-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
-
เข้ามารอจ้า..^^
-
ปลายทางคิดถึง
เรื่องย่อ : ถ้าโลกของผมเป็นโลกเบี้ยว ๆ ที่หลอมรวมขึ้นจากความเร่งรีบดิ้นรนไขว่คว้าแล้วละก็ โลกของเขาคงเป็นโลกที่เข็มวินาทีเดินช้าและท้องฟ้าก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่ากำลังขาจะไปถึง และถ้าหากภาพการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาเป็นภาพชินตาที่ผมเห็นทุกเช้า ในโลกที่แสนเงียบสงบของเขา เขาและใคร ๆ กลับตื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คนอื่น เป็นโลกคนละใบ…แต่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยความคิดถึง
เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)
สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3072425#msg3072425)
ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3073073#msg3073073)
ส่งคืนเจ้าของ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3076184#msg3076184)
ปัจฉิมลิขิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3080254#msg3080254)
ตอนจบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3082320#msg3082320)
ตอนพิเศษ
ตอนพิเศษ (1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3087956#msg3087956)
ตอนพิเศษ (2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3098675#msg3098675)
ตอนพิเศษ (3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47044.msg3144898#msg3144898)
บทนำ
คุณเคยยิ้มให้โปสการ์ดหนึ่งใบที่นอนเงียบ ๆ อยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านบ้างไหมครับ?
ผมเคยคิดว่าคำถามนี้มันฟังดูเพ้อฝันพิลึก จนกระทั่ง...
(http://upic.me/i/6e/wlqnn.png)
“รับจดหมายด้วยครับ”
ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นก็คือพนักงานไปรษณีย์กำลังยืนรออยู่ที่นอกรั้ว ร่างสูงจัดการวางหนังสือลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเซ็นรับเอกสารสำคัญและพัสดุจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามา
ธามนั่งลงที่เดิมวางกล่องกระดาษใบย่อมลง แล้วจึงพลิกซองจดหมายในมือเพื่อดูว่ามันคือเอกสารอะไรบ้าง พลันตาคมก็สะดุดเข้ากับโปสการ์ดใบเล็ก ภาพบนโปสการ์ดคือภาพถ่ายตอนกลางคืนของสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคย มองเห็นเนินเขาสลับซับซ้อน ที่เห็นเป็นแนวยาวบนเนินนั่นก็คงจะเป็นโดมพลาสติกที่ใช้คลุมหน้าแปลงปลูกพืชหรือดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ภายในโดมเปิดไฟสีเหลืองนวลยาวตลอดแนว มองจากที่ไกล ๆ แล้วคล้ายกับดวงดาวบนผืนดินไม่มีผิด ชายหนุ่มยังคงจ้องกระดาษในมือไม่วางตาในขณะที่ลมหายใจร้อนถูกผ่อนผ่านปลายจมูกครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยหัวใจล่องลอยไปกับภาพที่เห็นจนไม่ทันได้ใส่ใจคนที่เดินถือตะกร้าผลไม้มาหยุดตรงหน้า
“ส่งมาอีกแล้วเหรอลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นขณะนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม
ธามเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามที่ดูว่าจะไม่ได้จริงจังกับคำตอบของเขานัก เห็นได้จากเมื่อถามแล้วอีกฝ่ายก็จัดการวางตะกร้าบนโต๊ะก่อนแยกจานและมีดที่ใส่ไว้ด้วยกันออกจากตะกร้า จากนั้นจึงเอื้อมหยิบมะม่วงลูกโตขึ้นมาปอกเงียบ ๆ
“ครับแม่” ลูกชายตอบในขณะที่ผู้เป็นแม่แทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยด้วยซ้ำ ทำเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ กระนั้นธามก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ระบายอยู่บนใบหน้าของแม่ได้อย่างชัดเจน
...
ประตูห้องนอนถูกปิดลงก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนนุ่ม พลิกอ่านข้อความที่เขียนไว้ด้านหลังโปสการ์ด
หวัดดี แกสบายดีนะ ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เดือนหนึ่งแล้วละ อยากคุยกับแกว่ะ ติดต่อแกไม่ได้เลย
แต่ก็หวังว่าแกจะได้รับโปสการ์ดของฉันและชอบมันนะ แล้วจะเขียนมาอีก คิดถึงแกว่ะ
น่าน
ปล. โทร.หาฉันด้วยล่ะ
นัยน์ตาสีเข้มไล่อ่านจนกระทั่งถึงอักษรตัวสุดท้าย มือคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพลางกดตัวเลขตามที่เจ้าของโปสการ์ดได้กำชับไว้ แต่แทนที่จะกดโทร.ออกกลับจ้องมองตัวเลขสิบตัวที่เรียงกันบนหน้าจอดิจิทัลอยู่อย่างนั้น คิ้วหนามุ่นเข้าหากันราวกับกำลังเจอโจทย์สมการที่ไม่สามารถแก้ได้ ในที่สุดธามก็วางมันลงที่ข้างตัวพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักหยิบโปสการ์ด 4-5 ใบมาวางรวมกับใบที่เพิ่งได้มาใหม่ตรงหน้า ซึ่งทุกใบลงชื่อคนส่งคนเดิมและมีรอยประทับตราที่แสดงให้รู้ว่ามาจากต้นทางเดียวกัน...
...
สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย วันนี้เราเรื่องสั้นมาฝากก่อน เพราะยังไม่มีเวลาเขียนเรื่องยาวค่ะ
มาคิดถึงไปพร้อม ๆ กันนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
-
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่านะ มีบอกคิดถึงกันด้วย
ปอลอ... อ่านเนื้อความในโปสการ์ดแล้วมันเหมือน สาวน้อย ส่องให้เพื่อนหนุ่มเลยค่ะ เราชอบเรียกเพื่อนชายว่า 'แก'
-
ธามกับน่าน ต้องมีความหลังอะไรกันซักอย่าง
มารอติดตามด้วยคนค่ะ
-
รอติดตามค่า
-
เหมือนกับธามงอนที่น่านต้องย้ายไปอยู่ไกลห่างกันเลยนะคะเนี่ย :z1:
-
รอๆ จะสั้นก็รอ
-
ไม่รู้ไปคุ้นชื่อธามมาจากไหน
นางเคยมีชื่อไปโผล่ในเรื่องก่อนๆมั้ยคะ
(ชอบรูปตรงลิ้งค์แต่ละเรื่อง น่ารักกกกก)
สงสารน่านนะ อุตส่าห์พยายามเรียกร้องความสนใจ
แต่โดน ignore ซะงั้น
รอติดตามตอนต่อไป อยากรู้เหตุผลของธาม
คุณแม่ก็รู้เห็นเป็นใจซะด้วยนะ มันต้องมีๆ
ปูเสื่อ~~~
-
ทำไมธามไม่ติดต่อกลับไปนะ
ทั้งที่ดูแล้วน่าจะคิดถึงน่านเหมือนกัน
รอติดตามนะคะ
:mew1: :L2:
-
เข้ามาปูเสื่อรอ
-
มานั่งรอธามกับน่านด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ
ทำไมแค่โปสการ์ดก็ทำให้รู้สึกถึงความละมุนแล้ว
ต้นทางของโปสการ์ดนั่นมาจากไหนกันน้า?
นี่ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากแพ็คกระเป๋าตามไปแล้วล่ะค่ะ 555555
-
น้ำตาจะไหลเมื่อเฟสบุ๊คแจ้งเตือนเพจ ถธปทฟ
นี่มันเรื่อง love postcard รึเปล่าคะเนี่ย 5555
น่านส่งโปสการ์ดมาเต๊าะธาม อุอิ อุอิ
ลุ้นๆ อัพต่อน้าาา
-
คนหนึ่งก็มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง555
ส่วนอีกคนก็ใจร้าย รับรู้ถึงความคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียวเนอะ555
รอเหตุผลว่าทำไมธามถึงทำแบบนี้ รอตอนต่อไปค่ะ
ชอบชื่อเรื่องจังค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ. จะเรื่องสั้นก็ทำให้หายคิดถึงผลงานของนักเขียนนะคะ :L2:
-
ความคิดถึงที่ไม่ได้รับการตอบกลับ
เชียงใหม่
บ้านไม้สองชั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในหลืบซอยของถนนสีหราชถูกปรับปรุงใหม่จนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน สีขาวสะอาดตาตัดกับสีเขียวของมวลหมู่แมกไม้ให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแก่บรรดานักท่องเที่ยวที่แวะเวียนกันเข้ามาหาเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือหาของหวานรับประทานให้หนักท้อง เติมพลังสำหรับการเดินทางที่จะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
หลายคนเลือกนั่งโต๊ะจัดไว้ที่ลานหน้าบ้านซึ่งปูด้วยอิฐสีน้ำตาลแดง ในขณะที่บางคนเลือกนั่งที่บริเวณใต้ถุนของเรือนไม้หลังใหญ่ที่ด้านหนึ่งเป็นเคาท์เตอร์สำหรับผสมเครื่องดื่มติดกันเป็นตู้สำหรับวางเค้กที่เจ้าของร้านลงมือทำด้วยตัวเอง ประตูและบานหน้าต่างกระจกที่รายล้อมรอบตัวบ้านถูกพับเก็บเปิดให้ลมเข้า ดังนั้นไม่ว่าใครจะเลือกนั่งตรงไหนให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่ต่างกัน
วันนี้ลูกค้ามีจำนวนค่อนข้างหนาตาดังนั้น ‘เหนือน่าน’ หลานชายของ ‘อรินทร์’ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านจึงปักหลักยึดเอาโต๊ะญี่ปุ่นที่ริมระเบียงไม้ระแนงเป็นที่นั่งทำงานและอ่านหนังสือ ชายหนุ่มทอดตามองปลาคาร์ฟสีสดที่ว่ายเวียนอยู่ในสระน้ำซึ่งขั้นกลางแบ่งอาณาเขตระหว่างชายคาบ้านกับส่วนของสวนออกจากกัน ปล่อยใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อยกระทั่งมาสะดุ้งเมื่อเสียงโมบายแขวนหน้าต่างพร้อมใจกันดังขึ้นราวกับวงประสานเสียงยามต้องลมเย็นที่พัดผ่านมา
ไม่เท่านั้นกระแสลมยังทำให้หน้ากระดาษของหนังสือที่เปิดค้างไว้พลิกตีกันจนเกิดเสียงดังและเกือบจะทำให้โปสการ์ดทำมือ 2-3 ใบที่เสียบอยู่ระหว่างหน้ากระดาษปลิวไปตามแรงลม มือขาวรีบปิดหนังสือลงรอกระทั่งสายลมอ่อนกำลังจึงได้หยิบโปสการ์ดที่ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อเขียนถึงใครบางคนออกมาวางตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มจรดปลายปากกาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านตัวอักษร และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเขียนคำนี้เมื่อสุดพื้นที่ของกระดาษ
คิดถึงแก
เจ้าของโปสการ์ดวางปากกาลง ในใจได้แต่หวังว่าโปสการ์ดใบนี้จะนำพาเอาความคิดถึงของเขาส่งไปถึงคนที่ปลายทาง และในวันหนึ่งหากคนคนนั้นเกิดความรู้สึกที่คล้ายกัน เขาก็คงจะได้รับข่าวคราวหรือถ้อยคำแห่งความคิดถึงนั้นส่งคืนกลับมาบ้าง
“ทำอะไรจ๊ะหลานรัก” หม้ายสาวสี่สิบกะรัตเอ่ยขึ้นพลางถอดผ้ากันเปื้อนนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสวยเฉี่ยวที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาจ้องมองชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความลงในกระดาษสีขาวขนาดเท่ากับรูปถ่าย
“น่านเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตอบ
“เพื่อนหรือแฟนจ๊ะ”
“เพื่อนครับ เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ แยกย้ายกันไปตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่นั้นน่านก็ไม่ได้ข่าวมันอีกเลย นี่เพิ่งมาค้นเจอหนังสือรุ่นในห้องเก็บของ ก็เลยเขียนโปสการ์ดไปหามันให้โทร.กลับ แต่ก็ยังไม่เห็นโทร.มาสักที เบอร์ที่เคยมีก็ติดต่อไม่ได้แล้ว”
“อืม...น้าว่าเขาอาจจะงานยุ่งก็ได้นะ ดูอย่างหลานชายคนนี้ของน้าสิ พอเข้าวัยทำงานก็ทำแต่งานเป็นบ้าเป็นหลัง วัยกำลังจะคิดสร้างครอบครัวก็แบบนี้แหละ”
“นี่น้ารินหลอกว่าน่านหรือเปล่าเนี่ย” ชายหนุ่มเกาหัวแกรกในขณะที่ผู้เป็นน้าได้แต่ยิ้ม แทนที่เธอจะสนใจตอบคำถามนั้นกลับเปลี่ยนมาสนใจภาพถ่ายในกล่องกระดาษแทน
“ไหน...ขอน้าดูซิ” พูดพลางคุณน้าคนสวยก็หยิบภาพดอกไม้ 2-3 ใบขึ้นมาพลิกดู “นี่มันภาพถ่ายนี่นา”
“ครับ น่านเอามาทำเป็นโปสการ์ด น้ารินว่าสวยไหม”
“น่ารักดีจ้ะ ว่าแต่รูปพวกนี้น่านไปเอามาจากไหน”
“น่านถ่ายไว้ตอนที่อยู่บนสถานีเกษตร บางรูปก็ถ่ายตอนที่ตามหัวหน้าเข้าไปในป่า ลงจากดอยทีก็เอาไปเข้าร้านอัดออกมาเป็นรูปที ติดกระดาษที่ด้านหลังแค่นี้ก็กลายเป็นโปสการ์ดแล้ว”
อรินทร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ไม่คิดว่าหนุ่มนักวิจัยที่วัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าตำราและข้อมูลจะมีฝีไม้ลายมือในการถ่ายภาพกับเขาด้วย “เก่งเหมือนกันนะเรา ทำเยอะ ๆ สิ แล้วเอามาวางขายร้านน้า”
“จะดีเหรอน้า น่านว่าคงไม่มีใครซื้อหรอก” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก นั่นเพราะไม่คิดว่าโปสการ์ดภาพถ่ายฝีมือตากล้องมือสมัครเล่นจะโดดเด่นโดนใจจนทำให้ใครสามารถควักกระเป๋าจ่ายได้
“ดีสิ ลองดู ไม่ลองก็ไม่รู้ ทำสนุก ๆ อย่าไปคิดมาก เริ่มแรกเราก็ทำไม่ต้องมากนัก ถ้าขายไม่ได้ก็เอาไว้ส่งเป็น ส.ค.ส. ปีใหม่ เดี๋ยวน้าเหมาเอง เพื่อนน้าเยอะ ตกลงไหม”
เหนือน่านถอนใจยิ้ม ๆ เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจทนต่อคำรบเร้าของน้าแท้ ๆ ได้ ในที่สุดเขาก็ตอบตกลงรับขอเสนอของคนเจ้าความคิดอย่างน้ารินที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูราบรื่นง่ายดายไปเสียหมด ร้านกาแฟนี่ก็เหมือนกัน ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าทำเล่น ๆ เป็นงานอดิเรกแต่กิจการก็ไปได้ดีจนเกือบจะได้ทุนคืนทั้งที่เพิ่งเปิดมาไม่ถึงปี ลองดูสักตั้งอย่างที่น้ารินว่าจะเป็นไรไป
...
แก...
แกคงยุ่ง ๆ สินะถึงไม่ติดต่อกลับมาเลย แต่ไม่เป็นไร
เออนี่...เมื่อวันก่อนก่อนออกจากป่าลุงคนนำทางขอพรจากต้นไม้ต้นนี้ให้คณะของพวกเรา เป็นต้นใหม่ที่ใหญ่สุดในป่าแถบนี้
ลุงแกบอกว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หน้าหนาวปีนี้แกมาเที่ยวเชียงใหม่สิฉันจะพาแกมาที่นี่
แล้วก็จะพาแกไปกินของอร่อย ๆ รับรองว่าจะขุนแกให้อ้วนเลย ฉันจะรอแกนะ
คิดถึงแก
น่าน
ธามเปิดสมุดบันทึกหยิบโปสการ์ดใบล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อวันก่อนออกมาอ่าน มันเป็นโปสการ์ดที่ประทับตราต้นทางคือจังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่เล็กเขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ปิดท้ายด้วยคำว่าคิดถึงและลงชื่อผู้ส่งคนเดิม
“น่าน” จู่ ๆ ริมฝีปากอิ่มก็เรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตาคมยังคงไล่อ่านข้อความสั้น ๆ ในกระดาษใบน้อยซ้ำไปซ้ำมาราวกับมันประกอบขึ้นจากตัวอักษรเป็นล้าน ๆ ตัว ที่ใช้เวลานานเท่าไรก็อ่านไม่จบสักที
ธามพลิกอีกด้านหนึ่งขึ้นดู มันเป็นภาพที่เขารู้สึกชอบที่สุดตั้งแต่โปสการ์ดใบแรกถูกส่งมาเมื่อ 3 เดือนก่อน ภาพของต้นไม้ที่ยืนต้นเด่นตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณ ลำต้นขนาดหลายคนโอบนั้นปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดเห็นแล้วชวนให้นึกถึงอากาศเย็น ๆ ยามสายลมพัดพาเอาเมฆฝนเคลื่อนหายไปจากท้องฟ้า
“ไอ้ธาม แกเป็นอะไรวะ ฉันเห็นแกนั่งจ้องโปสการ์ดใบนี้นานแล้วนะ” พูดจบก็นั่งลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นยากจะซ่อนเร้นเสียเหลือเกิน “เขาเขียนอะไรมายืดยาวนักวะถึงอ่านไม่จบสักที”
คนถูกถามรีบสอบโปสการ์ดเจ้าปัญหาลงในสมุดบันทึกก่อนจะปรายตามองอีกฝ่ายในขณะที่มือสองข้างยังคงยึดสมุดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะแน่น “ก็ไม่ได้เขียนอะไรยืดยาวหรอก เวลาแกเขียนโปสการ์ดแกเขียนอะไรบ้าง เขาก็เขียนแบบนั้นแหละ” ธามพูดตัดรำคาญ
“เออ ๆ ไม่อยากรู้ก็ได้วะ เตรียมตัวไปประชุมดีกว่า” ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะคว้าแฟ้มเอกสารเดินออกไปจากห้อง
ธามมองตามยักษ์ปักหลั่นอดีตนักรักบี้มหาวิทยาลัยตัวแทนคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกไปพลางทอดถอนใจ มือที่เกาะสมุดบันทึกค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่ใช้ปากกาคั่นไว้ นัยน์สีดำสนิทจ้องเขม็งที่ตัวเลขสิบหลักที่เขียนด้วยลายมือบนบรรทัดแรกของหน้ากระดาษ มันคือเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคนที่ให้ไว้ในโปสการ์ดใบหนึ่ง
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลมือขึ้นมาจากนั้นจึงสัมผัสปลายนิ้วลงบนหน้าจอตามตัวเลขที่ปรากฏในกระดาษจนครบ ตัดสินใจกดโทร.ออกพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู นอกจากจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังโครมครามจนแทบจะหลุดออกจากอกแล้วยังได้ยินเสียง...
‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่...ท่า...น เรี...ยก’
ไม่ต้องรอฟังให้จบวิศวกรหนุ่มก็ตัดสายทิ้ง...
...
ขอบคุณสำหรับการติดตามแล้วพบกันในตอนต่อไปนะคะ ^^
-
รอติดตามค่ะ ว่าแต่น่านอายุ สี่สิบกว่าแล้วเหรอคะ
-
ลงชื่อติดตามค่ะ ชอบนิยายคุณท้องฟ้า ฟิลลิ่งกู๊ดมากๆ :mew1:
-
ทำไมสั้นนนน กรี๊ดดดดดดดดด
ฟีลกู้ดมากกกกกกกกก
อ่านแล้วลุ้นตาม อยากให้ธามโทรหาน่านสักที
พอโทรจริงๆ แล้วก็ดันไม่ติดซะงั้น :hao5:
เมื่อไหร่ความคิดถึงของน่านจะได้รับการตอบกลับบ้างน้าาา
นี่ขนาดไม่ใช่คนรอเองยังใจจะขาดแล้วค่ะ ฮาาาาาา
-
กรี๊ดดด~ ไม่ใช่ว่าน่านเขียนเบอร์โทรศัพท์ผิดมาให้นะค้าา อืม~ แต่ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้น่านอาจจะกำลังเข้าไปในป่าแล้วอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณก็ได้เนอะ ธามอย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อนน้าา :sad4:
-
น่าน แกไปไหน เข้าป่าอีกแล้วใช่ไหม. ธามเขาโทรหาแกแล้วนะ
เลยไม่ได้รับการตอบกลับกันสักทีทั้งสองคนเลย รู้ไหมคนอ่านลุ้นมาก555
เข้าป่าไปคราวนั้นน่านคงขอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้ธามโทรมาหาตนแน่ๆ555
เข้าป่าคราวนี้ก็ไปขอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขอให้ติดต่อหากันได้ด้วยนะ
ลุ้นตอนต่อไปค่ะ ว่าอดีตที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นถึงไม่ได้ติดต่อกัน
ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
-
น่าสนใจอีกแล้วววว
-
ส่งคืนเจ้าของ
“อะไรวะ ยังไม่ทันจะไปไหนก็ไม่มีสัญญาณเสียแล้ว”
เสียงบ่นงึมงำตามด้วยเสียงทอดถอนใจที่ดังมาจากกลุ่มนักศึกษาทำให้ชายหนุ่มในชุดเตรียมพร้อมสำหรับเดินป่าต้องหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูบ้างซึ่งสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้ต่างกันเลย เหนือน่านเก็บโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้ประโยชน์ของมันเหลือเพียงแค่เป็นนาฬิกาบอกเวลาลงในกระเป๋า จัดการเปิดเป้สะพายหลังควานหาเสื้อกันฝนออกมาแจกให้ทุกคน แม้ฝนที่ตกลงมาจะขาดเม็ดไปตั้งแต่เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นป่าดิบเขาซึ่งมีความชื้นค่อนข้างสูงหากไม่ป้องกันเอาไว้บ้างกว่าจะกลับออกมาก็คงไม่พ้นเปียกม่อลอกม่อแลกเป็นลูกหมาตกน้ำไปตาม ๆ กันแน่
“ขอต้อนรับทุกคนสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาจารย์สิทธิชัยท่านกรุณาให้ผมได้มีโอกาสมาพบกับพวกคุณทุกคน ผมชื่อปณิธิ เรียกพี่ธิก็ได้ ส่วนด้านหลังนั่นคงไม่ต้องแนะนำ น่าจะรู้จักกันแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาไปรับพวกคุณในเมือง” ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้านักวิจัยแห่งสถานีเกษตรกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางมองไปยังร่างสูงที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องร่วมสถาบันที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ทั้งผมและน่าน เราต่างก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์สิทธิชัยเหมือนกับพวกคุณ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากหรอก” ปณิธิรอกระทั่งนักศึกษาทุกคนสวมเสื้อกันฝนเรียบร้อยจึงกล่าวต่อ “สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานนั้นเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีระยะทางเพียง 3 กิโลเมตร มีจุดศึกษาธรรมชาติทั้งหมด 21 จุด อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2000 เมตร มีเมฆปกคลุมเกือบทั้งปีจึงเรียกว่าป่าเมฆ การเดินในกิ่วแม่ปานนั้นเราจะต้องเดินช้า ๆ เพราะอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเบาบาง มันจะทำให้เราเหนื่อยง่าย เราจะหยุดพักกันเป็นระยะ ๆ และผู้ที่จะมาเป็นคนนำทางและเล่าเรื่องป่าให้เราฟังในวันนี้ก็คือลุงริงโก๊ะ”
หนุ่มฉกรรจ์ 4-5 คนพร้อมใจกันยกมือไหว้ชายชราที่กำลังยืนยิ้มฟันหลอ เส้นผมสีดอกเลาที่เหลืออยู่เพียงไม่มากบนศีรษะถูกบดบังด้วยหมอกตาข่าย ชุดสำหรับเดินป่าก็เป็นเพียงกางเกงยีนขาดสวมทับด้วยเสื้อวอร์มผ้าร่มสกรีนยี่ห้อเครื่องดื่มชูกำลัง รองเท้าผ้าใบที่สวมก็น่าจะเก่าพอ ๆ กับเป้สะพายหลัง เรียกได้ว่าน่าจะเก่าไปทั้งตัว ดูแล้วไม่เจริญตาเลยสักนิด
“จะไหวเหรอวะ ไม่รู้ว่าใครที่ต้องดูแลใครกันแน่” คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกล่าวพลางยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะมองไปยังคนนำทาง จากนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ดังระงมขึ้นทันที
“ไหวสิ” เหนือน่านตบลงเบา ๆ ที่บ่าของคนพูด “ลุงแกอาจจะให้ความรู้เชิงวิชาการไม่ได้เท่ากับตำราที่พวกนายเรียน แต่ถ้าเป็นเรื่องการใช้ชีวิตหรือเรื่องแนวความคิดที่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมีต่อป่าแล้วละก็รับรองว่ามีล้นเลยละ ป่าในความหมายของคุณลุงริงโก๊ะมันยิ่งใหญ่กว่าในตำรามาก พวกนายลองใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงนี้เรียนรู้ไปกับแกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเดินไปช่วยผู้อาวุโสที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เลือกไม้ค้ำยันอยู่ที่ปากทาง
เจ้าของใบหน้าหยาบกร้านคล้ามแดดยิ้มให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาตามประสาคนคุ้นเคยกัน
“ไงน่าน เดือนนี้เดินกิ่วไปสองครั้งแล้วไม่ใช่รึ ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
คนถูกถามส่ายหัวดิก “ก็ลุงนั่นแหละ ทำให้ผมหลงรักที่นี่”
“แล้วทำไมคราวนี้ไม่เป็นไกด์เสียเองล่ะ เดินจนทะลุหมดแล้วไม่ใช่รึ”
“ให้ลุงนำนั่นแหละดีแล้วครับ น้อง ๆ เขาจะได้เรียนรู้อะไรที่ในห้องเรียนไม่เคยสอน เผื่อจะหลงรักที่นี่เหมือนผม”
เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ปณิธิจึงให้เหล่านักศึกษาเดินไปรับไม้ค้ำยันที่คุณลุงคนนำทางเตรียมไว้ให้ จากนั้นทั้งหมดก็พากันไปยืนออกันที่ปากทาง รอกระทั่งตัวแทนกลุ่มลงชื่อในสมุดลงเวลาเข้าออกเรียบร้อย การเดินทางสำรวจป่าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดดอยสูงสุดบนเทือกเขาถนนธงชัยก็เริ่มต้นขึ้น
เหนือน่านที่เดินรั้งท้ายขบวนทอดตามองกลุ่มของนักศึกษาที่ต่างคนต่างก็กำลังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแวดล้อมที่แปลกไปจากในเมืองที่พวกเขาจากมา เห็นแล้วให้นึกถึงตนเองเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ ความรู้สึกของการได้ออกภาคสนามเป็นครั้งแรกของนักศึกษาสาขาวิชาพฤกษศาสตร์ในตอนนั้นก็คงไม่ได้ต่างจากความรู้สึกของพวกเด็ก ๆ ในขณะนี้
ยิ่งระยะทางเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ความหนาทึบของป่าไม้ก็มากขึ้นเท่านั้น ลุงริงโก๊ะเตือนให้ทุกคนระมัดระวังในทุกย่างก้าว เพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนนอกจากจะทำให้อากาศเย็นเฉียบแล้ว พื้นดินที่เดินไปก็ค่อนข้างเฉอะแฉะ ดังนั้นไม้ค้ำยันที่ดูเหมือนจะเป็นภาระในตอนแรกจึงกลายเป็นอาวุธคู่กายในยามยากไปโดยปริยาย ลุงริงโก๊ะพาเหล่านักสำรวจมือใหม่หยุดพักกันที่บริเวณน้ำตกเป็นจุดแรกก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของป่าใหญ่ให้คนหนุ่มได้ฟัง
“แถวนี้มีเสือไหมครับลุง” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาถามขึ้น
“ยังไม่มีใครเคยเจอนะ แต่ถ้าเป็นหมีละก็มี เพราะมีเจ้าหน้าที่เคยเจอรอยเท้าของมัน แต่นานแล้วละ อยู่บนต้นไม้โน่น” พูดจบก็ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งปรากฏรอยเล็บขูดเป็นร่องลึกให้เห็นอย่างชัดเจน
“ม...หมีเลยเหรอลุง” คนเดิมมองซ้ายมองขวาทำท่าขนพองสยองเกล้าพาให้คนอื่น ๆ หวาดระแวงไปด้วย
“อย่ากลัวเลยหนุ่ม คนน่ากลัวกว่าหมีเยอะ เพราะคนกินป่าแถมยังฆ่าหมีได้” ผู้อาวุโสยิ้มก่อนจะเดินต่อ
ลุงริงโก๊ะเดินนำไปยังสะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามธารน้ำ ชายชราหันมายิ้มโชว์ฟันก่อนจะเกาะเถาวัลย์หย่อนตัวลงไปตักน้ำในธารน้ำเล็ก ๆใต้สะพาน
