเตียง ควานหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวตั้งใจจะอาบน้ำอาบท่าให้คลายความเหนื่อยล้าหลังจากขับรถมาทั้งวัน 


“อยากโดนเตะก็ลอง”


ร่างสูงหัวเราะหึ วางชุดใหม่ลงบนเตียงก่อนจะขยับเข้าประชิด “กลัวตายละ” พูดจบก็ถือโอกาสพาดคางลงบนบ่ากว้าง กดตาลงมองปลายนิ้วที่ดึงเปลี่ยนภาพบนหน้าจอสัมผัส แขนแกร่งโอบรัดเข้าที่รอบเอวสวมกอดจากด้านหลัง “นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือมัวแต่ช่วยพี่ธิทำงาน เดี๋ยวต้องไปต่อว่าหน่อยแล้ว ทำไมทำน่านผอมขนาดนี้”


“ปล่อย แล้วก็ไปอาบน้ำไป” เหนือน่านกล่าว ถึงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มจะทำให้รู้สึกจั๊กจี้และแขนหนานั่นก็ทำให้รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้มันก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจให้เขาละสายตาจากภาพของเด็กน้อยผมสีน้ำตาอ่อนตรงหน้าไปได้


“นาน ๆ จะยอมให้ทำแบบนี้ใครจะปล่อยง่าย ๆ”


“ธาม ไปอาบน้ำไป” เสียงขรึมของคนอายุมากกว่าทำเอาคนฟังหน้าหน้ามุ่ย แต่ก็ได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าชื่อยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม กดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมจากเนื้อคอขาวอย่างจงใจ ไม่รอให้ถูกต่อว่าก็รีบผละออกคว้าเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เหนือน่านได้แต่ลูบต้นคอตนเองป้อย ๆ


เสียงน้ำจากฝักบัวดังแว่วมาจากหลังประตูห้องน้ำพร้อมกับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เจ้าของบ้านถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เตียง ดวงตายังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่งแต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ได้นิ่งตามเลยสักนิด ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสไปเรื่อย ๆ จากภาพของลูกชายเพื่อนเปลี่ยนเป็นภาพที่เจ้าของโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อตอนไปออกไซต์งาน ภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ เมื่อครั้งไปสังสรรค์ ภาพของแม่ และภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับฟุบอยู่กับหนังสือ เหนือน่านยังคงจ้องมองภาพของตัวเองอยู่อย่างนั้น หูได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำพลันกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่และน้ำยาสระผมก็หอมฟุ้งไปทั่วห้อง รู้ตัวอีกทีตอนที่ธามวางผ้าเช็ดตัวลงมาบนศีรษะในขณะที่แว่นสายตากับโทรศัพท์ในมือถูกดึงห่างออกจากตัวพร้อม ๆ กัน


“เลิกดูได้แล้ว” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางวางทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นเอนหลังพิงกับเตียง “เช็ดผมให้หน่อย”


เหนือน่านขมวดคิ้ว เริ่มจะหมดความอดทนกับไอ้เด็กเอาแต่ใจตัวเองคนนี้เต็มที มือรั้งผ้าผืนนุ่มลงมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะโปะลงบนหัวชื้น ๆ จากนั้นจึงออกแรงขยี้ด้วยความมันเขี้ยว


หรือหมั่นไส้?


“เบา ๆ หน่อย หัวจะหลุดอยู่แล้ว”


เสียงบ่นงึมงำของผู้ถูกกระทำเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า คนช่างแกล้งจึงจำต้องผ่อนแรงลง


“โปสการ์ดที่ส่งไปน่ะได้รับบ้างหรือเปล่า”


“ได้รับสิ อ่านทุกใบ ใบละหลาย ๆ รอบเลยนะ”


“ให้แต่เราเขียนถึง แต่ตัวเองกลับไม่ยักเขียนถึงเรา ประหลาดคน”


“ธามอยากมาพูดด้วยตัวเองนี่นา คิดถึงก็บอกคิดถึง แต่ถ้าน่านเบื่อเขียนก็ไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้ เอาไว้เราจะมาฟังเรื่องของน่านทุกอาทิตย์เลยดีไหม”


“นึกว่าขับรถไปกลับที่ทำงานหรือไง” เหนือน่านกล่าวในขณะที่มือยังจับผ้าขนหนูค่อย ๆ บรรจงซับน้ำที่เส้นผมสีเข้ม ไม่นานก็แห้งสนิท “เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับดันหลังอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นไปตากผ้าเช็ดตัว เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเขาก็ว่าธามกระโดดขึ้นไปนอนตะแคงขดหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเสียแล้ว


เจ้าของห้องเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมารั้งผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ก่อนจะล้มตัวลงนอน ห้องทั้งห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาติดฝาผนังและเสียงลมหายใจของคนข้าง ๆ จะว่าไปก็ยังมีอีกเสียง เหนือน่านลืมตาทันทีที่รู้สึกว่ามีของหนัก ๆ กดลงหน้าอก ไม่ใช่ผีอำแต่เป็นคนที่จู่ ๆ ก็ขยับตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แถมยังเอาหัวหอม ๆ หนัก ๆ วางลงบนอกเสียอีก


“เพิ่งรู้ว่าคนเป็นเพื่อนกันเขาใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้กันแบบนี้” ธามเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตา


“ออกไปห่าง ๆ ไป ถ้าไม่อยากโดนยันตกเตียง”


“พี่น่านกล้าเหรอครับ ถ้ากล้าก็ลองดู ธามจะทำให้มากกว่ากอดอีก” เสียงอู้อี้ทำคนฟังนอนตัวแข็งทื่อ แผงอกที่กระเพื่อมเบา ๆ นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไอ้เด็กเพี้ยนนี่คงกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ


“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” พูดจบก็แทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงที่กลุ่มผมนุ่มมือจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบา ๆ
     

...



ธามถูกปลุกให้เตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไม่รู้ว่าเจ้าถิ่นอย่างเหนือน่านหวังดีหรือจงใจแกล้งกันแน่ กระนั้นแล้วก็ยังรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะพากันมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 ของเส้นทางสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ที่ดูท่าแล้วคงจะมีแต่พวกเขากับนักท่องเที่ยวอีกไม่กี่คนเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด


ฟอร์จูนเนอร์สีดำถูกจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถหน้าทางเข้าเส้นทางศึกษาะรรมชาติกิ่วแม่ปานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน สายหมอกยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณเหมือนผืนผ้าที่ห่มคลุมขุนเขาเงียบสงบไม่ต่างอะไรกับคนกำลังนอนหลับ นาน ๆ จะได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมาสักที สองคนเดินตามกันไปยังที่กั้นข้างทางเพื่อรอเวลาที่แสงแรกของวันจะปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องหน้า หากโชคดีฟ้าเปิดก็คงจะได้เห็นดอยหัวเสือที่นอนชูหัวเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหุบเขา


“ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือไง” คนสวมเสื้อกันหนาวมีฮูทกล่าวเสียงสั่นนั่นเพราะความเย็นของอากาศที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาเซลเซียส


“เห็นอยู่ทุกวัน ก็เลยอยากให้มาเห็นด้วย” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับดึงฮูทขึ้นคลุมศีรษะให้


“อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็น แค่ตื่นเช้า ๆ”


“ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันใคร ๆ เขาคงไม่ทนหนาวจนปากสั่นมานั่งรอดูกันหรอก”


“ฤาษีนี่ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาเนอะ” พูดจบแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของคนที่ไม่ทันระวังตัว


“จะกอดทำไม ไปห่าง ๆ เลย”


“ทีเมื่อคืนยังยอมให้กอดทั้งคืน อยากให้เพื่อนหนาวตายหรือไง ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีหน่อยสิ”


คนฟังส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ตรงนี้มันเป็นช่องลมพอดี ถ้าหนาวก็ไปนั่งอีกฝั่ง” พูดจบเหนือน่านก็ก้าวข้ามไปยืนอยู่อีกฟากของที่กั้นข้างทางก่อนจะนั่งเหยียดขาลงกับลาดเขาที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาว ทอดตามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมีแสงสีส้มเป็นแบ่งในแนวขวาง


“ตรงนี้ไม่หนาวจริงด้วย” คนที่ตามมานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยขึ้นจากนั้นก็มองไปที่จุดเดียวกัน เพียงไม่นานลำแสงเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือทิวเขาทางด้านซ้าย


“มองเห็นไหม นั่นดอยหัวเสือ”


“ไม่เห็นมีเสือสักตัว”


“นั่นไง” พูดแล้วก็จับปลายนิ้วของอีกฝ่ายชี้ไปยังยอดเขาที่เห็นอยู่ลิบ ๆ จากนั่นก็ขยับวาดไปตามแนวสันเขา


“ไหน” ธามกล่าวพร้อมกับมองตามปลายนิ้วของตัวเอง ที่กำลังลากซ้ำไปมาอยู่ในอากาศ


“เห็นไหม นั่นหลัง ขึ้นมาเป็นหัว นี่จมูก มันกำลังหันหน้าไปทางนั้น”


“เห็นแล้ว เหมือนเสือจริง ๆ ด้วย” คนอายุน้อยกว่าร้องขึ้นราวกับได้ค้นพบบางสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก ที่มีคนบอกว่าจินตนาการอยู่นอกเส้นบรรทัดนั้นน่าจะจริง


“กรุงเทพฯ มีไหม แบบนี้น่ะ ตื่นมาแล้วเจอดอยหัวเสือ มีแต่ตื่นมาแล้วเจอคนหัวเสียทั้งนั้น”


เจ้าของสองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเย็นของอากาศฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม


“ยิ้มอะไร”


“กำลังคิดว่าโลกของน่านมันคงเป็นโลกที่เงียบสงบดี ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องแย่งชิง ไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ใช้โทรศัพท์จอขาวดำก็หรูแล้ว เมื่อไรจะให้ธามเข้าไปอยู่ด้วยกันบ้าง”


เหนือน่านเบือนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงสีทองอาบคลุมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มเลือกที่จะใช้ความเงียบตอบคำถามนั้นเช่นเคย


“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” คนถามกล่าวพลางกดตาลงต่ำมองตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า “เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปเดินกิ่วกัน ถ้าธามเดินออกจากกิ่วได้ก่อนเที่ยง เราสองคนมาเป็นแฟนกัน”


“จะบ้าเหรอ ใช้เวลาน้อยขนาดนั้นได้ขาดใจตายอยู่บนกิ่วกันพอดี”


“ไม่รู้ละ ไม่อยากรอแล้ว แต่ถ้าขาดใจตายอย่างที่ว่าจริงก็น่าดีเหมือนกัน น่านจะได้ไม่ต้องรำคาญใจอย่างที่เป็นอยู่” พูดจบธามก็พรวดลุกขึ้นกระโดดข้ามที่กั้นข้างทางตรงไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที


หลังจากหาอะไรกินให้หนักท้อง สองคนก็เดินขึ้นไปที่ที่ทำการแต่ก็ไม่ทันได้ใช้บริการคนนำทางที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนซึ่งพอดีกับจำนวนนักท่องเที่ยว 2-3 กลุ่มที่มาถึงก่อน ดังนั้นจึงต้องรอเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นเดินกลับออกมาอีกครั้ง


“ธามไม่รอนะ จะไปเดี๋ยวนี้ละ”


“ได้ยังไง มันเป็นกฎ”


“น่านก็นำทางได้ไม่ใช่เหรอ”


“แต่เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่”


“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ข้างนอก เดี๋ยวธามกลับมา รับรองว่าก่อนเที่ยงแน่ ๆ” พูดจบวิศวกรหนุ่มจอมดื้อก็คว้าไม้ค้ำยันก่อนเดินหายเข้าไปในเขตป่า


“ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” เหนือน่านโคลงหัวอย่างอิดหนาระใจก่อนจะเดินไปลงเวลาเข้าที่สมุด เลือกไม้ค้ำยันที่เหมาะมือจากนั้นจึงเดินตามเข้าไป


ธามก้าวอาด ๆ ไปตามทางดินลาดชันสลับกับขั้นบันไดในป่าที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก ท่าทางเอาจริงของเขาทำให้คนเดินตามหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ เหนือน่านเร่งฝีเท้าตามติดมองอีกฝ่ายไม่คลาดสายตา แม้ตัวเขาจะเดินป่าแถบนี้อยู่บ่อยครั้งแต่การเดินแบบไม่พักเช่นนี้ก็ทำให้แย่ได้เหมือนกัน จากหายใจทางจมูกเปลี่ยนมาเป็นผ่อนลมออกทางปาก ธามเองก็คงไม่ต่างกัน ทันทีที่เห็นร่างสูงเริ่มชะลอฝีเท้า ขายาวก็ก้าวพรวด ๆ จนกระทั่งทันกัน


“ไม่ต้องรีบเดินนักหรอก อากาศบนนี้มันน้อย ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งเหนื่อย เขาถึงต้องมีคนนำทางไง จะได้หยุดให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเป็นการแวะพักไปในตัว”


“บอกแล้วไงว่าจะกลับออกไปก่อนเที่ยง” คนหัวรั้นหอบแฮ่ก ๆ ในที่สุดก็จำต้องนั่งพักที่ที่นั่งข้างทางซึ่งทางอุทยานจัดเอาไว้ให้
เหนือน่านได้แต่ฟังเฉย ๆ ปลดเป้สะพายหลังก่อนจะหยิบขวดน้ำส่งให้ “ดื่มน้ำก่อน”


“ตั้งใจจะถ่วงเวลาใช่ไหม นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับเราขนาดนั้นเลย?” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่วายคว้าขวดน้ำมาเปิดดื่มด้วยความกระหาย


“แค่อยากให้อยู่นาน ๆ หรอกน่า ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะรีบร้อนไปไหน ข้างทางมีอะไรให้ดูตั้งเยอะ กว่าเราจะคุ้นเคยกับที่นี่จนเดินได้แบบที่ไม่ต้องมีคนนำทางก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นไปเรื่อย ๆ” เหนือน่านยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ขอนไม้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านที่เกาะเกี่ยวให้ร่มเงาให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนดิน มั่นใจว่ารู้จักต้นไม้ทุกต้นที่ดีพอ ๆ กับที่รู้จักตัวเอง “เดี๋ยวพอสุดเขตป่านี้ก็เป็นทุ่งหญ้าแล้วก็จุดชมวิว บางทีถึงตรงนั้นแล้วอาจจะเกิดหลงรักจนไม่อยากกลับออกไปก็ได้นะ”


ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วอารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายของธามก็พอจะสงบลงบ้าง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน หากเดินขึ้นไปคงต้องพบกับน้ำตกซึ่งเป็นต้นน้ำแน่ ๆ 


“ทำไมถึงมาเป็นนักพฤกษศาสตร์” คำถามนั้นทำเอาคนฟังกระตุกยิ้ม


“ตอนแรกก็ว่าจะเรียนวิศวะนะ แต่โลกนี้มีวิศวกรเยอะแล้ว เลยเปลี่ยนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์แทน”


“คนละแบบกันเลยนะ”


“แต่ก็เป็นคนสร้างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จุดมุ่งหมายของวิศวกรคือการสร้างตึกที่แข็งแรงคงทน จุดมุ่งหมายของนักพฤกษศาสตร์อย่างเราก็คือการสร้างต้นไม้ใบหญ้าป่าไม้ที่แข็งแรงแข่งกับวิศวกรไง”


“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวมาเป็นแฟนวิศวกรเถอะ” พูดจบธามก็ยกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเริ่มเดินต่อ


กว่าสองคนจะเดินหลุดจากเขตป่าก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เหนือน่านพาธามเดินลัดเลาะไปสันเขาบนทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าแห้งสีน้ำตาลทองตัดกับสีของท้องฟ้า สายลมพัดดอกหญ้าสีขาวฟุ่งกระจายอาจจะให้ความรู้สึกแห้งแล้ง แต่ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ


ธามเดินตามคนนำทางกิตติมศักดิ์มาจนกระทั่งมาหยุดพักเหนื่อยที่ระเบียงไม้ซึ่งเป็นจุดชมวิว จากจุดนี้มองเห็นหมอกสีขาวเป็นปุยคลื่นแผ่คลุมไปจนสุดขอบฟ้า ร่างสูงก้าวไปยืนที่ปลายระเบียงดึงฮูทที่คลุมศีรษะออกก่อนจะกางแขนปล่อยให้กระแสลมพัดปะทะร่าง เพียงเท่านี้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการบุกป่าฝ่าดงก็แทบมลายสิ้น ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเมฆก็ไม่ปาน


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน่านถึงหลงรักที่นี่ สวยอย่างนี้นี่เอง”


“เริ่มหลงรักที่นี่หรือยัง”


คนถูกถามส่ายหัวก่อนจะหันมาตอบ “ไม่ได้หลงรักเฉพาะสถานที่นะ ค...คน...ก็...”


