▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 41: ความรักเปื้อนๆ สนฝากงานกับคนในร้านไว้แล้วจึงพาต้นเดินมานั่งที่มุมสุดของร้าน พนักงานในร้านคงจะรู้ว่าสนต้องการความเป็นส่วนตัวจึงไม่มีใครเข้ามายุ่มย่ามบริเวณนั้น
"ทำไมนายถึงกลับมาไวล่ะ ยังไม่ถึงสามปีดีเลย" สนถามทันทีที่นั่งลง
"เราสมัครงานที่มหาลัยมหิดลศาลายาไว้น่ะ พอดีเขาจะนัดสัมภาษณ์อีกสองสามวันนี้ เราก็เลยต้องกลับมาเร็วหน่อย"
"จริงเหรอ...งานอะไร" สนถามอย่างดีใจ
"เป็นตำแหน่งนักวิชาการศึกษาน่ะ พอดีทางมหาลัยเขามีโครงการ World Class University แล้วก็อยากจะผลักดันให้มหิดลเป็น Research University Network เราสนใจงานนี้มากก็เลยรีบสมัคร แต่ว่าโครงการมันแค่สองปีเองนะ ที่เราอยากไปทำก็เผื่อว่าต่อไปจะมีช่องทางเข้าไปเป็นอาจารย์สอนที่นั่น"
"นายทำได้อยู่แล้วล่ะ จะไปสัมภาษณ์วันไหนบอกเรานะ เดี๋ยวเราพาไป" สนขันอาสา
ต้นพยักหน้า ยิ้มเจื่อนๆ เพราะนัดกับทดแทนไว้แล้ว ต้นยังไม่อยากพูดเรื่องทดแทนตอนนี้จึงต้องเสไปเรื่องอื่นก่อน
"อ้อ...ขอบคุณนายมากนะที่ช่วยดูแลพ่อกับแม่ให้เรา วันหนึ่งเราจะตอบแทนนายให้ได้"
"ไม่เป็นไร พ่อกับแม่ของนายก็เหมือนพ่อกับแม่คนที่สองของเรานั่นแหละต้น ถึงนายไม่บอกเราก็จะดูแลพ่อแอ๊ดแม่เยาให้อยู่แล้ว" สนตอบพลางยิ้ม
"นายผอมไปนะสน นายต้องกินข้าวเยอะๆ หน่อยนะ" ต้นถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง คงจะเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละถึงได้พูดย้ำอีกรอบ
"แค่เรารู้ว่านายกลับมา เราก็อยากจะกินข้าวเป็นสิบจานแล้ว" สนพูดติดตลกพร้อมกับขำเบาๆ สนไม่ได้หัวเราะอย่างนี้มานานจนแทบจะลืมความรู้สึกอย่างนี้ไปเลย
"ไม่ต้องห่วงเรานะต้น เดี๋ยววันนี้เราจะกินข้าวเยอะๆ เลย"
ต้นยิ้มอย่างพอใจ พิศมองดูคนตรงหน้าอย่างละเอียดลอออีกครั้ง สนตาคล้ำไปพอสมควร แสดงว่าคงไม่ค่อยได้นอน สีหน้าแววตาดูไม่ค่อยสดใสนัก คงจะมีเรื่องเครียดๆ หลายอย่าง แม้ว่านินาจะจากไปแล้วแต่สนก็ยังต้องเครียดกับร้านรวมทั้งสิ่งที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับต้นก่อนหน้านี้ด้วย
"เรา...ไม่ค่อยมีเวลากินข้าวหรอก เราทำงานเยอะ ไม่ค่อยได้นอน เพราะเราไม่อยากมีเวลาว่าง ว่างแล้วก็คิดมาก...ฟุ้งซ่าน" สนสารภาพในที่สุด
"เราขอโทษนะสน เรา...รู้สึกแย่มากเลยที่ปล่อยให้นาย...ทุกข์อยู่คนเดียว" ต้นอดที่จะรู้สึกผิดอีกไม่ได้
"ไม่เป็นไร เราดีใจที่สุดเลยรู้ไหมที่นายกลับมา" สนพูดพร้อมกับส่ายศีรษะ ต่างคนต่างมองหน้ากันพร้อมกับน้ำตาที่ยังซึมๆ อยู่
"พ่อของเรา...เล่าเรื่องของนายให้เราฟังหมดแล้ว แล้วนาย...จะทำยังไงต่อไปล่ะสน"
สนนั่งนิ่ง มองหน้าต้นด้วยแววตาที่หม่นเศร้าแล้วก็หันหน้าหนีไปทางอื่น "ไม่รู้เหมือนกัน ก็อาจจะ...อยู่เป็นโสดอย่างนี้ หรือถ้ามันทนเหงาไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะหาใครสักคนมาอยู่ด้วย คงอย่างงั้นมั้ง เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เราคิดอะไรไม่ออกน่ะตอนนี้" แล้วสนก็หันหน้ากลับมาหาต้นอีกครั้ง