“น้ำนี้ดื่มได้นะ ลุงดื่มประจำ เย็นชื่นใจนะ ไม่ต้องแช่ตู้เย็น” พูดแล้วแกก็ส่งขวดน้ำขึ้นมาให้ นักศึกษาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรับขวดน้ำนั้นไว้ก่อนจะส่งให้เพื่อนถือ หันไปยื่นมือให้ลุงจับระหว่างปีนกลับขึ้นมาข้างบนสะพานอีกครั้ง
“แบ่ง ๆ กันนะ มาเดินป่าแบบนี้เราต้องแบ่งปันกันช่วยเหลือกัน ลุงไม่มีปริญญาแบบน้อง ๆ มีแต่ปริญญาจากป่า เวลาใครมาเดินป่ากับลุง ลุงก็จะสอนเขาแบบนี้ ถึงเราจะไม่สวยไม่หล่อแต่ถ้าเรารู้จักแบ่งปัน รู้จักยิ้ม รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ใคร ๆ ก็จะเอ็นดูเรา”
ฟังลุงริงโก๊ะพูดจบคนที่ดื่มน้ำเรียบร้อยก็ส่งต่อขวดน้ำให้เพื่อน ๆ ได้ดื่มจนครบ ทุกคนต่างยอมรับว่ามันเย็นอย่างที่คุณลุงว่าจริง ๆ เย็น...และชื่นใจแบบที่ตู้เย็นที่บ้านก็ยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะอุณภูมิในป่าหรือเพราะรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของคุณครูแห่งป่าใหญ่ผู้นี้กันแน่
หลังจากพักพอให้หายเหนื่อยคณะนักศึกษาก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดพักถัดไป คนนำทางพาพวกเขาเดินไต่ระดับความสูงไปตามทางลาดชัน บางช่วงเป็นขั้นบันไดสลับกับโขดหินปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำที่คอยจะบั่นทอนกำลังขา กระนั้นแต่ละคนก็ยังก้าวอย่างมั่นคงตามที่สติบัญชาการ มือแกร่งกำไม้ค้ำยันแน่นในขณะที่สายตาก็สอดส่ายสำรวจไปรอบ ๆ ตามลักษณะนิสัยของนักวิทยาศาสตร์ ชี้ชวนกันดูพืชพรรณแปลก ๆ ที่ก่อนหน้านี้เห็นแต่ในหนังสือเรียนเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นของจริงก็คราวนี้
“หนุ่มรู้ไหมว่าลูกไม้พวกนี้คือลูกอะไร” ชายชราเอ่ยขึ้นขณะก้มลงเก็บบางสิ่งที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้นดินในขณะที่บรรดานักศึกษาก็พากันล้อมวงเข้ามาจ้องมองลูกไม้เปลือกแข็งในมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างสนใจ บ้างก็เดาไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งใครคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวต้องร้องขอให้ช่วยเฉลย
“เขาเรียกว่าลูกอะรูมิไร้” พูดจบผู้อาวุโสก็ยิงฟันหลอ มองดูเด็ก ๆ ที่พากันยกสมุดขึ้นสเก็ตซ์ภาพของลูกไม้ชนิดดังกล่าว “หรืออีกชื่อก็คือลูกอะไรไม่รู้”
“อะรูมิไร้ อะ...ไร ไม่ รู้ มันอย่างนี้นี่เอง” นักพฤกษศาสตร์ในอนาคตถึงกับครางในลำคอเมื่อรู้ว่าถูกหลอกก็พากันหัวเราะเสียยกใหญ่
“โธ่ลุง ทำกันได้ ผมกำลังจะจดเลย” คนหนึ่งเกาหัวแก้เก้อ
“ถ้าจะจดต้องให้หัวหน้าอธิบาย” กล่าวพลางส่งลูกไม้ในมือให้ปณิธิเพื่อยกหน้าที่ในการให้ความรู้ทางวิชาการแก่เขา
“อันนี้ แล้วก็ที่หล่นกระจายอยู่ทั่วไปคือผลของไม้ก่อ เป็นไม้ยืนต้นในกลุ่มโอ๊ก ต้นก่อจัดว่าเป็นไม้เด่นที่ใช้บ่งชี้ความเป็นสังคมพืชป่าดิบเขา ในประเทศเรามีอยู่ 4 สกุล ซึ่งบริเวณกิ่วแม่ปานนี้ก็พบได้ทั้ง 4 สกุล”
ลุงริงโก๊ะรอกระทั่งเด็ก ๆ จดบันทึกและถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อยจึงพาทุกคนออกเดินต่อ แวะพักตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าต้นไม้เริ่มเตี้ยลงและพอจะเห็นท้องฟ้าอยู่บ้าง จึงบอกให้เหล่านักศึกษาธรรมชาติรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้สวรรค์บนดินแล้ว และเมื่อเดินพ้นจากแนวป่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ยิ่งตอกย้ำว่าคำพูดลุงริงโก๊ะไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย
มันคือสวรรค์บนดินจริง ๆ
โชคดีที่ฟ้าเปิดทุกคนจึงมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดตัดกับสีเขียวของพันธุ์ไม้ในทุ่งหญ้าเมืองหนาว ซึ่งปณิธิอธิบายถึงลักษณะพืชพรรณที่พบในบริเวณนี้ว่าเป็นไม้ล้มลุกปะปนกับไม้พุ่ม โดยตามจริงแล้วจะพบได้ในเขตหนาวที่อยู่สูงจากน้ำทะลกว่า 4000 เมตร จะเรียกว่าทุ่งหญ้าอัลไพน์ แต่สำหรับบนดอยอินทนนท์นี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์พิเศษ เนื่องจากมีความหนาวเย็นเหมาะต่อการเจริญเติบโตของไม้ล้มลุกและไม้พุ่มเล็กแบบเดียวที่พบได้บนเทือกเขาหิมาลัย ทุ่งหญ้าบริเวณนี้จึงถูกเรียกว่าทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์
หลังจากหยุดให้ถ่ายรูปกันจนชุ่มปอดแล้ว ลุงริงโก๊ะก็ไล่ต้อนเหล่าลูกปูกลับเข้าแถวเพื่อเดินทางต่อ ซึ่งถัดจากบริเวณทุ่งหญ้านี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิวที่ทางอุทยานทำเป็นระเบียงไม้ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมทัศนียภาพของเนินเขาสลับซับซ้อนซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก เด็กหนุ่มนักศึกษาธรรมชาติจัดการวางสัมภาระก่อนวิ่งลงไปยังระเบียงไม้ที่อยู่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่ง ต่างคนต่างหยิบกทั้งกล้องและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเพื่อนำกลับอวดคนที่ยังไม่มีโอกาสได้มาเห็นภาพที่งดงามนี้
เหนือน่านถอดเสื้อกันฝนออกผึ่งก่อนจะเดินลงมายังจุดที่เด็ก ๆ กำลังเต๊ะท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ขายาวก้าวเลี่ยงไปอีกทางกระทั่งมาหยุดที่ขอบระเบียงไม้ด้านที่สามารถมองเห็นเส้นทางบนสันเขาไกลออกไป ชายหนุ่มพลางทอดสายตามองทะเลหมอกแสนกว้างใหญ่เบื้องหน้า ปล่อยให้สายลมพัดกระทบกับผิวกายหอบเอาความเหนื่อยล้าออกไปจากร่างได้สักครู่จึงหยิบกล้องคอมแพคขนาดเหมาะมือขึ้นมาลั่นชัตเตอร์บันทึกภาพผืนเมฆที่แผ่คลุมไปสุดลูกหูลูกตา
“สวยสุด ๆ ไปเลยครับพี่น่าน” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพบ้าง
“เป็นยังไง หายเหนื่อยเลยไหมล่ะ”
“หายเป็นปลิดทิ้งเลยพี่ ไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีป่าสวย ๆ แบบนี้ รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเมฆเลย”
คนฟังพยักหน้าพลางก้มลงดูภาพที่ถ่ายได้จากจอ LCD “ถ้าช่วงไหนไม่มีหมอก ก็จะมองเห็นอำเภอแม่แจ่มอยู่ด้านล่าง สวยไปอีกแบบ”
“พี่ขึ้นมาบนนี้บ่อยไหมครับ”
“ตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่สถานีเกษตรก็มาหลายรอบแล้วนะ สงสัยจะหลงรักที่นี่เสียแล้วละ”
“ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่จะรู้สึกแบบนั้น ที่นี่สวยจริง ๆ ผมต้องกลับมาอีกแน่ ๆ ถึงวันนั้นผมก็จะให้ลุงริงโก๊ะแกนำทางให้อีก”
“รีบ ๆ หน่อยล่ะ อีกไม่กี่ปีลุงแกก็จะปลดเกษียณตัวเองแล้ว”
“อืม...น่าเสียดายนะพี่”
“เป็นเรื่องปกติน่า ก็เหมือนป่าสองรุ่นที่ลุงริงโก๊ะชี้ให้ดูนั่นแหละ เมื่อต้นไม้ที่อยู่มานานเริ่มล้มตายก็จะมีกล้าไม้รุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนกัน มันเป็นวัฏจักร”
สองคนยืนคุยกันจนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ไอ้นุ้ย! มาถ่ายรูปกัน”
เจ้าของชื่อหันไปโบกมือให้เพื่อนก่อนจะกล่าว “ผมไปถ่ายรูปกับเพื่อนก่อนนะพี่” พูดจบก็วิ่งเข้าไปสมทบกับพวกที่ยืนอยู่สุดปลายระเบียงฝั่งตรงข้าม รับโทรศัพท์มือถือจากอีกคนมาถือเอาไว้ก่อนจะนับแล้วกดบันทึกภาพ หลังจากพักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง จากจุดชมวิวกลุ่มนักศึกษาก็เดินต่อไปตามสันเขาที่ด้านข้างเป็นหน้าผาลาดชันมีแนวรั้วกั้นเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย
“นี่แหละที่เขาเรียกว่ากิ่วแม่ปาน กิ่วก็คือลักษณะของสันเขาแคบ ๆ แบบที่เรากำลังเดินอยู่ตอนนี้” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะลอฝีเท้า “ถ้าพวกคุณมาที่นี่ในช่วงฤดูหนาวก็จะได้เห็นกุหลาบพันปีซึ่งเป็นพรรณไม้แบบเดียวกับที่พบบนเทือกเขาหิมาลัย” พูดจบร่างสูงก็ชี้ไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นอยู่นอกแนวรั้วหนึ่งที่ตอนนี้มีเพียงใบสีเขียวให้เห็นเท่านั้น
เหล่านักสำรวจธรรมชาติเดินเลาะสันเขาก่อนจะกลับเข้ามาในเขตป่าอีกครั้ง เส้นทางขากลับก็คล้ายกลับขามา คือมีทั้งทางลาดชันสลับกับขั้นบันไดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว จุดสุดท้ายที่คุณลุงคนนำทางพาทุกคนมาหยุดพักก็คือบริเวณของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เกือบถึงทางออก เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในป่าแถบนี้ลุงริงโก๊ะจึงมักจะมาหยุดขอพรให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ หวังอยู่ลึก ๆ ว่าหากมีโอกาสคงจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
กว่าคณะนักศึกษาจะเดินออกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย หลังจากลงเวลาออกในสมุดเรียบร้อยแล้วตัวแทนนักศึกษากล่าวขอบคุณและอำลาบรรดาผู้ใหญ่ใจดีก่อนจะพากันไปขึ้นรถสี่ล้อที่เหมาเอาไว้ซึ่งจอดรออยู่แล้วในบริเวณลานจอดรถจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 หน้าที่ทำการเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เป้าหมายของพวกเขาก็คือการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติในช่วงปิดเทอมตามแผนการที่ได้วางเอาไว้
(มีต่อค่ะ)
-
(ต่อค่ะ)
ธามถอนหายใจเฮือกจ้องมองโทรศัพท์ในมือที่เพิ่งกดวางสาย ทั้งที่หมายเลขก็ถูกต้องตามที่เขียนอยู่ในโปสการ์ด แต่พอกดโทร.ออกทีไรก็ติดต่อไม่ได้สักที ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คิ้วหนาขมวดมุ่นในขณะที่ดวงตายังคงทอดมองกระดาษใบเล็กที่เสียบอยู่กับสมุดบันทึกจนไม่ทันได้สนใจร่างสูงใหญ่ที่ผลักประตูเข้ามา
“เป็นอะไรวะ ทำหน้ายังกับคนท้องผูก”
“เปล่า” คนถูกถามลากเสียงอย่างรำคาญเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“ยังจะบอกว่าเปล่าอีก แล้วนี่อะไรวะ” พูดยังไม่ทันจบอดีต Winger ก็คว้าสมุดบันทึกตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว แม้คนตัวเล็กกว่าจะโผตามไปแย่งแต่ก็ไม่อาจสู้กับความไวของเจ้าของฉายายักษ์พริ้วได้
“เฮ้ย! ไอ้เน เอาคืนมาเลย” ธามโวยวายในขณะที่มือไม้ก็ยังคงตะเกือกตะกายไขว่คว้า
“อะไรวะกะอีแค่สมุดเล่มเดียว หวงอะไรนัหนา” เจ้าของริมฝีปากหนายกยิ้มยียวนก่อนจะเปิดสมุดหน้าที่ถูกขั้นด้วยโปสการ์ดออกดู “ฮั่นแน่ โปสการ์ดนี่หว่า ไหน ๆๆ ใครส่งมาให้ ไหนดูซิ”
“ไอ้เน”
เจ้าของชื่อทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจก่อนจะหยิบโปสการ์ดที่เสียบอยู่กับสมุดขึ้นมาอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย “คิดถึงแก...” ปากหนาพึมพำก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อ “มีบอกคิดถงคิดถึงด้วยเว้ย ข้างล่างนี่ก็...แหม ๆๆๆ ไอ้ธาม นี่ใช่ไหมที่ทำให้แกกดโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าน่ะ”
คนฟังถอนใจก่อนจะรีบดึงสมุดบันทึกและโปสการ์ดกลับคืนมาก่อนจะเก็บลงกระเป๋า นึกอยากจะผลักไอ้คนอยากรู้อยากเห็นที่กำลังทำคอยืดคอยาวข้ามโต๊ะมาถามว่า “ใครส่งมาวะ” เสียให้หน้าหงาย
“แฟน?”
“ไม่ใช่โว้ย อย่าเดาดีกว่า เดาให้ตายยังไงก็ไม่ถูก”
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิวะ บอกหน่อยน่า ใครส่งมา นะ ๆ”
“ไม่รู้โว้ย!” คนถูกคาดคั้นตอบส่ง ๆ มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมานานแล้วจึงลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเดินไปออกจากห้อง
“อ้าวไอ้นี่ ไม่มีคิดจะรอกันเลย” เนติเกาหัวก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บของที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านหลังจากนั้นจึงเดินตามออกมา ชายหนุ่มร่างยักษ์ตะโกนโหวกเหวกเมื่อเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิด ทันทีที่แทรกตัวเข้ามาในตู้เหล็กแคบ ๆ เขาก็พบพนักงานออฟฟิศจำนวนมหาศาลยืนเบียดกันอยู่ด้านใน ความคิดที่จะซักไซ้ไล่เลียงเพื่อนเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการจึงมลายสิ้น เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเขาก็ชะเง้อคอมองหาเพื่อนที่คิดว่าน่าจะลงลิฟต์มาก่อนเพียงไม่นานแต่ก็ไม่พบเสียแล้ว
คืนนั้นธามยังคงทำในสิ่งที่เขามักจะทำทุกคืนก่อนนอน นั่นก็คือการหยิบโปสการ์ดที่ถูกส่งจากเชียงใหม่มานั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมา เวลาผ่านไปหลายเดือนโปสการ์ดก็ยังถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยแล้วเดือนละ 2-3 ใบ มีบางช่วงที่ขาดหายไปนาน ๆ จนเขาคิดว่าคนที่ต้นทางคงจะเลิกส่งมาแล้ว แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็พบว่ามีโปสการ์ดนอนเงียบ ๆ อยู่ในตู้รับจดหาย ซึ่งทุก ๆ ใบก็เขียนลงท้ายเหมือนกันทุกครั้ง
อากาศที่นี่เริ่มหนาวแล้วละ ปีนี้คงหนาวกว่าปีก่อนแน่ ๆ
ถ้าแกวะมาอย่าลืมเตรียมเสื้อหนา ๆ มาด้วยล่ะ
น้ารินฝากชวนแกมากินขนมที่ร้านด้วยนะ
น้ารินทำขนมอร่อยแกต้องชอบแน่ ๆ
คิดถึงแก
น่าน
ธามมองดูภาพร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ถูกนำมาทำเป็นโปสการ์ดอย่างพิจารณา เขาจำได้ว่าเคยเห็นร้านนี้มาก่อนในคอลัมน์แนะนำร้านน่านั่งของเมืองเชียงใหม่บนหน้านิตยสารแต่งบ้านที่แม่ซื้อมาอ่าน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานในห้องนอนเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะรื้อ ๆ ค้น ๆ กองนิตยสารมากมายของแม่จนในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่ต้องการ ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่โซฟาจากนั้นจึงพลิกกระดาษเคลือบมันไปทีละหน้าจนกระทั่งมาหยุดที่คอลัมน์หนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายเล่ม
“ร้านกาแฟในสวน... ถนนสีหราช... ชื่อร้าน...อิงดอย”
...
ในที่สุดเดือนสุดท้ายของปีก็มาถึง ค็ออฟฟี่ช็อปด้านหลังบริษัทบัดนี้กลายเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่โหยหาวันหยุดพักผ่อนในฤดูแห่งการท่องเที่ยว ระหว่างรอเครื่องดื่มหลายคนต่างพูดคุยกันถึงกิจกรรมในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง บางคนที่มีงบประมาณมากหน่อยวางแผนท่องเที่ยวในต่างประเทศ ในขณะที่คนก็เลือกเก็บเกี่ยวความสุขจากสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่า หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้วธามก็หันหลังให้ความวุ่นวายออกมานั่งลงที่โต๊ะด้านนอก
ครู่หนึ่งพนักงานสาวก็ยกถ้วยกาแฟหอมกรุ่นมาเสิร์ฟ จู่ ๆ กลิ่นหอมอบอวลของกาแฟคั่วบด เสียงโมบายแขวนหน้าต่างและอากาศที่เริ่มเย็นลงก็ทำให้วิศวกรหนุ่มคิดถึงคำเชิญของใครบางคนขึ้นมา เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองโมบายแขวนหน้าต่างที่กำลังแกว่งไกวไปตามลม หลายสัปดาห์มาแล้วที่เขาไม่ได้รับโปสการ์ดจากเชียงใหม่ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้คนที่เคยส่งมันมาให้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“คิดไรอยู่วะ กาแฟเย็นหมดแล้ว” คนที่เพิ่งมาถึงกล่าวก่อนจะนั่งลง
“คิดอะไรเพลิน ๆ ว่ะ” พูดพลางเลื่อนถ้วยกาแฟที่สั่งไว้เผื่อให้เพื่อน
เนติยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะมองเข้าไปในร้านที่ยังคงเต็มไปด้วยบรรดาหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศที่ยังคงนั่งรอเครื่องดื่มอยู่ด้านใน
“เอ้อ ตะกี้ฉันเจอพี่กร พี่กรให้ฝากบอกแกด้วยว่าอาทิตย์หน้าจะให้ฉันกับแกขึ้นไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่บริษัทเราประมูลโครงการก่อสร้างสถานีวิจัยเกษตรที่สูงได้”
“ที่ไหนวะ” ธามถามอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตายังคงทอดมองควันสีขาวที่ลอยอยู่เหนือถ้วยกาแฟ
“เชียงใหม่ เตรียมตัวด้วยล่ะ คิดเสียว่าเปลี่ยนที่กินกาแฟ” ชายหนุ่มร่างยักษ์กล่าวยิ้ม ๆ ไม่รู้เลยว่าคำพูดติดตลกของตนเองกำลังทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามต้องคิดหนัก
...
ปลายสัปดาห์ต่อมาสองวิศวกรหนุ่มก็พากันเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือพื้นที่บนดอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลเบื้องต้นร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะดิน ทิศทางการไหลของน้ำ เพื่อนำมาวางแผนการก่อสร้างอาคารสถานีวิจัยเกษตรที่สูงต่อไป
หลังจากฝังตัวอยู่ในพื้นที่เกือบสองวันเต็ม ก็ได้เวลาเดินทางกลับของธามและเนติ สองหนุ่มขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อหาที่พักสำหรับคืนสุดท้าย จัดการเก็บข้าวของไว้ที่โรงแรมก่อนจะถือโอกาสขับรถตะเวนเที่ยวภายในเมืองก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
“จะไปไหนวะ” เนติเอ่ยขึ้นเมื่อฟอร์จูนเนอร์สีดำเลี้ยวจากถนนรอบคูเมืองเข้าสู่ถนนสีหราชจนกระทั่งมาหยุดที่ท้ายจี๊ปแรงเลอร์สีส้มซึ่งจอดอยู่ริมกำแพงอิฐที่ปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแก
“พามากินกาแฟไง” พูดจบเจ้าของรถก็เอี้ยวตัวไปหยิบกล่องกระดาษลายสวยที่วางอยู่ด้านหลัง
“แล้วนี่เอาอะไรไปด้วยวะ”
“เออน่า ถามมากจริง เข้าไปข้างในก่อนเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
เนติเปิดประตูลงจากรถด้วยความงุนงงก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปในบริเวณของร้านกาแฟบรรยากาศร่มรื่น รอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้ม มีโต๊ะให้เลือกนั่งทั้งด้านนอกและด้านในชายคา ขณะที่สองหนุ่มกำลังมองหาโต๊ะว่างอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากในบ้าน กว่าธามจะหันกลับไปมองให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งสวนออกมาเสียแล้ว นั่นทำให้กล่องกระดาษที่ถืออยู่ในมือร่วงลงกับพื้น โชคดีที่ของที่ฝาไม่เปิดไม่เช่นนั้นของที่อยู่ข้างในคงกองกระจัดกระจายอยู่กับพื้นแน่
“อุ้ย! ขอโทษครับ” คนผิดเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มหยิบกล่องใบนั้นแล้วส่งคืนให้
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ” ธามรับมันมาถือเอาไว้ก่อนจะมองอีกฝ่ายให้ชัด เขาคือหนุ่มเหนือผิวขาวสวมแว่นสายตากรอบหนาเจ้าของผมสีเข้มที่ไม่ได้แต่งทรงยาวระต้นคอ ประมาณด้วยสายตาแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กว่าก็คงไม่กี่ปี
ชายหนุ่มแปลกหน้ากล่าวขอโทษขอโพยอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าไปที่รถปลดเป้ใบโตแล้วโยนไว้ที่เบาะหลังจากนั้นจึงขึ้นนั่งประจำที่คนขับติดเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะรีบไปไหนของเขาวะ” เนติบ่นก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปด้านในแต่ก็ไม่วายต้องย้อนกลับมาสะกิดคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
ทันทีที่สองคนก้าวเข้าไปภายใต้ชายคาของบ้านไม้สองชั้น พนักงานสาวสวยก็ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างเป็นมิตร เธอเดินนำสองหนุ่มไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ก่อนจะส่งเมนูให้
“เลือกตามสบายนะคะ อีกสักครู่จะกลับมารับรายการอาหารค่ะ” พูดจบเธอกับเดินหายเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อปล่อยให้ลูกค้าได้มีเวลาเป็นส่วนตัว
เนติไล่ดูรายการอาหารและเครื่องดื่มก่อนสังเกตได้ว่าคนที่มาด้วยกันนั้นเงียบเชียบผิดปกติ ทันทีที่ละสายตาจากรายการอาหารก็เห็นธามกำลังชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง ด้วยความสงสัยหนุ่มร่างใหญ่จึงเอ่ยขึ้น “หาอะไรวะ หรือว่าแกนัดใครไว้”
“เปล่า ไม่ได้นัด” พูดจบธามก็ก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องดื่ม ครู่หนึ่งพนักงานคนเดิมก็เดินกับมารับรายการอาหาร ในขณะที่รอธามก็ยังคงแสดงท่าทางผิดปกติจนเห็นได้ชัด
“ถามจริงเถอะ แกมีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่าวะที่มาที่นี่”
คนถูกถามนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ายอมรับ พร้อมกับดึงกล่องกระดาษที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ฉันมาตามหาเจ้าของ”
เนติมุ่นคิ้วและเมื่อเขาเอื้อมมือดึงฝากล่องขึ้นก็พบว่าข้างในมีโปสการ์ดอยู่จำนวนหนึ่ง “โปสการ์ดพวกนี้ของใครวะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน มันถูกส่งมาตั้งแต่ฉันกับแม่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น” ธามกล่าว
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม แกถึงได้มาที่นี่” คนฝั่งตรงข้ามกล่าวพลางดึงโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาจากกล่อง มันเป็นภาพของร้านนี้ไม่ผิดแน่ เขาจำต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้เกือบติดชายคาบ้านได้
“ฉันก็ว่ามันน่าจะใช่ เลยชวนแกมาที่นี่”
“มาแล้วจ้ะ” เสียงเจื้อยแจ้วทำให้สองหนุ่มต้องละสายจากกัน เธอไม่ใช่พนักงานคนเมื่อครู่หากแต่เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ที่สำคัญเธอคนในภาพที่ตัดจากนิตสารแล้วเข้ากรอบอย่างดีซึ่งติดอยู่กับผนังด้านหนึ่งของร้าน เพียงเท่านั้นธามก็พอจะคาดเดาได้ว่าเธอคืออรินทร์ผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟบรรยากาศร่มรื่นแห่งนี้
“ขอบคุณครับ” เนติกล่าวเมื่อถ้วยกาแฟและขนมถูกวางลงตรงหน้า
“อ...เอ้อ...เดี๋ยวครับคุณน้า” ธามเอ่ยขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังกลับ
“รับอะไรเพิ่มเหรอคะ”
“ค...คือ...คุณน้า....เป็นคุณน้าของน่านใช่ไหมครับ”
“ใช่จ้ะ” คนถูกถามยิ้มกว้าง “พวกคุณเป็นเพื่อนของน่านเหรอ เอ...แล้วทำไมน่านไม่เห็นทักเลยหรือว่าจำไม่ได้” อรินทร์ขมวดคิ้วสงสัย
“ไม่ทักเหรอครับ” ธามเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนอายุมากกว่าพูดจบลงไปเมื่อสักครู่
“ก็ที่เพิ่งเดินสวนออกไปเมื่อกี้ไงจ๊ะ”
“คนเมื่อกี้?” สิ้นเสียงของธาม ทั้งสามคนต่างก็มองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังต้องการคำอธิบายจากใครคนใดคนหนึ่ง
...
“น่านน่ะเพิ่งจะขอย้ายขึ้นไปประจำที่สถานีวิจัยบนดอยจ้ะ” อรินทร์กล่าวหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากธามและจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขา
“ครับ เขาเล่าไว้ในโปสการ์ดหมดแล้ว”
“นี่ถ้ารู้ว่าส่งโปสการ์ดผิดไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
“จริง ๆ ผมน่าจะบอกเขานานแล้วว่าเจ้าของบ้านคนเก่าย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะลูกสาวคนโตแต่งงานกับชาวต่างชาติแล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันกับสามีที่ต่างประเทศ ผมน่าจะพยายามติดต่อจากเบอร์ที่เขาทิ้งไว้ให้ให้มากกว่านี้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ อย่าไปคิดมากเลย น่านเองก็ไม่รู้จักหาข้อมูลให้ดีก่อน เพื่อนไม่เจอกันตั้งนานก็ใช่ว่าเขาจะอยู่ที่เดิมเสียเมื่อไร”
“แล้วนี่หลานชายคุณน้าเขาจะกลับลงมาอีกทีเมื่อไรครับ” เนติแทรกขึ้น
“อืม คงไปนานเลยละจ้ะ พักนี้บ่นว่างานข้างบนยุ่ง ๆ แถมยังต้องตามหัวหน้าออกไปเก็บข้อมูลตามต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ”
ธามพยักหน้า นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงหลัง ๆ เขาจึงไม่ได้รับโปสการ์ดจากเชียงใหม่อีกเลย ในเมื่อไม่มีโอกาสได้เจอตัว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจฝากโปสการ์ดทั้งหมดไว้กับน้ารินทร์ก่อนจะขอตัวกลับ รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่วันนี้ได้มีโอกาสสะสางข้อข้องใจให้หมดไปเสียที
ต่อไปนี้คงไม่มีโปสการ์ดที่ส่งจากเชียงใหม่อีกแล้ว...
....