“เอ้า! กินน้ำ มัวแต่พูดมาก ลมเข้าปากคอแห้งพอดี” เหนือน่านแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำจ่อปากคนพูดก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นหน้าตลก ๆ ของอีกฝ่าย


“ขอบคุณ” ธามกล่าวด้วยเสียงห้วนที่สุด ในเมื่อทำกันขนาดนี้เขาก็จำใจรับมันมาดื่ม ดื่มเสียให้หมดขวดจะได้ไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้างอีก


ใช้เวลาพักเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงไม้ได้พักใหญ่ สองหนุ่มก็ออกเดินทางต่อไปตามแนวสันเขา ครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีของนักศึกษาธรรมชาติมือใหม่อย่างธามที่มีโอกาสได้เห็นดอกของต้นกุหลาบพันปีที่ขึ้นอยู่ข้างทาง


“นั่นน่ะเขาเรียกว่ากุหลาบพันปี” เหนือน่านชี้ไปที่ดอกสีแดงสดบนยอดไม้สูงขึ้นไปที่ใคร ๆ ที่มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์หวังจะได้เห็น


“ไม่เห็นเหมือนกุหลาบเลยสักนิด” ธามขมวดคิ้ว


“มันเป็นพืชในวงศ์กุหลาบป่าน่ะ”


“อายุเป็นพัน ๆ ปีเลยเหรอ”


“เปล่าหรอก แต่ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะว่าที่ลำต้นของมันจะมีมอสเกาะจนดูเหมือนต้นไม้โบราณ เขาก็เลยเรียกว่ากุหลาบพันปี”


คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ พลางดึงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาบันทึกภาพเก็บไว้ “เดี๋ยวจะเอากลับไปอวดไอ้เนมัน เผื่อมันจะอยากมาบ้าง”


เหนือน่านยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางแบบเด็ก ๆ ของเขา ธรรมชาติข้างทางคงทำให้ลืมจุดมุ่งหมายเดิมไปเสียแล้วกระมัง


...


“เฮ้อ ไม่ทันจนได้” ธามบ่นพึมพำขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัลที่แสดงเวลาเกือบบ่ายสองโมง ชายหนุ่มวางไม้ค้ำยันไว้ที่ทางเข้าก่อนจะจัดการล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงเดินข้ามถนนไปนั่งพักให้หายเหนื่อยยังที่กั้นข้างทางมองดูทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน แม้จะเลยเที่ยงวันมาแล้วอากาศบนนี้ก็ยังคงหนาวเย็นไม่เปลี่ยน ดีกว่าช่วงเช้าก็ตรงที่พอจะมีแสงจากดวงอาทิตย์ให้ได้รู้สึกอุ่นอยู่บ้าง
 

“เหนื่อยเหรอ” คนที่เดินมานั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น


“เปล่า”


“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าอย่างกับคนหมดแรงแบบนี้ล่ะ” เหนือน่านยังคงถามต่อ


“จะซ้ำเติมกันหรือไง ก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร”


“ไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้เราจะถามเหรอ สรุปว่าเป็นอะไรเนี่ย”


ธามหรี่ตามองเมื่อถูกซ้ำซี้มากเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปมจนคนมองอยากจะจับคลายออกจากกันให้มันรู้แล้วรู้รอด


“เห็นไหมว่ามันเกินเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว” 


“เกินที่ไหนกัน ไม่เชื่อดู” พูดจบก็ยกนาฬิกาที่ข้อมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน


“สิบเอ็ดโมง...ห้าสิบห้านาที” ธามเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของนาฬิกาที่กำลังมองมาที่ตนเองเช่นกัน รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้อยากจะโผลเข้ากอดแน่น ๆ ให้สมกับสิ่งที่เขาพยายามทำให้ ความสิ้นหวังในใจวูบหายราวกับถูกกระชากออกด้วยมือของเจ้าของเวลา   


“เห็นไหมว่าเหลืออีกตั้งห้านาที”


“ไปแอบปรับมาตอนไหน”   


“แอบปรับอะไรเล่า ก็บอกแล้วไงว่าเวลาของเราเดินช้ากว่าคนอื่น” เหนือน่านตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่





“เราไม่ได้ตอบช้าไปใช่ไหม”


“ม...ไม่ ไม่เลย” ธามส่ายหัวดิก “แต่ถึงจะช้ากว่านี้เราก็จะรอ” พูดจบก็รั้งมือของอีกฝ่ายมาวางบนหน้าขาก่อนจะแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ไม่ให้ห่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากผลลัพธ์ที่ได้จากการเดินทางของเหนือน่านคือการได้เห็นสิ่งสวยงามตลอดสองข้างทางไปจนกระทั่งถึงจุดหมายแล้ว สำหรับเขาเองผลลัพธ์ของการรอคอยนั้นก็งดงามมิได้ต่างกัน




...จบ... 



 



...


จบแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ





หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-06-2015 23:18:01
ทำไมฟิน~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 04-06-2015 23:20:40
โรแมนติกเหลือเกินค่าา :heaven อ่านๆ ไปแล้วอย่างกับเราได้ไปยืนอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์พร้อมๆ กับทั้งสองหนุ่มเลยล่ะค่ะ >< บรรยากาศอุ่นๆ หนาวๆ  ฟุ้งกระจายออกมาเต็มไปหมดเลย~ อ่า~ ล่องลอยเลยทีเดียวเชียว

เราชอบภาษาที่น่านกับธามเขาใช้สื่อสารกันจังค่ะ ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มมากๆ เลย ^^ แถมยังเพราะพริ้งเสียจนราวกับว่าทั้งสองคนได้กลับไปเป็นเด็กน้อยสมัยอนุบาลที่จูงมือกันไปเรียนมากเลยล่ะค่าา เราอย่างนั้น~ ธามอย่างนี้~ เฮ้อ~ ละมุนละไมที่สุดเลย~ :oni1:

ดีใจกับธามด้วยจริงๆ นะคะที่น่านเขาตอบตกลงเป็นแฟนกับธามเสียที ไม่คิดเลยค่ะว่าน่านจะปรับเวลาได้ช้าไปหลายชั่วโมงขนาดนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของธามที่สุดเลยเน้ออ~

ปล. ขอตอนพิเศษต่ออีกได้ไหมค้าา >//<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-06-2015 23:40:55
ธามขี้อ่อยอ่ะค่าาา คึคึ

แต่น่านนี่คงเส้นคงวาจริงๆ ถ้าไม่มีตอนท้ายที่หมุนเข็มนากา เราคงนึกว่าน่านคิดแค่เพื่อนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 04-06-2015 23:58:25
อ่านไปยิ้มไป ในเรื่องอากาศหนาว แต่ตอนนี้ข้างนอกร้อนมาก
ชอบบรรยากาศ นิ่งๆเรื่อยๆ เหมือนเวลาเดินช้าๆ แบบนี้จังค่ะ
อยากจะปลีกวิเวก ได้แบบนี้บ้าง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 05-06-2015 02:27:32
เหนือน่าน คนเจ้าเล่ห์ แหมๆเพิ่งเคยเห็นพระเอกซึน ฮ่าๆๆๆ
ส่วนธามขี้อ่อยมากอ๊ะ รุกสุดๆเลย
แต่ไงๆก็ดีใจกับธามด้วยนะ
คราวนี้อ่อยจนให้เหนือทนไม่ไหวจับกดเลยฮ่าๆๆๆๆ
อยากได้ตอนพิเศษนี่ยังไม่จบชะะ เหมือนมันยังไม่จบยังขาดๆอะไรไป
ช่วยเติมเต็มความหวานที ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 05-06-2015 06:48:12

น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 05-06-2015 09:11:23
ธามน่ารัก รุกหนักน่าดู 5555
น่านเองก็เจ้าเล่ห์นะ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ :impress2:

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆ สนุกๆแบบนี้นะคะ :pig4:

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 05-06-2015 09:42:04
น่านน่ารักมากเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายที่น่ารักเรื่องนี้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-06-2015 10:33:45
อ่านจบยิ้มแก้มแตก
ชอบเรื่องแนวนี้ของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าที่สุด
นิยายที่ไม่เหมือนนิยาย เป็นธรรมชาติและแสนจะโรแมนติก
เสียใจที่มาอ่านช้าไปหน่อย แต่ดีใจที่ได้อ่านจบในคราวเดียว
อิ่มเอมกันไป ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 05-06-2015 12:02:02
ตอนนี้ดีมากกกก ปริ่มอ่ะ
แต่โดนหลอกกก ธามเป็นพระเอกซะงั้น 55555

ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่แบ่งปันกันค่ะ
รอติดตามผลงานอื่นๆ ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 05-06-2015 19:11:54
คนแต่งบอกให้จิ้นเอง
งั้นก็มโนเอาว่าธามเป็นพระเอก น่านเป็นนายเอกนะ
แต่ที่จริง อยากอ่านแนวผลัดกันแหละ ฮี่ๆๆๆ
นี่คุณแม่รู้จักว่าที่ลูกสะใภ้แล้วใช่มั้ย
เค้ามีห่วงความรู้สึกคุณแม่ด้วยนะ
กลัวลูกชายแอบมาหาสะใภ้โดยไม่บอกแม่แหละ เออออ
คนอ่านมโนไกลมาก ต้องมีความสามารถในการมโนในขั้นสูงค่ะ
เพราะคนแต่งเขาให้เรามโนเอง กร๊ากกกก
อยากจิแฝงตัวเป็นตุ๊กแกไปเกาะฝาห้องคุณนักพฤกษศาสตร์ซะจริง

ขอบคุณสำหรับผลงานอีกเรื่องที่แต่งมาให้เราเสพ
หวังว่า ถธปทฟ จะได้มีโอกาสแต่งเรื่องดีๆน่ารักๆมาให้เราอ่านเรื่อยๆ
เป็นกำลังใจให้ และจะเฝ้ารออ่านผลงานต่อไปนะคะ (หวังว่าจะมาอีก เร็วๆ คริคริ)
 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-06-2015 23:14:59
ฟินมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 06-06-2015 08:41:30
อ่านตอนจบแล้วเราคิดว่าเป็นนิยายแนวปรัชญาไปเลยค่ะ
เราเห็นความรัก ความเชื่อ ความปรารถนาดี ความพยายาม ความอดทน ความหวัง และปาฏิหารย์

ธามมีความมั่นใจมากที่จะคบหากับน่าน คงเชื่อในรักครั้งนี้มากๆ เป็นรักแรกพบของนายที่เจอกับน่านที่ร้านน้ารินใช่ไหมธาม
โลกของธามคงได้กำหนดไว้แล้วว่าธามกับน่านต้องคู่กัน

พี่น่านก็ได้ทำให้เกิดปาฏิหารย์กับธาม ก็พี่น่านเคยบอกไว้แล้วเนอะว่า"ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น" เป็นตัวตนของน่านจริงๆ
เวลาบ่ายสองโมงหรือสิบเอ็ดโมงห้าสิบห้านาที ไม่ว่าเวลาไหนกันแน่ที่ถูกต้อง แต่ความจริงที่ได้รู้คือ. น่านรักธาม

ขอบคุณโลกของน่านที่เลือกธามมาอยู่เคียงข้าง

ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ แม้เป็นเรื่องสั้นแต่ก็ยังให้อะไรมากมาย
ชอบบรรยากาศฤดูหนาวมากๆ สถานที่และต้นไม้ก็รีบไปค้นหารูปมาดูเลยได้
ถ้าได้ไปกิ่วแม่ปาน  แล้วเห็นหนุ่มหล่อสองคนเดินด้วยกัน คงได้จิ้นเป็นธามน่านเป็นแน่แท้555 :-[

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ. มีนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน. ชอบเรื่องนี้มากๆ ยิ้มทั้งเรื่องจริงๆ
มีความสุขที่ได้อ่านทุกเรื่องเลยค่ะ. รอคอยและติดตามผลงานของนักเขียนเสมอนะคะ :L2: :mew1:




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-06-2015 10:14:12
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์นะคะ เราอาจจะไม่ได้ตอบแต่ก็อ่านทุกคอมเม้นต์
หรือบางทีอ่านผ่านไปแล้วว่าง ๆ ก็เปิดเข้ามาย้อนอ่านใหม่ค่ะ
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันมาเรื่อย ๆ นะคะ

สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็อย่างที่หลาย ๆ คนรู้สึกได้ค่ะ
อยากนำเสนอเกี่ยวกับความเป็นเพื่อน ความหวังดี
แล้วก็การรอคอยที่จริง ๆ สุดท้ายอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้
แต่ในเรื่องนี้เราเลือกที่จะให้สมหวัง อยากเสนอให้เห็นว่าชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง
มีบางอย่างเราก็ต้องใช้เวลาในการรอคอย วันนี้ไม่เห็นท้องฟ้าสวย ๆ แบบนี้ ครั้งหน้ากลับมาใหม่อาจจะเจอก็ได้
ส่วนในระหว่างทางที่เดินไปก็มีอะไรให้ได้เห็นได้เรียนรู้อีกมาก ไม่ต้องรีบร้อนเดิน

จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้รู้สึกว่าน่านเจ้าเล่ห์หรอกค่ะ
น่านก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีความห่วงใยให้คนอื่น
ตั้งแต่ต้นทางที่บอกว่าไม่ต้องรีบร้อนเดินนอกจากจะห่วงเรื่องสภาพร่างกายแล้ว
ยังจะบอกธามเป็นนัย ๆ ว่าเรื่องคบกันไม่ต้องรีบนักก็ได้ ขนาดเดินป่าในเส้นทางนี้ให้ชำนาญยังต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ไปเรื่อย ๆ
แต่ไม่รู้ธามมันจะทันคิดไหม 555 มัวแต่จะเดินให้ทันเที่ยง
เรื่องที่หมุนเข็มนาฬิกา ส่วนหนึ่งก็ตอกย้ำว่าไม่รีบ แต่ก็เห็นถึงความตั้งใจนะ ยอมตกลงแล้วละ แต่จะให้พูดตรง ๆ มันก็ยาก เลยใช้วิธีนี้
สงสัยจะปรัชญาจริง ๆ :mew5:
คือทุกครั้งที่อ่านคอมเม้นต์ของทุกคนก็จะรู้สึกขอบคุณที่หลาย ๆ คนอดทนอ่านงานของเรา ที่อาจจะดูไม่ค่อยเป็นนิยายรักหวานแหวว วัยรุ่นกรุบกริบแบบนี้ค่ะ
ก็คนแก่เขียนนี่เนอะ 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 06-06-2015 13:05:31
เราชอบผลงานของนักเขียนมากๆ  เมื่ออ่านแล้วมีความสุข ยิ้มไปกับตัวละครเลยค่ะ
ชอบภาษาที่อ่านง่าย  เนื้อเรื่องน่าติดตาม  ตัวละครที่มีเสน่ห์  มีข้อคิดและมุมมองดีๆให้เสมอเลยค่ะ

เรารู้สึกเสียดายแทนคนที่พลาดอ่านนิยายของนักเขียนจังค่ะ
คิดว่าใครที่ได้มาอ่านครั้งแรกก็ต้องชอบมากๆแน่นอนค่ะ
นักเขียนเขียนนิยายในแบบที่ผ่านมาดีมากๆเลยค่ะ o13
รอคอยผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณนักเขียนที่น่ารักมากๆอีกครั้งค่ะ :pig4: :3123:

ปล. ธามน่านหลังเป็นแฟนกันแล้วจะมีกิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกันอีกบ้างนะ ให้เราไปจินตนาการเองใช่ไหมค่ะ555 :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 06-06-2015 14:29:47
อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้




"สวยงาม"



มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วนั่งอมยิ้ม

ขอบคุณนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 07-06-2015 07:39:45
น่ารักกก โรแมนติกมากก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 08-06-2015 11:09:10
น่ารักมากอะ ภาษาสวยมาก บรรยายได้ดีมาก คิดตามแล้วภาพลอยออกมาเลย มืออาชีพชัดๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 08-06-2015 15:40:17
โอ้ยยยยยยยย น่ารักมากกกกก ฮือวววววววววววววว
อ่านจบแล้วยิ้มตามแบบแก้มจะแตก  :hao5:

ธามน่ารักไม่ไหวแล้ว แงงงงงงงงงงง
พี่น่านขาา นี่ถ้ายังไม่ตอบตกลงเป็นแฟนธาม เราก็จะเสนอตัวเองแล้วค่ะ

ชอบบรรยากาศท่ามกลางขุนเขา สายลม สายหมอกแบบนี้มาก
อ่านแล้วรู้สึกมันนุ่ม ละมุน เบาสบาย
ชอบความช่างตื้อของธามจริงๆ นะคะ ฮืออออออ ธามน่ารักมากอ่ะ
ตอนขอแบบแฟนนี่แบบ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

อ่านเรื่องนี้จบแล้ว นอกจากจะทำให้เราอยากไปเที่ยวกิ่วแม่ปาน
ยังอยากทำให้เราชวนคนที่ชอบไปเที่ยวด้วยค่ะ ถ้าเราเดินออกมาก่อนเที่ยงเป็นแฟนกันนะแก แอร๊ยยยยยย


 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 09-06-2015 20:14:58
โรแมนติกที่สุด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (ตอนจบ) 04-06-2558 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 10-06-2015 04:44:40
 :-[ ละมุนมากก ชอบบ
อ่านแล้วรู้สึกว่าเวลาเดินช้าไปพร้อมๆกับน่านเลยค่ะ
คนแบบนี้น่ารักกก ธามก็น่ารัก ตอนแรกนึกว่าจะขรึมๆซะอีก
กลายเป็นเด็กน้อยไปซะงั้น ฮ่าๆ
บรรยายธรรมชาติได้สวยงามมากจนอยากไปเที่ยวชมบ้างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-06-2015 10:57:08
ตอนพิเศษ (1)


ถ้าโลกของผม เป็นโลกเบี้ยว ๆ ที่หลอมรวมขึ้นจากความเร่งรีบดิ้นรนไขว่คว้าแล้วละก็

โลกของเขาคงเป็นโลกที่เข็มวินาทีเดินช้าและท้องฟ้าก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่ากำลังขาจะไปถึง

และถ้าหากภาพการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาเป็นภาพชินตาที่ผมเห็นทุกเช้า

ในโลกที่แสนเงียบสงบของเขา เขาและใคร ๆ กลับตื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คนอื่น

เป็นโลกคนละใบ…


แต่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยความคิดถึง


ที่ปลายทางความคิดถึงของผมคือเขา แล้วปลายทางความคิดถึงของเขาเป็นใครน่ะเหรอครับ...