"นายมีแฟนใหม่แล้วใช่ไหมต้น เขามาส่งนายที่นี่ใช่ไหม"
คราวนี้เป็นต้นบ้างที่นั่งเงียบและครุ่นคิด
"จะต้องคิดให้มากไปทำไมล่ะต้น ถ้านายมีแฟนแล้ว นายก็แค่บอกเรามาตรงๆ มันเป็นสิทธิ์ของนายอยู่แล้วนี่" สนรู้ทันว่าต้นไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่าสนจะเสียใจ
ต้นพยักหน้าแทนการตอบคำถามที่แสนลำบากใจนั้น
"เราขอโทษนะต้น ขอโทษที่เราเคยเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องของนาย ทำให้นายเจ็บปวดผิดหวังหลายครั้ง เราไม่โทษใครหรอกที่เราต้องเสียนายไป ก็สมควรแล้วล่ะที่มันเป็นอย่างงี้ ถ้าเราเป็นนาย...เราก็คงจะทำเหมือนนายนั่นแหละ"
"สน..." ต้นเรียกคนตรงหน้าด้วยเสียงที่แหบพร่า เห็นสนกะพริบตาถี่ๆ ไม่ให้ร้องไห้แล้วก็ยิ่งสะท้อนใจ
"แต่เรา...ไม่เคยไม่รักนายนะต้น ตั้งแต่มอสาม...จนถึงวันนี้ ความรู้สึกของเราก็ยังเหมือนเดิม เราไม่ดีเอง นายไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก" สนเว้นจังหวะแล้วถอนหายใจ
"ถ้าเราจะพอขอได้...เราก็แค่อยากจะขอให้นายจดจำช่วงเวลาสิบวัน...ที่เราเคยใช้ชีวิตด้วยกันอย่างคนรักกันก่อนที่นายจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก นายยังจำได้ใช่ไหมต้น เราไม่รู้ว่านายเห็นมันเป็นยังไงหรอกนะ แต่เราก็ทำให้นายอย่างดีที่สุด...เท่าที่คนอย่างเราจะทำให้ได้ ที่เราอยู่รอดผ่านพ้นสามปีที่ทรมานมาได้...ก็เพราะเรายังคิดถึงสิบวันนั้นที่เราอยู่ด้วยกันตลอด เรายังมีความหวังว่าเราจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างนั้นกับนายอีก นายเป็นความรักที่ดีที่สุดของเรานะต้น นายเป็นคนเดียวในชีวิตที่เข้าใจเรามากที่สุด ไม่มีใครแทนที่นายได้ แต่เรา...คงไม่มีบุญวาสนา ก็เลยต้องเสียนายไป"
สนร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ แม้ว่าจะทำใจไว้อยู่แล้วแต่ก็ไม่อาจทานทนไหว ต้นเอื้อมมือมาจับแขนของสนบริเวณใต้ข้อศอกไว้ หัวใจเหมือนจะขาดรอนๆ ที่เห็นคนตรงหน้าร้องไห้ให้กับความรักที่เป็นอดีตไปแล้ว
สนพยายามสงบสติอารมณ์อีกครั้ง แม้จะยากลำบากแต่ก็กดข่มความเสียใจเอาไว้ได้ในที่สุด สนไม่อยากร้องไห้มากนักเพราะมันคงไม่มีประโยชน์ แค่คิดจะเสียใจตอนนี้ก็ยังถือว่าสายไป
"นายเล่าเรื่องแฟนใหม่ของนายให้เราฟังหน่อยได้ไหม"
จู่ๆ สนก็ถามอย่างนั้นขึ้นมา คนถูกถามถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก
"นายจะอยากรู้ไปทำไม"
"ทำไมล่ะต้น ถึงเราจะไม่ได้รักกันเหมือนเมื่อก่อน เราก็เป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอ เพื่อน...ก็อยากรู้ความเป็นไปของเพื่อน ถ้านายมีคนรักที่เขาดูแลนายได้ดีกว่าเรา...เราก็อยากรู้ อยากรู้ว่านายเจอกับเขาได้ยังไง นายประทับใจอะไรเค้า แล้วนายรักเขาได้ยังไง ตอนเรียนชั้นมัธยมเรายังเคยเล่าเรื่องแฟนของเราให้นายฟังตั้งหลายคนเลย แล้วทำไมเวลานายมีแฟนนายถึงไม่อยากเล่าให้เราฟังมั่งล่ะต้น"