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
-
ไม่จบแค่นี้ใช่ไหมคะ ไม่น้า~~~~~
สงสารน่าน อกหักซำ้ซ้อนมาให้พี่ธามดามใจก่อน
ปล.อ่านแล้วอยากกลับไปชม.อีกสักร้อยรอบ
-
ไม่น๊าาาาาา
ส่งผิดหรอเนี่ย จิร้องไห้ ฮ่าๆๆๆ
รออีกตอนจ้า ลุ้นใจจะขาด><~
-
อ้าวววววว ผิดบ้าน ผิดคน ผิดคาด
งื้ออออออออออ
-
T T ไม่นะ ถึงหนุ่มน่านไม่ส่งมา เราก็ส่งไปเองสิคะ
-
โหยยย เรานึกว่าเขาจะมีเบื้องหลังกัน
ปรากฎว่าเป็นพรหมลิขิตนี่เอง
เฉียดกันนิดเดียวเองอ่ะ
ถ้าน่านรู้ น่านจะทำยังไงต่อไป...
ตื่นเต้นจังเลยค่ะ
ชอบเวลาคุณถ้าเทอเป็นท้องฟ้าเขียนเรื่องแนวท่องเที่ยว
เหมือนกับว่าเราได้ไปมองประเทศไทยในมุมใหม่
เพราะเราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเยอะด้วยหล่ะส่วนหนึ่ง
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ นะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^
-
กรี๊ดดดดดดด หักมุมมาก นึกว่าเค้ามีเบื้องหลังกันซะอีก
แต่ทำไมอ่านแล้วชอบแบบนี้จังเลยก็ไม่รู้ค่ะ แงงงงงง :hao5:
อ่านนิยายของคุณถธปทฟ.แล้ว ตอนนี้เราเก็บกิ่วแม่ปานเข้าลิสต์
สถานที่ที่ต้องไป พอๆ กับสวนสนบ่อแก้วเลยค่ะ ชอบมากกกกกก
ทำไมถึงเขียนนิยายให้คนอ่านนึกอยากตามรอยได้ดีขนาดนี้ 5555555 :impress2:
เพราะอย่างนี้นี่เอง ความคิดถึงของน่านก็เลยไม่ได้รับการตอบกลับสักที
แต่ก็ไม่อยากให้มันหยุดอยู่แค่นี้นะ ธามอุตส่าห์ตามมาหาถึงที่
อยากให้เจอกันสักครั้งงงง >_< เอ๊ะ? ไม่สิ เจอกันแล้วแค่ไม่รู้จักกัน 5555
รออ่านตอนหน้านะคะ จะมีต่อใช่มั้ยคะ? ฮริ้งงงงงงงง
-
ปกติก็เข้าเล้าทุกวัน ยิ่งรู้ว่ามีเรื่องสั้นมาให้ติดตามยิ่งอยากอ่าน
แต่ 2-3 วันมานี้ งานราษฎร์งานหลวง รุมเร้าจนไม่ได้เข้ามาส่อง
มาอีกที เรื่องราวก็ผ่านไปหลายตอน
รู้เหตุผลที่ธามลังเลไม่ติดต่อกลับซะที
ทีแรกก็นึกว่าเป็นเพื่อนเก่าที่มีความหลังกัน
กลายเป็นว่าส่งผิดคน นี่เกือบจะได้เป็นจดหมายผิดซองแล้วเชียว ฮ่าๆๆๆ
เห็นจากในเพจว่าจะมีบทสรุปอีก
หวังว่าธามกับน่านจะได้เจอกันอีก
นี่ยังไม่รู้ ใครพระ ใครนายเลย
-
เจ้าของบ้านย้ายไปแล้ว คนรับเลยผิดคน มันคงเป็นพรหมลิขิต
แต่ถ้าน่านรู้แล้วจะยังส่งไปหาอีกไหม แล้วธามจะกลับมาอีกไหม เมื่อไรจะได้เจอกันนะ
ชอบบรรยากาศตอนที่น่านขึ้นไปกิ่วแม่ปานมากอยากไปบ้างเลย คงสวยมากแน่ๆ
:mew1: :L2:
-
คราวนี้อาจจะไม่มีโปสการ์ดจากเชียงใหม่ส่งไปหาหาธามแล้วก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่า 'หนุ่มเชียงใหม่' จะไม่เดินทางไปหาธามถึงที่กรุงเทพฯ แบบตัวเป็นๆ เสียเมื่อไรล่ะค้าา >\\< พูดแล้วก็เขิน~ น่านจ๊ะ รบกวนฝากสานต่อความหวังของเราด้วยค่ะ!!!
-
นักเขียนสุดยอด หลอกเราหลงป่าไปโน้น555 นักเขียนเป็นศิษย์คุณลุงริงโก๊ะอ่ะ หลอกเราได้:ling1:
จินตนาการที่น่านกับธามชนกัน เก็บและรับของกัน ธามมองน่านจนถึงขึ้นรถ. โรแมนติกจัง
ประโยคสุดท้ายเหมือนธามใจหายเนอะ ก็นะคนเคยได้รับรู้เรื่องราวต่างๆได้เห็นโปสการ์ดสวยๆทุกเดือน ต้องรู้สึกบ้างแหละเนอะ
หนทางที่จะมาคบกันได้ดูลำบากจังค่ะ เรื่องสนุกน่าลุ้นตลอด ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
-
ชอบบรรยากาศมากค่ะ
-
ปัจฉิมลิขิต
สายลมแห่งเหมันตฤดูพัดผ่านทิวเขาพาเอากิ่งไม้ไหวลู่ เสียงใบไม้เสียดสีสอดประสานกับเสียงกระดิ่งของโมบายรูปสัตว์ที่ทำจากลูกตีนเป็ดติดขนนกตรงส่วนหาง ยามเมื่อลมพัดมาทีไรก็หมุนติ้วราวกับมีชีวิตลอยคว้างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีส้มอมม่วงยามดวงตะวันกำลังเคลื่อนคล้อยลงลับเหลี่ยมเขา ไม่นานความมืดก็โรยตัวห่มคลุมดอยทั้งดอยเอาไว้ในอ้อมกอด
เสียงหรีดหริ่งราไรร้องระงมราวกับจะขับกล่อมส่งทุกชีวิตเข้านอนในคืนที่บนฟ้าปราศจากแสงดาวแต่บนผืนดินกลับพร่างพราวไปด้วยแสงไฟ ดวงตาสีเข้มภายใต้กรอบแว่นสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพลายเส้นต้นไม้ใบหญ้ามาร่วมชั่วโมงกว่า มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ได้ชื่อว่าหนอนหนังสืออย่างเหนือน่าน ลองได้หยิบจับมาอ่านเมื่อไรก็จะมีสมาธิจดจ่อเสียจนแทบจะลืมโลกรอบตัวไปเลย ตาคมกวาดไล่ลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า มาเงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวดังแว่วมาจากบ้านพักหัวหน้านักวิจัยที่อยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน
จากหน้าต่างมองเห็นแสงรำไรจากตะเกียงเจ้าพายุที่แกว่งไกวไปตามแรงลม อากาศหนาวเย็นที่แทรกผ่านช่องประตูระเบียงเข้ามาทำให้เจ้าของบ้านพักหลังน้อยต้องลุกขึ้นเดินไปรั้งประตูปิด ม่านสีขาวผืนบางถูกดึงชนกัน ร่างสูงเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ถอดแว่นสายตาวางบนตำราที่ยังคงกางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอนหลังหลับตาลงเงี่ยหูฟังบทเพลงโปรดของหัวหน้ากระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายแผ่วหายไปกับสายลม เปลือกตาบางจึงเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะดังขึ้นทำลายความเงียบ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตกรุ่นเครื่องนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพเสียที หน้าจอดิจิทัลไร้สีสันแสดงหมายเลขปลายทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทันทีที่กดรับเสียงหวานที่ต้นทางก็ดังสวนขึ้นก่อนที่คนปลายสายจะกล่าวทักทายเสียอีก
“น่านใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“แก แกรู้ตัวไหมว่าแกเป็นคนที่ติดต่อยากมาก”
“ค...ครับ เอ้อ...นี่ใครครับ”
ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกก่อนจะเริ่มสาธยาย “ฉันซัน อรุณรุ่งที่เลขที่ตามตูดแกตั้งแต่มอหนึ่งไง”
“เฮ้ย! ซัน! จำได้ ๆ” เหนือน่านละล่ำละลัก ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ
“ฉันได้โปสการ์ดของแกแล้วนะ ขอบใจมาก แต่ขอด่าหน่อยเถอะ แกมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะ เข้าป่าเป็นฤาษีตัดขาดจากโลกภายนอกหรือไง โทรศัพท์ก็โทร.ติดยากมาก ไม่มีเพื่อนโรงเรียนเก่าคนไหนติดต่อแกได้เลยสักคน โซเชียลมีเดียน่ะหัดเล่นเสียบ้างสิ งานแต่งงานฉันแกก็ไม่ได้ไป เป็นเพื่อนสนิทก...กัน...ภาษา...อะไร...ว...วะ”
ท้ายประโยคถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นจนคนฟังใจรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มือกำโทรศัพท์แน่นพอ ๆ กับคมฟันที่กดลงบนเนื้อปาก หากย้อนเวลากลับไปได้เขาเองก็อยากจะยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนคนนี้ในวันพิเศษที่สุดของเธอ
“ขอโทษนะซัน” เสียงนั้นรอดผ่านริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาแต่มันกลับหนักแน่นราวกับจะตอกย้ำยืนยันความรู้สึกของคนพูด “ขอโทษจริง ๆ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันกะว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว แกรู้ไหม วันนี้ฉันร้องไห้อย่างกับคนบ้าตอนที่ได้รับพัสดุของแก ร้องจนสามีกับลูกฉันตกใจ”
“นี่แกมีลูกแล้วด้วยเหรอ” เหนือนน่านหัวเราะ
“ฉันแต่งงานมาจะสองปีแล้วนะแก ว่าแต่แกเถอะ มีครอบครัวหรือยัง”
คนถูกถามหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบ “ยังไม่ได้คิด”
“ยังไม่ได้คิดได้ยังไงกัน แถวนั้นไม่มีสาวชาวดอยสวย ๆ ให้จีบหรือไง”
“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ คุยเรื่องแกดีกว่า เล่าเรื่องของแกให้ฉันฟังบ้างสิ ฉันอยากฟัง” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางศอกลงกับโต๊ะในที่มือก็ประคองข้างแก้มตั้งอกตั้งใจฟัง
“อืม...หลังจากเรียนจบมัธยมแล้วฉันก็มาเรียนต่อที่เยอรมันน่ะแก ส่วนสามีของฉันก็เป็นคนเยอรมัน เราเจอกันเมื่อตอนที่ฉันตามอาจารย์มางานคอนเฟอเรนซ์ที่มิวนิก เขาก็เรียนปริญญาโทเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คบกันนะ เพิ่งมาตกลงคบกันตอนที่ฉันเรียนจบแล้วกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย เขาก็ย้ายมาทำงานที่นี่ด้วย จนเมื่อสองปีที่แล้วเขาขอฉันแต่งงาน แม่เขาอายุมากแล้วเราเลยตกลงกันว่าจะย้ายกลับเบอร์ลิน”
“แล้วลูกแกล่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายจ้ะ อ้วนจ้ำม่ำเลยละแก เอาไว้ฉันกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่เมื่อไร ฉันจะพาลูกหมูน้อยของฉันไปเยี่ยมลุงน่านนะ”
เสียงใสยังคงจ้อไม่หยุด เรื่องราวมากมายในช่วงเวลาเกือบสิบปีถูกถ่ายทอดให้กันฟังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ถูกวางลงในช่องว่างทำให้ความห่างของวันเวลาได้ประสานกันสนิทอีกครั้ง หากไม่ติดว่าเป็นการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศเหนือน่านคงจะฟังเรื่องของอีกฝ่ายไปถึงเช้า สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่เอ่ยปากเตือนให้เพื่อนรู้ว่าเธอไม่ได้ใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญเหมือนเมื่อสมัยเด็ก ดังนั้นก่อนจะวางสายอรุณรุ่งจึงวายบ่นเรื่องที่เหนือน่านเองก็ทำตัวล้าหลังเอาตัวออกห่างจากเทคโนโลยีปลีกวิเวกเสียจนเพื่อน ๆ แทบจะพากันลืมเขาไปหมดแล้วเช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับโปสการ์ดนะแก ขอบคุณที่แกยังคิดถึงฉัน”
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ คำพูดสุดท้ายของเพื่อนรักยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทขณะที่หน้าคมก็ยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ตาสีเข้มละจากโทรศัพท์ในมือมองเลยไปยังกล่องกระดาษลายสวยที่วางทับอยู่บนกองหนังสือก่อนจะเอื้อมหยิบมันมาวางตรงหน้า เมื่อยกฝากล่องขึ้นก็พบเพียงโปสการ์ดใบหนึ่งซึ่งเขาจำได้ดีว่ามันวางขายอยู่ที่ร้านของน้าริน มันเป็นโปสการ์ดใบเดียวที่เหลืออยู่หลังจากเขาส่งใบอื่น ๆ ถึงมือผู้รับเรียบร้อยแล้ว เป็นอีกครั้งที่เหนือน่านหยิบกระดาษใบเล็กซึ่งนอนนิ่งอยู่ก้นกล่องขึ้นมาพลิกดูและเริ่มอ่านข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัดอีกครั้ง
สวัสดี น้ารินคงเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังแล้ว
วันนี้ผมก็เลยขอคืนโปสการ์ดทั้งหมดให้คุณ
เผื่อว่าคุณจะได้ส่งมันให้ผู้รับตัวจริงได้อ่าน
และผมก็ต้องขอโทษที่ไม่รีบบอกให้คุณรู้
ธาม
...
จี๊ปแรงเลอร์สีส้มแล่นขึ้นมาจอดสนิทที่ปลายเนินซึ่งเป็นจุดชมวิวของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทันทีที่เสียงของเครื่องยนต์เงียบลงชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถก็เปิดประตูลงมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากขับรถบุกป่าฝ่าดงด้วยระยะทางกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตจนมาถึงที่นี่ ดอยเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ซึ่งอยู่เกือบสุดขอบจังหวัดเชียงใหม่
แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแต่อากาศก็ยังคงเย็นเฉียบจนเหนือนน่านต้องสอดมือลงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวหนา ชมความงามของป่าเขาอยู่ได้เพียงไม่นานชายหนุ่มก็รีบคว้าเป้สะพายหลังเดินลงไปตามทางคอนกรีตแคบ ๆ ที่ใช้สัญจรภายในหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่โรงเรียนที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
รอยยิ้มและคำทักทายของชาวบ้านที่พบระหว่างทางยังคงเป็นสิ่งที่เหนือน่านได้รับทุกครั้งที่มีโอกาสได้หวนกลับมาที่นี่ ที่ซึ่งเขาเคยมาออกค่ายกับเพื่อน ๆ ชมรมอาสาของมหาวิทยาลัย เมื่อขายาวก้าวเข้าภายในเขตรั้วไม้ไผ่ซึ่งสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ เพื่อใช้บอกอาณาเขต
ตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ มีเพียงอาคารชั้นเดียว ธงชาติบนยอดเสา และเสียงท่องอาขยานดังแว่วมาแต่ไกลเท่านั้นที่พอจะบอกให้รู้ว่าบริเวณที่เขายืนอยู่นี้คือโรงเรียน ชายหนุ่มเดินอ้อมไปด้านหลังอาคารเรียนซึ่งเป็นโรงเพาะเห็ดและแปลงเกษตร ที่นั่นเด็ก ๆ กำลังล้อมวงดูวิธีการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย
“พี่น่าน!” เด็กหญิงชายในชุดนักเรียนเก่าคร่ำคร่าต่างเรียกชื่อคนมาใหม่เป็นเสียงเดียวกัน ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาจนลืมคุณครูและเชื้อเห็ดในตะกร้าไปเสียสนิท
“ดูสิเจ้าพวกนี้ พอเห็นพี่น่านมาละลืมครูไปเลย” ผู้อาวุโสพูดกลั้วหัวเราะ
“สวัสดีครับครู” เจ้าของชื่อยกมือไหว้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีกากีที่กำลังลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือก่อนจะรับไหว้
“ทำไมวันนี้ถึงมาเอาตอนนี้ล่ะน่าน แล้วนี่จะค้างด้วยกันหรือเปล่า”
“ไม่ละครับครู พอดีวันนี้ผมแวะมาทำธุระในตัวเมือง แวะเอาเมล็ดผักจากสถานีเกษตรมาฝาก ไว้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันปลูก” พูดรับก็ปลดเป้จากหลังก่อนจะรูดซิปหยิบถุงใส่ซองเมล็ดฝักจำนวนมากส่งให้
“ดีเลย จะได้เอาไว้ทำอาหารกลางวัน ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ” เจ้าของใบหน้าที่โทรมเหงื่อยิ้มน้อย ๆ พลางรับถุงใบโตมาถือเอาไว้
“แต่เดี๋ยวอีกหน่อยมีสถานีวิจัยเกษตรที่สูงมาตั้งที่นี่ก็น่าจะดีขึ้นนะครับครู ชาวบ้านน่าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ว่าแต่นี่ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”
“กำลังสอนเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าน่ะ พอดีได้นายช่างจากกรุงเทพฯ ที่เขามาเก็บข้อมูลสำหรับวางแผนก่องสร้างสถานีวิจัยนั่นแหละช่วยซ่อมโรงเรือนให้ ครูก็เลยสอนเด็ก ๆ เพาะเห็ดด้วยวัสดุที่หาได้จากในบ้าน เผื่อจะเอาความรู้กลับไปถ่ายทอดต่อให้ผู้ปกครองได้บ้าง”
“ผมว่าครูนั่นแหละครับถ่ายทอดได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ขอความร่วมมือจากหัวหน้าหมู่บ้านนัดประชุมหรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านล่ะครับ ศาลาประชาคมก็มีหรือให้มาดูของจริงที่โรงเรียนได้เลยยิ่งดี”
“อืม เป็นความคิดที่ดีนะ ไว้ครูจะลองคุยกับผู้ใหญ่แกดู”
หลังจากส่งเด็ก ๆ ขึ้นห้องเรียนเพื่อเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านแล้ว ‘ครูขันคำ’ ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ก็เดินคุยกับเหนือน่านมาจนถึงบริเวณสนามฟุตบอลที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี
“นั่นไง นายช่างกลับมาพอดี”
เหนือน่านมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามของสนามซึ่งมีฟอร์จูนเนอร์สีดำจอดหลบอยู่ใต้เงาไม้ พลันร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในมือของเขาถือลูกฟุตบอลใหม่เอี่ยมที่เพิ่งแกะออกจากถุงหมาด ๆ เดินมาหยุดที่ข้างสนามก่อนจะโยนลูกกลม ๆ ลงบนพื้นจากนั้นจึงง้างเท้าหวดเข้าเต็มข้อตกลงกลางสนามซึ่งบรรดาเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่แบ่งกันเป็นสองทีมรออยู่แล้ว และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นวิ่งลงมาในสนามการดวลแข้งระดับประถมก็เริ่มต้นขึ้น
“เขาดูเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีนะครับครู”
“อืม นายช่างแกใจดี เวลาเข้าไปในเมืองทีไรก็จะซื้อขนมมาฝากเด็ก ๆ” ครูขันคำกล่าวพลางทอดตามองร่างสูงที่กำลังวิ่งไล่แย่งบอลกับเด็ก ๆ อยู่ที่กลางสนามอย่างชื่นชมกระทั่งเสียงรถจักรยานยนต์สับปะรังเคของกระจอกข่าวประจำหมู่บ้านดังใกล้เข้ามา
“ครู เมื่อกี้ผมเจอป้าจันเมียลุงผู้ใหญ่ที่ตลาด แกบอกว่ามีจดหมายจากทางการฝากมาถึงครู ให้ครูแวะไปเอาด้วย” หนุ่มน้อยวัยกระเตาะในชุดชาวเขาร้องขึ้นในขณะที่รถยังไม่จอดดี
“เอ้อ ขอบใจมากนะอินถา เอาไว้ครูจะแวะไปเอาก็แล้วกัน”
“ครูไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยไหม ผมจะไปแถวหลังวัดอยู่พอดี เสร็จธุระแล้วผมจะส่งครูให้ถึงหัวกระไดบ้านเลย” อินถาเสนอ
“เอ็งไปเถอะอินถา เอาไว้ค่ำ ๆ ครูค่อยแวะไป”
“แล้วครูจะไปยังไง ปั่นรถถีบไปน่ะเหรอ ไกลอยู่นะครู แมงกะไซค์ผมดีกว่า เร็วกว่ากันเยอะ”
คำพูดของหนุ่มน้อยชาวเขาทำเอาเหนือน่านกระตุกยิ้ม หากเปรียบเทียบความเร็วระหว่างจักรยานคันเก่าของครูขันคำกับมอเตอร์ไซค์แก่ ๆ ที่เสียงเครื่องยนต์ฟังแล้วเหมือนคนจะหมดลมก็คงไม่ได้ต่างกันนัก
“ไปเถอะครับครู อุตส่าห์มีพลขับขันอาสาแล้ว ผมเองก็จะลากลับอยู่พอดี”
เมื่อกล่าวคำร่ำลานักวิจัยหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้วครูขันคำก็ขึ้นซ้อนท้ายแมงกะไซค์ที่เจ้าของคุยนักคุยหนาว่าเครื่องแรงที่สุดในหมู่บ้าน
“อย่าซิ่งนักล่ะอินถา” เหนือน่านไม่วายกระเซ้า
“รถมันแรงน่ะพี่น่าน แต่อินถาจะพยายามขับนิ่ม ๆ เพื่อความปลอดภัยของครู” พูดจบหนุ่มน้อยก็บิดคันเร่งพาครูขันคำค่อย ๆ ห่างออกไปด้วยความเร็วชนิดที่เดินเอาก็อาจจะเร็วกว่า
เหนือน่านละสายตาจากรถจักรยานยนต์คันเก่าหันมองไปที่สนามเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งตกตุ้บอยู่ไม่ไกล พลันลูกกลม ๆ ก็กลิ้งหลุน ๆ มาหยุดที่ปลายเท้า ชายหนุ่มก้มลงเก็บลูกบอลและเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าร่างสูงที่เคยวิ่งอยู่กลับเด็ก ๆ ที่กลางสนามกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เส้นผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อตกลงมาปรกหน้าผากเคลียอยู่กับแผงคิ้วหนาจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นเสยไปด้านหลัง
ดวงตาสีดำสนิทยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง รู้สึกเหมือนเคยพบกับเขาที่ไหนมาก่อน พยายามคิดทบทวนแต่ก็นึกไม่ออก ความคิดหยุดลงแค่นั้นเมื่อรอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าชื้นเหงื่อของชายหนุ่มแปลกหน้า
“ขอบอลคืนด้วยครับ”
คำพูดของร่างสูงตรงหน้าทำให้เหนือน่านต้องโยนลูกกลมคืนให้โดยอัตโนมัติ และเมื่ออีกฝ่ายรับลูกบอลคืนไป เขาก็จัดการเตะมันกลับลงไปในสนาม เกมการแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า” พูดพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตนเอง
“อ...เอ้อ...ม...ไม่ ไม่มีครับ ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยพบคุณที่ไหนมาก่อน”
“ในทีวีหรือเปล่า มีหลายคนบอกว่าผมหน้าเหมือนดารา” หนุ่มหน้าทะเล้นพูดติดตลกก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงไปกันใหญ่ “ผมล้อเล่นน่ะ เราเคยเจอกันมาก่อนถ้าคุณยังจำได้ คุณเดินชนผมที่ร้านของน้าริน”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเหนือน่านก็ขยับแว่นสายตาพลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันทันทีที่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเริ่มแจ่มชัดขึ้นในความคิด “คุณ...”
“ธามครับ”
“คุณนั่นเองที่ส่งโปสการ์ดคืนให้ผม”
ธามพยักหน้ารับพลางมองคนตรงหน้าให้ชัด ชัดกว่าคราวที่แล้วที่ได้พบกัน
“ขอบคุณมากนะที่ช่วยเอามาคืนให้”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ลำบากอะไร ผมมีธุระต้องมาเชียงใหม่อยู่พอดี”
“ครูขันคำบอกว่าคุณมาเก็บข้อมูลวางแผนสร้างสถานีวิจัย?”
“ครับ ผมเป็นวิศวกร บริษัทของผมประมูลโครงการก่อสร้างสถานีเกษตรที่สูงได้ ผมก็เลยต้องมาลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่นี่ ส่วนคุณ....อืม ตามที่คุณเล่า” ธามมุ่นคิ้ว “นี่ผมไม่ได้เสียมารยาทนะ คุณส่งมาผมก็อ่าน”
คนฟังพยักหน้าส่ง ๆ
“คุณเป็นนักพฤกษศาสตร์ใช่ไหม ชื่ออะไรนะ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าคิด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มจึงตอบเสียเอง
“น่าน”
“ใช่ ๆ จำได้แล้ว ชื่อน่านนี่เอง ตอนที่ได้รับโปสการ์ดครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่าคนอะไรชื่อแปลกจัง ว่าแต่คุณอายุเท่าไรจะได้เรียกถูก”
“ยี่สิบแปด”
“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”
“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”
“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”
“ก็แล้วแต่” เหนือน่านถอนใจเฮือก ตอบไปแบบนั้นเพราะคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกับคนประหลาด ๆ เช่นนี้ ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าควรจะกลับเสียทีจึงกล่าวคำอำลาอีกฝ่าย "ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ"
“อืม” ธามตอบเพียงสั้น ๆ ยืนนิ่งมองร่างสูงที่กำลังเดินหันหลังให้ และก่อนที่เหนือน่านจะเดินพ้นรั้วโรงเรียนออกไป เขาก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“น่าน”
เจ้าของชื่อชะงักดึงเท้ากลับหันมาสบตาคนเรียกอีกครั้ง แต่แทนที่อีกคนจะสบตากลับก็ดันทำจกกระเป๋าเสมองขึ้นฟ้าเอาเสียดื้อ ๆ
“ค...คือ ผมคงคิดถึงโปสการ์ดจากเชียงใหม่นะ ถ...ถ้าคุณจะส่งมาอีกผมก็ไม่ว่านะ ผมชอบอ่าน” พูดจบก็เลื่อนสายตาลงมามองกันจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้ง “แต่ไม่ต้องลงท้ายว่าคิดถึงแกนะ มันจั๊กจี้” สำหรับธามถ้อยคำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับปัจฉิมลิขิตในจดหมาย...เขียนไว้สุดท้ายแต่กลับสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าเนื้อความที่ว่ามาทั้งหมด
‘ไอ้เด็กเพี้ยน’ คนฟังคิดในใจก่อนจะหันหลังให้เจ้าของหน้าทะเล้น ขายาวก้าวห่างออกมาโดยไม่รู้เลยว่าดวงตาของใครอีกคนยังคงตามติดตัวมาด้วย
...
ในที่สุดเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนก็ทำให้ผมได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
...เพื่อนที่ทำให้ผมยิ้มทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นโปสการ์ดของเขาในตู้รับจดหมาย...
...
อุณหภูมิบนดอยอินทนนท์ใกล้ติดลบเต็มทีแล้ว
เราว่าสัปดาห์หน้าคงได้เห็นแม่คะนิ้งแน่ ๆ
คิดว่าปีนี้น่าจะหนาวกว่าปีก่อนด้วย
เมื่อวันก่อนก็เลยแวะเอาเสื้อกันหนาวที่ฝากมาไปให้ครูขันคำที่โรงเรียน
ตอนนี้นอกจากครูจะเป็นครูใหญ่และสอนเด็ก ๆ ปลูกผักแล้ว
ครูแกยังเป็นโค้ชให้ทีมฟุตบอลของหมู่บ้านด้วยนะ
ก็คงเป็นเพราะลูกฟุตบอลลูกนั้นนั่นแหละ เด็ก ๆ ถึงหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น
กระดาษหมดพอดี จบแค่นี้ก็แล้วกัน
น่าน
ป.ล. น้ารินฝากถามว่าเมื่อไรจะแวะมาที่ร้านอีก
ธามโคลงหัวพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อไล่สายตามาจนถึงตัวอักษรตัวสุดท้าย
“เขียนเล่าแต่เรื่องของคนอื่นทุกทีสิน่า”
ถึงปากจะบ่นแต่กระนั้นรอยยิ้มก็ยังผุดพรายระบายทั่วใบหน้าอยู่ดี
...นี่ก็ยิ้มได้ทุกทีสิน่า...
....
คิดว่าจะจบในตอนนี้ แต่จบไม่ลง ยกไปไว้ตอนหน้านะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
-
โด่ว ธามไม่ได้เขียนหาน่านมั้งเหรอ?
-
เหยยยยยยยย~ เราฟิน พี่ธาม ไม่สิ น้องธามแอ๊วไดเเนียนมากมีการยอมเสียเปรียบลดอายุด้วย
โอ๊ย! อิจฉาน่านอยากได้คนโกงอายุมาเท่ากันสักคน
มาต่อเร็วๆนะคะ
ปล. ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร แต่เรื่องของคุณมักอัพในวันที่เราแย่ๆ แล้วคืนรอยยิีมให้เราเสมอ ขอบคุณค่ะ
-
ธามหวังอยู่ลึกๆละสิ
-
ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วนะ ^^
:mew1: :L2:
-
นี่ก็อ่านไป อบอุ่นหัวใจไปทุกทีสิน่า...