...



มีเรื่องเยอะแยะอยากเล่าให้ฟัง
รีบมาไว ๆ ล่ะ



น่าน


   


ดวงตาคมยังคงทอดมองกระดาษแผ่นน้อยในมือ เป็นกระดาษวาดเขียนที่ครูขันคำใช้เป็นสื่อการสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของพืช เห็นว่าสวยดีจึงขอมาเขียนโปสการ์ดก่อนจะออกสำรวจป่าต้นน้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เพราะไม่มีปากกาจึงต้องขอยืมดินสอของเด็ก ๆ เขียนแล้วหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์บนดอย กว่าจะเดินทางถึงคนที่ปลายทางก็ปาเข้าไปเกือบสองเดือน 


เหนือน่านยิ้มให้กับกระดาษใบเล็กในมือก่อนจะวางมันบนหัวเตียงเมื่อไฟภายในบ้านดับลง พื้นที่ขนาดพอให้นักพฤกษศาสตร์ผู้รักสันโดษอาศัยอยู่ได้สบาย ๆ ปกคลุมไปด้วยความมืด ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามาก่อนจะหยุด จากนั้นที่นอนฝั่งที่ถูกเว้นว่างไว้ก็ยุบยวบลง         


“เขียนอะไรไว้ตรงนั้น” คนที่เพิ่งสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเอ่ยขึ้นพร้อมกับวาดแขนแกร่งรัดรอบเอวรวบรั้งร่างที่นอนตะแคงหันหลังเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบที่ซอกคอขาวแล้วค่อยผละออกรอฟังคำตอบ


“ตรงไหน”


“ยังจะถามอีกว่าตรงไหน” นึกถึงรอยหม่น ๆ เหนือชื่อคนส่งแล้วยังขัดใจไม่หาย “เห็นนะว่าลบออก”


“ไม่ได้ลบนี่”


“อย่ามาจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” จบประโยคของธาม เหนือน่านก็หัวเราะพรืด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอดคิดไม่ได้ว่าไอ้หมาน้อยตัวนี้จะรู้ไหมว่าที่พูดออกมานั่นหมายความว่าอะไร


“แปลว่าอะไรรู้เหรอ”


ธามมุ่นคิ้ว พอถูกถามแบบนี้ก็ชักไม่มั่นใจในตัวเองเสียแล้ว ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากคนในอ้อมกอดเสียให้สมกับที่คิดถึง


“พอน่า จั๊กจี้” ทำเสียงดุพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ 


“แปลว่าอะไรตอบมาก่อน”


“ไม่รู้แล้วพูดได้ยังไง”


“ก็พูดตามน้าริน”


คนฟังเลิกคิ้วพลางขยับหนีจากปลายจมูกอยู่ไม่สุขที่กำลังลากจากต้นคอมาหยุดยังข้างแก้มของตนเอง


“น้ารินบอกว่าให้ระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” พูดจบก็แตะปากลงกับเนื้อแก้มนิ่มก่อนเลื่อนมากระซิบที่ข้างหู “สรุปแปลว่าอะไร”


“อยากรู้จริงเหรอ”


“จริงสิ นะ บอกหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นไม่บอก ปล่อยให้อยากรู้ไปแบบนี้แหละ” เหนือน่านหัวเราะแต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อคนได้เปรียบระดมมือทั้งสองข้างจี้ที่เอวไม่ยั้ง


“จะบอกหรือไม่บอก”


“ธาม! หยุด!” แม้จะร้องห้ามเสียงเข้ม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของชื่อจะยอมปฏิบัติตาม ไม่ช้าเสียงขรึมก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อปลายนิ้วทั้งสิบยังคงขยับเคลื่อนไหวไม่ห่างเอว


ร่างสูงพลิกตัวกลับหวังจะดิ้นให้หลุดแต่สุดท้ายก็พบว่ากยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ จำต้องนอนนิ่ง ๆ ฝืนกลั้นหัวเราะอยู่ในอ้อมแขนแกร่งอย่างผู้ร้ายยอมจำนน


“บอกแล้ว บอกก็ได้” พูดพลางเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย แม้รอบตัวจะถูกโอบล้อมด้วยความมืดแต่แสงจันทร์วันเพ็ญที่สาดผ่านช่องหน้าต่างก็ยังช่วยให้พอจะมองเห็นหน้ากันอยู่บ้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่พักนี้เห็นทีไรก็มักจะทำให้หัวใจเต้นแรงทุกที


“เป็นเด็กดีอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” ธามกล่าวก่อนจะกดจูบลงบนปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนในอ้อมกอด รู้ดีว่าเหนือน่านเป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งพอที่จะสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่ในเวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังเช่นนี้ ธามก็อยากจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้เหมือนกับที่คู่รักคู่อื่นเขาทำกันแม้จะถูกบ่นบ้างก็ตาม


“ลามปามใหญ่แล้ว” เหนือน่านถอนใจเฮือกเมื่ออีกฝ่ายยอมหยุดเสียที


“ไม่เอาสิ อย่าเพิ่งบ่น อธิบายมาก่อนว่า จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยที่น้ารินว่าน่ะมันคืออะไร”


เมื่อสามารถปรับสายตาให้ชินต่อสภาพแสงน้อยได้ก็ยิ่งทำให้เห็นหน้าของคนพูดชัดเจนขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าหัวคิ้วเรียงเส้นหนาที่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับดวงตาเฉียบคมนั้นขณะนี้ได้เคลื่อนเข้าหากันจนแทบจะขมวดเป็นปมอยู่แล้ว ภาพที่เห็นยิ่งทำให้เหนือน่านอดยิ้มไม่ได้ ธามในเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับน้องชายช่างสงสัยที่เฝ้าเซ้าซี้จะเอาคำตอบจากพี่ชายให้ได้ เจ้าของกลีบปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นแทรกเรียวนิ้วลงบนเส้นผมของคนตรงหน้าจากนั้นก็เสยปัดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างอ่อนโยน


“ถ้าแปลตรง ๆ ก็คือหลอกลูกหมาตัวเล็ก ๆ ให้วิ่งขึ้นไปบนดอย ลูกหมาวิ่งจนเหนื่อยแต่พอขึ้นไปถึงยอดดอยก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร”


“แล้วยังไงต่อ”


“จบแล้ว”


“ต้องมีต่อสิ ทำไมน้ารินถึงบอกให้ธามระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยล่ะ หืม? ว่ายังไง” พูดจบก็รั้งมืออีกฝ่ายมาแนบไว้ที่ข้างแก้มของตนเองนอนนิ่งรอฟังคำเฉลยที่จะหลุดออกจากริมฝีปากชวนมอง


“คนเหนือเขาเปรียบเทียบกับความรักน่ะ ว่ามาหลอกให้รักแล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้อีกฝ่ายช้ำใจ”


“แล้วจริงหรือเปล่า”


“อะไรจริง”


“ก็อย่างที่น้ารินว่าไง พี่น่านจะจุ๊หมาธามตัวน้อย ๆ ขึ้นดอยจริงหรือเปล่าครับ”


“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” เหนือน่านทำหน้าหน่าย ๆ พร้อมกับดึงมือกลับ


“ธามรู้ว่าน่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”


“อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น”


“ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอก กลัวด้วยซ้ำว่าน่านจะไม่คิดเหมือนกัน จนกระทั่งตอนที่ออกจากกิ่วแม่ปานคราวนั้น ตอนที่น่านปรับเข็มนาฬิกานั่นไง เราถึงรู้ว่าน่านไม่มีทางจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยแน่นอน เพราะว่า..."


"เพราะว่าอะไร"


"เพราะว่าน่านเป็นห่วงความรู้สึกเรา เราเข้าใจถูกหรือเปล่า”


เหนือน่านยังคงนอนนิ่ง นั่นไม่ใช่เพราะสิ่งที่ธามพูดมานั้นผิดเพี้ยน หากแต่มันตรงกับที่เขาคิดจนยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้งได้เลยต่างหาก คนถูกถามหลับตาลงเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจสองดวงที่กำลังเต้นเป็นจังหวะสอดประสานกัน วินาทีนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นที่แตะประคองข้างแก้มจากนั้นปลายนิ้วหัวแม่มือก็ลากผ่านกลีบปากอย่างเชื่องช้า 


“ทำไมเงียบล่ะ”


“ก็พูดแทนไปจนหมดแล้ว จะให้เราพูดอะไรอีก” เสียงอู้อี้ของคนที่กำลังหลับตาพริ้มทำเอาธามถึงกับฉีกยิ้มกว้าง 


“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องขับรถอีกทั้งวัน” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับรั้งมือแกร่งออกจากข้างแก้ม พลิกตัวกลับหันหลังให้อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นธามที่ตามกอดไม่ยอมห่าง


“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามสุดท้ายของธามมาก่อน”


“อะไรอีก”


“ในโปสการ์ดนั่นไง ที่ลบออกไปน่ะเขียนว่าอะไร”


“อยากให้เขียนว่าอะไร” คนพูดปรือตาขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นความมืด แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากวงแขนที่โอบรัดแนบสนิทลงที่รอบเอวจนแทบไม่เหลือช่องว่าง แผงอกอุ่นชิดกับแผ่นหลัง ในขณะที่ลมหายใจร้อนยังคลอเคลียไม่ห่างจากซอกคอ


“แล้วแต่น่านสิ อยากเขียนอะไร”


“ด้วยความเคารพอย่างสูง”


สิ้นเสียงของคนในอ้อมกอด ธามก็แทบอยากจะฟัดเสียให้เข็ด กระนั้นก็ได้แต่เพียงสะกดใจเม้มปากแน่น คลายวงแขนออกขยับตะแคงหันหลังให้เอาเสียดื้อ ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับน่านแบบนี้เขาถึงได้กล้าที่จะแสดงอาการแบบเด็ก ๆ ออกมาทุกที ทั้งที่ตนเองก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ต้องรับบทหนักในการเป็นผู้นำของครอบครัวยามเมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลง อีกทั้งหน้าที่การงานก็ทำให้เขาต้องจริงจังในทุกสถานการณ์ ดังนั้นภาพของชายนุ่มผู้เคร่งขรึมจึงกลายเป็นภาพที่คนรอบข้างได้เห็น นอกจากแม่แล้วตอนนี้ก็คงจะมีน่านอีกคนที่ได้รู้จักอีกแง่มุมของเขาที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นนักแม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างเนติ       
         

“เป็นอะไร” เหนือน่านเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชายหนุ่มพลิกตัวกลับจ้องมองแผ่นหลังว้างของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับว่า “เปล่า” ที่แค่ฟังก็รู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายตามที่ธามพูดเลยสักนิด


“อะไรกัน แค่นี้ต้องงอน?” คนอายุมากกว่ายังไม่วายกระเซ้า


ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่กำลังคิด ธามถอนใจเฮือกก่อนจะพลิกตัวนอนหงายเอามือก่ายหน้าผาก “ไม่ได้งอนสักหน่อย ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”


“แต่ที่ทำอยู่เนี่ย เราเรียกว่าเด็กนะ”


“น่านน่ะแหละ ทำเราเสียนิสัย เวลาอยู่กับน่าน น่านก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชาย ชอบบ่น บางครั้งก็ไม่สนใจเราเลย”


“ก็เลยต้องเรียกร้องความสนใจว่างั้น?”


“เรียกร้องความรักต่างหาก เมื่อไรจะรักธามสักที”


เหนือน่านยิ้มจาง ๆ พลางรั้งแขนที่อีกฝ่ายวางพาดอยู่บนหน้าผากออกก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ใช้อกแกร่งแทนหมอนหนุน “ทุกวันนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเรารู้สึกยังไง” พูดจบก็ปิดเปลือกตาลงแนบหูฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นใต้อกเสื้อ


“ไม่บอกให้รู้แล้วจะรู้ได้ยังไงกัน” มือหนาเลื่อนขึ้นวางบนศีรษะของคนที่กำลังหลับตาพริ้มก่อนจะแทรกปลายนิ้วลงบนกลุ่มผมหนานุ่มที่เคลียอยู่กับปลายคาง แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่วันนี้คนที่ปกติจะหนีตลอดจะเป็นฝ่ายขยับเข้าหาและกอดเขาเอาไว้เสียเอง (แสดงว่าไม้นี้ใช้ได้ผล?) 


“เราก็รู้สึกแบบที่เขียนลงในโปสการ์ดนั่นแหละ”


“เขียนว่าอะไรล่ะ บอกหน่อยสิธามอยากรู้” แค่นี้หัวใจพองโตขึ้นราวกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปจนแน่นและพร้อมจะหลุดลอยไปไกลแสนได้ตลอดเวลาไกล


“ก็...” เหนือน่านปิดปากหาว “ง่วง นอนเถอะ เอาไว้คราวหน้าจะเอาปากกาเขียนให้ชัด ๆ ก็แล้วกัน คุณไปรษณีย์จะได้ไม่ทำมันจางอีก”


คนรอถอนหายใจเฮือกใหญ่ อุตส่าห์ลุ้น “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยนี่นา” ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มขึ้นในความมืด แขนแกร่งโอบรัดร่างในอ้อมกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมเพื่อให้แน่ใจว่าอากาศหนาวเย็นในคืนนี้หรือแม้แต่ภยันตรายใด ๆ ก็ตามจะไม่สามารถกล้ำกลายผิวเนื้อนุ่มมือนี้ได้



จบจ้ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-06-2015 11:22:38
ง่อออ นอนกอดกันไปจีบกันไป สวีทแท้หนอ
มีคนนอนกอดอุ่น ๆ คงหลับฝันดีทุกคืน
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 10-06-2015 11:24:29
เด็กชายธามผู้ง้องแง๊งและเอาแต่ใจ ฮ่าๆๆๆ
โอ๊ยน่านซึนจริงๆ
ในที่สุดเด็กก็เต๊าะผู้ใหญ่สำเร็จฮาาา
ขอบคุณสำหรับตอนแถมน๊า^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 10-06-2015 11:34:00
เหนือน่านไม่ได้แค่ปากแข็งนะคะ เหนือน่านยังเป็นคนกวน(ตีน)ด้วย

"ด้วยความเคารพอย่างสูง" อ่านตรงนี้แล้วขำพรืดเลยค่ะ 55555
ถ้าเราเป็นธาม เราก็เงิบ ถึงจะรู้ว่าเหนือน่านแกล้งเล่นก็เถอะ 55555



มันเป็นความต่างที่แอบลงตัวได้ยังไงไม่รู้
แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆ นุ่มๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าพรหมลิขิตได้มั้ยคะ