:katai2-1: :heaven
-
“อืม...ผมอายุน้อยกว่าสองปี ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณว่าน่านเฉย ๆ ก็แล้วกัน”
“อ้าว?” เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “อายุน้อยกว่าแล้วทำไมไม่เรียกพี่”
“อะไรกันนี่ผมเสียเปรียบนะเนี่ย อุตส่าห์ขยับอายุขึ้นมาให้เท่ากัน คุณจะได้ไม่แก่ไง”
ชอบท่อนนี้มากค่ะ ตอนแรกเข้าใจว่าธามจะขรึมๆ ซะอีก สุดท้ายก็เป็น 'ไอ้เด็กเพี้ยน' นี่เอง
น่ารักมากเลย
สุดท้ายก็รู้จักกันจริงๆ จังๆ แล้ว น่ารักมากเลยค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
-
เรื่องบังเอิญแบบนี้นี่โรแมนติกจังเลยค่าา~ :heaven อู๊ยย~ ทั้งสองคนทำเรายิ้มตามจนปวดแก้มเลยเชียวน้าา ><
เราว่าที่ธามไม่ยอมเขียนโปสการ์ดมาหาน่านเขาบ้างก็เป็นเพราะว่า ตัวจะมากระซิบเล่าเรื่องราวทุกอย่างเบาๆ ที่ข้างหูน่านเขาใช่ไหมล่ะค้า~ :oni1: จั๊กจี้แทนน่านจังเลย~
-
อะไรน่ะคุณธามๆๆๆๆ
เต๊าะพี่น่านรึหึหึ ไม่นึกว่าธามจะทะเล้น
อ่านตอนแรกนึกว่าเงียบขรึมซะอีก
อ่าลุ้นมากๆ อัพๆต่อน๊า
-
หว๊ายๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยเลยนะธามมม
-
อยากไปตามรอย ธาร น่าน จัง คิดถึงเชียงใหม่
-
แล้วน่านไปหาที่อยู่ซันมาจากไหนล่ะเนี้ย เก่งจัง หลังจากส่งผิดมาตั้งนาน ฮ่าๆๆๆ
แหม ถ้าธามบอกพี่เค้าซะตั้งแต่เนิ่นๆก็ไม่มีข้ออ้างเอาโปสการ์ดมาคืนถึงร้านน้ารินสิเนาะ
แล้วต่างคนต่าง"ร่างสูง"เรื่องนี้ใครพระใครนายต้องลุ้นต่ออีกใช่มั้ยคะ
เรตติ้งกำลังดี เอานโยบายละครไทยหน่อยมั้ย ยืดดดๆๆๆ
-
อมยิ้มเลย
-
โอยยย น่ารักมากกกกก
อ่านแล้วเย็นๆ วูบๆ วาบๆ สบายใจ
บรรยากาศชวนเคลิ้มเคลิ้มจริงๆ นะเนี่ย
ว่าแต่ธามไม่เขียนโปสการ์ดหาน่านบ้างหรอ?
ให้น่านเขียนเล่าอยู่ฝ่ายเดียวเลย 555555555
น่ารักเนอะ
รอธามกลับไปเยี่ยมร้านน้ารินอีก
-
เป็นนิยายรักที่โรแมนติกจัง. ทำเรายิ้ม เขิน มีความสุขมากๆค่ะที่ได้อ่าน. ขนาดยังไม่ได้เป็นคนรักกันนะเนี่ย555
เหมือนธามและน่านมีอยู่จริง และลุ้นให้เขาทั้งคู่รักกันจริงๆ. เป็นคู่รักคู่แท้กันเลยเนอะ
ตอนนี้อะไรก็เป็นเหมือนเราคู่กันเนอะธามน่าน
คนหนึ่งมาสร้างโรงเรือน อีกคนก็มีเมล็ดเพาะปลูกมาให้
คนหนึ่งจ้องมอง อีกคนก็ต้องเป็นฝ่ายถูกมองบ้างแล้ว555
คนหนึ่งส่งบอลไปถึง(ตั้งใจใช่ไหมอ่ะธาม555รู้นะ) อีกคนจำเป็นต้องรับบอลไว้ให้
คนหนึ่งเขียนโปสการ์ด อีกคนอ่านโปสการ์ด(รอคอยแต่จะอ่านอย่างเดียวไม่คิดเขียนไปบ้างหรือไอ้เด็กเพี้ยน555)
แนะนำให้ธามไปหาน่านเร็วๆ อยากรู้เรื่องราวเขาก็ต้องไปสัมผัส(น่าน)ด้วยตนเองค่ะ :mew2:
ธามหลอกเรา แกไม่ใช่คนเงียบขรึมอย่างที่คิดไว้อ่ะ
หรือว่าเป็นคนทะเล้น กวน เพี้ยนไปโดยอัตโนมัตเมื่อเจอคนพิเศษคนที่ใช่จ๊ะ555
ขอบคุณมากๆค่ะ ดีใจที่นิยายยังไม่จบ ไม่ว่าเรานะที่คิดแบบนี้.
อ่านทุกครั้งมีความสุข มีพลังจริงๆค่ะ :L2: :pig4:
-
ตอนจบ
ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวนักพฤกษศาสตร์หนุ่มมักใช้ช่วงเวลานี้เดินตรวจดูแปลงปลูกดอกเบญจมาศภายใต้หลังคาโค้งที่คลุมทับด้วยพลาสติกสีขาว รวมถึงตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้าภายในโรงเรือนที่ใช้สำหรับควบคุมไม่ให้ดอกเบญจมาศออกดอกเร็วกว่ากำหนด ร่างสูงเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกกระทั่งพ้นร่มหลังคาโรงเรือนจึงหยุดยืนทอดมองไปยังเนินเขาเบื้องหน้าที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟภายในโดมพลาสติกแบบเดียวกันที่เรียงตัวทอดยาวอยู่บนแนวคันดินลดหลั่นเป็นขั้นบันได เป็นดวงดาวบนผืนดินที่ทอแสงให้เห็นทุกค่ำคืนจนกลายเป็นภาพชินตาของคนแถวนี้
เหนือน่านยกมือขึ้นป้องปากเป่าลมร้อนให้อาการชาบรรเทาลงแต่ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ในช่วงเวลาแบบนี้การได้นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ คือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินกลับขึ้นมาที่หน้าสถานีวิจัยอีกครั้งตั้งใจจะกลับเข้าบ้านพัก แต่แล้วเสียงของเครื่องยนต์กับแสงไฟที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้ต้องหยุดรอดูว่าใครกันที่มาเยือนที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงลานจอดรถก็พบกับฟอร์จูนเนอร์สีดำขลับที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ประตูรถเปิดออกหลังจากเครื่องยนต์ดับสนิทได้เพียงไม่นานจากนั้นร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมายืนบิดให้กล้ามเนื้อได้คลายความเมื่อยล้า
“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” นั่นคือคำทักทายแรกที่เจ้าถิ่นกล่าวกับคนที่เพิ่งมาถึง
อีกฝ่ายปิดปากหาวหวอด ๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของร่างสูงที่สาวเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่วายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ชวนให้คนฟังเถียงไม่ออก “พูดยังกับติดต่อง่ายอย่างนั้นแหละพระฤาษี”
“ฤาษีบ้าอะไรเล่า” เหนือน่านมุ่นคิ้ว อดนึกคนที่นิยามตัวเขาด้วยคำนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน อรุณรุ่งเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง เขามีโอกาสพบเธออีกครั้งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ถ้าเมื่อหนึ่งปีก่อนธามไม่เอาโปสการ์ดมาคืนและไม่ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ติดต่อคุณลุงที่ขายบ้านให้เอาไว้กับน้าริน ตัวเขาก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนรักอีกหน
“ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมงถึงได้มาถึงเอาค่ำมืดแบบนี้ แล้วบอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา”
ธามทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปเปิดท้ายรถคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง หันกลับมาอีกทีก็พบว่าอีกฝ่ายยังมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบให้ได้จึงถอนหายใจเฮือก “แทนที่จะถามว่าเหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง” คนพูดวางหน้านิ่งก่อนจะเดินผ่านร่างเจ้าของคำถามมุ่งสู่ทางขึ้นบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปบนเนิน ไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจจะตอบคำถามนั้น
เหนือน่านโคลงศีรษะมองตามคนตัวสูงที่กำลังเดินห่างออกไปในความมืด นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนับแต่รู้จักกับธามคนนี้ เขามักจะทำเรื่องให้ต้องประหลาดใจเสมอ ดูภายนอกสุขุมนุ่มลึก หากได้รู้จักกันจริงจังแล้วละก็จะพบว่าเป็นคนหนุ่มที่ดื้อชนิดหาตัวจับยากทีเดียว กระนั้นแล้วก็ยังมีมุมสนุกสนานให้คนรอบข้างพลอยได้ยิ้มตามอยู่บ้าง
สองคนอาศัยแสงจากเสาไฟสูงหน้าที่ทำการสถานีก้าวตามกันไปบนทางลาดยางที่เวียนขึ้นสู่เนินเขา ในขณะที่คนเดินตามหลังกำลังจะซักไซ้ให้ได้ความก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะแสงจากไฟฉายกระบอกเล็กของใครคนหนึ่งที่สวนทางลงมา
“อ้าว เพื่อนมาเหรอน่าน” ปณิธิเอ่ยขึ้นพร้อมกับรับไหว้หนุ่มกรุงเทพฯ ที่เคยพบกันมาแล้วหลายครั้ง “พี่ว่าจะชวนลงไปในหมู่บ้านสักหน่อยเห็นอยู่ว่าง ๆ”
“พี่ธิจะไปทำอะไรเหรอครับ”
“ว่าจะไปหาอะไรร้อน ๆ ดื่มน่ะ ไม่ไหว อากาศมันหนาวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ลองไปชวนคนอื่นดูก็ได้” พูดจบหัวหน้านักวิจัยก็หันมากล่าวกับผู้มาใหม่ “นี่เพิ่งมาถึงเหรอ แล้วกินอะไรมาหรือยังไปนั่งดื่มด้วยกันในหมู่บ้านไหม”
“เรียบร้อยมาจากในเมืองแล้วครับพี่” ธามตอบพลางหันไปส่งสายตาให้คนที่ไม่คิดจะถามคำถามนี้กับเขาบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ”
วิศวกรหนุ่มค้อมศีรษะ มองตามร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินหายไปในความมืด เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าคนที่เดินตามกันมาเมื่อสักครู่เดินห่างออกไปแล้ว ขายาวรีบสาวเท้าก้าวตามในขณะที่ปากก็พร่ำบ่นไปด้วย
“คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน”
คนเดินนำหันกลับมาสบตาเจ้าของถ้อยคำประชดประชันเมื่อครู่ “ไม่ถูกหรือไง”
“ก็...”
ไม่รอฟังให้จบเหนือน่านก็เบนสายตาหนีเสียก่อน เท้ายังคงก้าวไปตามขั้นบันไดดินได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว”
ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังน้อยก่อนจะไขกุญแจเปิดประตู เชิญผู้มาใหม่เข้าไปด้านใน ทันทีที่ดึงประตูปิดเจ้าของบ้านก็ถามคำถามเดิมซ้ำ “แล้วตกลงว่าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่กี่โมง บอกแม่หรือเปล่า”
“ออกมาตั้งแต่เช้ามืด ถึงเชียงใหม่ก็แวะหาน้ารินแล้วก็ตรงมาที่นี่ ทำไมชอบทำตัวเป็นพี่ชายอยู่เรื่อย ไม่ได้อยากให้เป็นสักหน่อย” ธามบ่นพลางปลดเป้จากหลังวางลงกับพื้นก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ พื้นที่ขนาดไม่มากไม่มายนี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่เขาแวะมาในช่วงต้นหน้าฝน ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านเลยด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าห้องมากกว่า โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างมีแต่ตำราหนา ๆ เฟอนิเจอร์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นสมกับเป็นอาศรมฤาษีจริง ๆ
“ก็เพราะชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ไง” คนอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางของเหนือน่านตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่ชายใจเย็นที่กำลังสอบสวนน้องชายผู้เก็บงำความผิดเอาไว้ “สรุปว่ามานี่แม่รู้หรือเปล่า”
“รู้น่า ถ้าไม่เชื่อจะโทร.ไปคุยไหม จะต่อสายให้” พูดไปอย่างนั้น ไม่ต้องดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็รู้ว่าไม่มีสัญญาณ ที่นี่มันเมืองลับแลชัด ๆ
“ก็แค่นั้น ตอบคำถามที่เราถามมันยากเย็นตรงไหน มัวลีลาอยู่ได้”
“แล้วคำถามของธามล่ะตอบยากตรงไหน ทำไมเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมตอบสักที รอนานแล้วนะ” ธามกล่าวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงอย่างถือวิสาสะ ดวงตายังไม่ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“......”
คนรอถอนใจเบา ๆ ไม่มีอะไรผิดจากที่คาดหมายเอาไว้ ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดออกจากกลีบบาง เหนือน่านยังคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาเหมือนเคย เลี่ยงมาอย่างนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สารภาพความในใจให้รู้
“ซันส่งรูปลูกชายมาให้ดู” ธามเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วที่ทำให้พื้นที่แคบ ๆ ยิ่งแคบไปกันใหญ่ พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เดินมาหยุดแบมือรออยู่ตรงหน้า “ซันบอกให้เราบังคับน่านให้เปลี่ยนโทรศัพท์แล้วก็หัดเล่นโซเชียลมีเดียแบบคนอื่นเขาบ้าง ใช้อยู่ได้ไอ้เครื่องแก่ ๆ เนี่ย เห็นทีไรแล้วนึกว่าอยู่ในยุคคุณยาคุณยายยังเด็ก”
“พูดยังกับไม่เคยใช้” เหนือน่านกล่าวพลางคว้าสมาร์ทโฟนมาเปิดดูรูป
“เคยใช้ แต่ใช้ตั้งแต่เรียนมัธยมโน่น เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วครับคุณ”
“ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น”
ธามทอดตามองคนพูด ดวงดวงตาของเหนือน่านยังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยภาพของเด็กชายลูกครึ่งไทย-เยอรมันเจ้าของพวงแก้มยุ้ยน่าฟัด รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับกำลังมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่ปราศจากความรีบร้อน โลกที่ตัวธามเองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแต่ก็หวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะเปิดรับให้เขาได้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยกัน
“ระวังให้ดีจะโขมยไปทิ้ง” คนพูดลุกขึ้นก่อนจะเดินไปรั้งเป้ขึ้นมาวางบนเตียง ควานหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวตั้งใจจะอาบน้ำอาบท่าให้คลายความเหนื่อยล้าหลังจากขับรถมาทั้งวัน
“อยากโดนเตะก็ลอง”
ร่างสูงหัวเราะหึ วางชุดใหม่ลงบนเตียงก่อนจะขยับเข้าประชิด “กลัวตายละ” พูดจบก็ถือโอกาสพาดคางลงบนบ่ากว้าง กดตาลงมองปลายนิ้วที่ดึงเปลี่ยนภาพบนหน้าจอสัมผัส แขนแกร่งโอบรัดเข้าที่รอบเอวสวมกอดจากด้านหลัง “นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือมัวแต่ช่วยพี่ธิทำงาน เดี๋ยวต้องไปต่อว่าหน่อยแล้ว ทำไมทำน่านผอมขนาดนี้”
“ปล่อย แล้วก็ไปอาบน้ำไป” เหนือน่านกล่าว ถึงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มจะทำให้รู้สึกจั๊กจี้และแขนหนานั่นก็ทำให้รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้มันก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจให้เขาละสายตาจากภาพของเด็กน้อยผมสีน้ำตาอ่อนตรงหน้าไปได้
“นาน ๆ จะยอมให้ทำแบบนี้ใครจะปล่อยง่าย ๆ”
“ธาม ไปอาบน้ำไป” เสียงขรึมของคนอายุมากกว่าทำเอาคนฟังหน้าหน้ามุ่ย แต่ก็ได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าชื่อยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม กดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมจากเนื้อคอขาวอย่างจงใจ ไม่รอให้ถูกต่อว่าก็รีบผละออกคว้าเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เหนือน่านได้แต่ลูบต้นคอตนเองป้อย ๆ
เสียงน้ำจากฝักบัวดังแว่วมาจากหลังประตูห้องน้ำพร้อมกับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เจ้าของบ้านถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เตียง ดวงตายังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่งแต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ได้นิ่งตามเลยสักนิด ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสไปเรื่อย ๆ จากภาพของลูกชายเพื่อนเปลี่ยนเป็นภาพที่เจ้าของโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อตอนไปออกไซต์งาน ภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ เมื่อครั้งไปสังสรรค์ ภาพของแม่ และภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับฟุบอยู่กับหนังสือ เหนือน่านยังคงจ้องมองภาพของตัวเองอยู่อย่างนั้น หูได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำพลันกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่และน้ำยาสระผมก็หอมฟุ้งไปทั่วห้อง รู้ตัวอีกทีตอนที่ธามวางผ้าเช็ดตัวลงมาบนศีรษะในขณะที่แว่นสายตากับโทรศัพท์ในมือถูกดึงห่างออกจากตัวพร้อม ๆ กัน
“เลิกดูได้แล้ว” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางวางทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นเอนหลังพิงกับเตียง “เช็ดผมให้หน่อย”
เหนือน่านขมวดคิ้ว เริ่มจะหมดความอดทนกับไอ้เด็กเอาแต่ใจตัวเองคนนี้เต็มที มือรั้งผ้าผืนนุ่มลงมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะโปะลงบนหัวชื้น ๆ จากนั้นจึงออกแรงขยี้ด้วยความมันเขี้ยว
หรือหมั่นไส้?
“เบา ๆ หน่อย หัวจะหลุดอยู่แล้ว”
เสียงบ่นงึมงำของผู้ถูกกระทำเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า คนช่างแกล้งจึงจำต้องผ่อนแรงลง
“โปสการ์ดที่ส่งไปน่ะได้รับบ้างหรือเปล่า”
“ได้รับสิ อ่านทุกใบ ใบละหลาย ๆ รอบเลยนะ”
“ให้แต่เราเขียนถึง แต่ตัวเองกลับไม่ยักเขียนถึงเรา ประหลาดคน”
“ธามอยากมาพูดด้วยตัวเองนี่นา คิดถึงก็บอกคิดถึง แต่ถ้าน่านเบื่อเขียนก็ไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้ เอาไว้เราจะมาฟังเรื่องของน่านทุกอาทิตย์เลยดีไหม”
“นึกว่าขับรถไปกลับที่ทำงานหรือไง” เหนือน่านกล่าวในขณะที่มือยังจับผ้าขนหนูค่อย ๆ บรรจงซับน้ำที่เส้นผมสีเข้ม ไม่นานก็แห้งสนิท “เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับดันหลังอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นไปตากผ้าเช็ดตัว เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเขาก็ว่าธามกระโดดขึ้นไปนอนตะแคงขดหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเสียแล้ว
เจ้าของห้องเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมารั้งผ้าห่มที่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ก่อนจะล้มตัวลงนอน ห้องทั้งห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาติดฝาผนังและเสียงลมหายใจของคนข้าง ๆ จะว่าไปก็ยังมีอีกเสียง เหนือน่านลืมตาทันทีที่รู้สึกว่ามีของหนัก ๆ กดลงหน้าอก ไม่ใช่ผีอำแต่เป็นคนที่จู่ ๆ ก็ขยับตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แถมยังเอาหัวหอม ๆ หนัก ๆ วางลงบนอกเสียอีก
“เพิ่งรู้ว่าคนเป็นเพื่อนกันเขาใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้กันแบบนี้” ธามเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตา
“ออกไปห่าง ๆ ไป ถ้าไม่อยากโดนยันตกเตียง”
“พี่น่านกล้าเหรอครับ ถ้ากล้าก็ลองดู ธามจะทำให้มากกว่ากอดอีก” เสียงอู้อี้ทำคนฟังนอนตัวแข็งทื่อ แผงอกที่กระเพื่อมเบา ๆ นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไอ้เด็กเพี้ยนนี่คงกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ
“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” พูดจบก็แทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงที่กลุ่มผมนุ่มมือจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบา ๆ
...
ธามถูกปลุกให้เตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไม่รู้ว่าเจ้าถิ่นอย่างเหนือน่านหวังดีหรือจงใจแกล้งกันแน่ กระนั้นแล้วก็ยังรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะพากันมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 42 ของเส้นทางสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ที่ดูท่าแล้วคงจะมีแต่พวกเขากับนักท่องเที่ยวอีกไม่กี่คนเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด
ฟอร์จูนเนอร์สีดำถูกจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถหน้าทางเข้าเส้นทางศึกษาะรรมชาติกิ่วแม่ปานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน สายหมอกยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณเหมือนผืนผ้าที่ห่มคลุมขุนเขาเงียบสงบไม่ต่างอะไรกับคนกำลังนอนหลับ นาน ๆ จะได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับผ่านมาสักที สองคนเดินตามกันไปยังที่กั้นข้างทางเพื่อรอเวลาที่แสงแรกของวันจะปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องหน้า หากโชคดีฟ้าเปิดก็คงจะได้เห็นดอยหัวเสือที่นอนชูหัวเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหุบเขา
“ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือไง” คนสวมเสื้อกันหนาวมีฮูทกล่าวเสียงสั่นนั่นเพราะความเย็นของอากาศที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาเซลเซียส
“เห็นอยู่ทุกวัน ก็เลยอยากให้มาเห็นด้วย” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับดึงฮูทขึ้นคลุมศีรษะให้
“อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็น แค่ตื่นเช้า ๆ”
“ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันใคร ๆ เขาคงไม่ทนหนาวจนปากสั่นมานั่งรอดูกันหรอก”
“ฤาษีนี่ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาเนอะ” พูดจบแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของคนที่ไม่ทันระวังตัว
“จะกอดทำไม ไปห่าง ๆ เลย”
“ทีเมื่อคืนยังยอมให้กอดทั้งคืน อยากให้เพื่อนหนาวตายหรือไง ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีหน่อยสิ”
คนฟังส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ตรงนี้มันเป็นช่องลมพอดี ถ้าหนาวก็ไปนั่งอีกฝั่ง” พูดจบเหนือน่านก็ก้าวข้ามไปยืนอยู่อีกฟากของที่กั้นข้างทางก่อนจะนั่งเหยียดขาลงกับลาดเขาที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาว ทอดตามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมีแสงสีส้มเป็นแบ่งในแนวขวาง
“ตรงนี้ไม่หนาวจริงด้วย” คนที่ตามมานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยขึ้นจากนั้นก็มองไปที่จุดเดียวกัน เพียงไม่นานลำแสงเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือทิวเขาทางด้านซ้าย
“มองเห็นไหม นั่นดอยหัวเสือ”
“ไม่เห็นมีเสือสักตัว”
“นั่นไง” พูดแล้วก็จับปลายนิ้วของอีกฝ่ายชี้ไปยังยอดเขาที่เห็นอยู่ลิบ ๆ จากนั่นก็ขยับวาดไปตามแนวสันเขา
“ไหน” ธามกล่าวพร้อมกับมองตามปลายนิ้วของตัวเอง ที่กำลังลากซ้ำไปมาอยู่ในอากาศ
“เห็นไหม นั่นหลัง ขึ้นมาเป็นหัว นี่จมูก มันกำลังหันหน้าไปทางนั้น”
“เห็นแล้ว เหมือนเสือจริง ๆ ด้วย” คนอายุน้อยกว่าร้องขึ้นราวกับได้ค้นพบบางสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก ที่มีคนบอกว่าจินตนาการอยู่นอกเส้นบรรทัดนั้นน่าจะจริง
“กรุงเทพฯ มีไหม แบบนี้น่ะ ตื่นมาแล้วเจอดอยหัวเสือ มีแต่ตื่นมาแล้วเจอคนหัวเสียทั้งนั้น”
เจ้าของสองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเย็นของอากาศฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
“ยิ้มอะไร”
“กำลังคิดว่าโลกของน่านมันคงเป็นโลกที่เงียบสงบดี ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องแย่งชิง ไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ใช้โทรศัพท์จอขาวดำก็หรูแล้ว เมื่อไรจะให้ธามเข้าไปอยู่ด้วยกันบ้าง”
เหนือน่านเบือนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงสีทองอาบคลุมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มเลือกที่จะใช้ความเงียบตอบคำถามนั้นเช่นเคย
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” คนถามกล่าวพลางกดตาลงต่ำมองตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า “เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปเดินกิ่วกัน ถ้าธามเดินออกจากกิ่วได้ก่อนเที่ยง เราสองคนมาเป็นแฟนกัน”
“จะบ้าเหรอ ใช้เวลาน้อยขนาดนั้นได้ขาดใจตายอยู่บนกิ่วกันพอดี”
“ไม่รู้ละ ไม่อยากรอแล้ว แต่ถ้าขาดใจตายอย่างที่ว่าจริงก็น่าดีเหมือนกัน น่านจะได้ไม่ต้องรำคาญใจอย่างที่เป็นอยู่” พูดจบธามก็พรวดลุกขึ้นกระโดดข้ามที่กั้นข้างทางตรงไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
หลังจากหาอะไรกินให้หนักท้อง สองคนก็เดินขึ้นไปที่ที่ทำการแต่ก็ไม่ทันได้ใช้บริการคนนำทางที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนซึ่งพอดีกับจำนวนนักท่องเที่ยว 2-3 กลุ่มที่มาถึงก่อน ดังนั้นจึงต้องรอเวลาให้พวกเขาเหล่านั้นเดินกลับออกมาอีกครั้ง
“ธามไม่รอนะ จะไปเดี๋ยวนี้ละ”
“ได้ยังไง มันเป็นกฎ”
“น่านก็นำทางได้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ข้างนอก เดี๋ยวธามกลับมา รับรองว่าก่อนเที่ยงแน่ ๆ” พูดจบวิศวกรหนุ่มจอมดื้อก็คว้าไม้ค้ำยันก่อนเดินหายเข้าไปในเขตป่า
“ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” เหนือน่านโคลงหัวอย่างอิดหนาระใจก่อนจะเดินไปลงเวลาเข้าที่สมุด เลือกไม้ค้ำยันที่เหมาะมือจากนั้นจึงเดินตามเข้าไป
ธามก้าวอาด ๆ ไปตามทางดินลาดชันสลับกับขั้นบันไดในป่าที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก ท่าทางเอาจริงของเขาทำให้คนเดินตามหลังอดเป็นห่วงไม่ได้ เหนือน่านเร่งฝีเท้าตามติดมองอีกฝ่ายไม่คลาดสายตา แม้ตัวเขาจะเดินป่าแถบนี้อยู่บ่อยครั้งแต่การเดินแบบไม่พักเช่นนี้ก็ทำให้แย่ได้เหมือนกัน จากหายใจทางจมูกเปลี่ยนมาเป็นผ่อนลมออกทางปาก ธามเองก็คงไม่ต่างกัน ทันทีที่เห็นร่างสูงเริ่มชะลอฝีเท้า ขายาวก็ก้าวพรวด ๆ จนกระทั่งทันกัน
“ไม่ต้องรีบเดินนักหรอก อากาศบนนี้มันน้อย ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งเหนื่อย เขาถึงต้องมีคนนำทางไง จะได้หยุดให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเป็นการแวะพักไปในตัว”
“บอกแล้วไงว่าจะกลับออกไปก่อนเที่ยง” คนหัวรั้นหอบแฮ่ก ๆ ในที่สุดก็จำต้องนั่งพักที่ที่นั่งข้างทางซึ่งทางอุทยานจัดเอาไว้ให้
เหนือน่านได้แต่ฟังเฉย ๆ ปลดเป้สะพายหลังก่อนจะหยิบขวดน้ำส่งให้ “ดื่มน้ำก่อน”
“ตั้งใจจะถ่วงเวลาใช่ไหม นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับเราขนาดนั้นเลย?” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่วายคว้าขวดน้ำมาเปิดดื่มด้วยความกระหาย
“แค่อยากให้อยู่นาน ๆ หรอกน่า ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะรีบร้อนไปไหน ข้างทางมีอะไรให้ดูตั้งเยอะ กว่าเราจะคุ้นเคยกับที่นี่จนเดินได้แบบที่ไม่ต้องมีคนนำทางก็ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นไปเรื่อย ๆ” เหนือน่านยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ขอนไม้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านที่เกาะเกี่ยวให้ร่มเงาให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนดิน มั่นใจว่ารู้จักต้นไม้ทุกต้นที่ดีพอ ๆ กับที่รู้จักตัวเอง “เดี๋ยวพอสุดเขตป่านี้ก็เป็นทุ่งหญ้าแล้วก็จุดชมวิว บางทีถึงตรงนั้นแล้วอาจจะเกิดหลงรักจนไม่อยากกลับออกไปก็ได้นะ”
ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วอารมณ์ร้อนรนกระวนกระวายของธามก็พอจะสงบลงบ้าง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน หากเดินขึ้นไปคงต้องพบกับน้ำตกซึ่งเป็นต้นน้ำแน่ ๆ
“ทำไมถึงมาเป็นนักพฤกษศาสตร์” คำถามนั้นทำเอาคนฟังกระตุกยิ้ม
“ตอนแรกก็ว่าจะเรียนวิศวะนะ แต่โลกนี้มีวิศวกรเยอะแล้ว เลยเปลี่ยนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์แทน”
“คนละแบบกันเลยนะ”
“แต่ก็เป็นคนสร้างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จุดมุ่งหมายของวิศวกรคือการสร้างตึกที่แข็งแรงคงทน จุดมุ่งหมายของนักพฤกษศาสตร์อย่างเราก็คือการสร้างต้นไม้ใบหญ้าป่าไม้ที่แข็งแรงแข่งกับวิศวกรไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวมาเป็นแฟนวิศวกรเถอะ” พูดจบธามก็ยกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเริ่มเดินต่อ
กว่าสองคนจะเดินหลุดจากเขตป่าก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เหนือน่านพาธามเดินลัดเลาะไปสันเขาบนทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าแห้งสีน้ำตาลทองตัดกับสีของท้องฟ้า สายลมพัดดอกหญ้าสีขาวฟุ่งกระจายอาจจะให้ความรู้สึกแห้งแล้ง แต่ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ
ธามเดินตามคนนำทางกิตติมศักดิ์มาจนกระทั่งมาหยุดพักเหนื่อยที่ระเบียงไม้ซึ่งเป็นจุดชมวิว จากจุดนี้มองเห็นหมอกสีขาวเป็นปุยคลื่นแผ่คลุมไปจนสุดขอบฟ้า ร่างสูงก้าวไปยืนที่ปลายระเบียงดึงฮูทที่คลุมศีรษะออกก่อนจะกางแขนปล่อยให้กระแสลมพัดปะทะร่าง เพียงเท่านี้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการบุกป่าฝ่าดงก็แทบมลายสิ้น ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเมฆก็ไม่ปาน
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน่านถึงหลงรักที่นี่ สวยอย่างนี้นี่เอง”
“เริ่มหลงรักที่นี่หรือยัง”
คนถูกถามส่ายหัวก่อนจะหันมาตอบ “ไม่ได้หลงรักเฉพาะสถานที่นะ ค...คน...ก็...”
“เอ้า! กินน้ำ มัวแต่พูดมาก ลมเข้าปากคอแห้งพอดี” เหนือน่านแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำจ่อปากคนพูดก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเมื่อเห็นหน้าตลก ๆ ของอีกฝ่าย
“ขอบคุณ” ธามกล่าวด้วยเสียงห้วนที่สุด ในเมื่อทำกันขนาดนี้เขาก็จำใจรับมันมาดื่ม ดื่มเสียให้หมดขวดจะได้ไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้างอีก
ใช้เวลาพักเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงไม้ได้พักใหญ่ สองหนุ่มก็ออกเดินทางต่อไปตามแนวสันเขา ครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีของนักศึกษาธรรมชาติมือใหม่อย่างธามที่มีโอกาสได้เห็นดอกของต้นกุหลาบพันปีที่ขึ้นอยู่ข้างทาง
“นั่นน่ะเขาเรียกว่ากุหลาบพันปี” เหนือน่านชี้ไปที่ดอกสีแดงสดบนยอดไม้สูงขึ้นไปที่ใคร ๆ ที่มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์หวังจะได้เห็น
“ไม่เห็นเหมือนกุหลาบเลยสักนิด” ธามขมวดคิ้ว
“มันเป็นพืชในวงศ์กุหลาบป่าน่ะ”
“อายุเป็นพัน ๆ ปีเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะว่าที่ลำต้นของมันจะมีมอสเกาะจนดูเหมือนต้นไม้โบราณ เขาก็เลยเรียกว่ากุหลาบพันปี”
คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ พลางดึงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาบันทึกภาพเก็บไว้ “เดี๋ยวจะเอากลับไปอวดไอ้เนมัน เผื่อมันจะอยากมาบ้าง”
เหนือน่านยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางแบบเด็ก ๆ ของเขา ธรรมชาติข้างทางคงทำให้ลืมจุดมุ่งหมายเดิมไปเสียแล้วกระมัง
...
“เฮ้อ ไม่ทันจนได้” ธามบ่นพึมพำขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัลที่แสดงเวลาเกือบบ่ายสองโมง ชายหนุ่มวางไม้ค้ำยันไว้ที่ทางเข้าก่อนจะจัดการล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงเดินข้ามถนนไปนั่งพักให้หายเหนื่อยยังที่กั้นข้างทางมองดูทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน แม้จะเลยเที่ยงวันมาแล้วอากาศบนนี้ก็ยังคงหนาวเย็นไม่เปลี่ยน ดีกว่าช่วงเช้าก็ตรงที่พอจะมีแสงจากดวงอาทิตย์ให้ได้รู้สึกอุ่นอยู่บ้าง
“เหนื่อยเหรอ” คนที่เดินมานั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“เปล่า”
“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าอย่างกับคนหมดแรงแบบนี้ล่ะ” เหนือน่านยังคงถามต่อ
“จะซ้ำเติมกันหรือไง ก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร”
“ไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้เราจะถามเหรอ สรุปว่าเป็นอะไรเนี่ย”
ธามหรี่ตามองเมื่อถูกซ้ำซี้มากเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปมจนคนมองอยากจะจับคลายออกจากกันให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เห็นไหมว่ามันเกินเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว”
“เกินที่ไหนกัน ไม่เชื่อดู” พูดจบก็ยกนาฬิกาที่ข้อมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน
“สิบเอ็ดโมง...ห้าสิบห้านาที” ธามเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของนาฬิกาที่กำลังมองมาที่ตนเองเช่นกัน รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้อยากจะโผลเข้ากอดแน่น ๆ ให้สมกับสิ่งที่เขาพยายามทำให้ ความสิ้นหวังในใจวูบหายราวกับถูกกระชากออกด้วยมือของเจ้าของเวลา
“เห็นไหมว่าเหลืออีกตั้งห้านาที”
“ไปแอบปรับมาตอนไหน”
“แอบปรับอะไรเล่า ก็บอกแล้วไงว่าเวลาของเราเดินช้ากว่าคนอื่น” เหนือน่านตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่
“เราไม่ได้ตอบช้าไปใช่ไหม”
“ม...ไม่ ไม่เลย” ธามส่ายหัวดิก “แต่ถึงจะช้ากว่านี้เราก็จะรอ” พูดจบก็รั้งมือของอีกฝ่ายมาวางบนหน้าขาก่อนจะแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ไม่ให้ห่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากผลลัพธ์ที่ได้จากการเดินทางของเหนือน่านคือการได้เห็นสิ่งสวยงามตลอดสองข้างทางไปจนกระทั่งถึงจุดหมายแล้ว สำหรับเขาเองผลลัพธ์ของการรอคอยนั้นก็งดงามมิได้ต่างกัน
...จบ...
...
จบแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
-
ทำไมฟิน~
-
โรแมนติกเหลือเกินค่าา :heaven อ่านๆ ไปแล้วอย่างกับเราได้ไปยืนอยู่ที่ยอดดอยอินทนนท์พร้อมๆ กับทั้งสองหนุ่มเลยล่ะค่ะ >< บรรยากาศอุ่นๆ หนาวๆ ฟุ้งกระจายออกมาเต็มไปหมดเลย~ อ่า~ ล่องลอยเลยทีเดียวเชียว
เราชอบภาษาที่น่านกับธามเขาใช้สื่อสารกันจังค่ะ ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มมากๆ เลย ^^ แถมยังเพราะพริ้งเสียจนราวกับว่าทั้งสองคนได้กลับไปเป็นเด็กน้อยสมัยอนุบาลที่จูงมือกันไปเรียนมากเลยล่ะค่าา เราอย่างนั้น~ ธามอย่างนี้~ เฮ้อ~ ละมุนละไมที่สุดเลย~ :oni1:
ดีใจกับธามด้วยจริงๆ นะคะที่น่านเขาตอบตกลงเป็นแฟนกับธามเสียที ไม่คิดเลยค่ะว่าน่านจะปรับเวลาได้ช้าไปหลายชั่วโมงขนาดนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของธามที่สุดเลยเน้ออ~
ปล. ขอตอนพิเศษต่ออีกได้ไหมค้าา >//<
-
ธามขี้อ่อยอ่ะค่าาา คึคึ
แต่น่านนี่คงเส้นคงวาจริงๆ ถ้าไม่มีตอนท้ายที่หมุนเข็มนากา เราคงนึกว่าน่านคิดแค่เพื่อนแล้วนะ
-
อ่านไปยิ้มไป ในเรื่องอากาศหนาว แต่ตอนนี้ข้างนอกร้อนมาก
ชอบบรรยากาศ นิ่งๆเรื่อยๆ เหมือนเวลาเดินช้าๆ แบบนี้จังค่ะ
อยากจะปลีกวิเวก ได้แบบนี้บ้าง
-
เหนือน่าน คนเจ้าเล่ห์ แหมๆเพิ่งเคยเห็นพระเอกซึน ฮ่าๆๆๆ
ส่วนธามขี้อ่อยมากอ๊ะ รุกสุดๆเลย
แต่ไงๆก็ดีใจกับธามด้วยนะ
คราวนี้อ่อยจนให้เหนือทนไม่ไหวจับกดเลยฮ่าๆๆๆๆ
อยากได้ตอนพิเศษนี่ยังไม่จบชะะ เหมือนมันยังไม่จบยังขาดๆอะไรไป
ช่วยเติมเต็มความหวานที ><
-
น่ารักมาก
-
ธามน่ารัก รุกหนักน่าดู 5555
น่านเองก็เจ้าเล่ห์นะ แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้ :impress2:
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆ สนุกๆแบบนี้นะคะ :pig4:
:mew1: :L2:
-
น่านน่ารักมากเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายที่น่ารักเรื่องนี้นะค่ะ
-
อ่านจบยิ้มแก้มแตก
ชอบเรื่องแนวนี้ของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าที่สุด
นิยายที่ไม่เหมือนนิยาย เป็นธรรมชาติและแสนจะโรแมนติก
เสียใจที่มาอ่านช้าไปหน่อย แต่ดีใจที่ได้อ่านจบในคราวเดียว
อิ่มเอมกันไป ขอบคุณมากค่ะ
-
ตอนนี้ดีมากกกก ปริ่มอ่ะ
แต่โดนหลอกกก ธามเป็นพระเอกซะงั้น 55555
ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่แบ่งปันกันค่ะ
รอติดตามผลงานอื่นๆ ค่ะ ^^
-
คนแต่งบอกให้จิ้นเอง
งั้นก็มโนเอาว่าธามเป็นพระเอก น่านเป็นนายเอกนะ
แต่ที่จริง อยากอ่านแนวผลัดกันแหละ ฮี่ๆๆๆ
นี่คุณแม่รู้จักว่าที่ลูกสะใภ้แล้วใช่มั้ย
เค้ามีห่วงความรู้สึกคุณแม่ด้วยนะ
กลัวลูกชายแอบมาหาสะใภ้โดยไม่บอกแม่แหละ เออออ
คนอ่านมโนไกลมาก ต้องมีความสามารถในการมโนในขั้นสูงค่ะ
เพราะคนแต่งเขาให้เรามโนเอง กร๊ากกกก
อยากจิแฝงตัวเป็นตุ๊กแกไปเกาะฝาห้องคุณนักพฤกษศาสตร์ซะจริง
ขอบคุณสำหรับผลงานอีกเรื่องที่แต่งมาให้เราเสพ
หวังว่า ถธปทฟ จะได้มีโอกาสแต่งเรื่องดีๆน่ารักๆมาให้เราอ่านเรื่อยๆ
เป็นกำลังใจให้ และจะเฝ้ารออ่านผลงานต่อไปนะคะ (หวังว่าจะมาอีก เร็วๆ คริคริ)
-
ฟินมากกกกกกกกก
-
อ่านตอนจบแล้วเราคิดว่าเป็นนิยายแนวปรัชญาไปเลยค่ะ
เราเห็นความรัก ความเชื่อ ความปรารถนาดี ความพยายาม ความอดทน ความหวัง และปาฏิหารย์
ธามมีความมั่นใจมากที่จะคบหากับน่าน คงเชื่อในรักครั้งนี้มากๆ เป็นรักแรกพบของนายที่เจอกับน่านที่ร้านน้ารินใช่ไหมธาม
โลกของธามคงได้กำหนดไว้แล้วว่าธามกับน่านต้องคู่กัน
พี่น่านก็ได้ทำให้เกิดปาฏิหารย์กับธาม ก็พี่น่านเคยบอกไว้แล้วเนอะว่า"ก็เวลาของเราเดินช้ากว่าของคนอื่น" เป็นตัวตนของน่านจริงๆ
เวลาบ่ายสองโมงหรือสิบเอ็ดโมงห้าสิบห้านาที ไม่ว่าเวลาไหนกันแน่ที่ถูกต้อง แต่ความจริงที่ได้รู้คือ. น่านรักธาม
ขอบคุณโลกของน่านที่เลือกธามมาอยู่เคียงข้าง
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ แม้เป็นเรื่องสั้นแต่ก็ยังให้อะไรมากมาย
ชอบบรรยากาศฤดูหนาวมากๆ สถานที่และต้นไม้ก็รีบไปค้นหารูปมาดูเลยได้
ถ้าได้ไปกิ่วแม่ปาน แล้วเห็นหนุ่มหล่อสองคนเดินด้วยกัน คงได้จิ้นเป็นธามน่านเป็นแน่แท้555 :-[
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ. มีนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน. ชอบเรื่องนี้มากๆ ยิ้มทั้งเรื่องจริงๆ
มีความสุขที่ได้อ่านทุกเรื่องเลยค่ะ. รอคอยและติดตามผลงานของนักเขียนเสมอนะคะ :L2: :mew1:
-
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์นะคะ เราอาจจะไม่ได้ตอบแต่ก็อ่านทุกคอมเม้นต์
หรือบางทีอ่านผ่านไปแล้วว่าง ๆ ก็เปิดเข้ามาย้อนอ่านใหม่ค่ะ
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันมาเรื่อย ๆ นะคะ
สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็อย่างที่หลาย ๆ คนรู้สึกได้ค่ะ
อยากนำเสนอเกี่ยวกับความเป็นเพื่อน ความหวังดี
แล้วก็การรอคอยที่จริง ๆ สุดท้ายอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้
แต่ในเรื่องนี้เราเลือกที่จะให้สมหวัง อยากเสนอให้เห็นว่าชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง
มีบางอย่างเราก็ต้องใช้เวลาในการรอคอย วันนี้ไม่เห็นท้องฟ้าสวย ๆ แบบนี้ ครั้งหน้ากลับมาใหม่อาจจะเจอก็ได้
ส่วนในระหว่างทางที่เดินไปก็มีอะไรให้ได้เห็นได้เรียนรู้อีกมาก ไม่ต้องรีบร้อนเดิน
จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้รู้สึกว่าน่านเจ้าเล่ห์หรอกค่ะ
น่านก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีความห่วงใยให้คนอื่น
ตั้งแต่ต้นทางที่บอกว่าไม่ต้องรีบร้อนเดินนอกจากจะห่วงเรื่องสภาพร่างกายแล้ว
ยังจะบอกธามเป็นนัย ๆ ว่าเรื่องคบกันไม่ต้องรีบนักก็ได้ ขนาดเดินป่าในเส้นทางนี้ให้ชำนาญยังต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักต้นไม้ไปเรื่อย ๆ
แต่ไม่รู้ธามมันจะทันคิดไหม 555 มัวแต่จะเดินให้ทันเที่ยง
เรื่องที่หมุนเข็มนาฬิกา ส่วนหนึ่งก็ตอกย้ำว่าไม่รีบ แต่ก็เห็นถึงความตั้งใจนะ ยอมตกลงแล้วละ แต่จะให้พูดตรง ๆ มันก็ยาก เลยใช้วิธีนี้
สงสัยจะปรัชญาจริง ๆ :mew5:
คือทุกครั้งที่อ่านคอมเม้นต์ของทุกคนก็จะรู้สึกขอบคุณที่หลาย ๆ คนอดทนอ่านงานของเรา ที่อาจจะดูไม่ค่อยเป็นนิยายรักหวานแหวว วัยรุ่นกรุบกริบแบบนี้ค่ะ
ก็คนแก่เขียนนี่เนอะ 5555
-
เราชอบผลงานของนักเขียนมากๆ เมื่ออ่านแล้วมีความสุข ยิ้มไปกับตัวละครเลยค่ะ
ชอบภาษาที่อ่านง่าย เนื้อเรื่องน่าติดตาม ตัวละครที่มีเสน่ห์ มีข้อคิดและมุมมองดีๆให้เสมอเลยค่ะ
เรารู้สึกเสียดายแทนคนที่พลาดอ่านนิยายของนักเขียนจังค่ะ
คิดว่าใครที่ได้มาอ่านครั้งแรกก็ต้องชอบมากๆแน่นอนค่ะ
นักเขียนเขียนนิยายในแบบที่ผ่านมาดีมากๆเลยค่ะ o13
รอคอยผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณนักเขียนที่น่ารักมากๆอีกครั้งค่ะ :pig4: :3123:
ปล. ธามน่านหลังเป็นแฟนกันแล้วจะมีกิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกันอีกบ้างนะ ให้เราไปจินตนาการเองใช่ไหมค่ะ555 :-[
-
อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้
"สวยงาม"
มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วนั่งอมยิ้ม
ขอบคุณนะคะ :hao3:
-
น่ารักกก โรแมนติกมากก
-
น่ารักมากอะ ภาษาสวยมาก บรรยายได้ดีมาก คิดตามแล้วภาพลอยออกมาเลย มืออาชีพชัดๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ
-
โอ้ยยยยยยยย น่ารักมากกกกก ฮือวววววววววววววว
อ่านจบแล้วยิ้มตามแบบแก้มจะแตก :hao5:
ธามน่ารักไม่ไหวแล้ว แงงงงงงงงงงง
พี่น่านขาา นี่ถ้ายังไม่ตอบตกลงเป็นแฟนธาม เราก็จะเสนอตัวเองแล้วค่ะ
ชอบบรรยากาศท่ามกลางขุนเขา สายลม สายหมอกแบบนี้มาก
อ่านแล้วรู้สึกมันนุ่ม ละมุน เบาสบาย
ชอบความช่างตื้อของธามจริงๆ นะคะ ฮืออออออ ธามน่ารักมากอ่ะ
ตอนขอแบบแฟนนี่แบบ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
อ่านเรื่องนี้จบแล้ว นอกจากจะทำให้เราอยากไปเที่ยวกิ่วแม่ปาน
ยังอยากทำให้เราชวนคนที่ชอบไปเที่ยวด้วยค่ะ ถ้าเราเดินออกมาก่อนเที่ยงเป็นแฟนกันนะแก แอร๊ยยยยยย
:-[ :-[ :-[
-
โรแมนติกที่สุด
-
:-[ ละมุนมากก ชอบบ
อ่านแล้วรู้สึกว่าเวลาเดินช้าไปพร้อมๆกับน่านเลยค่ะ
คนแบบนี้น่ารักกก ธามก็น่ารัก ตอนแรกนึกว่าจะขรึมๆซะอีก
กลายเป็นเด็กน้อยไปซะงั้น ฮ่าๆ
บรรยายธรรมชาติได้สวยงามมากจนอยากไปเที่ยวชมบ้างเลยค่ะ
-
ตอนพิเศษ (1)
ถ้าโลกของผม เป็นโลกเบี้ยว ๆ ที่หลอมรวมขึ้นจากความเร่งรีบดิ้นรนไขว่คว้าแล้วละก็
โลกของเขาคงเป็นโลกที่เข็มวินาทีเดินช้าและท้องฟ้าก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่ากำลังขาจะไปถึง
และถ้าหากภาพการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาเป็นภาพชินตาที่ผมเห็นทุกเช้า
ในโลกที่แสนเงียบสงบของเขา เขาและใคร ๆ กลับตื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้คนอื่น
เป็นโลกคนละใบ…
แต่ถูกเชื่อมกันไว้ด้วยความคิดถึง
ที่ปลายทางความคิดถึงของผมคือเขา แล้วปลายทางความคิดถึงของเขาเป็นใครน่ะเหรอครับ...
...
มีเรื่องเยอะแยะอยากเล่าให้ฟัง
รีบมาไว ๆ ล่ะ
น่าน
ดวงตาคมยังคงทอดมองกระดาษแผ่นน้อยในมือ เป็นกระดาษวาดเขียนที่ครูขันคำใช้เป็นสื่อการสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของพืช เห็นว่าสวยดีจึงขอมาเขียนโปสการ์ดก่อนจะออกสำรวจป่าต้นน้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เพราะไม่มีปากกาจึงต้องขอยืมดินสอของเด็ก ๆ เขียนแล้วหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์บนดอย กว่าจะเดินทางถึงคนที่ปลายทางก็ปาเข้าไปเกือบสองเดือน
เหนือน่านยิ้มให้กับกระดาษใบเล็กในมือก่อนจะวางมันบนหัวเตียงเมื่อไฟภายในบ้านดับลง พื้นที่ขนาดพอให้นักพฤกษศาสตร์ผู้รักสันโดษอาศัยอยู่ได้สบาย ๆ ปกคลุมไปด้วยความมืด ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามาก่อนจะหยุด จากนั้นที่นอนฝั่งที่ถูกเว้นว่างไว้ก็ยุบยวบลง
“เขียนอะไรไว้ตรงนั้น” คนที่เพิ่งสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเอ่ยขึ้นพร้อมกับวาดแขนแกร่งรัดรอบเอวรวบรั้งร่างที่นอนตะแคงหันหลังเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบที่ซอกคอขาวแล้วค่อยผละออกรอฟังคำตอบ
“ตรงไหน”
“ยังจะถามอีกว่าตรงไหน” นึกถึงรอยหม่น ๆ เหนือชื่อคนส่งแล้วยังขัดใจไม่หาย “เห็นนะว่าลบออก”
“ไม่ได้ลบนี่”
“อย่ามาจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” จบประโยคของธาม เหนือน่านก็หัวเราะพรืด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอดคิดไม่ได้ว่าไอ้หมาน้อยตัวนี้จะรู้ไหมว่าที่พูดออกมานั่นหมายความว่าอะไร
“แปลว่าอะไรรู้เหรอ”
ธามมุ่นคิ้ว พอถูกถามแบบนี้ก็ชักไม่มั่นใจในตัวเองเสียแล้ว ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากคนในอ้อมกอดเสียให้สมกับที่คิดถึง
“พอน่า จั๊กจี้” ทำเสียงดุพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ
“แปลว่าอะไรตอบมาก่อน”
“ไม่รู้แล้วพูดได้ยังไง”
“ก็พูดตามน้าริน”
คนฟังเลิกคิ้วพลางขยับหนีจากปลายจมูกอยู่ไม่สุขที่กำลังลากจากต้นคอมาหยุดยังข้างแก้มของตนเอง
“น้ารินบอกว่าให้ระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” พูดจบก็แตะปากลงกับเนื้อแก้มนิ่มก่อนเลื่อนมากระซิบที่ข้างหู “สรุปแปลว่าอะไร”
“อยากรู้จริงเหรอ”
“จริงสิ นะ บอกหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นไม่บอก ปล่อยให้อยากรู้ไปแบบนี้แหละ” เหนือน่านหัวเราะแต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อคนได้เปรียบระดมมือทั้งสองข้างจี้ที่เอวไม่ยั้ง
“จะบอกหรือไม่บอก”
“ธาม! หยุด!” แม้จะร้องห้ามเสียงเข้ม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของชื่อจะยอมปฏิบัติตาม ไม่ช้าเสียงขรึมก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเมื่อปลายนิ้วทั้งสิบยังคงขยับเคลื่อนไหวไม่ห่างเอว
ร่างสูงพลิกตัวกลับหวังจะดิ้นให้หลุดแต่สุดท้ายก็พบว่ากยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ จำต้องนอนนิ่ง ๆ ฝืนกลั้นหัวเราะอยู่ในอ้อมแขนแกร่งอย่างผู้ร้ายยอมจำนน
“บอกแล้ว บอกก็ได้” พูดพลางเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย แม้รอบตัวจะถูกโอบล้อมด้วยความมืดแต่แสงจันทร์วันเพ็ญที่สาดผ่านช่องหน้าต่างก็ยังช่วยให้พอจะมองเห็นหน้ากันอยู่บ้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่พักนี้เห็นทีไรก็มักจะทำให้หัวใจเต้นแรงทุกที
“เป็นเด็กดีอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” ธามกล่าวก่อนจะกดจูบลงบนปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนในอ้อมกอด รู้ดีว่าเหนือน่านเป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งพอที่จะสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่ในเวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังเช่นนี้ ธามก็อยากจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้เหมือนกับที่คู่รักคู่อื่นเขาทำกันแม้จะถูกบ่นบ้างก็ตาม
“ลามปามใหญ่แล้ว” เหนือน่านถอนใจเฮือกเมื่ออีกฝ่ายยอมหยุดเสียที
“ไม่เอาสิ อย่าเพิ่งบ่น อธิบายมาก่อนว่า จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยที่น้ารินว่าน่ะมันคืออะไร”
เมื่อสามารถปรับสายตาให้ชินต่อสภาพแสงน้อยได้ก็ยิ่งทำให้เห็นหน้าของคนพูดชัดเจนขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าหัวคิ้วเรียงเส้นหนาที่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับดวงตาเฉียบคมนั้นขณะนี้ได้เคลื่อนเข้าหากันจนแทบจะขมวดเป็นปมอยู่แล้ว ภาพที่เห็นยิ่งทำให้เหนือน่านอดยิ้มไม่ได้ ธามในเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับน้องชายช่างสงสัยที่เฝ้าเซ้าซี้จะเอาคำตอบจากพี่ชายให้ได้ เจ้าของกลีบปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นแทรกเรียวนิ้วลงบนเส้นผมของคนตรงหน้าจากนั้นก็เสยปัดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างอ่อนโยน
“ถ้าแปลตรง ๆ ก็คือหลอกลูกหมาตัวเล็ก ๆ ให้วิ่งขึ้นไปบนดอย ลูกหมาวิ่งจนเหนื่อยแต่พอขึ้นไปถึงยอดดอยก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร”
“แล้วยังไงต่อ”
“จบแล้ว”
“ต้องมีต่อสิ ทำไมน้ารินถึงบอกให้ธามระวังน่านจะจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยล่ะ หืม? ว่ายังไง” พูดจบก็รั้งมืออีกฝ่ายมาแนบไว้ที่ข้างแก้มของตนเองนอนนิ่งรอฟังคำเฉลยที่จะหลุดออกจากริมฝีปากชวนมอง
“คนเหนือเขาเปรียบเทียบกับความรักน่ะ ว่ามาหลอกให้รักแล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้อีกฝ่ายช้ำใจ”
“แล้วจริงหรือเปล่า”
“อะไรจริง”
“ก็อย่างที่น้ารินว่าไง พี่น่านจะจุ๊หมาธามตัวน้อย ๆ ขึ้นดอยจริงหรือเปล่าครับ”
“ไอ้เด็กเพี้ยนเอ๊ย” เหนือน่านทำหน้าหน่าย ๆ พร้อมกับดึงมือกลับ
“ธามรู้ว่าน่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น”
“ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอก กลัวด้วยซ้ำว่าน่านจะไม่คิดเหมือนกัน จนกระทั่งตอนที่ออกจากกิ่วแม่ปานคราวนั้น ตอนที่น่านปรับเข็มนาฬิกานั่นไง เราถึงรู้ว่าน่านไม่มีทางจุ๊หมาน้อยขึ้นดอยแน่นอน เพราะว่า..."