รอติดตามเรื่องต่อๆ ไปค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 10-06-2015 11:53:59
น่ารักอีกแล้ว
น้องธามเหมือนหมาน้อยจริงๆน่ะแหละ
แล้วตกลงว่าจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย มันหมายความว่าอะไร
ตอนอ่านมีแอบผวนคำเล็กน้อย เผื่อจะแปลออก 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-06-2015 12:08:18
หวานแท้ อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 10-06-2015 12:14:55
น่ารักจังเลยค่าา~ :m3: น่าสงสารอากาศหนาวเหมือนกันนะคะเนี่ย(?) ที่ไม่สามารถแทรกผ่านร่างกายของน่านกับธามได้ แหมนะ.. ก็ทั้งสองคนเล่นกอดกันกลมเสียขนาดนั้นเลยนี่นา~ >\\< อากาศหนาวๆ รอบด้านเลยพากันใจเสียหมดเลยค่ะ :laugh: ..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 10-06-2015 12:44:16
นอนคุยกัน จีบกัน น่ารักอบอุ่นมาก :m1:

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 10-06-2015 17:59:46
พี่น่านจู๊หมาธามขึ้นดอย
คนเขียนก็จุ๊คนอ่านขึ้นดอย คือกัน
เอาตอนต่อมาเด๊วเน้~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 10-06-2015 18:24:13
อ้างถึง
พี่น่านจะจุ๊หมาธามตัวน้อย ๆ ขึ้นดอยจริงหรือเปล่าครับ


โอยยย เอ็นดูหมาธาม
อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกก๊าวใจมาก ฮืออออวววฟฟฟฟ

 :hao5: :hao5: :hao5:

ชอบจังเลยค่ะ
นอนจีบกัน หวานๆ มุ้งมิ้งๆ แต่รู้สึกหมาธามจะเจ้าเล่ห์และได้กำไรจากพี่น่านไปเยอะนะคะ แอร๊ยยย

 :-[


ปล.รู้สึกชอบเป็นพิเศษเวลาธามเรียกน่านว่า "พี่น่าน" ก๊าวใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ อ่านแล้วใจสั่น เราแพ้ 555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 10-06-2015 19:19:35
แนะนำให้ธามเอาดินสอไปแรเงาตรงตัวหนังสือที่จางไปค่ะ
มันต้องมีน้ำหนักมือตอนที่เขียนสิ เคล็ดลับนี้ได้มาจากเรื่อง "หน้ากากดอกไม้"ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 10-06-2015 19:33:49
หูย..มันละมุนจริงๆนะเรื่องนี้
อ่านไป ยิ้มไป น่านน่ารัก ธามก็อ้อนเก่ง
น่านไปไหนไม่รอดแล้ว :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 10-06-2015 19:57:18
มันกลมกล่อมมากๆๆ

ติดตามผลงานมานานแล้ว  ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ
เป็นนักเขียนในดวงใจผมเลยละ  ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 10-06-2015 20:18:05
ตอนนี้ฝนตก ไม่หนาว จินตนาการว่านอนอยู่กระท่อมมุงด้วยจากในคืนฝนตก แล้วสองคนมุ๊งมิ๊งกันละกันเนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 10-06-2015 20:21:04
หมามันตามเจ้าของมาไกลขนาดนี้
ไม่รักไม่หลงก็ให้มันรู้ไปนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 12-06-2015 17:58:08
โอ๊ยยย น่ารักกกก หมาน้อยธาม  :o8:
มาถึงขั้นนี้พี่น่านเค้าไม่จุ๊แล้วค่ะ
สวี๊ทสวีทเนาะ นอนไปจีบกันไป มุ้งมิ้งจริงๆสองคนนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 12-06-2015 21:59:58
จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย 555น่ารักจัง. น้ารินพูดอย่างนี้แสดงว่า ที่ผ่านมามีคนมาจีบมาหลงรักพี่น่านเยอะแยะแน่ๆ
แต่พี่น่านก็ยังไม่ให้ใจใครไป(มโน)  แล้วก็มาหลงรักหมาน้อยธามจนได้ใช่ไหมพี่น่าน (อ๊ายฟิน น่ารัก)

เราประทับใจความรักของทั้งคู่จัง ถึงจะมีโลกที่ต่างกัน แต่ธามน่านก็เติมเต็มให้กัน รักกันได้
คิดถึงกันเมื่อไร. คนหนึ่งก็เขียนโปสการ์ดถึง  ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขับรถไปหา
ต้องการแสดงให้รู้ว่า รักนะ  คนหนึ่งเลยต้องงอนให้รู้. ส่วนอีกคนหนึ่งเลยต้องง้อให้หาย

ซึ้งใจที่ธามน่านเลือกที่จะคบหากัน. แม้รู้ว่าคงไม่ได้อยู่ใกล้ชิดดูแลกันบ่อยๆ  เพราะด้วยสถานที่อยู่
ภาระการงาน และที่สำคัญธามต้องดูแลแม่ด้วย  ไกลกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรคเลย

ธามน่านเป็นคู่รักที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้องด้วย  เรายิ่งเห็นว่าวันเวลาข้างหน้าธามน่านก็จะมีกันและกันแบบนี้ไปตลอดแน่ๆค่ะ :-[

แล้วพี่น่านเขียนคำว่าอะไรค่ะ รักและคิดถึง รักนะเด็กโง่ รักนะจุ๊บจุ๊บ รักจุงเบย 555
ขอเดาว่าพี่น่านเขียนคำว่า  รักและคิดถึง เพราะโลกพี่น่านเวลาเดินช้ากว่าของคนอื่น คงไม่คิดจะใช้คำสมัยใหม่เนอะ555

เราชอบงานเขียนนิยายของนักเขียนมากๆ เขียนได้ลึกซึ้ง คาดไม่ถึง คิดไม่ทัน(โดนนักเขียนจุ๊ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องล่ะ555)
ขอบคุณมากๆค่ะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ :L2: :pig4:

ปล. สรุปแล้วธามน่าน   เขาสองคนแค่นอนคุยกันบนเตียง กอดกันเฉยๆหรือค่ะ  :mew2: (ไม่อยากจะเชื่อเลย555)

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถม 10-06-2558 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-06-2015 22:15:16
น่ารักมุ้งมิ้งมาก
หมาน้อยธาม หุหุ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-06-2015 13:46:14
ตอนพิเศษ (2)




“ครึ้มมาอีกแล้ว ตกได้ตกดีแถมมาตรงเวลาทุกวันสิน่า ฝนหนอฝน”



ทันทีที่เปิดประตูเข้ามานั่งในรถวิศวกรตัวโตก็บ่นราวกับหมีกินผึ้ง จัดการโยนหมวกนิรภัยสีขาวไว้รวมกับพิมพ์เขียวที่เบาะหลังก่อนเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆสีเทาที่ลอยต่ำแบ่งท้องฟ้าเป็นชั้น เมื่อไม่ได้ยินถ้อยคำแสดงความคิดเห็นของเจ้าของรถ เนติจึงดึงสายตากลับมายังชายหนุ่มที่นั่งประจำที่คนขับ เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งที่ธรรมชาติกำลังจะมอบให้ ตาคมทอดมองไปยังเมฆฝนที่ตั้งเค้าอยู่เหนืออาคารสูงที่ยังสร้างไม่เสร็จ ใบหน้านั้นนิ่งขรึมตามประสาคนเอาจริงเอาจังกับทุกสิ่งที่ทำหากแต่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ จนคนมองนึกสงสัย


“ยิ้มอะไรวะ”



นั่นสิ! ยิ้มอะไร?



ธามก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะหากเป็นหน้าฝนเมื่อปีที่แล้ว เขาคงจะรู้สึกหงุดหงิดตามเพื่อนไปด้วยที่ต้องออกไซด์งานในวันที่อากาศขมุกขมัวเช่นนี้ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า ติดเครื่องรถแล้วจึงหันมาพูดกับเพื่อนรักที่ยังคงนั่งกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก


“ก็แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมวะ ฝนตกก็ดีแล้วไง ชาวบ้านเขาจะได้มีน้ำไว้ใช้ทำการเกษตร ต้นไม้ใบหญ้าก็ชุ่มชื้น เราเองก็พลอยได้สดชื่นไปด้วย”


“สาธุ!” คนฟังยกมือประนมท่วมหัว


“ไอ้บ้านี่ พูดจริงจังทำมาสาธุ” ธามส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะออกรถ เมื่อออกจากไซด์งานมาได้ไม่ไกลเม็ดฝนก็โรยตัวลงมาราวกับม่านสีขาวพรางตาให้ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ชัดเจนนัก การจราจรเริ่มเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้า ๆ นั่นเพราะผู้ขับขี่ต้องใช้ความมัดระวังมากขึ้น กระทั่งเมื่อเข้าเขตเมืองรถจอดนิ่งติดยาวไปทั้งถนน


“แกจะกลับบ้านเลยไหม ฉันจะไปส่ง”


หนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารัวปลายนิ้วลงบนหน้าจอสัมผัสของโทรศัพท์มือถือส่ายหัวจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตอบ “แกส่งฉันที่สถานนีรถไฟฟ้าก็แล้วกัน ฉันนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปหาอะไรดื่มฉลองเงินเดือนออกสักหน่อยหรือว่าแกจะไปด้วยกันก็ได้นะ”


“ไม่ละ แกไปเถอะ” ธามตอบเสียงเรียบพลางทอดตามองไฟท้ายของรถคันหน้า


“อะไรกันวะ แค่ไปนั่งดื่มไม่กี่ชั่วโมงพี่น่านไม่ว่าหรอกน่า”


“ไม่ได้กลัวน่านว่า น่านไม่ว่าอยู่แล้ว”


“แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันวะ หรือว่ากลัวไปแล้วไม่รู้จักใคร ถ้าเรื่องนี้ละก็ไม่ต้องห่วง พวกมันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของฉัน รับรองว่าอัธยาศัยดีทุกคน”


“มีธุระต้องกลับไปทำน่ะ เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”


“เออ ตามใจ ๆ” เนติกล่าว เขารู้ดีว่าธามไม่ใช่คนที่จะมาเซ้าซี้กันให้มากความ ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่ก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจนั้น


อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาฟอร์จูนเนอร์สีดำก็แล่นฝ่าสายฝนเข้าจอดเทียบที่บาธวิถีใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ธามรอจนแน่ใจว่าเพื่อนของเขาได้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้วจึงออกรถ เม็ดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้พุ่มไม้สองข้างทางกลับเขียวขจีอีกครั้งและนั่นก็ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา...


“น่าน จอดก่อน ๆ” ธามเอ่ยขึ้นเมื่อสายตาปะทะเข้ากับพื้นที่สีเขียวซึ่งถูกโอบล้อมด้วยแมกไม้และเนินเขา


คนขับจอดรถก่อนจะลดกระจกลงจากนั้นจึงหันมาถามคนนั่งข้างกัน “อยากเข้าไปดูไหม”


ธามพยักหน้าหงึก ๆ ราวกับเด็กที่กำลังสนใจในสิ่งแปลกใหม่ รอกระทั่งเหนือน่านขับรถลงไปจอดที่ยังขอบทางด้านล่างจึงรีบเปิดประตูลงจากรถ


“ที่นี่เขาเรียกว่าบ้านทุ่งกลางหลวง” นักพฤกษศาสตร์หนุ่มกล่าวพลางยกกล้องคอมแพ็คในมือขึ้นบันทึกภาพผืนนาแสนกว้างใหญ่ที่ลดลั่นเป็นชั้น ๆ ฝนที่ตกต่อเนื่องกันมาหลายวันนอกจากจะทำให้พื้นที่แถบนี้กลับเขียวชอุ่มอีกครั้งยังทำให้ชาวนาได้พลอยชื่นใจไปด้วย “ชาวบ้านที่นี่ก็เป็นชาวปกากญอ มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ถ้าไม่ทอผ้าก็เพาะปลูกโดยเฉพาะการปลูกข้าว”


“เขียวดีจังเลยเนอะ”


“ถ้ามาช่วงข้าวออกรวงสุกเหลืองแถวนี้ก็จะกลายเป็นนาข้าวสีทองเลยละ”


“ถึงตอนนั้นน่านโทร.ไปบอกธามด้วยนะ ธามอยากมาเห็น”


คนฟังพยักหน้ายิ้ม ๆ ขยับแว่นสายตาพลางก้มมองภาพที่ถ่ายได้จากหน้าจอแอลซีดีจากนั้นจึงเบนสายตาไปยังร่างสูงที่กำลังนั่งลงบนผืนหญ้า ท่าทางธามจะชอบที่นี่ ชายหนุ่มยังคงมองไปรอบ ๆ ราวกับจะเก็บรายลละเอียดของที่นี่เอาไว้ในความทรงจำ


“เราเคยคิดเอาไว้ว่าอยากจะซื้อที่สัก 5-6 ไร่ เอาไว้ทำการเกษตรแล้วพาแม่มาอยู่ด้วยกัน”


“ไม่อยากเป็นวิศวกรแล้วเหรอ”


“ไม่ได้คิดจะเป็นไปจนแก่หรอก อีกอย่างเดี๋ยวพอมีคลื่นรุ่นใหม่เข้ามา แก่ ๆ อย่างเราก็ต้องปลดระวางตัวเอง”


“ทำนาทำไร่น่ะเขาไม่ได้ทำกันง่าย ๆ ชีวิตเกษตรกรบางครั้งมันก็ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เห็นในละครโทรทัศน์หรอกนะ จะทำไหวเหรอ” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับกดชัตเตอร์ ไม่ได้สนใจคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองมาที่ตนเอง


“ช่วยกันได้หรือเปล่าล่ะ”


เมื่อคนถูกถามลดกล้องลง ดวงตาสองคู่ก็สบประสานกันอีกครั้ง เหนือน่านไม่ได้ตอบแต่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ทอดตามองต้นข้าวที่เรียงตัวกันแน่นอยู่ในผืนนาเบื้องหน้า


“ว่ายังไงล่ะ จะช่วยกันได้ไหม”


“อยากให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้เราจะถามเพื่อนที่เป็นนักวิชาการเกษตรให้”


ธามส่ายหัวดิกก่อนจะรั้งมือคนพูดมาวางบนตักแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวเรียวนิ้วของอีกฝ่าย “เราไม่ให้น่านต้องยุ่งยากแบบนั้นหรอก แค่ช่วยนั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้กันแบบนี้ก็พอ ได้หรือเปล่า”


แววตาเว้าวอนของธามทำให้เหนือน่านจำต้องเบนหน้าหนี สังเกตเห็นเมฆฝนเริ่มก่อนตัวเหนือปลายนาด้านหนึ่งก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานฝนก็คงจะตกลงมาอีกหน สำหรับคนในเมืองนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เพิ่มความยุ่งยากให้ชีวิต ทำให้การจราจรติดขัด แต่สำหรับบ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้การที่ฝนตกนั่นแสดงว่าชาวบ้านจะมีน้ำเอาไว้ใช้สำหรับการเพาะปลูก ดังนั้นเมื่อปรากฏเค้าฝนบนท้องฟ้าสิ่งที่ตามมาก็คือรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าเกษตรกร

“ฝนตกแล้วรีบไปกันเถอะ” พูดจบธามก็รั้งแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเหนือน่านจะไม่ยอมทำตามง่าย ๆ ชายหนุ่มยังคงนั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับละอองน้ำเล็ก ๆ ที่กำลังโปรยปรายลงมากระทบผิวกายเลยสักนิด


“ลุกเร็วน่าน”


“อ้าว ก็บอกว่าให้นั่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เหรอ”


คนอายุน้อยกว่ามุ่นคิ้วถอนใจเฮือก “ใช่เวลาพูดเล่นไหม เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”


เหนือน่านหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างไปที่รถ ไม่บ่อยนักที่จะได้มีโอกาสเห็นธามทำหน้าขึงขังจริงจังเช่นนี้ มันเป็นภาพที่คนอื่นมักได้เห็น แต่หากเลือกได้ตนเองก็เลือกที่จะเห็นอีกฝ่ายในมุมที่น้อยคนจะมีโอกาสได้เห็น มุมแบบเด็ก ๆ ของเขา อยากจะเห็นแบบนั้นมากกว่า


ธามเปิดประตูฝั่งคนโดยสาร รอกระทั่งผู้ใหญ่จอมดื้อเข้าไปนั่งเรียบร้อยจึงปิดประตูเดินอ้อมมานั่งประจำที่ในตำแหน่งคนขับ ทันทีที่ประตูถูกดึงปิด สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทุ่งนาขั้นบันไดที่เคยเห็นอยู่ตรงหน้าถูกบดบังด้วยม่านน้ำสีขาว


“เกือบไม่ทันแล้วเห็นไหม ตกหนักขนาดนี้จะไปต่อยังไง” ธามพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้เขาลืมคำถามสุดท้ายของตนเองไปเสียสนิท ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เขาไม่ทันได้ใส่ใจคำพูดของเหนือน่านที่บอกเป็นนัย ๆ ว่าจะนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้อีกด้วย


“รอฝนซากว่านี้หน่อยแล้วค่อยไปก็ได้ ร้านน้ารินไม่หนีไปไหนหรอก ทำใจให้เย็น ๆ เหมือนฝนหน่อยสิ”