"เพราะว่าอะไร"
"เพราะว่าน่านเป็นห่วงความรู้สึกเรา เราเข้าใจถูกหรือเปล่า”
เหนือน่านยังคงนอนนิ่ง นั่นไม่ใช่เพราะสิ่งที่ธามพูดมานั้นผิดเพี้ยน หากแต่มันตรงกับที่เขาคิดจนยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้งได้เลยต่างหาก คนถูกถามหลับตาลงเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจสองดวงที่กำลังเต้นเป็นจังหวะสอดประสานกัน วินาทีนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นที่แตะประคองข้างแก้มจากนั้นปลายนิ้วหัวแม่มือก็ลากผ่านกลีบปากอย่างเชื่องช้า
“ทำไมเงียบล่ะ”
“ก็พูดแทนไปจนหมดแล้ว จะให้เราพูดอะไรอีก” เสียงอู้อี้ของคนที่กำลังหลับตาพริ้มทำเอาธามถึงกับฉีกยิ้มกว้าง
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องขับรถอีกทั้งวัน” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับรั้งมือแกร่งออกจากข้างแก้ม พลิกตัวกลับหันหลังให้อีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นธามที่ตามกอดไม่ยอมห่าง
“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามสุดท้ายของธามมาก่อน”
“อะไรอีก”
“ในโปสการ์ดนั่นไง ที่ลบออกไปน่ะเขียนว่าอะไร”
“อยากให้เขียนว่าอะไร” คนพูดปรือตาขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นความมืด แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากวงแขนที่โอบรัดแนบสนิทลงที่รอบเอวจนแทบไม่เหลือช่องว่าง แผงอกอุ่นชิดกับแผ่นหลัง ในขณะที่ลมหายใจร้อนยังคลอเคลียไม่ห่างจากซอกคอ
“แล้วแต่น่านสิ อยากเขียนอะไร”
“ด้วยความเคารพอย่างสูง”
สิ้นเสียงของคนในอ้อมกอด ธามก็แทบอยากจะฟัดเสียให้เข็ด กระนั้นก็ได้แต่เพียงสะกดใจเม้มปากแน่น คลายวงแขนออกขยับตะแคงหันหลังให้เอาเสียดื้อ ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับน่านแบบนี้เขาถึงได้กล้าที่จะแสดงอาการแบบเด็ก ๆ ออกมาทุกที ทั้งที่ตนเองก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ต้องรับบทหนักในการเป็นผู้นำของครอบครัวยามเมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลง อีกทั้งหน้าที่การงานก็ทำให้เขาต้องจริงจังในทุกสถานการณ์ ดังนั้นภาพของชายนุ่มผู้เคร่งขรึมจึงกลายเป็นภาพที่คนรอบข้างได้เห็น นอกจากแม่แล้วตอนนี้ก็คงจะมีน่านอีกคนที่ได้รู้จักอีกแง่มุมของเขาที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นนักแม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างเนติ
“เป็นอะไร” เหนือน่านเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชายหนุ่มพลิกตัวกลับจ้องมองแผ่นหลังว้างของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับว่า “เปล่า” ที่แค่ฟังก็รู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายตามที่ธามพูดเลยสักนิด
“อะไรกัน แค่นี้ต้องงอน?” คนอายุมากกว่ายังไม่วายกระเซ้า
ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่กำลังคิด ธามถอนใจเฮือกก่อนจะพลิกตัวนอนหงายเอามือก่ายหน้าผาก “ไม่ได้งอนสักหน่อย ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”
“แต่ที่ทำอยู่เนี่ย เราเรียกว่าเด็กนะ”
“น่านน่ะแหละ ทำเราเสียนิสัย เวลาอยู่กับน่าน น่านก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชาย ชอบบ่น บางครั้งก็ไม่สนใจเราเลย”
“ก็เลยต้องเรียกร้องความสนใจว่างั้น?”
“เรียกร้องความรักต่างหาก เมื่อไรจะรักธามสักที”
เหนือน่านยิ้มจาง ๆ พลางรั้งแขนที่อีกฝ่ายวางพาดอยู่บนหน้าผากออกก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ใช้อกแกร่งแทนหมอนหนุน “ทุกวันนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเรารู้สึกยังไง” พูดจบก็ปิดเปลือกตาลงแนบหูฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นใต้อกเสื้อ
“ไม่บอกให้รู้แล้วจะรู้ได้ยังไงกัน” มือหนาเลื่อนขึ้นวางบนศีรษะของคนที่กำลังหลับตาพริ้มก่อนจะแทรกปลายนิ้วลงบนกลุ่มผมหนานุ่มที่เคลียอยู่กับปลายคาง แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่วันนี้คนที่ปกติจะหนีตลอดจะเป็นฝ่ายขยับเข้าหาและกอดเขาเอาไว้เสียเอง (แสดงว่าไม้นี้ใช้ได้ผล?)
“เราก็รู้สึกแบบที่เขียนลงในโปสการ์ดนั่นแหละ”
“เขียนว่าอะไรล่ะ บอกหน่อยสิธามอยากรู้” แค่นี้หัวใจพองโตขึ้นราวกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปจนแน่นและพร้อมจะหลุดลอยไปไกลแสนได้ตลอดเวลาไกล
“ก็...” เหนือน่านปิดปากหาว “ง่วง นอนเถอะ เอาไว้คราวหน้าจะเอาปากกาเขียนให้ชัด ๆ ก็แล้วกัน คุณไปรษณีย์จะได้ไม่ทำมันจางอีก”
คนรอถอนหายใจเฮือกใหญ่ อุตส่าห์ลุ้น “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยนี่นา” ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มขึ้นในความมืด แขนแกร่งโอบรัดร่างในอ้อมกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมเพื่อให้แน่ใจว่าอากาศหนาวเย็นในคืนนี้หรือแม้แต่ภยันตรายใด ๆ ก็ตามจะไม่สามารถกล้ำกลายผิวเนื้อนุ่มมือนี้ได้
จบจ้ะ
-
ง่อออ นอนกอดกันไปจีบกันไป สวีทแท้หนอ
มีคนนอนกอดอุ่น ๆ คงหลับฝันดีทุกคืน
ขอบคุณค่ะ
-
เด็กชายธามผู้ง้องแง๊งและเอาแต่ใจ ฮ่าๆๆๆ
โอ๊ยน่านซึนจริงๆ
ในที่สุดเด็กก็เต๊าะผู้ใหญ่สำเร็จฮาาา
ขอบคุณสำหรับตอนแถมน๊า^^
-
เหนือน่านไม่ได้แค่ปากแข็งนะคะ เหนือน่านยังเป็นคนกวน(ตีน)ด้วย
"ด้วยความเคารพอย่างสูง" อ่านตรงนี้แล้วขำพรืดเลยค่ะ 55555
ถ้าเราเป็นธาม เราก็เงิบ ถึงจะรู้ว่าเหนือน่านแกล้งเล่นก็เถอะ 55555
มันเป็นความต่างที่แอบลงตัวได้ยังไงไม่รู้
แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆ นุ่มๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าพรหมลิขิตได้มั้ยคะ
รอติดตามเรื่องต่อๆ ไปค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ
-
น่ารักอีกแล้ว
น้องธามเหมือนหมาน้อยจริงๆน่ะแหละ
แล้วตกลงว่าจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย มันหมายความว่าอะไร
ตอนอ่านมีแอบผวนคำเล็กน้อย เผื่อจะแปลออก 555
-
หวานแท้ อิอิ
-
น่ารักจังเลยค่าา~ :m3: น่าสงสารอากาศหนาวเหมือนกันนะคะเนี่ย(?) ที่ไม่สามารถแทรกผ่านร่างกายของน่านกับธามได้ แหมนะ.. ก็ทั้งสองคนเล่นกอดกันกลมเสียขนาดนั้นเลยนี่นา~ >\\< อากาศหนาวๆ รอบด้านเลยพากันใจเสียหมดเลยค่ะ :laugh: ..
-
นอนคุยกัน จีบกัน น่ารักอบอุ่นมาก :m1:
:mew1: :L2:
-
พี่น่านจู๊หมาธามขึ้นดอย
คนเขียนก็จุ๊คนอ่านขึ้นดอย คือกัน
เอาตอนต่อมาเด๊วเน้~
-
พี่น่านจะจุ๊หมาธามตัวน้อย ๆ ขึ้นดอยจริงหรือเปล่าครับ
โอยยย เอ็นดูหมาธาม
อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกก๊าวใจมาก ฮืออออวววฟฟฟฟ
:hao5: :hao5: :hao5:
ชอบจังเลยค่ะ
นอนจีบกัน หวานๆ มุ้งมิ้งๆ แต่รู้สึกหมาธามจะเจ้าเล่ห์และได้กำไรจากพี่น่านไปเยอะนะคะ แอร๊ยยย
:-[
ปล.รู้สึกชอบเป็นพิเศษเวลาธามเรียกน่านว่า "พี่น่าน" ก๊าวใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ อ่านแล้วใจสั่น เราแพ้ 555555
-
แนะนำให้ธามเอาดินสอไปแรเงาตรงตัวหนังสือที่จางไปค่ะ
มันต้องมีน้ำหนักมือตอนที่เขียนสิ เคล็ดลับนี้ได้มาจากเรื่อง "หน้ากากดอกไม้"ค่ะ
-
หูย..มันละมุนจริงๆนะเรื่องนี้
อ่านไป ยิ้มไป น่านน่ารัก ธามก็อ้อนเก่ง
น่านไปไหนไม่รอดแล้ว :hao7:
-
มันกลมกล่อมมากๆๆ
ติดตามผลงานมานานแล้ว ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ
เป็นนักเขียนในดวงใจผมเลยละ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า :L1:
-
ตอนนี้ฝนตก ไม่หนาว จินตนาการว่านอนอยู่กระท่อมมุงด้วยจากในคืนฝนตก แล้วสองคนมุ๊งมิ๊งกันละกันเนอะ
-
หมามันตามเจ้าของมาไกลขนาดนี้
ไม่รักไม่หลงก็ให้มันรู้ไปนะ
-
โอ๊ยยย น่ารักกกก หมาน้อยธาม :o8:
มาถึงขั้นนี้พี่น่านเค้าไม่จุ๊แล้วค่ะ
สวี๊ทสวีทเนาะ นอนไปจีบกันไป มุ้งมิ้งจริงๆสองคนนี้
-
จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย 555น่ารักจัง. น้ารินพูดอย่างนี้แสดงว่า ที่ผ่านมามีคนมาจีบมาหลงรักพี่น่านเยอะแยะแน่ๆ
แต่พี่น่านก็ยังไม่ให้ใจใครไป(มโน) แล้วก็มาหลงรักหมาน้อยธามจนได้ใช่ไหมพี่น่าน (อ๊ายฟิน น่ารัก)
เราประทับใจความรักของทั้งคู่จัง ถึงจะมีโลกที่ต่างกัน แต่ธามน่านก็เติมเต็มให้กัน รักกันได้
คิดถึงกันเมื่อไร. คนหนึ่งก็เขียนโปสการ์ดถึง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขับรถไปหา
ต้องการแสดงให้รู้ว่า รักนะ คนหนึ่งเลยต้องงอนให้รู้. ส่วนอีกคนหนึ่งเลยต้องง้อให้หาย
ซึ้งใจที่ธามน่านเลือกที่จะคบหากัน. แม้รู้ว่าคงไม่ได้อยู่ใกล้ชิดดูแลกันบ่อยๆ เพราะด้วยสถานที่อยู่
ภาระการงาน และที่สำคัญธามต้องดูแลแม่ด้วย ไกลกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรคเลย
ธามน่านเป็นคู่รักที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้องด้วย เรายิ่งเห็นว่าวันเวลาข้างหน้าธามน่านก็จะมีกันและกันแบบนี้ไปตลอดแน่ๆค่ะ :-[
แล้วพี่น่านเขียนคำว่าอะไรค่ะ รักและคิดถึง รักนะเด็กโง่ รักนะจุ๊บจุ๊บ รักจุงเบย 555
ขอเดาว่าพี่น่านเขียนคำว่า รักและคิดถึง เพราะโลกพี่น่านเวลาเดินช้ากว่าของคนอื่น คงไม่คิดจะใช้คำสมัยใหม่เนอะ555
เราชอบงานเขียนนิยายของนักเขียนมากๆ เขียนได้ลึกซึ้ง คาดไม่ถึง คิดไม่ทัน(โดนนักเขียนจุ๊ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องล่ะ555)
ขอบคุณมากๆค่ะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ :L2: :pig4:
ปล. สรุปแล้วธามน่าน เขาสองคนแค่นอนคุยกันบนเตียง กอดกันเฉยๆหรือค่ะ :mew2: (ไม่อยากจะเชื่อเลย555)
-
น่ารักมุ้งมิ้งมาก
หมาน้อยธาม หุหุ
-
ตอนพิเศษ (2)
“ครึ้มมาอีกแล้ว ตกได้ตกดีแถมมาตรงเวลาทุกวันสิน่า ฝนหนอฝน”
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามานั่งในรถวิศวกรตัวโตก็บ่นราวกับหมีกินผึ้ง จัดการโยนหมวกนิรภัยสีขาวไว้รวมกับพิมพ์เขียวที่เบาะหลังก่อนเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆสีเทาที่ลอยต่ำแบ่งท้องฟ้าเป็นชั้น เมื่อไม่ได้ยินถ้อยคำแสดงความคิดเห็นของเจ้าของรถ เนติจึงดึงสายตากลับมายังชายหนุ่มที่นั่งประจำที่คนขับ เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งที่ธรรมชาติกำลังจะมอบให้ ตาคมทอดมองไปยังเมฆฝนที่ตั้งเค้าอยู่เหนืออาคารสูงที่ยังสร้างไม่เสร็จ ใบหน้านั้นนิ่งขรึมตามประสาคนเอาจริงเอาจังกับทุกสิ่งที่ทำหากแต่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ จนคนมองนึกสงสัย
“ยิ้มอะไรวะ”
นั่นสิ! ยิ้มอะไร?
ธามก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะหากเป็นหน้าฝนเมื่อปีที่แล้ว เขาคงจะรู้สึกหงุดหงิดตามเพื่อนไปด้วยที่ต้องออกไซด์งานในวันที่อากาศขมุกขมัวเช่นนี้ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า ติดเครื่องรถแล้วจึงหันมาพูดกับเพื่อนรักที่ยังคงนั่งกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก
“ก็แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมวะ ฝนตกก็ดีแล้วไง ชาวบ้านเขาจะได้มีน้ำไว้ใช้ทำการเกษตร ต้นไม้ใบหญ้าก็ชุ่มชื้น เราเองก็พลอยได้สดชื่นไปด้วย”
“สาธุ!” คนฟังยกมือประนมท่วมหัว
“ไอ้บ้านี่ พูดจริงจังทำมาสาธุ” ธามส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะออกรถ เมื่อออกจากไซด์งานมาได้ไม่ไกลเม็ดฝนก็โรยตัวลงมาราวกับม่านสีขาวพรางตาให้ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ชัดเจนนัก การจราจรเริ่มเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้า ๆ นั่นเพราะผู้ขับขี่ต้องใช้ความมัดระวังมากขึ้น กระทั่งเมื่อเข้าเขตเมืองรถจอดนิ่งติดยาวไปทั้งถนน
“แกจะกลับบ้านเลยไหม ฉันจะไปส่ง”
หนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารัวปลายนิ้วลงบนหน้าจอสัมผัสของโทรศัพท์มือถือส่ายหัวจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตอบ “แกส่งฉันที่สถานนีรถไฟฟ้าก็แล้วกัน ฉันนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปหาอะไรดื่มฉลองเงินเดือนออกสักหน่อยหรือว่าแกจะไปด้วยกันก็ได้นะ”
“ไม่ละ แกไปเถอะ” ธามตอบเสียงเรียบพลางทอดตามองไฟท้ายของรถคันหน้า
“อะไรกันวะ แค่ไปนั่งดื่มไม่กี่ชั่วโมงพี่น่านไม่ว่าหรอกน่า”
“ไม่ได้กลัวน่านว่า น่านไม่ว่าอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันวะ หรือว่ากลัวไปแล้วไม่รู้จักใคร ถ้าเรื่องนี้ละก็ไม่ต้องห่วง พวกมันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของฉัน รับรองว่าอัธยาศัยดีทุกคน”
“มีธุระต้องกลับไปทำน่ะ เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”
“เออ ตามใจ ๆ” เนติกล่าว เขารู้ดีว่าธามไม่ใช่คนที่จะมาเซ้าซี้กันให้มากความ ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่ก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจนั้น
อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาฟอร์จูนเนอร์สีดำก็แล่นฝ่าสายฝนเข้าจอดเทียบที่บาธวิถีใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ธามรอจนแน่ใจว่าเพื่อนของเขาได้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้วจึงออกรถ เม็ดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้พุ่มไม้สองข้างทางกลับเขียวขจีอีกครั้งและนั่นก็ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา...
“น่าน จอดก่อน ๆ” ธามเอ่ยขึ้นเมื่อสายตาปะทะเข้ากับพื้นที่สีเขียวซึ่งถูกโอบล้อมด้วยแมกไม้และเนินเขา
คนขับจอดรถก่อนจะลดกระจกลงจากนั้นจึงหันมาถามคนนั่งข้างกัน “อยากเข้าไปดูไหม”
ธามพยักหน้าหงึก ๆ ราวกับเด็กที่กำลังสนใจในสิ่งแปลกใหม่ รอกระทั่งเหนือน่านขับรถลงไปจอดที่ยังขอบทางด้านล่างจึงรีบเปิดประตูลงจากรถ
“ที่นี่เขาเรียกว่าบ้านทุ่งกลางหลวง” นักพฤกษศาสตร์หนุ่มกล่าวพลางยกกล้องคอมแพ็คในมือขึ้นบันทึกภาพผืนนาแสนกว้างใหญ่ที่ลดลั่นเป็นชั้น ๆ ฝนที่ตกต่อเนื่องกันมาหลายวันนอกจากจะทำให้พื้นที่แถบนี้กลับเขียวชอุ่มอีกครั้งยังทำให้ชาวนาได้พลอยชื่นใจไปด้วย “ชาวบ้านที่นี่ก็เป็นชาวปกากญอ มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ถ้าไม่ทอผ้าก็เพาะปลูกโดยเฉพาะการปลูกข้าว”
“เขียวดีจังเลยเนอะ”
“ถ้ามาช่วงข้าวออกรวงสุกเหลืองแถวนี้ก็จะกลายเป็นนาข้าวสีทองเลยละ”
“ถึงตอนนั้นน่านโทร.ไปบอกธามด้วยนะ ธามอยากมาเห็น”
คนฟังพยักหน้ายิ้ม ๆ ขยับแว่นสายตาพลางก้มมองภาพที่ถ่ายได้จากหน้าจอแอลซีดีจากนั้นจึงเบนสายตาไปยังร่างสูงที่กำลังนั่งลงบนผืนหญ้า ท่าทางธามจะชอบที่นี่ ชายหนุ่มยังคงมองไปรอบ ๆ ราวกับจะเก็บรายลละเอียดของที่นี่เอาไว้ในความทรงจำ
“เราเคยคิดเอาไว้ว่าอยากจะซื้อที่สัก 5-6 ไร่ เอาไว้ทำการเกษตรแล้วพาแม่มาอยู่ด้วยกัน”
“ไม่อยากเป็นวิศวกรแล้วเหรอ”
“ไม่ได้คิดจะเป็นไปจนแก่หรอก อีกอย่างเดี๋ยวพอมีคลื่นรุ่นใหม่เข้ามา แก่ ๆ อย่างเราก็ต้องปลดระวางตัวเอง”
“ทำนาทำไร่น่ะเขาไม่ได้ทำกันง่าย ๆ ชีวิตเกษตรกรบางครั้งมันก็ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เห็นในละครโทรทัศน์หรอกนะ จะทำไหวเหรอ” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับกดชัตเตอร์ ไม่ได้สนใจคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองมาที่ตนเอง
“ช่วยกันได้หรือเปล่าล่ะ”
เมื่อคนถูกถามลดกล้องลง ดวงตาสองคู่ก็สบประสานกันอีกครั้ง เหนือน่านไม่ได้ตอบแต่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ทอดตามองต้นข้าวที่เรียงตัวกันแน่นอยู่ในผืนนาเบื้องหน้า
“ว่ายังไงล่ะ จะช่วยกันได้ไหม”
“อยากให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้เราจะถามเพื่อนที่เป็นนักวิชาการเกษตรให้”
ธามส่ายหัวดิกก่อนจะรั้งมือคนพูดมาวางบนตักแทรกนิ้วทั้งห้าเกาะเกี่ยวเรียวนิ้วของอีกฝ่าย “เราไม่ให้น่านต้องยุ่งยากแบบนั้นหรอก แค่ช่วยนั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้กันแบบนี้ก็พอ ได้หรือเปล่า”
แววตาเว้าวอนของธามทำให้เหนือน่านจำต้องเบนหน้าหนี สังเกตเห็นเมฆฝนเริ่มก่อนตัวเหนือปลายนาด้านหนึ่งก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานฝนก็คงจะตกลงมาอีกหน สำหรับคนในเมืองนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เพิ่มความยุ่งยากให้ชีวิต ทำให้การจราจรติดขัด แต่สำหรับบ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้การที่ฝนตกนั่นแสดงว่าชาวบ้านจะมีน้ำเอาไว้ใช้สำหรับการเพาะปลูก ดังนั้นเมื่อปรากฏเค้าฝนบนท้องฟ้าสิ่งที่ตามมาก็คือรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าเกษตรกร
“ฝนตกแล้วรีบไปกันเถอะ” พูดจบธามก็รั้งแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเหนือน่านจะไม่ยอมทำตามง่าย ๆ ชายหนุ่มยังคงนั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับละอองน้ำเล็ก ๆ ที่กำลังโปรยปรายลงมากระทบผิวกายเลยสักนิด
“ลุกเร็วน่าน”
“อ้าว ก็บอกว่าให้นั่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เหรอ”
คนอายุน้อยกว่ามุ่นคิ้วถอนใจเฮือก “ใช่เวลาพูดเล่นไหม เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”
เหนือน่านหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างไปที่รถ ไม่บ่อยนักที่จะได้มีโอกาสเห็นธามทำหน้าขึงขังจริงจังเช่นนี้ มันเป็นภาพที่คนอื่นมักได้เห็น แต่หากเลือกได้ตนเองก็เลือกที่จะเห็นอีกฝ่ายในมุมที่น้อยคนจะมีโอกาสได้เห็น มุมแบบเด็ก ๆ ของเขา อยากจะเห็นแบบนั้นมากกว่า
ธามเปิดประตูฝั่งคนโดยสาร รอกระทั่งผู้ใหญ่จอมดื้อเข้าไปนั่งเรียบร้อยจึงปิดประตูเดินอ้อมมานั่งประจำที่ในตำแหน่งคนขับ ทันทีที่ประตูถูกดึงปิด สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทุ่งนาขั้นบันไดที่เคยเห็นอยู่ตรงหน้าถูกบดบังด้วยม่านน้ำสีขาว
“เกือบไม่ทันแล้วเห็นไหม ตกหนักขนาดนี้จะไปต่อยังไง” ธามพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้เขาลืมคำถามสุดท้ายของตนเองไปเสียสนิท ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เขาไม่ทันได้ใส่ใจคำพูดของเหนือน่านที่บอกเป็นนัย ๆ ว่าจะนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้อีกด้วย
“รอฝนซากว่านี้หน่อยแล้วค่อยไปก็ได้ ร้านน้ารินไม่หนีไปไหนหรอก ทำใจให้เย็น ๆ เหมือนฝนหน่อยสิ”
คนฟังถอนใจพรืดก่อนจะเอนหลังพิงพนัก พยามยามมองออกไปนอกกระจกรถแต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
“ถ้าอยากเป็นเกษตรกร อย่างแรกที่ต้องทำก็คือทำใจให้ชอบหน้าฝนก่อน”
“ทำไมล่ะ” ธามเอียงคอถาม อารมณ์หงุดหงิดที่จางลงทำให้เขาไม่ปล่อยโอกาสที่จะสำรวจใบหน้าคมสันของเหนือน่าน แผงคิ้วหนารับกับดวงตาที่ฉาบด้วยแววแห่งความอ่อนโยน ถ้าไม่มีกระจกแว่นขึ้นฝ้ามาบดบังก็คงจะดี แต่นั่นก็ยังไม่อาจเรียกความสนใจของเขาได้ดีเท่ากับกลีบปากชวนสัมผัสที่กำลังเอื้อนเอ่ยถ้อยคำน่าฟังนั้น
“เพราะฝนสำหรับชาวไร่ชาวนาเป็นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาจะมีน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก”
“ถ้าอย่างนั้นธามจะเริ่มชอบหน้าฝนตั้งแต่วันนี้ แต่ไม่ใช่เหตุผลตามที่น่านบอก”
“แล้วเพราะอะไร” คนอายุมากกว่าหันมามองด้วยความสงสัย
“เพราะว่าฝนทำให้ธามจูบน่านโดยที่ไม่ต้องกลัวใครเห็นไง” ธามกล่าวพร้อมกับขยับตัวเขามาใกล้ จัดการดึงแว่นสายตาแสนเกะกะออกเพื่อให้เห็นดวงตาคู่สวยได้ถนัด ไม่รอให้ถูกต่อว่ามือหนาก็จับเข้าที่ต้นคอขาวรั้งอีกฝ่ายเข้ามากดจูบเสียให้สมใจอยาก จากจุมพิตแสนนุ่มนวลกลับค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นจุมพิตที่ดุดันเมื่อกลีบปากบางตอบรับสัมผัสนั้นกลับคืนอย่างเร่าร้อนเช่นกัน และก่อนที่ความหวามไหวจะทำให้ไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ ธามก็ตัดสินใจผละออกจากรสรักหวานหอม แต่ไม่วายแกล้งกันด้วยการขบเม้มเนื้อปากบางเบา ๆ เป็นการทิ้งท้าย
“ทำใจให้เย็น ๆ เหมือนฝนหน่อยสิ นี่อยู่นอกสถานที่นะ”
“ไอ้เด็กเพี้ยน” เหนือน่านเม้มปากแน่นเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจก พยายามซ่อนสองแก้มร้อนซ่านที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่มันก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน
“เก็บหูด้วยสิ หูแดงหมดแล้ว”
เสียงหัวเราะชอบใจกับลมหายใจอุ่น ๆ ที่ข้างหูทำเอาคนฟังอยากจะเปิดประตูลงจากรถเสียเดี๋ยวนี้ แต่ฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสายนั้นทำให้เหนือน่านทำได้ดีที่สุดแค่การขยับตัวชิดกระจกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘จะไม่ชอบหน้าฝนก็เพราะแบบนี้แหละ’
ธามหุบยิ้มทันทีที่เสียงเคาะกระจกดังขึ้น หน้าคมหันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าเป็นแม่นั่นเอง ชายหนุ่มรีบดับเครื่องยนต์ก่อนจะเปิดประตูลงมายืนยิ้มเก้อ ๆ แปลกใจไม่น้อยที่เห็นผู้เป็นแม่อยู่ในชุดกันฝน
“ทำไมแม่แต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ”
“แม่ออกมาดูต้นข้าวในกระบะของลูกน่ะ เห็นว่าฝนตกหนักกลัวจะทนแรงไม่ไหวหักตายไปเสียก่อน พอดีเห็นลูกเลี้ยวรถเข้ามาจอดในโรงรถตั้งนานแล้วแต่ไม่เข้าบ้านสักทีก็เลยเอาร่มมาให้” พูดจบผู้เป็นแม่ก็ส่งร่มคันยาวให้ลูกชาย “มาถึงก็เห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ไปมีความสุขอะไรมาจ๊ะ”
“ปละ...เปล่าครับแม่ สงสัยธามจะคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
ผู้เป็นแม่พยักหน้าก่อนเดินนำลูกชายออกจากโรงรถไปยังหลังบ้าน หยุดมองนั่งร้านยกสูงจากพื้นเกือบครึ่งเมตรซึ่งเต็มไปด้วยกระบะไม้ที่วางลดหลั่นกันเป็นชั้น ในแต่ละกระบะแน่นไปด้วยต้นข้าวเล็ก ๆ ที่แทงยอดสีเขียวอ่อนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 3-4 วันก่อน ยิ่งได้น้ำฝนก็ยิ่งทำให้กล้าข้าวเจริญงอกงามได้ดี
“โชคดีจังที่ 2-3 วันนี้ฝนตก ไม่อย่างเจออากาศร้อน ๆ ของบ้านเราคงได้เฉาตายหมดแน่ ๆ” แม่กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองลูชายที่เดินกางร่มมายืนข้าง ๆ “ฝนตกแบบนี้ชาวนาชาวไร่เขาคงจะดีใจนะลูก จะได้เริ่มเพาะปลูกันสักที เมื่อตอนบ่ายแม่คุยกับน่าน น่านถามด้วยนะว่าธามได้ลองเพาะกล้าข้าวหรือยัง พอแม่บอกว่างอกมาได้ 3-4 วันแล้วเท่านั้นละตื่นเต้นใหญ่”
ธามฟังยิ้ม ๆ พลางนึกถึงคนที่ส่งเมล็ดข้าวเปลือกพวกนี้มาให้ บอกแต่ว่า ‘เอาไว้ปลูกแก้คิดถึงแม่กลางหลวง’ แต่ไม่ยักบอกว่าถ้าคิดถึงคนที่ส่งมาให้จะต้องทำอย่างไร
“น่านโทร.มาหาแม่เหรอครับ”
“จ้ะ เห็นว่าวันนี้ตามหัวหน้ามาประชุมที่มหาวิทยาลัยในเมือง เสาร์อาทิตย์นี้คงจะนอนค้างที่บ้านน้าริน”
“ดีจัง พอลงจากดอยก็โทร.หาแม่เลย ไม่เห็นโทร.หาธามบ้าง”
ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “แม่บอกน่านว่าวันนี้ลูกไปออกไซด์งาน น่านคงกลัวว่าจะยุ่ง ๆ อยู่ก็เลยไม่ได้โทร.ไปคุยละมั้ง” พูดจบก็ยกมือขึ้นจับที่ต้นแขนแกร่ง “ทำงอนมาก ๆ ระวังพี่เขาจะเบื่อนะ”
“ไม่ได้งอนสักหน่อยแม่” ลูกชายรีบปฏิเสธทันควันก่อนจะโอบเอวร่างเล็ก ๆ อย่างประจบ “เข้าบ้านกันดีกว่า ธามหิวข้าวแล้ว” แล้วสองแม่ลูกก็เดินกอดกันกลมเข้าไปในบ้าน
...