คนฟังถอนใจพรืดก่อนจะเอนหลังพิงพนัก พยามยามมองออกไปนอกกระจกรถแต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย


“ถ้าอยากเป็นเกษตรกร อย่างแรกที่ต้องทำก็คือทำใจให้ชอบหน้าฝนก่อน”


“ทำไมล่ะ” ธามเอียงคอถาม อารมณ์หงุดหงิดที่จางลงทำให้เขาไม่ปล่อยโอกาสที่จะสำรวจใบหน้าคมสันของเหนือน่าน แผงคิ้วหนารับกับดวงตาที่ฉาบด้วยแววแห่งความอ่อนโยน ถ้าไม่มีกระจกแว่นขึ้นฝ้ามาบดบังก็คงจะดี แต่นั่นก็ยังไม่อาจเรียกความสนใจของเขาได้ดีเท่ากับกลีบปากชวนสัมผัสที่กำลังเอื้อนเอ่ยถ้อยคำน่าฟังนั้น


“เพราะฝนสำหรับชาวไร่ชาวนาเป็นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาจะมีน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก”


“ถ้าอย่างนั้นธามจะเริ่มชอบหน้าฝนตั้งแต่วันนี้ แต่ไม่ใช่เหตุผลตามที่น่านบอก”


“แล้วเพราะอะไร” คนอายุมากกว่าหันมามองด้วยความสงสัย


“เพราะว่าฝนทำให้ธามจูบน่านโดยที่ไม่ต้องกลัวใครเห็นไง” ธามกล่าวพร้อมกับขยับตัวเขามาใกล้ จัดการดึงแว่นสายตาแสนเกะกะออกเพื่อให้เห็นดวงตาคู่สวยได้ถนัด ไม่รอให้ถูกต่อว่ามือหนาก็จับเข้าที่ต้นคอขาวรั้งอีกฝ่ายเข้ามากดจูบเสียให้สมใจอยาก จากจุมพิตแสนนุ่มนวลกลับค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นจุมพิตที่ดุดันเมื่อกลีบปากบางตอบรับสัมผัสนั้นกลับคืนอย่างเร่าร้อนเช่นกัน และก่อนที่ความหวามไหวจะทำให้ไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ ธามก็ตัดสินใจผละออกจากรสรักหวานหอม แต่ไม่วายแกล้งกันด้วยการขบเม้มเนื้อปากบางเบา ๆ เป็นการทิ้งท้าย   


“ทำใจให้เย็น ๆ เหมือนฝนหน่อยสิ นี่อยู่นอกสถานที่นะ”


“ไอ้เด็กเพี้ยน” เหนือน่านเม้มปากแน่นเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจก พยายามซ่อนสองแก้มร้อนซ่านที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่มันก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน


“เก็บหูด้วยสิ หูแดงหมดแล้ว” 


เสียงหัวเราะชอบใจกับลมหายใจอุ่น ๆ ที่ข้างหูทำเอาคนฟังอยากจะเปิดประตูลงจากรถเสียเดี๋ยวนี้ แต่ฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสายนั้นทำให้เหนือน่านทำได้ดีที่สุดแค่การขยับตัวชิดกระจกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



‘จะไม่ชอบหน้าฝนก็เพราะแบบนี้แหละ’




ธามหุบยิ้มทันทีที่เสียงเคาะกระจกดังขึ้น หน้าคมหันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าเป็นแม่นั่นเอง ชายหนุ่มรีบดับเครื่องยนต์ก่อนจะเปิดประตูลงมายืนยิ้มเก้อ ๆ แปลกใจไม่น้อยที่เห็นผู้เป็นแม่อยู่ในชุดกันฝน


“ทำไมแม่แต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ”


“แม่ออกมาดูต้นข้าวในกระบะของลูกน่ะ เห็นว่าฝนตกหนักกลัวจะทนแรงไม่ไหวหักตายไปเสียก่อน พอดีเห็นลูกเลี้ยวรถเข้ามาจอดในโรงรถตั้งนานแล้วแต่ไม่เข้าบ้านสักทีก็เลยเอาร่มมาให้” พูดจบผู้เป็นแม่ก็ส่งร่มคันยาวให้ลูกชาย “มาถึงก็เห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ไปมีความสุขอะไรมาจ๊ะ”


“ปละ...เปล่าครับแม่ สงสัยธามจะคิดอะไรเพลินไปหน่อย”


ผู้เป็นแม่พยักหน้าก่อนเดินนำลูกชายออกจากโรงรถไปยังหลังบ้าน หยุดมองนั่งร้านยกสูงจากพื้นเกือบครึ่งเมตรซึ่งเต็มไปด้วยกระบะไม้ที่วางลดหลั่นกันเป็นชั้น ในแต่ละกระบะแน่นไปด้วยต้นข้าวเล็ก ๆ ที่แทงยอดสีเขียวอ่อนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 3-4 วันก่อน ยิ่งได้น้ำฝนก็ยิ่งทำให้กล้าข้าวเจริญงอกงามได้ดี


“โชคดีจังที่ 2-3 วันนี้ฝนตก ไม่อย่างเจออากาศร้อน ๆ ของบ้านเราคงได้เฉาตายหมดแน่ ๆ” แม่กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองลูชายที่เดินกางร่มมายืนข้าง ๆ “ฝนตกแบบนี้ชาวนาชาวไร่เขาคงจะดีใจนะลูก จะได้เริ่มเพาะปลูกันสักที เมื่อตอนบ่ายแม่คุยกับน่าน น่านถามด้วยนะว่าธามได้ลองเพาะกล้าข้าวหรือยัง พอแม่บอกว่างอกมาได้ 3-4 วันแล้วเท่านั้นละตื่นเต้นใหญ่”


ธามฟังยิ้ม ๆ พลางนึกถึงคนที่ส่งเมล็ดข้าวเปลือกพวกนี้มาให้ บอกแต่ว่า ‘เอาไว้ปลูกแก้คิดถึงแม่กลางหลวง’ แต่ไม่ยักบอกว่าถ้าคิดถึงคนที่ส่งมาให้จะต้องทำอย่างไร


“น่านโทร.มาหาแม่เหรอครับ”


“จ้ะ เห็นว่าวันนี้ตามหัวหน้ามาประชุมที่มหาวิทยาลัยในเมือง เสาร์อาทิตย์นี้คงจะนอนค้างที่บ้านน้าริน”


“ดีจัง พอลงจากดอยก็โทร.หาแม่เลย ไม่เห็นโทร.หาธามบ้าง”


ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “แม่บอกน่านว่าวันนี้ลูกไปออกไซด์งาน น่านคงกลัวว่าจะยุ่ง ๆ อยู่ก็เลยไม่ได้โทร.ไปคุยละมั้ง” พูดจบก็ยกมือขึ้นจับที่ต้นแขนแกร่ง “ทำงอนมาก ๆ ระวังพี่เขาจะเบื่อนะ”


“ไม่ได้งอนสักหน่อยแม่” ลูกชายรีบปฏิเสธทันควันก่อนจะโอบเอวร่างเล็ก ๆ อย่างประจบ “เข้าบ้านกันดีกว่า ธามหิวข้าวแล้ว” แล้วสองแม่ลูกก็เดินกอดกันกลมเข้าไปในบ้าน



...




ฝนที่ตกทั้งคืนสร้างความชุ่มชื่นให้แก่เช้าวันใหม่ที่อากาศค่อนข้างเย็น แม้นาฬิกาจะบอกเวลาเกือบสิบโมงเช้าแต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเมฆสีเทา ภาพที่เห็นตรงหน้าจึงเป็นเหมือนภาพวาดสีหม่นพาหัวใจคนมองเศร้าซึมตามไปด้วย แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มผู้ที่กำลังนั่งทอดตามองต้นข้าวเล็ก ๆ ในกระบะจากหน้าต่างห้องทำงานเป็นแน่ เพราะนับตั้งแต่วันที่รากขาว ๆ งอกออกจากเมล็ดข้าว เขาก็เฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นว่าเมื่อไรมันจะเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงสักที


ธามดึงสายตากลับมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้ซึ่งแสดงข้อมูลพันธุ์ข้าว การเพาะกล้าข้าว รวมถึงวิธีการทำนาในรูปแบบต่าง ๆ ข้อมูลเก่าที่เคยเก็บรวบรวมไว้นานแล้วถูกรื้อขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง ประสบการณ์ของบรรดาคนหนุ่มสาวที่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาทำสวนทำไร่ที่ถูกแบ่งปันไว้ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกนำออกมาอ่านไม่รู้กี่รอบ การมีพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อเตรียมไว้สำหรับเลี้ยงตัวเองในยามที่ต้องวางมือจากงานประจำคือความฝันของวิศวกรหนุ่ม แม้การปลูกผักเลี้ยงสัตว์ถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ธามก็ไม่คิดว่ามันไม่น่าจะยากเกินความพยายามของตนเองไปได้ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองหลับตานึกภาพว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าหากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งนาสีเขียวขจี มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่บนเนิน มีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน ได้ยินเสียงยอดหญ้าลู่ไหวไปตามลม เสียงวัวร้องและเสียงโทรศัพท์



ใช่! เสียงโทรศัพท์



เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่างตัวเรียกความคิดที่กำลังหลุดลอยออกไปให้กลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นภาพของใครคนหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสัมผัสทำให้ธามไม่รั้งรอที่จะกดรับสาย


“ตื่นหรือยัง”


ชายหนุ่มทวนคำถามนั้นในใจ ที่แท้ก็ฝันไปหรือนี่...


“ตื่นตั้งนานแล้ว รอตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นมีใครโทร.มา”


“อ้าว แล้วที่พูดด้วยอยู่นี่นึกว่าหมาหรือไง” คนที่ปลายสายหัวเราะ


“น่าน!” ธามเม้มปากแน่น ถ้าหากอยู่ใกล้ ๆ กันจะจัดการเสียให้อยู่หมัด


เหนือน่านไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงขุ่น ๆ นั่นสักเท่าไร คนอารมณ์ดีกลับชวนเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ๆ “ทำอะไรอยู่”


“ถ้าบอกว่ากำลังคิดถึงจะเชื่อไหม”


“เชื่อ”


“เชื่อคนง่ายนะเราน่ะ”


“สรุปว่าไม่ได้คิดถึง?”


“คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย เราพูดจริงนะ”


“รู้น่า” เหนือน่านพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะพากันเงียบทั้งคู่ เกือบหนึ่งเดือนที่ไม่ได้พบหน้าทำให้ต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน 


“คิดถึงนะ” ธามกล่าวขึ้น


นอกจากคำพูดนั้นจะทำลายความเงียบแล้วยังทำลายความอดทนที่เหนือน่านใช้เป็นประตูขังความฟุ้งซ่านภายในใจของตนเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มผ่อนลมร้อนออกจากปลายจมูกก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


“อืม...เหมือนกัน”


“อะไรเหมือนกัน”


“เมื่อวันก่อนแวะไปหาครูขันคำมา...”


“น่าน ตอบมาก่อนว่าอะไรเหมือนกัน”


“เซ้าซี้จริง”


“ก็ตอบมาสิว่าอะไรเหมือนกัน แค่คิดถึงทำไมพูดยากนัก อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ ไม่ต้องเขินแล้ว” ธามขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ


“อะ...ไอ้เด็กเพี้ยน ไม่ได้เขินโว้ย” คนอายุมากกว่าหัวเราะหึ “ถ้าอยากได้ยินก็มายืนต่อหน้าสิ แล้วจะพูดให้ฟัง”



ธามยิ้มน้อย ๆ ฟังแล้วแทบอยากเอารถออกมันเสียเดี๋ยวนี้...วันจันทร์ส่งใบลาพักร้อนยาว ๆ เลยดีกว่า
 


   


...จบ...

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 20-06-2015 14:11:27
บรรยากาศฝนตกเข้ากั๊นเข้ากันกับชั่วโมงนี้เลย ฟ้าอึมครึมทั้งวัน
เคยคิดจะเกษียณไปอยู่ท้องทุ่งบ้านนานะ
แต่จะให้ไปทำนาทำไร่ ก็เกรงจะไม่ไหว
เลยได้แค่ฝัน

คิดถึง 2 หนุ่มนี่จริงๆค่ะ
ขอเรื่องราวต่อมาเรื่อยๆนะคะ
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 20-06-2015 14:47:25
หน้าฝนนี่ดีจริงๆ เลยน้าา >\\\\\\< ความรักของธามกับน่านก็ชุ่มฉ่ำไม่ต่างกันเลย~ โรแมนติกมากๆ จ้าา..^^ อ่านไปเขินไปจนตัวบิดหมดแล้วนะคะเนี่ย :-[

ขอบคุณนะค้าา.. o1
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-06-2015 14:59:55
อิจฉาธามที่วันเสาร์ได้หยุดอยู่บ้านนั่งดูต้นข้าวงอก
ได้คุยโทรศัพท์กับน่าน
คนอ่านน่ะ วันเสาร์-อาทิตย์ยังต้องทำงานเลย  :ling1:

ทำไมอ่านๆแล้วรู้สึกว่าธามมุ้งมิ้งจัง
คนอ่านจะจิ้นละนะว่าธามเป็นนายเอก ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 20-06-2015 15:00:59
อ้าวววววววว ทำไมตัดจบแบบนี้อ่ะคะ
สรุปธามได้ลางานยาวๆๆๆๆ ไปฟังมั้ย

คู่นี้เขาน่ารักกันจริงๆๆๆ

ยังจินตนาการน้องธามไม่ออก แต่ว่าที่อยู่กับเหนือน่าน คือน่ารักมากในความคิด
ชอบมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 20-06-2015 15:21:24
แล้วตกลงธามลางานขึ้นไปฟังคำว่า คิดถึง จากน่านรึเปล่านี่ ฮาาาาา
บรรยากาศฝนตกเข้ากับช่วงนี้มาก และอบอุ่นอิ่มใจกับคู่นี้มากเช่นกัน :impress2:

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 21-06-2015 00:09:09
รู้สึกชอบหน้าฝนซะแล้วสิ 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-06-2015 08:53:07
ได้เห็นความน่ารักของธามที่มีต่อคุณแม่  คนรัก  เพื่อน  รวมไปถึงพี่น้องชาวนาด้วย
เห็นความตั้งใจในบั้นปลายชีวิต สุดยอดมาก ยิ่งมีแม่ มีน่านอยู่ด้วยแล้ว ช่างเป็นคนอบอุ่น น่ารักมากๆเลยค่ะ
ทำให้เป็นพระเอกในดวงใจของเราสูสีคู่คี่กับพี่ปุ่นมากๆ. เราหลงเสน่ห์พระเอกที่มีอุดมการณ์นะคะ555

ธามเป็นคนน่ารักมากๆแบบนี้  ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้คุณแม่ และพี่น่านเลย สอนมาดี555
ดูท่าว่าคุณแม่และน่านจะพูดถูกคอกันนะคะ  และดูคุณแม่จะเอ็นดูน่านมากๆด้วย
ธามต้องห้ามทำอะไรที่ไม่ดีกับน่านนะ ท่าทางคุณแม่จะไม่ยอม แถมมีแก้ตัวให้น่านด้วย555 คุณแม่น้องธามน่ารักมากๆค่ะ

ตอนนี้นักเขียนแต่งได้เข้ากับเหตุการณ์มากๆค่ะ ทำให้ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้มีอยู่จริง  มีพี่น่านน้องธามจริงๆ โอ๊ยเขินตอนจูบกัน :o8:
นักเขียนใจดีมีของแถมให้เราได้ชื่นใจตลอด. แถมชิ้นแรกกอด แถมชิ้นที่สองจูบ แถมชิ้นที่สาม... รอลุ้นและมีความหวังต่อไป555

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2: เราชอบเรื่องนี้มากจริงๆ
ชอบความโรแมนติกในแบบละมุนละไม อบอุ่น เป็นไปได้ไม่ใช่ฝันไป :-[
อ่านตอนนี้แล้วทำให้รู้สึกว่า โลกช่างน่าอยู่ สดใสมากๆค่ะ o13








หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-06-2015 19:03:06
น่ารักมาก
น่ารักทั้งเนื้อเรื่อง
น่ารักทุกตัวละคร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 22-06-2015 22:43:42
รู้สึกรักหน้าฝนจังเลยค่ะ
ฮือวววววววววววววววว

น่ารักกกกกกกกกกกกกก

ชอบจังเวลาที่ธามแทนตัวเองว่า ธาม ตอนคุยกับน่าน
มันฟังดูน่ารัก หมาธามน่าเอ็นดู  :-[

คิดถึงจังเลยเนอะ นี่อยากอ่านโมเม้นท์ที่ธามไปทำไร่ทำสวนจริงๆ
แล้วมีพี่น่านอยู่ข้างๆ จัง บรรยากาศท่ามกลางสีเขียวและสายลมแสงแดดมันต้องดีมากแน่ๆ