ฝนที่ตกทั้งคืนสร้างความชุ่มชื่นให้แก่เช้าวันใหม่ที่อากาศค่อนข้างเย็น แม้นาฬิกาจะบอกเวลาเกือบสิบโมงเช้าแต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเมฆสีเทา ภาพที่เห็นตรงหน้าจึงเป็นเหมือนภาพวาดสีหม่นพาหัวใจคนมองเศร้าซึมตามไปด้วย แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มผู้ที่กำลังนั่งทอดตามองต้นข้าวเล็ก ๆ ในกระบะจากหน้าต่างห้องทำงานเป็นแน่ เพราะนับตั้งแต่วันที่รากขาว ๆ งอกออกจากเมล็ดข้าว เขาก็เฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นว่าเมื่อไรมันจะเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงสักที
ธามดึงสายตากลับมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้ซึ่งแสดงข้อมูลพันธุ์ข้าว การเพาะกล้าข้าว รวมถึงวิธีการทำนาในรูปแบบต่าง ๆ ข้อมูลเก่าที่เคยเก็บรวบรวมไว้นานแล้วถูกรื้อขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง ประสบการณ์ของบรรดาคนหนุ่มสาวที่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาทำสวนทำไร่ที่ถูกแบ่งปันไว้ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกนำออกมาอ่านไม่รู้กี่รอบ การมีพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อเตรียมไว้สำหรับเลี้ยงตัวเองในยามที่ต้องวางมือจากงานประจำคือความฝันของวิศวกรหนุ่ม แม้การปลูกผักเลี้ยงสัตว์ถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ธามก็ไม่คิดว่ามันไม่น่าจะยากเกินความพยายามของตนเองไปได้ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองหลับตานึกภาพว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าหากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งนาสีเขียวขจี มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่บนเนิน มีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน ได้ยินเสียงยอดหญ้าลู่ไหวไปตามลม เสียงวัวร้องและเสียงโทรศัพท์
ใช่! เสียงโทรศัพท์
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่างตัวเรียกความคิดที่กำลังหลุดลอยออกไปให้กลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นภาพของใครคนหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสัมผัสทำให้ธามไม่รั้งรอที่จะกดรับสาย
“ตื่นหรือยัง”
ชายหนุ่มทวนคำถามนั้นในใจ ที่แท้ก็ฝันไปหรือนี่...
“ตื่นตั้งนานแล้ว รอตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นมีใครโทร.มา”
“อ้าว แล้วที่พูดด้วยอยู่นี่นึกว่าหมาหรือไง” คนที่ปลายสายหัวเราะ
“น่าน!” ธามเม้มปากแน่น ถ้าหากอยู่ใกล้ ๆ กันจะจัดการเสียให้อยู่หมัด
เหนือน่านไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงขุ่น ๆ นั่นสักเท่าไร คนอารมณ์ดีกลับชวนเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ๆ “ทำอะไรอยู่”
“ถ้าบอกว่ากำลังคิดถึงจะเชื่อไหม”
“เชื่อ”
“เชื่อคนง่ายนะเราน่ะ”
“สรุปว่าไม่ได้คิดถึง?”
“คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย เราพูดจริงนะ”
“รู้น่า” เหนือน่านพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะพากันเงียบทั้งคู่ เกือบหนึ่งเดือนที่ไม่ได้พบหน้าทำให้ต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน
“คิดถึงนะ” ธามกล่าวขึ้น
นอกจากคำพูดนั้นจะทำลายความเงียบแล้วยังทำลายความอดทนที่เหนือน่านใช้เป็นประตูขังความฟุ้งซ่านภายในใจของตนเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มผ่อนลมร้อนออกจากปลายจมูกก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อืม...เหมือนกัน”
“อะไรเหมือนกัน”
“เมื่อวันก่อนแวะไปหาครูขันคำมา...”
“น่าน ตอบมาก่อนว่าอะไรเหมือนกัน”
“เซ้าซี้จริง”
“ก็ตอบมาสิว่าอะไรเหมือนกัน แค่คิดถึงทำไมพูดยากนัก อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ ไม่ต้องเขินแล้ว” ธามขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ
“อะ...ไอ้เด็กเพี้ยน ไม่ได้เขินโว้ย” คนอายุมากกว่าหัวเราะหึ “ถ้าอยากได้ยินก็มายืนต่อหน้าสิ แล้วจะพูดให้ฟัง”
ธามยิ้มน้อย ๆ ฟังแล้วแทบอยากเอารถออกมันเสียเดี๋ยวนี้...วันจันทร์ส่งใบลาพักร้อนยาว ๆ เลยดีกว่า
...จบ...
-
บรรยากาศฝนตกเข้ากั๊นเข้ากันกับชั่วโมงนี้เลย ฟ้าอึมครึมทั้งวัน
เคยคิดจะเกษียณไปอยู่ท้องทุ่งบ้านนานะ
แต่จะให้ไปทำนาทำไร่ ก็เกรงจะไม่ไหว
เลยได้แค่ฝัน
คิดถึง 2 หนุ่มนี่จริงๆค่ะ
ขอเรื่องราวต่อมาเรื่อยๆนะคะ
ขอบคุณค่า
-
หน้าฝนนี่ดีจริงๆ เลยน้าา >\\\\\\< ความรักของธามกับน่านก็ชุ่มฉ่ำไม่ต่างกันเลย~ โรแมนติกมากๆ จ้าา..^^ อ่านไปเขินไปจนตัวบิดหมดแล้วนะคะเนี่ย :-[
ขอบคุณนะค้าา.. o1
-
อิจฉาธามที่วันเสาร์ได้หยุดอยู่บ้านนั่งดูต้นข้าวงอก
ได้คุยโทรศัพท์กับน่าน
คนอ่านน่ะ วันเสาร์-อาทิตย์ยังต้องทำงานเลย :ling1:
ทำไมอ่านๆแล้วรู้สึกว่าธามมุ้งมิ้งจัง
คนอ่านจะจิ้นละนะว่าธามเป็นนายเอก ฮ่าๆๆๆ
-
อ้าวววววววว ทำไมตัดจบแบบนี้อ่ะคะ
สรุปธามได้ลางานยาวๆๆๆๆ ไปฟังมั้ย
คู่นี้เขาน่ารักกันจริงๆๆๆ
ยังจินตนาการน้องธามไม่ออก แต่ว่าที่อยู่กับเหนือน่าน คือน่ารักมากในความคิด
ชอบมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
-
แล้วตกลงธามลางานขึ้นไปฟังคำว่า คิดถึง จากน่านรึเปล่านี่ ฮาาาาา
บรรยากาศฝนตกเข้ากับช่วงนี้มาก และอบอุ่นอิ่มใจกับคู่นี้มากเช่นกัน :impress2:
:mew1: :L2:
-
รู้สึกชอบหน้าฝนซะแล้วสิ 5555
-
ได้เห็นความน่ารักของธามที่มีต่อคุณแม่ คนรัก เพื่อน รวมไปถึงพี่น้องชาวนาด้วย
เห็นความตั้งใจในบั้นปลายชีวิต สุดยอดมาก ยิ่งมีแม่ มีน่านอยู่ด้วยแล้ว ช่างเป็นคนอบอุ่น น่ารักมากๆเลยค่ะ
ทำให้เป็นพระเอกในดวงใจของเราสูสีคู่คี่กับพี่ปุ่นมากๆ. เราหลงเสน่ห์พระเอกที่มีอุดมการณ์นะคะ555
ธามเป็นคนน่ารักมากๆแบบนี้ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้คุณแม่ และพี่น่านเลย สอนมาดี555
ดูท่าว่าคุณแม่และน่านจะพูดถูกคอกันนะคะ และดูคุณแม่จะเอ็นดูน่านมากๆด้วย
ธามต้องห้ามทำอะไรที่ไม่ดีกับน่านนะ ท่าทางคุณแม่จะไม่ยอม แถมมีแก้ตัวให้น่านด้วย555 คุณแม่น้องธามน่ารักมากๆค่ะ
ตอนนี้นักเขียนแต่งได้เข้ากับเหตุการณ์มากๆค่ะ ทำให้ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้มีอยู่จริง มีพี่น่านน้องธามจริงๆ โอ๊ยเขินตอนจูบกัน :o8:
นักเขียนใจดีมีของแถมให้เราได้ชื่นใจตลอด. แถมชิ้นแรกกอด แถมชิ้นที่สองจูบ แถมชิ้นที่สาม... รอลุ้นและมีความหวังต่อไป555
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2: เราชอบเรื่องนี้มากจริงๆ
ชอบความโรแมนติกในแบบละมุนละไม อบอุ่น เป็นไปได้ไม่ใช่ฝันไป :-[
อ่านตอนนี้แล้วทำให้รู้สึกว่า โลกช่างน่าอยู่ สดใสมากๆค่ะ o13
-
น่ารักมาก
น่ารักทั้งเนื้อเรื่อง
น่ารักทุกตัวละคร
-
รู้สึกรักหน้าฝนจังเลยค่ะ
ฮือวววววววววววววววว
น่ารักกกกกกกกกกกกกก
ชอบจังเวลาที่ธามแทนตัวเองว่า ธาม ตอนคุยกับน่าน
มันฟังดูน่ารัก หมาธามน่าเอ็นดู :-[
คิดถึงจังเลยเนอะ นี่อยากอ่านโมเม้นท์ที่ธามไปทำไร่ทำสวนจริงๆ
แล้วมีพี่น่านอยู่ข้างๆ จัง บรรยากาศท่ามกลางสีเขียวและสายลมแสงแดดมันต้องดีมากแน่ๆ
อรั๊ยยย อยากตามธามไปหาพี่น่านที่เชียงใหม่ >_<
-
:-[
มุ้งมิ้งที่สุด อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันสักวันพรุ่งวันมะรืนเลย
สองหนุ่มน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเลยนะคะ
ฝนตกแบบนี้เข้ากับบรรยากาศช่วงนี้ดีจังค่ะ เราก็อยากทำแบบธามบ้าง
ปลูกนั่นนี่นิดหน่อย ได้มองอะไรเขียวๆน่าจะสบายตาดี
-
จิ้มมม
-
ฝนกำลังตกอยู่เลยค่าา กำลังอารมณ์เสียหลังจากวิ่งไปเก็บผ้าที่ตาก
อ่านจบรู้สึกหัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาทันใด
เอ๊า ตกก็ตกไปเถอะ (แต่ได้โปรดอย่าท่วมเลยนะ)
:pig4:
-
ช่วงนี้ฝนตก ทำให้คิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว สงสัยเพราะชื่อเรื่องทำให้เรามักจะคิดถึงเรื่องนี้เสมอ แล้วฝนตกทีไรคิดถึงตลอดค่ะ555
ชอบเรื่องนี้ โดยเฉพาะตอนล่าสุด ได้เห็นถึงความรักที่อยู่รอบๆตัวเรา ไม่เพียงเฉพาะกับความรักของคู่รักเท่านั้น
พระเอกนายเอกอยู่ห่างไกลกันเพราะภาระหน้าที่การงาน ทำให้ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ก็เลยอยากเห็นบั้นปลายชีวิตของธามน่านเป็นอย่างที่ตั้งใจคาดหวังไว้มากน้อยแค่ไหน
ความรักที่สื่อสารต่อกันตอนนั้นกับตอนนี้จะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องรักแท้แพ้ระยะทางบ้างไหม555 อันนี้เดาได้แค่ว่ายังไงธามน่านเขาก็รักกันมากๆ
ยิ่งพูดก็ยิ่งชอบคู่นี้ ธามน่านแสดงความรักต่อกันน่ารักดี เราชอบคู่นี้มากๆค่ะ :-[
อ้อนขอไว้ก่อนเผื่อนักเขียนอยากแถมอีก :mew2: :pig4:
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆให้เราได้จดจำและประทับใจไปตลอดค่ะ :L2:
-
น่ารักจัง :-[ :-[ :-[
-
ละมุนมากกกก อ่านแล้วอุ่นๆ ฮืออออ
ชอบมากค่ะ T///T
-
อ่านจบแล้วนี่อยากไปเที่ยวดอยเลยนะเนี่ย :pig4:
-
ตอนพิเศษ (3)
สิบแปดนาฬิกาตรงทุกชีวิตบนถนนต่างพากันหยุดกิจกรรมเมื่อเสียงประกาศตามสายเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงชาติไทย บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พลอยพากันยืนนิ่งไปกับเขาด้วย ทันทีที่จบเพลงความมีชีวิตชีวาก็กลับคืนสู่ถนนราชดำเนินหรือถนนคนเดินท่าแพแห่งนี้อีกครั้ง
ร่างสูงก้าวที่ในมือกำถุงใส่พวงมาลัยดอกมะลิมองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามจากฝั่งจากกำแพงเมืองเก่าเดินปะปนไปกับผู้คนที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนตำบลใดกันบ้าง สองเท้าก้าวไปตามทางชื้นแฉะเพราะฝนที่ขาดเม็ดไปได้เพียงไม่นาน แม้ท้องฟ้าจะยังคงขมุกขมัวแต่เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็พร้อมใจหุบร่มพับเก็บผ้าพลาสติกเพื่อแสดงสินค้าและร้องเรียกคนผ่านไปผ่านมาให้แวะชมด้วยภาษาคำเมืองหวานหู
นัยน์ตาสีเข้มที่บัดนี้ปราศจากแว่นสายตามาบดบังกวาดตามองไปยังร้านรวงที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ในใจนึกทบทวนว่านานเท่าไรกันที่ไม่ได้มาเดินเที่ยวในย่านสำคัญแห่งนี้ พยายามมองหาเพื่อนฝูงที่รู้จักแต่ก็ไร้วี่แววจะได้พบเจอ นั่นคงเพราะต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานลงหลักปักฐานยังที่ต่าง ๆ เหนือน่านเดินมาหยุดที่หน้าร้านขายของที่ระลึกซึ่งทำจากผ้า มีทั้งกระเป๋า หมอน พวงกุญแจและของแต่งบ้าน ชายหนุ่มโน้มตัวลงหยิบเจ้าตุ๊กตาทำจากเศษผ้าสีสดที่ดูคล้ายจิงโจ้ผสมกับสุนัขหูตูบขึ้นมาจากกองตุ๊กตาก่อนจะจ้องมองมันด้วยความสงสัย ตาโต ๆ กับท้องป่อง ๆ นั่นดูแล้วชวนขันยิ่งนัก
“เอาตัวมอมไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหมคะพี่”
“ตัวมอม?” เหนือน่านทวนคำ “ที่เห็นปีนอยู่ตามทางขึ้นวิหารในวัดน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะพี่” เจ้าของร้านสาวสวยยิ้มหวาน
‘ไม่เหมือนเลยสักนิด’ นักพฤกษศาสตร์หนุ่มคิดในใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมที่จะควักเงินจ่ายด้วยเหตุผลที่ว่ามันน่ารักดีและทำให้นึกถึงใครบางคน
เสียงเรียกเข้าและแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงทำให้เหนือน่านต้องสลัดความคิดนั้นทิ้ง รีบรับถุงกระดาษจากเจ้าของร้านคนสวยก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมากดรับสาย
“ว่าไง” กล่าวในขณะที่เท้าก้าวต่อ เพิ่งสังเกตเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ผู้คนดูหนาตาขึ้น การเดินจึงไม่คล่องตัวนักเพราะนอกจากต้องคอยระวังไม่ให้เหยียบพื้นรองเท้าของคนข้างหน้ายังต้องระวังไม่ให้ชนเข้ากับคนที่กำลังเดินสวนทางมา
“ทำอะไรอยู่”
“ซื้อของอยู่”
“ดีจังเลยเนอะ ลงจากดอยมาแทนที่จะโทร.มาบอกคิดถึงกันสักคำ ไม่มีเลย”
คนฟังหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของอีกฝ่าย “ก็บอกแล้วไงว่ามายืนอยู่ตรงหน้าสิแล้วจะพูดให้ฟัง”
“ให้มันจริงเถอะ ถ้าธามไปอยู่ตรงหน้าน่านจริง ๆ จะให้น่านตะโกนว่าคิดถึงธามให้เขาได้ยินกันทั้งถนนเลยดีไหม”
คำพูดนั้นของธามทำเอาชะงักกึก เหนือน่านกวาดตามองไปรอบ ๆ แต่เพราะไม่มีแว่นสายตาจึงทำให้ความสามารถในการมองภาพระยะไกลไม่ดีเท่าที่ควร
“รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ไหน”
“วันอาทิตย์แบบนี้ แถมมีทั้งเสียงรถเสียงคนดังขนาดนี้ อยู่ถนนคนเดินแน่ ๆ เดาไม่ถูกก็บ้าแล้ว”
“แล้วไป”
“ทำไม คิดว่าธามอยากฟังน่านพูดว่าคิดถึงกันจนต้องขับรถไปเชียงใหม่อย่างนั้นเหรอ”
“ใครจะไปรู้ ก็เห็นชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย” คนอายุมากกว่าถอนใจพลางเลี่ยงหลบกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนมา
“หลงตัวเอง ไม่ได้อยากฟังมากขนาดนั้นหรอกน่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“แล้วนี่จะกลับบ้านตอนไหน ค่ำแล้วนะ”
“ยังทำธุระไม่เสร็จ”
“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ธามไม่กวนแล้ว”
“ด...เดี๋ยวสิ ทำไมวันนี้ยอมวางง่าย ๆ”
“ก็น่านบอกเองว่าจะไปทำธุระนี่นา”
“ก...ก็ใช่”
“ทำไม? อยากคุยกับธามต่อเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ค...แค่...รู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งคุยนานกว่านี้”
“พี่น่านอยากคุยต่อก็บอกสิครับ ธามจะได้ไม่วางสาย”
“อ...ไอ้เด็กเพี้ยน บอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างนั้น เราก็แค่...”
“เอาละ ๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ธามไม่กวนแล้วจริง ๆ แค่นี้นะ”
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด!!!
‘อยากได้ยินเสียง’
“อ...อ้าว ยังพูดไม่ทันจบเลย”
เหนือน่านโคลงศีรษะก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า นักท่องเที่ยวที่แห่แหนมารวมกันอยู่ที่นี่ทำให้ระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรดูไกลขึ้นไปอีก กว่าจะฝ่าผู้คนออกมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม ชายหนุ่มหยุดพักที่สุดปลายถนนทอดตามองไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระสิงห์วรมหาวิหารเป็นวัดเก่าแก่ของชาวเมืองเชียงใหม่ นัยน์ตาพร่าเพราะแสงไฟหน้ารถที่สัญจรขวักไขว่ หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นานกระทั่งเห็นรถทิ้งช่วงจึงตัดสินใจก้าวไปตามทางม้าลายแต่แล้วเสียงแตรที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องชักเท้ากลับ
ชายหนุ่มมองรถจักรยานยนต์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนใจเฮือกพร้อมกับประโยค ‘เกือบเอาชีวิตมาทิ้งที่หน้าวัดเสียแล้ว’ ผุดขึ้นในหัว กระนั้นเหนือน่านยังต้องตกใจยิ่งกว่าเพราะจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่มือของตนเอง ไล่มองเรื่อยไปตามลำแขนแกร่งกระทั่งหยุดที่ใบหน้าอาบแสงสีนวลของไฟถนนก็พบว่าเขาคือคนที่เพิ่งวางสายจากกันไปเมื่อไม่นานนี่เอง ยังไม่ทันจะถามไถ่ให้ได้ความอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นด้วยเสียงขรึมทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเด็กไม่รู้ประสา
“เดินข้ามถนนไม่ระวังเลย เกือบถูกรถชนแล้วเห็นไหม”
“ก็เพราะไม่เห็นน่ะสิ” คนอายุมากกว่าบ่นมุบมิบในขณะที่เท้าก็ยังคงก้าวตามอีกฝ่ายต้อย ๆ
เมื่อข้ามถนนมาได้ธามก็ค่อย ๆ คลายมือออกสบตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถาม
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
“หลังจากน่านออกมาจากร้านน้ารินสักพัก น้ารินบอกว่าน่านไปตลาดวโรรสแล้วจะมาเดินเล่นที่นี่ธามก็เลยตามมา”
“เราพูดผิดที่ไหนกัน ชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาป...เป็น...”
“หืม?”
“ว...วุ่นวายอยู่เรื่อย” เหนือน่านมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้เลย
“เอาน่า เก็บไว้บ่นรวมกันครั้งอื่นได้ไหม แล้วนี่จะไปไหน”
“ไปไหว้พระขอพร”
“ให้ธามไปด้วยคนนะ”
“มีมาลัยมาพวงเดียว”
หนุ่มกรุงเทพฯ คลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงตั้งแง่ “ดีเลย น่านไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาเจอกันอีก”
“ชาติเดียวก็แย่แล้ว” พูดจบก็เดินผ่านกำแพงซึ่งมีสิงห์คู่สีขาวตั้งเด่นอยู่เหนือซุ้มประตู
“ต้องไปไหนก่อน”
“เข้าไปในโบสถ์ก่อน”
ธามพยักหน้าหงึกเดินตามเจ้าถิ่นไปอย่างว่าง่าย หลังจากนมัสการพระประธานในโบสถ์แล้วเหนือน่านก็พาวิศวกรหนุ่มเดินไปยังวิหารลายคำซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมศิลปะล้านนา ด้านหน้ามีสิงห์คู่และปูนปั้นรูปพญานาคทอดตัวลงมานามแนวราวบันได ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อกันว่าคนที่เกิดปีมะโรงควรต้องหาโอกาสมาไหว้ให้ได้สักหน
สองคนเดินผ่านซุ้มประตูช่องประตูเข้าไปในวิหารที่ประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมเรื่องราวในวรรณคดีไทย ตรงหน้าคือพระพุทธรูปสีทองอร่ามรับกับฉากหลังซึ่งเป็นผนังที่เขียนภาพลายทองบนพื้นแดงทำเอาคนเพิ่งเคยมาครั้งแรกถึงกับตะลึงในความงดงามของศิลปกรรมที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ทิ้งเอาไว้ให้
“สวยจัง” ธามกล่าวก่อนจะนั่งลงกราบพระ
“เอาพวงมาลัยไปบูชาพระสิ” พูดจบเหนือน่านก็ส่งมาลัยดอกไม้กลิ่นหอมเย็น ๆ ที่เตรียมมาให้ในขณะที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีลังเลที่จะรับไว้อย่างเห็นได้ชัด
“น่านเอาไปบูชาเถอะ นี่มันของน่านนี่นา”
“น้ารินบอกว่าคนที่เกิดปีมะโรงชีวิตหนึ่งต้องมาไหว้พระสิงห์ให้ได้สักครั้ง เราให้ ธามเอาไปบูชาพระเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าพลางรับพวงมาลัยดอกมะลิมาถือไว้ก่อนจะคลานไปวางบนแท่น จากนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับออกมาจากวิหาร และธามก็ไม่ลืมที่จะถามคำถามที่ตัวเขายังคงข้องใจ
“น่านมาที่นี่ตั้งใจจะมาขอพรให้ตัวเองหรือขอให้ใครกันแน่”
เจ้าของชื่อกลับมาสบตาก่อนจะตอบด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังยิ้มไม่หุบ
“เราตั้งใจจะมาขอพรให้คนเกิดปีมะโรง”
...
รถสองแถวสีแดงแล่นฝ่าความมืดหนีการจราจรคับคั่งในบริเวณคูเมืองกระทั่งมาหยุดส่งผู้โดยสารยังสะพานซึ่งมีโครงเหล็กครอบ ทอดตัวเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำปิงเข้าไว้ด้วยกัน
“คุ้นตาที่นี่จัง” ธามเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวลงจากรถ
“เคยเห็นในหนังละมั้ง มีหนังหลายเรื่องมาถ่ายที่นี่ สะพานนี้เขาเรียกว่าสะพานเหล็กหรือสะพานดำ ถนนลอยเคราะห์” พูดจบก็เดินไปยืนเกาะราวสะพานทอดตามองแสงไฟระยิบระยับที่เห็นอยู่ไกล ๆ “แล้วนี่จะกลับเมื่อไร”
“อะไรกัน เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถามถึงวันกลับเสียแล้ว” น้ำเสียงตัดพ้อนั้นทำเอาคนฟังโคลงหัว ทันทีที่อีกคนก้าวมายืนข้างกันก็ทำให้นึกขึ้นมาได้จึงยื่นถุงกระดาษให้
“อ่ะนี่ เราให้”
“อะไร”
“เปิดดูสิ”
ธามล้วงมือลงไปในถุงกระดาษก่อนจะดึงตุ๊กตาผ้าหน้าตาตลกออกมา “ตุ๊กตาเหรอ”
“อื้อ คนขายเขาบอกว่ามันคือตัวมอม แต่เราว่าไม่เหมือนเท่าไร จริง ๆ แล้วที่เห็นอยู่ตามวัดมันคล้าย ๆ ลิงผสมเสือ ตำนานทางเหนือเล่าเกี่ยวกับตัวมอมว่าเอาไว้สำหรับแห่ขอฝน”
“เหมือนแห่นางแมวเลย”
“อืม นั่นแหละ”
“น่ารักดีเนอะ”
เหนือน่านพยักหน้ายิ้ม ๆ รู้สึกดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายชอบของที่ตนเองให้ แต่แล้วคำพูดต่อมากับสายตาหวานเชื่อมของธามก็ทำให้ต้องเสมองไปทางอื่น นึกอยากจะเขกหัวตัวเองที่ดันมาตกม้าตายแสดงท่าทีเขินอายต่อหน้าผู้ชายด้วยกันเช่นนี้
“หมายถึงคนให้นะ”
ธามขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดไหล่ ตาคมละจากปรางแก้มสีนวลยามต้องแสงไฟจากนั้นก็มองออกไปยังเวิ้งน้ำท่ามกลางความมืด ต่างคนต่างปล่อยให้ลมพัดเอาไอเย็นจากสายน้ำขึ้นมากระทบผิวหน้า ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมสองร่างเอาไว้และปล่อยหัวใจได้ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้
“อยากรู้จังว่าภาพที่น่านเห็นอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง”
“มันเบลอ ๆ แต่รู้ว่าเป็นแสงไฟ”
“จริงสิ เพิ่งสังเกตว่าวันนี้ไม่ได้สวมแว่น”
“ลืมไว้ที่บ้านพักบนสถานีน่ะ”
“อืม...” มือหนายกขึ้นถูปลายคางของตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมารวดเร็วราวกับเด็กชายที่คิดเกมสนุก ๆ ได้ “น่านหลับตาแล้วยืนอยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องตามมา” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเริ่มเดินถอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดปลายสะพาน
“น่านลืมตาได้แล้ว ดูซิว่ามองเห็นธามชัดไหม” ธามป้องปากร้องถาม คนถูกถามจึงลืมตาขึ้นพยายามหรี่ตามองจนในที่สุดก็โบกมือให้รู้ว่า ‘ไม่’ เป็นคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นหลับตานะ พอตอบเสร็จก็หลับตาทุกครั้ง”
แม้เหนือน่านจะไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของอีกฝ่ายสักเท่าไรนักกระนั้นเขาก็ยังยอมทำตามแต่โดยดี ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอีกครั้งรอกระทั่งเสียงขานคำถามดังขึ้น
“แล้วถ้าใกล้เข้ามาอีกหน่อยอย่างนี้ล่ะ”
คำตอบที่ได้ยังคงเป็นเช่นเดิม
“ชัดหรือยัง”
“มันไม่ชัด”
“นี่ล่ะ ชัดไหม” พูดพลางขยับใกล้เข้ามาอีกแต่ก็ยังใกล้ไม่พอที่จะทำให้คนสายตาสั้นเห็นชัด นักพฤกษศาสตร์หนุ่มยังคงโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวันก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามากระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่กับข้างแก้มกับคำพูดแผ่วเบาที่ข้างหู
“ลืมตาสิน่าน แล้วตอบธามทีว่าใกล้ขนาดนี้น่านเห็นธามชัดไหม”
ธามจ้องเปลือกตาที่กำลังปรือขึ้นช้า ๆ พลางยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ารักแบบที่แม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นนัก
“ธามมายืนอยู่ตรงหน้าน่านแล้วนะ”
“เห็นแล้ว”
“ถ้าเห็นแล้วก็พูดให้ชื่นใจหน่อยว่าคิดถึงกันไหม”
เมื่ออยู่ต่อหน้ากันเช่นนี้ก็ยากที่จะหนีได้ โดยเฉพาะหนีความรู้สึกที่อยู่ในใจขณะนี้ เหนือน่านเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดพลางคลี่ยิ้มบางเบาก่อนจะกล่าว “คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย”
ธามอมยิ้มเมื่อในที่สุดก็ได้ฟังคำนั้นจากปากของคนรัก แต่ก็ไม่วายถามย้ำให้แน่ใจ “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอยหรือเปล่า”
“แล้วหมาน้อยยอมให้เราจุ๊หรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าไม่ยอมจะมาข้ามป่าข้ามเขามาถึงนี่เหรอ เต็มใจให้จุ๊เลยละ” พูดจบก็ดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้ก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่ที่ไม่อาจละไปไหนได้เลยแม้สักนาทีเดียว
คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยกมือข้างที่เหลือเสยผมสีเข้มที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคู่สนทนา “แต่เราไม่ได้จุ๊ เราพูดเรื่องจริง”
“พูดอีกรอบได้ไหม เมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งตัว”
“อีกสิบรอบหรือร้อยรอบก็จะบอกว่าคิดถึง อยากฟังเสียงแล้วก็อยากเห็นหน้า”
เอาละสิทีนี้คิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไรดี ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เสียแล้วสิธามเอ๋ยธาม...