อรั๊ยยย อยากตามธามไปหาพี่น่านที่เชียงใหม่ >_<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 25-06-2015 00:55:55
 :-[

มุ้งมิ้งที่สุด อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันสักวันพรุ่งวันมะรืนเลย
สองหนุ่มน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเลยนะคะ
ฝนตกแบบนี้เข้ากับบรรยากาศช่วงนี้ดีจังค่ะ เราก็อยากทำแบบธามบ้าง
ปลูกนั่นนี่นิดหน่อย ได้มองอะไรเขียวๆน่าจะสบายตาดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-06-2015 21:39:15
จิ้มมม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: RinNam ที่ 06-07-2015 18:28:04
ฝนกำลังตกอยู่เลยค่าา กำลังอารมณ์เสียหลังจากวิ่งไปเก็บผ้าที่ตาก

อ่านจบรู้สึกหัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาทันใด 

เอ๊า ตกก็ตกไปเถอะ  (แต่ได้โปรดอย่าท่วมเลยนะ)

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 19-07-2015 10:35:23
ช่วงนี้ฝนตก ทำให้คิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว  สงสัยเพราะชื่อเรื่องทำให้เรามักจะคิดถึงเรื่องนี้เสมอ  แล้วฝนตกทีไรคิดถึงตลอดค่ะ555

ชอบเรื่องนี้ โดยเฉพาะตอนล่าสุด ได้เห็นถึงความรักที่อยู่รอบๆตัวเรา ไม่เพียงเฉพาะกับความรักของคู่รักเท่านั้น

พระเอกนายเอกอยู่ห่างไกลกันเพราะภาระหน้าที่การงาน  ทำให้ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ก็เลยอยากเห็นบั้นปลายชีวิตของธามน่านเป็นอย่างที่ตั้งใจคาดหวังไว้มากน้อยแค่ไหน
ความรักที่สื่อสารต่อกันตอนนั้นกับตอนนี้จะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องรักแท้แพ้ระยะทางบ้างไหม555 อันนี้เดาได้แค่ว่ายังไงธามน่านเขาก็รักกันมากๆ
ยิ่งพูดก็ยิ่งชอบคู่นี้ ธามน่านแสดงความรักต่อกันน่ารักดี  เราชอบคู่นี้มากๆค่ะ  :-[

อ้อนขอไว้ก่อนเผื่อนักเขียนอยากแถมอีก :mew2: :pig4:

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆให้เราได้จดจำและประทับใจไปตลอดค่ะ :L2:



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 01-08-2015 11:30:36
น่ารักจัง :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Raccoooon ที่ 01-08-2015 23:42:39
ละมุนมากกกก อ่านแล้วอุ่นๆ ฮืออออ
ชอบมากค่ะ T///T
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แถมอีกหน่อย 20-06-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-08-2015 04:36:29
อ่านจบแล้วนี่อยากไปเที่ยวดอยเลยนะเนี่ย :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 04-08-2015 01:36:13
ตอนพิเศษ (3)


สิบแปดนาฬิกาตรงทุกชีวิตบนถนนต่างพากันหยุดกิจกรรมเมื่อเสียงประกาศตามสายเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงชาติไทย บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พลอยพากันยืนนิ่งไปกับเขาด้วย ทันทีที่จบเพลงความมีชีวิตชีวาก็กลับคืนสู่ถนนราชดำเนินหรือถนนคนเดินท่าแพแห่งนี้อีกครั้ง


ร่างสูงก้าวที่ในมือกำถุงใส่พวงมาลัยดอกมะลิมองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามจากฝั่งจากกำแพงเมืองเก่าเดินปะปนไปกับผู้คนที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนตำบลใดกันบ้าง สองเท้าก้าวไปตามทางชื้นแฉะเพราะฝนที่ขาดเม็ดไปได้เพียงไม่นาน แม้ท้องฟ้าจะยังคงขมุกขมัวแต่เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็พร้อมใจหุบร่มพับเก็บผ้าพลาสติกเพื่อแสดงสินค้าและร้องเรียกคนผ่านไปผ่านมาให้แวะชมด้วยภาษาคำเมืองหวานหู


นัยน์ตาสีเข้มที่บัดนี้ปราศจากแว่นสายตามาบดบังกวาดตามองไปยังร้านรวงที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ในใจนึกทบทวนว่านานเท่าไรกันที่ไม่ได้มาเดินเที่ยวในย่านสำคัญแห่งนี้ พยายามมองหาเพื่อนฝูงที่รู้จักแต่ก็ไร้วี่แววจะได้พบเจอ นั่นคงเพราะต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานลงหลักปักฐานยังที่ต่าง ๆ เหนือน่านเดินมาหยุดที่หน้าร้านขายของที่ระลึกซึ่งทำจากผ้า มีทั้งกระเป๋า หมอน พวงกุญแจและของแต่งบ้าน ชายหนุ่มโน้มตัวลงหยิบเจ้าตุ๊กตาทำจากเศษผ้าสีสดที่ดูคล้ายจิงโจ้ผสมกับสุนัขหูตูบขึ้นมาจากกองตุ๊กตาก่อนจะจ้องมองมันด้วยความสงสัย ตาโต ๆ กับท้องป่อง ๆ นั่นดูแล้วชวนขันยิ่งนัก


“เอาตัวมอมไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหมคะพี่”


“ตัวมอม?” เหนือน่านทวนคำ “ที่เห็นปีนอยู่ตามทางขึ้นวิหารในวัดน่ะเหรอครับ”


“ใช่ค่ะพี่” เจ้าของร้านสาวสวยยิ้มหวาน


‘ไม่เหมือนเลยสักนิด’ นักพฤกษศาสตร์หนุ่มคิดในใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมที่จะควักเงินจ่ายด้วยเหตุผลที่ว่ามันน่ารักดีและทำให้นึกถึงใครบางคน


เสียงเรียกเข้าและแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงทำให้เหนือน่านต้องสลัดความคิดนั้นทิ้ง รีบรับถุงกระดาษจากเจ้าของร้านคนสวยก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมากดรับสาย


“ว่าไง” กล่าวในขณะที่เท้าก้าวต่อ เพิ่งสังเกตเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ผู้คนดูหนาตาขึ้น การเดินจึงไม่คล่องตัวนักเพราะนอกจากต้องคอยระวังไม่ให้เหยียบพื้นรองเท้าของคนข้างหน้ายังต้องระวังไม่ให้ชนเข้ากับคนที่กำลังเดินสวนทางมา         


“ทำอะไรอยู่”


“ซื้อของอยู่”


“ดีจังเลยเนอะ ลงจากดอยมาแทนที่จะโทร.มาบอกคิดถึงกันสักคำ ไม่มีเลย”


คนฟังหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของอีกฝ่าย “ก็บอกแล้วไงว่ามายืนอยู่ตรงหน้าสิแล้วจะพูดให้ฟัง”


“ให้มันจริงเถอะ ถ้าธามไปอยู่ตรงหน้าน่านจริง ๆ จะให้น่านตะโกนว่าคิดถึงธามให้เขาได้ยินกันทั้งถนนเลยดีไหม”


คำพูดนั้นของธามทำเอาชะงักกึก เหนือน่านกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่เพราะไม่มีแว่นสายตาจึงทำให้ความสามารถในการมองภาพระยะไกลไม่ดีเท่าที่ควร


“รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ไหน”


“วันอาทิตย์แบบนี้ แถมมีทั้งเสียงรถเสียงคนดังขนาดนี้ อยู่ถนนคนเดินแน่ ๆ เดาไม่ถูกก็บ้าแล้ว”


“แล้วไป”


“ทำไม คิดว่าธามอยากฟังน่านพูดว่าคิดถึงกันจนต้องขับรถไปเชียงใหม่อย่างนั้นเหรอ”


“ใครจะไปรู้ ก็เห็นชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย” คนอายุมากกว่าถอนใจพลางเลี่ยงหลบกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนมา


“หลงตัวเอง ไม่ได้อยากฟังมากขนาดนั้นหรอกน่า”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” 


“แล้วนี่จะกลับบ้านตอนไหน ค่ำแล้วนะ”


“ยังทำธุระไม่เสร็จ”


“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ธามไม่กวนแล้ว”


“ด...เดี๋ยวสิ ทำไมวันนี้ยอมวางง่าย ๆ”


“ก็น่านบอกเองว่าจะไปทำธุระนี่นา”


“ก...ก็ใช่”


“ทำไม? อยากคุยกับธามต่อเหรอ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ค...แค่...รู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งคุยนานกว่านี้”


“พี่น่านอยากคุยต่อก็บอกสิครับ ธามจะได้ไม่วางสาย”


“อ...ไอ้เด็กเพี้ยน บอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างนั้น เราก็แค่...”


“เอาละ ๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ธามไม่กวนแล้วจริง ๆ แค่นี้นะ”


ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด!!!


‘อยากได้ยินเสียง’


“อ...อ้าว ยังพูดไม่ทันจบเลย”


เหนือน่านโคลงศีรษะก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า นักท่องเที่ยวที่แห่แหนมารวมกันอยู่ที่นี่ทำให้ระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรดูไกลขึ้นไปอีก กว่าจะฝ่าผู้คนออกมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม ชายหนุ่มหยุดพักที่สุดปลายถนนทอดตามองไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระสิงห์วรมหาวิหารเป็นวัดเก่าแก่ของชาวเมืองเชียงใหม่ นัยน์ตาพร่าเพราะแสงไฟหน้ารถที่สัญจรขวักไขว่ หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นานกระทั่งเห็นรถทิ้งช่วงจึงตัดสินใจก้าวไปตามทางม้าลายแต่แล้วเสียงแตรที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องชักเท้ากลับ


ชายหนุ่มมองรถจักรยานยนต์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนใจเฮือกพร้อมกับประโยค ‘เกือบเอาชีวิตมาทิ้งที่หน้าวัดเสียแล้ว’ ผุดขึ้นในหัว กระนั้นเหนือน่านยังต้องตกใจยิ่งกว่าเพราะจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่มือของตนเอง ไล่มองเรื่อยไปตามลำแขนแกร่งกระทั่งหยุดที่ใบหน้าอาบแสงสีนวลของไฟถนนก็พบว่าเขาคือคนที่เพิ่งวางสายจากกันไปเมื่อไม่นานนี่เอง ยังไม่ทันจะถามไถ่ให้ได้ความอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นด้วยเสียงขรึมทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเด็กไม่รู้ประสา


“เดินข้ามถนนไม่ระวังเลย เกือบถูกรถชนแล้วเห็นไหม”


“ก็เพราะไม่เห็นน่ะสิ” คนอายุมากกว่าบ่นมุบมิบในขณะที่เท้าก็ยังคงก้าวตามอีกฝ่ายต้อย ๆ


เมื่อข้ามถนนมาได้ธามก็ค่อย ๆ คลายมือออกสบตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถาม


“มาถึงตั้งแต่เมื่อไร”


“หลังจากน่านออกมาจากร้านน้ารินสักพัก น้ารินบอกว่าน่านไปตลาดวโรรสแล้วจะมาเดินเล่นที่นี่ธามก็เลยตามมา”


“เราพูดผิดที่ไหนกัน ชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาป...เป็น...”


“หืม?”


“ว...วุ่นวายอยู่เรื่อย” เหนือน่านมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้เลย                                   


“เอาน่า เก็บไว้บ่นรวมกันครั้งอื่นได้ไหม แล้วนี่จะไปไหน”


“ไปไหว้พระขอพร”


“ให้ธามไปด้วยคนนะ”


“มีมาลัยมาพวงเดียว”


หนุ่มกรุงเทพฯ คลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงตั้งแง่ “ดีเลย น่านไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาเจอกันอีก”


“ชาติเดียวก็แย่แล้ว” พูดจบก็เดินผ่านกำแพงซึ่งมีสิงห์คู่สีขาวตั้งเด่นอยู่เหนือซุ้มประตู


“ต้องไปไหนก่อน”


“เข้าไปในโบสถ์ก่อน”


ธามพยักหน้าหงึกเดินตามเจ้าถิ่นไปอย่างว่าง่าย หลังจากนมัสการพระประธานในโบสถ์แล้วเหนือน่านก็พาวิศวกรหนุ่มเดินไปยังวิหารลายคำซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมศิลปะล้านนา ด้านหน้ามีสิงห์คู่และปูนปั้นรูปพญานาคทอดตัวลงมานามแนวราวบันได ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อกันว่าคนที่เกิดปีมะโรงควรต้องหาโอกาสมาไหว้ให้ได้สักหน


สองคนเดินผ่านซุ้มประตูช่องประตูเข้าไปในวิหารที่ประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมเรื่องราวในวรรณคดีไทย ตรงหน้าคือพระพุทธรูปสีทองอร่ามรับกับฉากหลังซึ่งเป็นผนังที่เขียนภาพลายทองบนพื้นแดงทำเอาคนเพิ่งเคยมาครั้งแรกถึงกับตะลึงในความงดงามของศิลปกรรมที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ทิ้งเอาไว้ให้


“สวยจัง” ธามกล่าวก่อนจะนั่งลงกราบพระ


“เอาพวงมาลัยไปบูชาพระสิ” พูดจบเหนือน่านก็ส่งมาลัยดอกไม้กลิ่นหอมเย็น ๆ ที่เตรียมมาให้ในขณะที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีลังเลที่จะรับไว้อย่างเห็นได้ชัด


“น่านเอาไปบูชาเถอะ นี่มันของน่านนี่นา”


“น้ารินบอกว่าคนที่เกิดปีมะโรงชีวิตหนึ่งต้องมาไหว้พระสิงห์ให้ได้สักครั้ง เราให้ ธามเอาไปบูชาพระเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าพลางรับพวงมาลัยดอกมะลิมาถือไว้ก่อนจะคลานไปวางบนแท่น จากนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับออกมาจากวิหาร และธามก็ไม่ลืมที่จะถามคำถามที่ตัวเขายังคงข้องใจ


“น่านมาที่นี่ตั้งใจจะมาขอพรให้ตัวเองหรือขอให้ใครกันแน่”


เจ้าของชื่อกลับมาสบตาก่อนจะตอบด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังยิ้มไม่หุบ


“เราตั้งใจจะมาขอพรให้คนเกิดปีมะโรง”


...