จบจ้ะ
ภาพปลากรอบ >>> https://www.facebook.com/AmInTheSky/posts/609478345905223
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ฝนตกเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ
ขอบคุณคุณ Ailime13 ที่แนะนำเรื่องนี้นะคะ ^^ (ขออนุญาตปัดพื้นแล้วกราบบบบบบเบญจางคประดิษฐ์ที่สาธุประดิษฐ์ค่ะ)
-
เขิลลล ทำเราอยากไปเที่ยวอีกแล้ว คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
-
เฮ้ออออ พี่น่านก็อู้คำหวานกับเค้าเป็นเหมือนกันนะเนี่ย
แม้ธามจะต้องตื้อ ดื้อ เอาก็เถอะ
แต่ธามคงจำยิ้มปลื้มแน่ๆ อ๊ายยยย อิจฉา
เรื่องนี้นี่คอนเซ็ป คุณชายจอมซึนกับนายช่างผู้เอาแต่ใจจริงๆ ฮาาา
อัพตอนพิเศษต่อนะคะ กิกิ
-
น่ารัก เขินมากๆ :-[
:pig4: :L2:
-
ประโยคเด็ด. “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย“ มาแว้วววว :o8:
มีตอนพิเศษเรื่อยๆๆๆนะะะ :call: :pig4:
-
โอ๊ย หวานๆๆๆที่สุด
อ่านเรื่องนี้ทีไร หัวใจได้ผ่อนคลายตลอดๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นน่ารักค่ะ
วัดอะไรคะที่คนปีมะโรงต้องมาไหว้
-
หวานมากกกกกกกก อิจฉามากกกกกก
เมืองน่านน่ารักกกกกก อิอิ
-
พอได้หายคิดถึง
-
คู่นี้ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม5555555
ในเลขห้าแอบมีน้ำตาซ่อนอยู่เพราะ
ต้องรอตอนพิเศษ(4)อีกพักใหญ่ๆมั้ง
-
ขอยืมคำน้องสาวมาใช้ค่ะ ธามนี่มันก๊าวใจจริงๆๆ
ธามน่ารัก อ่านแล้วเขินมากค่ะ >\\\\\<
-
เมืองน่าน่ารักจริงๆ เริ่มชอบหน้าฝนขึ้นมาบ้างแล้ว :-[
-
เขินจังเลย
พอน่านเริ่มกล้าพูด
กล้าเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้น
ทำให้ธามยิัมแก้มแทบปริเลยนะ
-
น่ารักมากกกกกกก
-
:o8: :-[ :impress2:
-
เราอ่านแล้วอินมากๆค่ะ ซึ้งมากๆแล้วนำ้ตาก็ไหลตอนที่น่านพูดคำว่าคิดถึงตรงหน้าธาม
เรารู้สึกเพราะเขาสองคนอยู่ห่างไกลกันนานๆกว่าจะได้มาเจอกัน ก็ต้องคิดถึงกันมากๆจริงๆ
เราใจหายมากๆตอนที่น่านเกือบถูกรถชน ถ้าน่านเป็นอะไรไป ก็คงไม่ได้ให้อะไรหรือทำอะไรเพื่อธามอีก
และน่านก็คงไม่ได้บอกคิดถึงต่อหน้าธามด้วย อนาคตไม่แน่นอนจริงๆ เราคิดว่าอยากทำอะไรเพื่อคนที่เรารักก็ควรทำเถอะเนอะ
น่านก็คงคิดแบบนั้น น่านเป็นคนที่น่ารักมากๆเลยนะคะ
เราทั้งยิ้มทั้งเขินเอามากๆตอนที่ธามบอกว่า หมายถึงคนให้นะ
เรายิ้มไม่หุบเลยอ่ะ เราเลยต้องบอกกับตัวเองว่าธามเขาพูดและมองหน้าน่านโน่น555 ธามเป็นคนที่โรแมนติกมากๆเลยค่ะ
ดีใจมากๆนักเขียนมามอบความสุขให้ในตอนพิเศษอีกครั้งนะคะ และเราได้ข้อคิดได้รับความรู้รอบตัวอีกมากมายเลยค่ะ
ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักเรื่องนี้จริงๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
-
พี่น่านตอนคุยโทรศัพท์กับธามน่าแกล้งจริงๆ นั่นล่ะน้าา :-[ ท่าทางคงจะใจแป้วน่าดูเลยนะคะน่ะ ที่อยู่ดีๆ คนขี้ตื๊ออย่างธามก็ยอมทำตามที่ตัวเองว่าง่ายๆ แถมยังวางสายไปทั้งๆ ที่พี่น่านยังพูดไม่จบอีก 555+ แต่ทางด้านธามเองก็ทนแกล้งได้ไม่นานจริงๆ นะคะ เพราะสุดท้ายก็ต้องรีบแสดงตัวก่อนที่คนขี้เหม่อจะเดินไปชนอะไรเข้าอีก~ ><
ขอบคุณนะค้าา.. :pig4:
-
น่ารักมาก
:-[ :-[
-
เห็นตอนพิเศษมาแล้ว แต่กว่าจะได้อ่านแทบลงแดงตาย
นี่ถ้าไม่ติดงานนะ จะวิ่งแทรกไปในตัวหนังสือ ไปแอบส่องตามตอม่อสะพาน
อะไรเค้าจะหวานแหววกันได้เปิดเผยขนาดนี้
ช่างเป็นคู่ล่ามาแรงแซงคิวพี่ตังพี่จ้า พี่ปุ่นพี่เต็ม พี่ธันพี่บุ้ง กันซะเหลือเกิน
เป็นคู่ที่หวานกันออกสื่อมากที่สุดในบรรดาลูกๆของคุณ ถธปทฟ แล้วล่ะมั้งเนี้ย
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
ไม่ขอ แต่จะรอตอนต่อไปนะคะ ^^
-
เหนือน่าน นาน ๆ หวานที ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
-
:-[ :o8: :o8:
-
อ่านแล้วเขินอ่ะ :oo1:
-
ในที่สุดก็ได้ยินคำว่าคิดถึง
ต้องบอกใกล้ๆใช่ไหมธาม
น่ารักมาเลย
รู้สึกอบอุ่นมากเลยเมื่อถึงปลายทาง
มีคนบอกว่าคิดถึงงงงงงงงง
-
“จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย“
คิดถึงหนักมาก
ทั้ง น่าน ธาม
คู่นายตัง นายจ้า
:heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
:call: :call: :call: //อ้อ อยากให้ ณัฐนนท์ สมหวังด้วยอ่ะ ... ตอนพิเศษ จงมาๆๆๆ :call: :call: :call:
-
สนุกมาก ๆ ครับ บรรยายบรรยากาศได้เห็นภาพเลยดอยเลยครับ ชอบคำนี้จัง "จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย"
ขอบคุณครับ
-
ปกติอ่านแค่บทสนทนา แค่คำพูดก็เขินจะตายอยู่แล้ว
แต่นี่มีฉากจุ๊บๆในรถด้วยยยยย :-[
เล่นกับหมา หมาเลียปากนะคะพี่น่านนน หมาน้อยมันร้ายนัก o18
-
ธามไม่ใช่หมาน้อยนะ ธามเป็นหมาใหญ่ต่างหาก 5555 :hao7:
-
:katai2-1: ชอบม้ากกกก ก ไก่ ล้านตัว
รักละมุน ลุ้นละไมจริงๆ
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ
-
เป็นเรื่องสั้นที่น่ารักมากกกกกกก :mew1:
อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจไปหมดเลยย :o8:
เสน่ห์ของเรื่องคือมันเป็นเรื่องสั้นนี่แหละ
แต่ละตอนเลยอ่านแล้วรู้สึกว่ากลั่นมาเน้นๆ เอาเนื้อๆจริงๆ
สองคนรักกันเราก็สุขใจ ตอนแรกใจหายนึกว่าเหนือน่านจะไม่รับรักซะแล้ว
ชอบความอบอุ่น โรแมนติกแบบนี้อะ
ไม่ต้องมีแสงสี ดอกไม้อะไรช่วยเลย หูยยยยย
รักกันยืนยาวแน่ๆ :กอด1:
-
อ่านตอนอากาศเริ่มเย็นๆ จะรู้สึกเหมือนเดินตาม ธามกับเหนือน่าน ไปตามทางเดินของกิ่วแม่ปานด้วยเลย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวอบอุ่น ท่ามกลาอากาศเย็นๆแบบนี้นะคะ :mew1:
-
หวานจนไม่รู้จะว่ายังไง มีความรักความอบอุ่นอวลอยู่ในอากาศ จนอยากจะทึ้งหมอนให้ขาดไปข้าง ชอบทั้งธามและเหนือน่านเลยค่ะ เขาไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่เขาก็รักกันมาก นี่ล่ะที่โบราณท่านว่า รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว เสมออยู่หอแห่งเดียวร่วมห้อง เมื่อรักกันแล้ว ต่อให้มีระยะทางขวางกั้น ก็ไม่นับว่าเป็นอุปสรรค เพราะสิ่งที่ผูกคนสองคนไว้คือหัวใจรักนั่นเอง ว้าย เขินจังเลยค่ะ ชอบบรรยากาศหวานๆ ระหว่างสองหนุ่มนะคะ อีกอย่าง...ชอบความสมจริงของเนื้อเรื่องด้วยค่ะ ไม่ต้องหวือหวา แต่รับรู้และจับต้องได้ว่ามันมีคนรักกันจริงๆ อย่างนี้ในชีวิตจริงนะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ :mew1:
-
เรืริงสั้นสไตล์สโลไลฟ์ ชอบมากเลยขอบคุณคนเขียนมากๆ :mew1:
-
อ่านไปยิ้มไปตลอดเรื่องเลย
พี่น่านกับธามน่ารัก
บรรยากาศก็ดี
ชอบทุกอย่างเลยค่ะ
-
ชอบมากเลย อ่านแล้วสบายใจมีความสุข ขอบคุณมากค่า
-
โรแมนติกมาก
-
คือมันดีต่อใจจริงๆค่ะ ชอบมากเลย
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[
อ่านแล้วรู้สึกดีเหมือนได้ไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติบนเขาจริงๆ เย็นใจมากเลย ยิ่งอ่านยิ่งคิดถึงเชียงใหม่
-
ปลายทาง...ยังคิดถึง (ตอนพิเศษ)
“รู้ไหมว่าความคิดถึงของเรามีความยาวเท่าไร”
ตาคมยังคงไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงแน่นอยู่บนกระดาษ ดูเหมือนว่าประโยคที่จบลงไปเมื่อครู่จะไม่สามารถทำลายสมาธิที่จดจ่ออยู่กับตำราเล่มโตบนหน้าตักได้หากมือขาวไม่ยกขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วถามกลับด้วยถ้อยคำสั้น ๆ
“เท่าไร”
“เท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ส่วนความกว้างก็เท่า...”
เสียงนั้นเงียบหายไปอย่างผิดสังเกตจนคนฟังต้องละจากหนังสือพร้อมกับหันไปมองคนพูด เห็นว่าเจ้าของร่างซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่ไม่ไกลกำลังยกแขนทั้งสองข้างขึ้นในอากาศ สองแขนค่อย ๆ ขยายห่างออกจากกันราวกับกำลังกะขนาดของอะไรบางอย่างจนในที่สุดก็แนบลงกับที่นอนเมื่อไม่อาจจะประมาณได้ถูก
นักพฤกษศาสตร์หนุ่มส่ายศีรษะ ยิ้มน้อย ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็นก่อนจะก้มลงให้ความสนใจกับตำราพันธุ์ไม้เมืองหนาวบนตักอีกครั้ง กระนั้นปากก็ยังถามต่อ “เท่าไหน”
“เท่านี้ไง”
คำพูดชวนสงสัยทำให้เหนือน่านจำต้องปิดหนังสือ หวังจะหันกลับไปดูให้รู้ว่าความคิดถึงของธามมีขนาดเท่าไรกันแน่ แต่ก็ไวไม่เท่ากับสองแขนของอีกฝ่ายที่กอดรัดรอบเอว แม้อากาศยามค่ำคืนจะหนาวเย็นหากแต่แผ่นหลังกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นเมื่อแผงอกแนบชิด
“เท่านี้แหละ” ธามกระซิบเบา ๆ หลังจากพาดคางลงบนบ่าของคนอายุมากกว่า จากนั้นก็ขยับห่างออกเพียงนิดเพื่อให้มีพื้นที่พอที่จะให้ปลายจมูกได้สัมผัสกับผิวแก้มแสนคิดถึง ในขณะที่เหนือน่านเองก็เอี้ยวตัววางตำราลงบนลิ้นชักข้างเตียง ถือโอกาสหนีให้ห่างจากสัมผัสที่ทำให้หัวใจวูบไหว
“แล้วน่านล่ะ คิดถึงเราเท่าไหน”
“ความคิดถึงของเราไม่มีความยาว ไม่มีความกว้าง ไม่มีน้ำหนัก”
“ไม่คิดถึงก็บอกตรง ๆ” วิศวกรหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับคลายวงแขนออกเปลี่ยนมาเป็นนั่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าคมสันที่เชิดขึ้นไม่ผิดจากเด็กชายขี้งอนดูแล้วยิ่งชวนหมั่นไส้ กระนั้นคนมองกลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ยังไม่ทันพูดสักคำว่าไม่คิดถึง” ขยับเข้าใกล้พร้อมกับแตะปลายนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือลงบนหว่างคิ้วของคนอายุน้อยกว่าแล้วลากปลายนิ้วทั้งสองให้ห่างจากกันเพื่อให้หัวคิ้วนั้นคลายออกพร้อมกับกล่าวต่อ “ความคิดถึงของเราไม่มีขนาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น”
“แล้วธามจะรู้ได้ยังไงว่าน่านคิดถึง” ธามว่าพลางรั้งมือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้
“รู้สิ เพราะความคิดถึงของเรามีรส”
“รสอะไรเหรอ” คนถามทำหน้าฉงน
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องให้ธามเป็นคนตอบ” เหนือน่านคลี่ยิ้มจาง ๆ ทอดตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามก่อนจะขยับเข้าใกล้ ก่อนที่กลีบปากอุ่นจะแตะลงบนริมฝีปากเย็นเฉียบเพื่อส่งผ่านความรู้สึกไปให้กัน ไม่ถึงอึดใจก็ผละออกในขณะที่คนไม่ทันตั้งตัวได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย
“รู้หรือยังว่ารสอะไร”
“ไม่ค่อยแน่ใจ ขอใหม่ได้ไหม” ว่าแล้วก็รวบตัวเจ้าของรสจูบมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง กำลังจะหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ดั่งใจเพราะแรงดันจากสองมือที่แผงอก
“พอแล้วไอ้เด็กเพี้ยน ใครจะไปให้” คนตกเป็นรองรีบประท้วง
“อะไรนะ อ๋อ...ใครจะไม่ให้” พูดจบก็ทำหน้าทะเล้น แกล้งทิ้งน้ำหนักจนอีกฝ่ายหงายลงจนแผ่นหลังแนบกับเตียง
ธามยิ้มน้อย ๆ เมื่อแรงต้านเมื่อครู่กลายเป็นเพียงสัมผัสบางเบาที่สองบ่าของตนเอง จัดการดึงแว่นสายตาของคนใต้ร่างออกแล้ววางทับบนหนังสือ เมื่อไม่มีสิ่งใดกั้นกลางดวงตาสองคู่ก็สบกันอยู่เนิ่นนานท่ามกลางความเงียบงัน
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง”
“ไม่เคยเห็น คนอะไรชอบจุ๊หมาน้อยขึ้นดอย”
“เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นหมา”
“ถึงจะเป็นหมา แต่หมาน้อยอย่างธามขึ้นดอยมาแล้วไม่กลับไปมือเปล่าแน่ ๆ”
คำพูดกับแววตาแฝงความหมายนั้นทำเอาคนฟังจำต้องเสมองไปทางอื่น แต่ก็ได้เพียงไม่นานเมื่อมือใหญ่รั้งปลายคางให้หันกลับมาเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าอีกครั้ง
“จะทำอะไร”
“ก็จะหาคำตอบว่าความคิดถึงของน่านรสชาติเป็นยังไงกันแน่”
ว่าแล้ววิศวกรหนุ่มก็ลงมือค้นหาคำตอบโดยการระเลียดรสความคิดถึงนั้นอีกครั้ง...ฟ้าสางเมื่อไรคงได้คำตอบที่ชัดเจนแน่ ๆ ถึงตอนนั้นก็คงตอบได้แล้วว่าความคิดถึงของน่านนั้นหวานหอมเพียงไร...
“ธาม”
เสียงเรียกนั้นดังอยู่ข้างหู มันแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครอื่นมาได้ยิน
“ธามตื่นเถอะ”
เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นและภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนรัก แม้ปกติจะชอบวางหน้านิ่งแต่เขาก็มักจะสังเกตเห็นรอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาคู่นี้ได้อยู่ดี
“เช้าแล้วเหรอ”
“ตีสามครึ่ง” เหนือน่านกล่าวพร้อมกับแทรกเรียวนิ้วเสยผมยุ่งเหยิงที่ตกลงมาปรกหน้าผากของคนที่กำลังใช้มือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย “ข้าวพ่อกับแม่ของต้นข้าวเพิ่งมาถึง”
ธามชะงักก่อนจะพยายามลืมตาสู้แสงจากหลอดไฟนีออน มองไปรอบ ๆ ให้ถ้วนถี่ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ใดกันแน่ ในที่สุดเมื่อดวงตาชินกับแสงวิศวกรหนุ่มก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ และตรงหน้าก็คือห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำอำเภอ
“พ่อกับแม่ของต้นข้าว...”
“อืม เพิ่งมาถึงสักพักน่ะ โชคดีนะที่เจ้าตัวเล็กไข้ไม่สูงมาก ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ ๆ เลย” คนอายุมากกว่ากล่าวก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่คนฟังพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และภาพสุดท้ายก่อนที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้ก็คือ...
“ธ...ธาม พอก่อน”
คำขอร้องไม่อาจหยุดฝ่ามือใหญ่ที่กำลังลูบไล้ไปบนผิวเนื้อได้ ซ้ำกลีบปากอิ่มยังแกล้งดูดดึงเบา ๆ ที่ซอกคอก่อนจะเลื่อนขึ้นไปกระซิบชิดใบหู
“ธามไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนนะ”
เสียงแหบพร่าทำเอาสองแก้มขาวค่อย ๆ เจือสีแดงระเรื่อเพราะเลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้นพอ ๆ กับหัวใจที่เต้นรัวราวกลองสะบัดชัย
“ธ...ธาม พ...อื้อ...”
ริมฝีปากอุ่นที่ประกบลงมาทำให้ไม่สามารถกล่าวถ้อยคำใด ๆ แม้สมองจะสั่งให้หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้แต่หัวใจและร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มือขาวคลายจากบ่ากว้างก่อนจะไล้ลงไปตามลำตัวที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เผลอรั้งเสื้อของอีกฝ่ายอีกฝ่ายขึ้นเสียแล้ว
“ไหนบอกว่าให้หยุดไง” ธามกล่าวพร้อมกับถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“พูดมากน่า” เจ้าของแก้มขึ้นสีตอบห้วน ๆ ดวงตามองคนเหนือร่างที่กำลังยืดตัวขึ้นจัดการถอดเสื้อยืดใส่นอนแล้วปามันไปอีกทาง
“ถ้าอย่างนั้นขอถามคำถามสุดท้าย”
“อะไร”
“จะให้ธามหยุดแค่นี้ไหม ถ้าน่านต้องการ ธามจะหยุดตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้”
เหนือน่านไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงแต่ยกตัวขึ้นพร้อมกับใช้สองแขนคล้องที่ลำคอแกร่งก่อนจะรั้งคนพูดลงมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
“อยากทำอะไรก็ทำ” กล่าวเมื่อปลายจมูกสัมผัสกัน
ถ้อยคำง่าย ๆ ทำดวงตาคมกริบทอประกายวิวบวับ จู่ ๆ หัวใจก็ทำงานหนักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ธามประทับจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ลำคอระหงก่อนจะเลื่อนขึ้นมาตามแนวสันคาง สุดท้ายก็ไม่ลืมให้รางวัลกลีบปากบางที่วันนี้ยอมเผยความความในใจให้รู้
“อ...อื้อ...ธ...ธาม” เสียงนั้นขาด ๆ หาย ๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงต่ำในขณะที่ริมฝีปากยังไม่คลายจากกัน พลันหูก็ได้เสียงโวกเวกดังแว่วขึ้นท่ามกลางเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่ด้านนอก
“อ้ายธิ!”
“ธ...ธาม หยะ...”
“อ้ายธิ!”
“ธามหยุดก่อน” พูดพร้อมกับคว้าข้อมือที่กำลังวนไล้อยู่ที่หน้าท้อง “หยุดก่อนนะ” ว่าพลางรั้งมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบที่แก้ม เงี่ยหูฟังความเป็นไปที่ด้านนอก
“อ้ายธิ!”
“ร...เรา...ไปดูนะ” เอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าธามไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านจึงยันกายลุกขึ้น หยิบแว่นสายตามาสวมก่อนจะเดินไปมุ่งหน้าไปยังประตูระเบียง ทันที่ประตูเปิดออกความหนาวเย็นจากก็ปะทะเข้ากับร่างจนผิวกายชาไปหมด ดวงตาภายใต้กระจกใสมองตามแสงจากกระบอกไฟฉายที่กำลังส่ายไปมาอยู่หน้าเรือนพักของหัวหน้านักวิจัยซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปยนเนิน
“อ้ายธิ! อยู่หรือเปล่าเจ้า” เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่ธิไม่อยู่หรอกครับ ไปในเมืองตั้งแต่เช้า” เหนือน่านตะโกนบอก รอกระทั่งแสงไฟใกล้เข้ามาจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ ‘ต้นข้าว’ ลูกสาววัยสิบปีของคนงานในสถานีวิจัยนั่นเอง
“อ้ายน่าน อ้ายน่านช่วยน้องหนูด้วย น้องตัวร้อนจี๋เลย ยายบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล พ่อกับแม่ไปงานศพที่ลำพูนตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับ หนูเลยมาหาพี่ธิ” เสียงสะอื้นฮักทำเอาคนฟังใจคอไม่ดี
“รอเดี๋ยวนะ พี่ไปเอากุญแจรถก่อนแล้วจะพาไปโรงพยาบาล”
เมื่อเหนือน่านกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งเขาก็เห็นว่าธามที่สวมเสื้อเรียบร้อยกำลังยืนรออยู่แล้ว
“ธามพาไปเอง เรารีบไปกันเถอะ”
“ธาม คิดอะไรอยู่”
เมื่อมืออุ่นแตะที่ลำแขน ความคิดที่ล่องลอยไปไกลก็กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เจ้าของชื่อส่ายหัวเบา ๆ ไล่ภาพของอีกฝ่ายกับคำพูด ‘อยากทำอะไรก็ทำ’ ที่ยังคงก้องอยู่ในหู ก่อนจะตอบ “เปล่า”
“แล้วเป็นอะไร ยังง่วงอยู่เหรอหรือว่าโกรธอะไรเรา ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
ธามส่ายหัวดิกก่อนจะปฏิเสธ “ธามจะโกรธน่านเรื่องอะไร น่านดีขนาดนี้” ว่าแล้วก็ถือโอกาสเอียงศีรษะลงบนไหล่ของคนที่ความสูงพอ ๆ กันพร้อมกับหาวหวอด ๆ
“ถ้าง่วงก็ไปนอนในรถ ขืนนอนแบบนี้ปวดคอแน่” นักพฤกษศาสตร์หนุ่มทอดตามองมือใหญ่ที่เลื่อนมากุมมือของตนเอง
“ไม่เอา ธามอยากกลับบ้าน ยังเสียดายไม่หาย”
“เสียดายอะไร” เหนือน่านถามซื่อ ๆ
“เสียดายเรื่องที่ทำค้างไว้เมื่อตอนหัวค่ำ”
คำตอบแบบตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังไปไม่เป็นได้แต่ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเอง แล้วจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ลุกพรวดขึ้น
“รีบไปกันเถอะ”
“จะไปไหน”
“กลับบ้านไง”
“กลับได้ยังไง ประตูอุทยานยังไม่เปิดเลย ต้องรอหกโมงเช้าโน่น”
“ถ้าอย่างนั้นไปรอในรถนะ” ธามกล่าวพลางรั้งแขนอีกคนให้ลุก “เร็ว ๆ รีบไป”
“จะรีบไปไหนเนี่ย” เหนือน่านบ่นแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย และหากเขาตั้งใจฟังดี ๆ คงได้ยินประโยคสุดท้าย...
“ระหว่างรอ เราจะได้ทำเรื่องที่ค้างไว้ต่อด้วย"
...จบ...
-
ขอบคุณค่ะ NC ที่รอคอย อิอิ
-
อ่านแล้วต้องไปหารูปกุหลาบพันปี กับข้อมูลกิ่วแม่ปานเลยทีเดียว ฮา
ขอบคุณค่ะ
-
:bye2:
ขอบคุณมากๆ
-
ประทับใจมากเลย :impress2: :impress2:
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
โอยยยยยยยย หวานละมุนละไมอบอุ่นข้างใน~
เขิลลลลลลแทบจะบิดเป็นเกลียวแทนพี่น่าน :-[
งืออออออ แม่ขาหนูอยากได้แบบเน้!!!!!!! :ling3:
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ :กอด1: :L1: :pig4: :pig4:
-
น่ารัก~
-
เพิ่งมาอ่านตอนพิเศษค่ะ ขอเขินย้อนหลัง :-[
มีNCให้ไปจินตนาการต่อเอาเองด้วย :a5: ขอบคุณมากๆเลยค่ะ :กอด1:
ธามน่านเป็นคู่รักที่คิดถึงคนอื่นเสมอ คิดช่วยเหลือคนอื่นแม้กระทั่งยามที่กำลังจะมีความสุขด้วยกัน อิอิ
ยกให้เป็นคู่รักที่แสนดีที่หนึ่งเลยค่ะ o13
-
คุณคนเขียนช่างเป็นคนที่ใช้สำนวนบรรยายสถานที่ให้เรานึกภาพตามได้ไม่ยากเลยค่ะ
และทำให้เราอยากไปเห็นสถานที่นั้นๆด้วยตาของตัวเราเองสักครั้ง
เรื่องนี้เรารู้สึกว่าอารมณ์เรื่องหวานๆกว่าทุกเรื่องที่เคยอ่านมานะคะ
ในหลายๆเรื่องของคุณสถานที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือเพราะความชอบหรือเปล่าคะเพราะเราก็ชอบเหมือนกันค่ะชอบภูเขาต้นไม้ต้นใหญ่ใบสีเขียวชอบอากาศหนาวที่สุดเลยค่ะ
สำหรับประโยคเด็ด(จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย)ได้อ่านเมื่อไหร่อดหัวเราะดังๆไม่ได้ทุกทีไป
ธามกับน่านเป็นคู่ที่น่ารักมากๆเลยค่ะ ชอบเวลาที่สองคนนี้คุยกันอ่านไปยิ้มไปตลอดเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้นะคะ แล้วจะติดตามผลงานเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ :mew1:
-
สวัสดีค่ะ แวะมาแจ้งข่าวการเล่มเรื่องสั้นชุด "ในความคิดถึง" ค่ะ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่เพจ สนพ. Hermit Books นะคะ
https://www.facebook.com/HermitBooks/posts/1575913629123501 (https://www.facebook.com/HermitBooks/posts/1575913629123501)
-
:mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123: :L2: :L2: :pig4: :pig4:
-
ขอบคุณมากๆค่ะ เรื่องน่ารักมากๆเลย
:L2:
-
ละมุนอบอุ่นมาก จากส่งโปสการ์ดผิดเลยได้หนุ่มนายช่างมาครองใจ :katai2-1:
-
:-[
-
ขอบคุณมากนะคะเรื่องน่ารักมากเลย :katai2-1: :impress3:
-
ชอบๆ สนุกดีครับ เรื่อยๆไม่หวือหวา ชิลๆสบายๆดีครับ :impress2:
รอเรื่องหน้านะคร้าบบบบ