รถสองแถวสีแดงแล่นฝ่าความมืดหนีการจราจรคับคั่งในบริเวณคูเมืองกระทั่งมาหยุดส่งผู้โดยสารยังสะพานซึ่งมีโครงเหล็กครอบ ทอดตัวเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำปิงเข้าไว้ด้วยกัน


“คุ้นตาที่นี่จัง” ธามเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวลงจากรถ


“เคยเห็นในหนังละมั้ง มีหนังหลายเรื่องมาถ่ายที่นี่ สะพานนี้เขาเรียกว่าสะพานเหล็กหรือสะพานดำ ถนนลอยเคราะห์” พูดจบก็เดินไปยืนเกาะราวสะพานทอดตามองแสงไฟระยิบระยับที่เห็นอยู่ไกล ๆ “แล้วนี่จะกลับเมื่อไร”


“อะไรกัน เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถามถึงวันกลับเสียแล้ว” น้ำเสียงตัดพ้อนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัว ทันทีที่อีกคนก้าวมายืนข้างกันก็ทำให้นึกขึ้นมาได้จึงยื่นถุงกระดาษให้


“อ่ะนี่ เราให้”


“อะไร”


“เปิดดูสิ”


ธามล้วงมือลงไปในถุงกระดาษก่อนจะดึงตุ๊กตาผ้าหน้าตาตลกออกมา “ตุ๊กตาเหรอ”


“อื้อ คนขายเขาบอกว่ามันคือตัวมอม แต่เราว่าไม่เหมือนเท่าไร จริง ๆ แล้วที่เห็นอยู่ตามวัดมันคล้าย ๆ ลิงผสมเสือ ตำนานทางเหนือเล่าเกี่ยวกับตัวมอมว่าเอาไว้สำหรับแห่ขอฝน”


“เหมือนแห่นางแมวเลย”


“อืม นั่นแหละ”


“น่ารักดีเนอะ”


เหนือน่านพยักหน้ายิ้ม ๆ รู้สึกดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายชอบของที่ตนเองให้ แต่แล้วคำพูดต่อมากับสายตาหวานเชื่อมของธามก็ทำให้ต้องเสมองไปทางอื่น นึกอยากจะเขกหัวตัวเองที่ดันมาตกม้าตายแสดงท่าทีเขินอายต่อหน้าผู้ชายด้วยกันเช่นนี้


“หมายถึงคนให้นะ”


ธามขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดไหล่ ตาคมละจากปรางแก้มสีนวลยามต้องแสงไฟจากนั้นก็มองออกไปยังเวิ้งน้ำท่ามกลางความมืด ต่างคนต่างปล่อยให้ลมพัดเอาไอเย็นจากสายน้ำขึ้นมากระทบผิวหน้า ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมสองร่างเอาไว้และปล่อยหัวใจได้ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้


“อยากรู้จังว่าภาพที่น่านเห็นอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง”


“มันเบลอ ๆ แต่รู้ว่าเป็นแสงไฟ”


“จริงสิ เพิ่งสังเกตว่าวันนี้ไม่ได้สวมแว่น”


“ลืมไว้ที่บ้านพักบนสถานีน่ะ”


“อืม...” มือหนายกขึ้นถูปลายคางของตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมารวดเร็วราวกับเด็กชายที่คิดเกมสนุก ๆ ได้ “น่านหลับตาแล้วยืนอยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องตามมา” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเริ่มเดินถอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดปลายสะพาน


“น่านลืมตาได้แล้ว ดูซิว่ามองเห็นธามชัดไหม” ธามป้องปากร้องถาม คนถูกถามจึงลืมตาขึ้นพยายามหรี่ตามองจนในที่สุดก็โบกมือให้รู้ว่า ‘ไม่’ เป็นคำตอบ


“ถ้าอย่างนั้นหลับตานะ พอตอบเสร็จก็หลับตาทุกครั้ง”


แม้เหนือน่านจะไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของอีกฝ่ายสักเท่าไรนักกระนั้นเขาก็ยังยอมทำตามแต่โดยดี ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอีกครั้งรอกระทั่งเสียงขานคำถามดังขึ้น


“แล้วถ้าใกล้เข้ามาอีกหน่อยอย่างนี้ล่ะ”


คำตอบที่ได้ยังคงเป็นเช่นเดิม


“ชัดหรือยัง”


“มันไม่ชัด”


“นี่ล่ะ ชัดไหม” พูดพลางขยับใกล้เข้ามาอีกแต่ก็ยังใกล้ไม่พอที่จะทำให้คนสายตาสั้นเห็นชัด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มยังคงโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวันก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามากระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่กับข้างแก้มกับคำพูดแผ่วเบาที่ข้างหู


“ลืมตาสิน่าน แล้วตอบธามทีว่าใกล้ขนาดนี้น่านเห็นธามชัดไหม”


ธามจ้องเปลือกตาที่กำลังปรือขึ้นช้า ๆ พลางยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ารักแบบที่แม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นนัก


“ธามมายืนอยู่ตรงหน้าน่านแล้วนะ”


“เห็นแล้ว”


“ถ้าเห็นแล้วก็พูดให้ชื่นใจหน่อยว่าคิดถึงกันไหม”


เมื่ออยู่ต่อหน้ากันเช่นนี้ก็ยากที่จะหนีได้ โดยเฉพาะหนีความรู้สึกที่อยู่ในใจขณะนี้ เหนือน่านเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดพลางคลี่ยิ้มบางเบาก่อนจะกล่าว “คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย”


ธามอมยิ้มเมื่อในที่สุดก็ได้ฟังคำนั้นจากปากของคนรัก แต่ก็ไม่วายถามย้ำให้แน่ใจ “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยหรือเปล่า”


“แล้วหมาน้อยยอมให้เราจุ๊หรือเปล่าล่ะ”


“ถ้าไม่ยอมจะมาข้ามป่าข้ามเขามาถึงนี่เหรอ เต็มใจให้จุ๊เลยละ” พูดจบก็ดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้ก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่ที่ไม่อาจละไปไหนได้เลยแม้สักนาทีเดียว


คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยกมือข้างที่เหลือเสยผมสีเข้มที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคู่สนทนา “แต่เราไม่ได้จุ๊ เราพูดเรื่องจริง”


“พูดอีกรอบได้ไหม เมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งตัว”


“อีกสิบรอบหรือร้อยรอบก็จะบอกว่าคิดถึง อยากฟังเสียงแล้วก็อยากเห็นหน้า”


เอาละสิทีนี้คิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไรดี ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เสียแล้วสิธามเอ๋ยธาม...



จบจ้ะ


ภาพปลากรอบ >>> https://www.facebook.com/AmInTheSky/posts/609478345905223

   
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ฝนตกเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ

ขอบคุณคุณ Ailime13 ที่แนะนำเรื่องนี้นะคะ ^^ (ขออนุญาตปัดพื้นแล้วกราบบบบบบเบญจางคประดิษฐ์ที่สาธุประดิษฐ์ค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 04-08-2015 04:54:42
เขิลลล ทำเราอยากไปเที่ยวอีกแล้ว คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 04-08-2015 05:47:13
เฮ้ออออ พี่น่านก็อู้คำหวานกับเค้าเป็นเหมือนกันนะเนี่ย
แม้ธามจะต้องตื้อ ดื้อ เอาก็เถอะ
แต่ธามคงจำยิ้มปลื้มแน่ๆ อ๊ายยยย อิจฉา
เรื่องนี้นี่คอนเซ็ป คุณชายจอมซึนกับนายช่างผู้เอาแต่ใจจริงๆ ฮาาา
อัพตอนพิเศษต่อนะคะ กิกิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 04-08-2015 07:11:26
น่ารัก เขินมากๆ :-[

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 04-08-2015 07:14:21
ประโยคเด็ด. “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย“  มาแว้วววว :o8:

มีตอนพิเศษเรื่อยๆๆๆนะะะ :call: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 04-08-2015 07:25:51
โอ๊ย หวานๆๆๆที่สุด
อ่านเรื่องนี้ทีไร หัวใจได้ผ่อนคลายตลอดๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นน่ารักค่ะ
วัดอะไรคะที่คนปีมะโรงต้องมาไหว้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 04-08-2015 07:46:36
หวานมากกกกกกกก อิจฉามากกกกกก
เมืองน่านน่ารักกกกกก อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 04-08-2015 08:45:31
พอได้หายคิดถึง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 04-08-2015 08:57:59
คู่นี้ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม5555555
ในเลขห้าแอบมีน้ำตาซ่อนอยู่เพราะ
ต้องรอตอนพิเศษ(4)อีกพักใหญ่ๆมั้ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 04-08-2015 09:37:11
ขอยืมคำน้องสาวมาใช้ค่ะ ธามนี่มันก๊าวใจจริงๆๆ

ธามน่ารัก อ่านแล้วเขินมากค่ะ >\\\\\<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 04-08-2015 10:17:13
เมืองน่าน่ารักจริงๆ เริ่มชอบหน้าฝนขึ้นมาบ้างแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-08-2015 10:23:19
เขินจังเลย
พอน่านเริ่มกล้าพูด
กล้าเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้น
ทำให้ธามยิัมแก้มแทบปริเลยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-08-2015 10:32:33
น่ารักมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-08-2015 19:12:40
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 04-08-2015 23:44:29
เราอ่านแล้วอินมากๆค่ะ ซึ้งมากๆแล้วนำ้ตาก็ไหลตอนที่น่านพูดคำว่าคิดถึงตรงหน้าธาม
เรารู้สึกเพราะเขาสองคนอยู่ห่างไกลกันนานๆกว่าจะได้มาเจอกัน ก็ต้องคิดถึงกันมากๆจริงๆ

เราใจหายมากๆตอนที่น่านเกือบถูกรถชน ถ้าน่านเป็นอะไรไป  ก็คงไม่ได้ให้อะไรหรือทำอะไรเพื่อธามอีก
และน่านก็คงไม่ได้บอกคิดถึงต่อหน้าธามด้วย อนาคตไม่แน่นอนจริงๆ เราคิดว่าอยากทำอะไรเพื่อคนที่เรารักก็ควรทำเถอะเนอะ
น่านก็คงคิดแบบนั้น  น่านเป็นคนที่น่ารักมากๆเลยนะคะ

เราทั้งยิ้มทั้งเขินเอามากๆตอนที่ธามบอกว่า หมายถึงคนให้นะ
เรายิ้มไม่หุบเลยอ่ะ เราเลยต้องบอกกับตัวเองว่าธามเขาพูดและมองหน้าน่านโน่น555 ธามเป็นคนที่โรแมนติกมากๆเลยค่ะ

ดีใจมากๆนักเขียนมามอบความสุขให้ในตอนพิเศษอีกครั้งนะคะ  และเราได้ข้อคิดได้รับความรู้รอบตัวอีกมากมายเลยค่ะ
ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักเรื่องนี้จริงๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 05-08-2015 11:21:59
พี่น่านตอนคุยโทรศัพท์กับธามน่าแกล้งจริงๆ นั่นล่ะน้าา :-[ ท่าทางคงจะใจแป้วน่าดูเลยนะคะน่ะ ที่อยู่ดีๆ คนขี้ตื๊ออย่างธามก็ยอมทำตามที่ตัวเองว่าง่ายๆ แถมยังวางสายไปทั้งๆ ที่พี่น่านยังพูดไม่จบอีก 555+ แต่ทางด้านธามเองก็ทนแกล้งได้ไม่นานจริงๆ นะคะ เพราะสุดท้ายก็ต้องรีบแสดงตัวก่อนที่คนขี้เหม่อจะเดินไปชนอะไรเข้าอีก~ ><

ขอบคุณนะค้าา.. :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-08-2015 13:08:09
น่ารักมาก
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 05-08-2015 16:58:07
เห็นตอนพิเศษมาแล้ว แต่กว่าจะได้อ่านแทบลงแดงตาย
นี่ถ้าไม่ติดงานนะ จะวิ่งแทรกไปในตัวหนังสือ ไปแอบส่องตามตอม่อสะพาน
อะไรเค้าจะหวานแหววกันได้เปิดเผยขนาดนี้
ช่างเป็นคู่ล่ามาแรงแซงคิวพี่ตังพี่จ้า พี่ปุ่นพี่เต็ม พี่ธันพี่บุ้ง กันซะเหลือเกิน
เป็นคู่ที่หวานกันออกสื่อมากที่สุดในบรรดาลูกๆของคุณ ถธปทฟ แล้วล่ะมั้งเนี้ย

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
ไม่ขอ แต่จะรอตอนต่อไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-08-2015 23:49:45
เหนือน่าน นาน ๆ หวานที ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 07-08-2015 20:11:00
 :-[ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: poyhoney ที่ 14-08-2015 17:47:29
อ่านแล้วเขินอ่ะ :oo1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 16-08-2015 21:15:03
ในที่สุดก็ได้ยินคำว่าคิดถึง
ต้องบอกใกล้ๆใช่ไหมธาม
น่ารักมาเลย
รู้สึกอบอุ่นมากเลยเมื่อถึงปลายทาง
มีคนบอกว่าคิดถึงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 17-08-2015 23:10:46


 “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย“ 

 คิดถึงหนักมาก

 ทั้ง น่าน ธาม

 คู่นายตัง   นายจ้า 

 

 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven




:call: :call:  :call: //อ้อ  อยากให้ ณัฐนนท์ สมหวังด้วยอ่ะ ...  ตอนพิเศษ จงมาๆๆๆ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 18-08-2015 11:20:19
สนุกมาก ๆ ครับ บรรยายบรรยากาศได้เห็นภาพเลยดอยเลยครับ ชอบคำนี้จัง "จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย"

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: comai0618 ที่ 29-09-2015 20:52:48
ปกติอ่านแค่บทสนทนา แค่คำพูดก็เขินจะตายอยู่แล้ว
แต่นี่มีฉากจุ๊บๆในรถด้วยยยยย  :-[
เล่นกับหมา หมาเลียปากนะคะพี่น่านนน หมาน้อยมันร้ายนัก o18
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 29-09-2015 22:17:21
ธามไม่ใช่หมาน้อยนะ ธามเป็นหมาใหญ่ต่างหาก 5555 :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: packy ที่ 30-09-2015 19:47:09
 :katai2-1: ชอบม้ากกกก ก ไก่ ล้านตัว
รักละมุน ลุ้นละไมจริงๆ

ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Yundori ที่ 01-10-2015 00:48:36
เป็นเรื่องสั้นที่น่ารักมากกกกกกก  :mew1:
อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจไปหมดเลยย  :o8:
เสน่ห์ของเรื่องคือมันเป็นเรื่องสั้นนี่แหละ
แต่ละตอนเลยอ่านแล้วรู้สึกว่ากลั่นมาเน้นๆ เอาเนื้อๆจริงๆ
สองคนรักกันเราก็สุขใจ ตอนแรกใจหายนึกว่าเหนือน่านจะไม่รับรักซะแล้ว
ชอบความอบอุ่น โรแมนติกแบบนี้อะ
ไม่ต้องมีแสงสี ดอกไม้อะไรช่วยเลย หูยยยยย
รักกันยืนยาวแน่ๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mymicky ที่ 22-10-2015 08:07:59

อ่านตอนอากาศเริ่มเย็นๆ จะรู้สึกเหมือนเดินตาม ธามกับเหนือน่าน ไปตามทางเดินของกิ่วแม่ปานด้วยเลย  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวอบอุ่น ท่ามกลาอากาศเย็นๆแบบนี้นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 24-12-2015 01:50:01
หวานจนไม่รู้จะว่ายังไง มีความรักความอบอุ่นอวลอยู่ในอากาศ จนอยากจะทึ้งหมอนให้ขาดไปข้าง ชอบทั้งธามและเหนือน่านเลยค่ะ เขาไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่เขาก็รักกันมาก นี่ล่ะที่โบราณท่านว่า รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว เสมออยู่หอแห่งเดียวร่วมห้อง เมื่อรักกันแล้ว ต่อให้มีระยะทางขวางกั้น ก็ไม่นับว่าเป็นอุปสรรค เพราะสิ่งที่ผูกคนสองคนไว้คือหัวใจรักนั่นเอง ว้าย เขินจังเลยค่ะ ชอบบรรยากาศหวานๆ ระหว่างสองหนุ่มนะคะ อีกอย่าง...ชอบความสมจริงของเนื้อเรื่องด้วยค่ะ ไม่ต้องหวือหวา แต่รับรู้และจับต้องได้ว่ามันมีคนรักกันจริงๆ อย่างนี้ในชีวิตจริงนะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 17-02-2016 12:45:52
เรืริงสั้นสไตล์สโลไลฟ์ ชอบมากเลยขอบคุณคนเขียนมากๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 19-02-2016 20:18:20
อ่านไปยิ้มไปตลอดเรื่องเลย
พี่น่านกับธามน่ารัก
บรรยากาศก็ดี
ชอบทุกอย่างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 01-04-2016 00:48:04
ชอบมากเลย อ่านแล้วสบายใจมีความสุข ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 18-04-2016 18:50:08
โรแมนติกมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ (3) 04-08-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-06-2016 15:20:46
คือมันดีต่อใจจริงๆค่ะ ชอบมากเลย
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
อ่านแล้วรู้สึกดีเหมือนได้ไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติบนเขาจริงๆ เย็นใจมากเลย ยิ่งอ่านยิ่งคิดถึงเชียงใหม่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) : ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-09-2016 23:46:36
ปลายทาง...ยังคิดถึง (ตอนพิเศษ)






“รู้ไหมว่าความคิดถึงของเรามีความยาวเท่าไร”












ตาคมยังคงไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงแน่นอยู่บนกระดาษ ดูเหมือนว่าประโยคที่จบลงไปเมื่อครู่จะไม่สามารถทำลายสมาธิที่จดจ่ออยู่กับตำราเล่มโตบนหน้าตักได้หากมือขาวไม่ยกขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วถามกลับด้วยถ้อยคำสั้น ๆ 


“เท่าไร”


“เท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ส่วนความกว้างก็เท่า...”


เสียงนั้นเงียบหายไปอย่างผิดสังเกตจนคนฟังต้องละจากหนังสือพร้อมกับหันไปมองคนพูด เห็นว่าเจ้าของร่างซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่ไม่ไกลกำลังยกแขนทั้งสองข้างขึ้นในอากาศ สองแขนค่อย ๆ ขยายห่างออกจากกันราวกับกำลังกะขนาดของอะไรบางอย่างจนในที่สุดก็แนบลงกับที่นอนเมื่อไม่อาจจะประมาณได้ถูก


นักพฤกษศาสตร์หนุ่มส่ายศีรษะ ยิ้มน้อย ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็นก่อนจะก้มลงให้ความสนใจกับตำราพันธุ์ไม้เมืองหนาวบนตักอีกครั้ง กระนั้นปากก็ยังถามต่อ “เท่าไหน” 


“เท่านี้ไง”


คำพูดชวนสงสัยทำให้เหนือน่านจำต้องปิดหนังสือ หวังจะหันกลับไปดูให้รู้ว่าความคิดถึงของธามมีขนาดเท่าไรกันแน่ แต่ก็ไวไม่เท่ากับสองแขนของอีกฝ่ายที่กอดรัดรอบเอว แม้อากาศยามค่ำคืนจะหนาวเย็นหากแต่แผ่นหลังกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นเมื่อแผงอกแนบชิด


“เท่านี้แหละ” ธามกระซิบเบา ๆ หลังจากพาดคางลงบนบ่าของคนอายุมากกว่า จากนั้นก็ขยับห่างออกเพียงนิดเพื่อให้มีพื้นที่พอที่จะให้ปลายจมูกได้สัมผัสกับผิวแก้มแสนคิดถึง ในขณะที่เหนือน่านเองก็เอี้ยวตัววางตำราลงบนลิ้นชักข้างเตียง ถือโอกาสหนีให้ห่างจากสัมผัสที่ทำให้หัวใจวูบไหว


“แล้วน่านล่ะ คิดถึงเราเท่าไหน”


“ความคิดถึงของเราไม่มีความยาว ไม่มีความกว้าง ไม่มีน้ำหนัก”


“ไม่คิดถึงก็บอกตรง ๆ” วิศวกรหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับคลายวงแขนออกเปลี่ยนมาเป็นนั่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าคมสันที่เชิดขึ้นไม่ผิดจากเด็กชายขี้งอนดูแล้วยิ่งชวนหมั่นไส้ กระนั้นคนมองกลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู


“ยังไม่ทันพูดสักคำว่าไม่คิดถึง” ขยับเข้าใกล้พร้อมกับแตะปลายนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือลงบนหว่างคิ้วของคนอายุน้อยกว่าแล้วลากปลายนิ้วทั้งสองให้ห่างจากกันเพื่อให้หัวคิ้วนั้นคลายออกพร้อมกับกล่าวต่อ “ความคิดถึงของเราไม่มีขนาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น”


“แล้วธามจะรู้ได้ยังไงว่าน่านคิดถึง” ธามว่าพลางรั้งมือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้


“รู้สิ เพราะความคิดถึงของเรามีรส”


“รสอะไรเหรอ” คนถามทำหน้าฉงน


“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องให้ธามเป็นคนตอบ” เหนือน่านคลี่ยิ้มจาง ๆ ทอดตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามก่อนจะขยับเข้าใกล้ ก่อนที่กลีบปากอุ่นจะแตะลงบนริมฝีปากเย็นเฉียบเพื่อส่งผ่านความรู้สึกไปให้กัน ไม่ถึงอึดใจก็ผละออกในขณะที่คนไม่ทันตั้งตัวได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย   


“รู้หรือยังว่ารสอะไร”


“ไม่ค่อยแน่ใจ ขอใหม่ได้ไหม” ว่าแล้วก็รวบตัวเจ้าของรสจูบมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง กำลังจะหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ดั่งใจเพราะแรงดันจากสองมือที่แผงอก


“พอแล้วไอ้เด็กเพี้ยน ใครจะไปให้” คนตกเป็นรองรีบประท้วง


“อะไรนะ อ๋อ...ใครจะไม่ให้” พูดจบก็ทำหน้าทะเล้น แกล้งทิ้งน้ำหนักจนอีกฝ่ายหงายลงจนแผ่นหลังแนบกับเตียง


ธามยิ้มน้อย ๆ เมื่อแรงต้านเมื่อครู่กลายเป็นเพียงสัมผัสบางเบาที่สองบ่าของตนเอง จัดการดึงแว่นสายตาของคนใต้ร่างออกแล้ววางทับบนหนังสือ เมื่อไม่มีสิ่งใดกั้นกลางดวงตาสองคู่ก็สบกันอยู่เนิ่นนานท่ามกลางความเงียบงัน


“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง”


“ไม่เคยเห็น คนอะไรชอบจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย”


“เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นหมา”


“ถึงจะเป็นหมา แต่หมาน้อยอย่างธามขึ้นดอยมาแล้วไม่กลับไปมือเปล่าแน่ ๆ”


คำพูดกับแววตาแฝงความหมายนั้นทำเอาคนฟังจำต้องเสมองไปทางอื่น แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อมือใหญ่รั้งปลายคางให้หันกลับมาเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าอีกครั้ง


“จะทำอะไร”


“ก็จะหาคำตอบว่าความคิดถึงของน่านรสชาติเป็นยังไงกันแน่”


ว่าแล้ววิศวกรหนุ่มก็ลงมือค้นหาคำตอบโดยการระเลียดรสความคิดถึงนั้นอีกครั้ง...ฟ้าสางเมื่อไรคงได้คำตอบที่ชัดเจนแน่ ๆ ถึงตอนนั้นก็คงตอบได้แล้วว่าความคิดถึงของน่านนั้นหวานหอมเพียงไร...

 


“ธาม”


เสียงเรียกนั้นดังอยู่ข้างหู มันแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครอื่นมาได้ยิน 


“ธามตื่นเถอะ”


เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นและภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนรัก แม้ปกติจะชอบวางหน้านิ่งแต่เขาก็มักจะสังเกตเห็นรอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาคู่นี้ได้อยู่ดี


“เช้าแล้วเหรอ”


“ตีสามครึ่ง” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับแทรกเรียวนิ้วเสยผมยุ่งเหยิงที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนที่กำลังใช้มือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย “ข้าวพ่อกับแม่ของต้นข้าวเพิ่งมาถึง”


ธามชะงักก่อนจะพยายามลืมตาสู้แสงจากหลอดไฟนีออน มองไปรอบ ๆ ให้ถ้วนถี่ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ใดกันแน่ ในที่สุดเมื่อดวงตาชินกับแสงวิศวกรหนุ่มก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ และตรงหน้าก็คือห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำอำเภอ


“พ่อกับแม่ของต้นข้าว...”


“อืม เพิ่งมาถึงสักพักน่ะ โชคดีนะที่เจ้าตัวเล็กไข้ไม่สูงมาก ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ ๆ เลย” คนอายุมากกว่ากล่าวก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่คนฟังพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และภาพสุดท้ายก่อนที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้ก็คือ...





“ธ...ธาม พอก่อน”


คำขอร้องไม่อาจหยุดฝ่ามือใหญ่ที่กำลังลูบไล้ไปบนผิวเนื้อได้ ซ้ำกลีบปากอิ่มยังแกล้งดูดดึงเบา ๆ ที่ซอกคอก่อนจะเลื่อนขึ้นไปกระซิบชิดใบหู


“ธามไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนนะ”


เสียงแหบพร่าทำเอาสองแก้มขาวค่อย ๆ เจือสีแดงระเรื่อเพราะเลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้นพอ ๆ กับหัวใจที่เต้นรัวราวกลองสะบัดชัย   


“ธ...ธาม พ...อื้อ...”


ริมฝีปากอุ่นที่ประกบลงมาทำให้ไม่สามารถกล่าวถ้อยคำใด ๆ แม้สมองจะสั่งให้หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้แต่หัวใจและร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มือขาวคลายจากบ่ากว้างก่อนจะไล้ลงไปตามลำตัวที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เผลอรั้งเสื้อของอีกฝ่ายอีกฝ่ายขึ้นเสียแล้ว


“ไหนบอกว่าให้หยุดไง” ธามกล่าวพร้อมกับถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง


“พูดมากน่า” เจ้าของแก้มขึ้นสีตอบห้วน ๆ ดวงตามองคนเหนือร่างที่กำลังยืดตัวขึ้นจัดการถอดเสื้อยืดใส่นอนแล้วปามันไปอีกทาง


“ถ้าอย่างนั้นขอถามคำถามสุดท้าย”


“อะไร”


“จะให้ธามหยุดแค่นี้ไหม ถ้าน่านต้องการ ธามจะหยุดตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้”


เหนือน่านไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงแต่ยกตัวขึ้นพร้อมกับใช้สองแขนคล้องที่ลำคอแกร่งก่อนจะรั้งคนพูดลงมาอยู่ในตำแหน่งเดิม 


“อยากทำอะไรก็ทำ” กล่าวเมื่อปลายจมูกสัมผัสกัน


ถ้อยคำง่าย ๆ ทำดวงตาคมกริบทอประกายวิวบวับ จู่ ๆ หัวใจก็ทำงานหนักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ธามประทับจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ลำคอระหงก่อนจะเลื่อนขึ้นมาตามแนวสันคาง สุดท้ายก็ไม่ลืมให้รางวัลกลีบปากบางที่วันนี้ยอมเผยความความในใจให้รู้ 


“อ...อื้อ...ธ...ธาม” เสียงนั้นขาด ๆ หาย ๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงต่ำในขณะที่ริมฝีปากยังไม่คลายจากกัน พลันหูก็ได้เสียงโวกเวกดังแว่วขึ้นท่ามกลางเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่ด้านนอก



“อ้ายธิ!”




“ธ...ธาม หยะ...”



“อ้ายธิ!”



“ธามหยุดก่อน” พูดพร้อมกับคว้าข้อมือที่กำลังวนไล้อยู่ที่หน้าท้อง “หยุดก่อนนะ” ว่าพลางรั้งมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบที่แก้ม เงี่ยหูฟังความเป็นไปที่ด้านนอก



“อ้ายธิ!”


“ร...เรา...ไปดูนะ” เอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าธามไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านจึงยันกายลุกขึ้น หยิบแว่นสายตามาสวมก่อนจะเดินไปมุ่งหน้าไปยังประตูระเบียง ทันที่ประตูเปิดออกความหนาวเย็นจากก็ปะทะเข้ากับร่างจนผิวกายชาไปหมด ดวงตาภายใต้กระจกใสมองตามแสงจากกระบอกไฟฉายที่กำลังส่ายไปมาอยู่หน้าเรือนพักของหัวหน้านักวิจัยซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปยนเนิน



“อ้ายธิ! อยู่หรือเปล่าเจ้า” เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นอีกครั้ง


“พี่ธิไม่อยู่หรอกครับ ไปในเมืองตั้งแต่เช้า” เหนือน่านตะโกนบอก รอกระทั่งแสงไฟใกล้เข้ามาจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ ‘ต้นข้าว’ ลูกสาววัยสิบปีของคนงานในสถานีวิจัยนั่นเอง


“อ้ายน่าน อ้ายน่านช่วยน้องหนูด้วย น้องตัวร้อนจี๋เลย ยายบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล พ่อกับแม่ไปงานศพที่ลำพูนตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับ หนูเลยมาหาพี่ธิ” เสียงสะอื้นฮักทำเอาคนฟังใจคอไม่ดี


“รอเดี๋ยวนะ พี่ไปเอากุญแจรถก่อนแล้วจะพาไปโรงพยาบาล”


เมื่อเหนือน่านกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งเขาก็เห็นว่าธามที่สวมเสื้อเรียบร้อยกำลังยืนรออยู่แล้ว


“ธามพาไปเอง เรารีบไปกันเถอะ”







“ธาม คิดอะไรอยู่”


เมื่อมืออุ่นแตะที่ลำแขน ความคิดที่ล่องลอยไปไกลก็กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เจ้าของชื่อส่ายหัวเบา ๆ ไล่ภาพของอีกฝ่ายกับคำพูด ‘อยากทำอะไรก็ทำ’ ที่ยังคงก้องอยู่ในหู ก่อนจะตอบ “เปล่า”


“แล้วเป็นอะไร ยังง่วงอยู่เหรอหรือว่าโกรธอะไรเรา ทำไมทำหน้าแบบนั้น”


ธามส่ายหัวดิกก่อนจะปฏิเสธ “ธามจะโกรธน่านเรื่องอะไร น่านดีขนาดนี้” ว่าแล้วก็ถือโอกาสเอียงศีรษะลงบนไหล่ของคนที่ความสูงพอ ๆ กันพร้อมกับหาวหวอด ๆ


“ถ้าง่วงก็ไปนอนในรถ ขืนนอนแบบนี้ปวดคอแน่” นักพฤกษศาสตร์หนุ่มทอดตามองมือใหญ่ที่เลื่อนมากุมมือของตนเอง


“ไม่เอา ธามอยากกลับบ้าน ยังเสียดายไม่หาย”


“เสียดายอะไร” เหนือน่านถามซื่อ ๆ


“เสียดายเรื่องที่ทำค้างไว้เมื่อตอนหัวค่ำ”


คำตอบแบบตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังไปไม่เป็นได้แต่ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเอง แล้วจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ลุกพรวดขึ้น


“รีบไปกันเถอะ”


“จะไปไหน”


“กลับบ้านไง”


“กลับได้ยังไง ประตูอุทยานยังไม่เปิดเลย ต้องรอหกโมงเช้าโน่น”


“ถ้าอย่างนั้นไปรอในรถนะ” ธามกล่าวพลางรั้งแขนอีกคนให้ลุก “เร็ว ๆ รีบไป”


“จะรีบไปไหนเนี่ย” เหนือน่านบ่นแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย และหากเขาตั้งใจฟังดี ๆ คงได้ยินประโยคสุดท้าย...



“ระหว่างรอ เราจะได้ทำเรื่องที่ค้างไว้ต่อด้วย"




...จบ...

 

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-09-2016 13:05:31
ขอบคุณค่ะ  NC ที่รอคอย  อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-09-2016 15:00:04
อ่านแล้วต้องไปหารูปกุหลาบพันปี กับข้อมูลกิ่วแม่ปานเลยทีเดียว ฮา
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 14-09-2016 18:38:51
 :bye2:
ขอบคุณมากๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-09-2016 17:32:03
ประทับใจมากเลย  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-09-2016 18:58:24
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 18-09-2016 21:36:52
โอยยยยยยยย หวานละมุนละไมอบอุ่นข้างใน~
เขิลลลลลลแทบจะบิดเป็นเกลียวแทนพี่น่าน  :-[
งืออออออ แม่ขาหนูอยากได้แบบเน้!!!!!!!  :ling3:
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ  :กอด1: :L1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 25-11-2016 11:15:49
น่ารัก~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 05-04-2017 22:25:15
เพิ่งมาอ่านตอนพิเศษค่ะ ขอเขินย้อนหลัง :-[
มีNCให้ไปจินตนาการต่อเอาเองด้วย :a5:  ขอบคุณมากๆเลยค่ะ :กอด1:

ธามน่านเป็นคู่รักที่คิดถึงคนอื่นเสมอ  คิดช่วยเหลือคนอื่นแม้กระทั่งยามที่กำลังจะมีความสุขด้วยกัน อิอิ
ยกให้เป็นคู่รักที่แสนดีที่หนึ่งเลยค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ปลายทางยังคิดถึง 09-09-2559 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 03-03-2018 15:06:41
คุณคนเขียนช่างเป็นคนที่ใช้สำนวนบรรยายสถานที่ให้เรานึกภาพตามได้ไม่ยากเลยค่ะ
และทำให้เราอยากไปเห็นสถานที่นั้นๆด้วยตาของตัวเราเองสักครั้ง
เรื่องนี้เรารู้สึกว่าอารมณ์เรื่องหวานๆกว่าทุกเรื่องที่เคยอ่านมานะคะ
ในหลายๆเรื่องของคุณสถานที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือเพราะความชอบหรือเปล่าคะเพราะเราก็ชอบเหมือนกันค่ะชอบภูเขาต้นไม้ต้นใหญ่ใบสีเขียวชอบอากาศหนาวที่สุดเลยค่ะ
สำหรับประโยคเด็ด(จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย)ได้อ่านเมื่อไหร่อดหัวเราะดังๆไม่ได้ทุกทีไป
ธามกับน่านเป็นคู่ที่น่ารักมากๆเลยค่ะ ชอบเวลาที่สองคนนี้คุยกันอ่านไปยิ้มไปตลอดเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้นะคะ  แล้วจะติดตามผลงานเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-03-2018 21:44:19
สวัสดีค่ะ แวะมาแจ้งข่าวการเล่มเรื่องสั้นชุด "ในความคิดถึง" ค่ะ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่เพจ สนพ. Hermit Books นะคะ
https://www.facebook.com/HermitBooks/posts/1575913629123501 (https://www.facebook.com/HermitBooks/posts/1575913629123501)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-07-2018 01:39:47
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123: :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 18-07-2019 11:43:17
ขอบคุณมากๆค่ะ เรื่องน่ารักมากๆเลย
 :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-10-2020 12:49:20
ละมุนอบอุ่นมาก จากส่งโปสการ์ดผิดเลยได้หนุ่มนายช่างมาครองใจ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 09-08-2021 21:22:06
 :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: somuchforfunalot ที่ 10-08-2021 12:43:56
ขอบคุณมากนะคะเรื่องน่ารักมากเลย  :katai2-1: :impress3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ปลายทางคิดถึง (จบแล้ว) แจ้งข่าวรวมเล่ม (07-03-2561)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueWizard ที่ 26-10-2021 22:06:24
ชอบๆ สนุกดีครับ เรื่อยๆไม่หวือหวา ชิลๆสบายๆดีครับ  :impress2:

รอเรื่องหน้านะคร้าบบบบ