ต้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสนจะถามเรื่องนี้
"เล่าเรื่องแฟนของนายให้เราฟังก่อนนะ แล้วถ้าว่างๆ เราก็อยากฟังเรื่องที่นายไปเรียนต่อที่อังกฤษ วันจันทร์ก็ได้นะ เราปิดร้านวันจันทร์"
ต้นยังคงมองหน้าสนด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ให้เล่าต้นก็พอเล่าได้ แต่เล่าเรื่องแฟนใหม่ให้คนรักเก่าฟังมันก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย แต่พอเห็นสนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง ต้นก็คงต้องเล่าจนได้
"นายเจอเขาได้ยังไง แล้วเขาเป็นใคร" สนตั้งประเด็นให้ต้นเริ่มเรื่องได้ง่ายขึ้น
"อ๋อ...พี่เขาชื่อ...ทดแทน เราจะเรียกเขาสั้นๆ ว่าพี่แทน ที่พี่เขาชื่อทดแทนเพราะว่าพ่อกับแม่ของพี่เค้าเคยมีลูกคนหนึ่งแต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ แม่ของพี่แทนเลยต้องไปแก้หมันเพื่อจะมีลูกใหม่ พี่แทนก็เลยได้ชื่อว่าทดแทนเพราะพ่อกับแม่พี่เค้ารู้สึกว่าพี่แทนเกิดมาเพื่อทดแทนลูกอีกคนที่เสียไป"
แค่ชื่อแฟนของต้นก็เล่นเอาสนใจหายวาบแล้ว
"พี่แทนเขาทำธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าจากเมืองไทยไปขายที่อังกฤษ ธุรกิจก็ไปได้ดีพอสมควร พอจะบินเฟิร์สคลาสได้บ่อยๆ เลยล่ะ เราเจอพี่เขาตอนไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยแถวๆ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พอดีวันนั้นคนแน่นร้าน เหลือที่ว่างอยู่สองที่ เราก็เลยต้องนั่งกินข้าวกับพี่เขาด้วยกันเพราะตอนนั้นเราอยากกินอาหารไทยมากๆ พอดีเราสั่งอาหารที่มันมีผักมาด้วย เราเขี่ยผักที่ไม่ชอบทิ้ง พี่แทนก็เลยบอกว่าให้เรากินผักเยอะๆ ผักป้องกันมะเร็งได้"
ต้นพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดมองคนตรงหน้า เห็นสนหน้าเศร้าแล้วก็อยากจะหยุดเล่าไปเลยเพราะไม่อยากทรมานสนให้เจ็บปวดมากกว่านี้ ต้นเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนย่อมรู้ดีว่าเป็นยังไง
"นายคงประทับใจเขาเรื่องนี้ใช่ไหม"
ต้นมองหน้าสนนิ่ง ไม่ตอบคำถาม แต่ก็คงจะเป็นอย่างนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้ต้นนึกถึงสน สิ่งๆ นั้นหรือคนๆ นั้นก็อาจกลายเป็นความประทับใจสำหรับต้นได้โดยง่าย กว่าต้นจะปรับตัวปรับใจให้ชินกับชีวิตที่ไม่มีสนได้ ต้นก็ใช้เวลานานเป็นปีๆ ทรมานแทบขาดใจ การหักดิบด้วยการไม่ยอมติดต่อหรือรับรู้เรื่องของสนเลยช่วยต้นได้มากทีเดียว จนกระทั่งได้เจอกับพี่ทดแทน ความทรงจำที่เกี่ยวกับสนจึงถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
"นายเจอกับพี่เค้าเมื่อไหร่" สนถามเมื่อเห็นต้นเงียบไป
"เมื่อปีที่แล้ว"
"นายคงรักพี่เขามากใช่ไหมต้น ไม่รู้สิ เราคิดว่า...การที่นายจะรักใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องง่าย นายเคยรักเรามากมาก่อน ตอนไปอยู่อังกฤษใหม่ๆ นายคงทรมานน่าดู กว่าจะทำใจได้ก็คงเป็นปีหรือหลายปี ถ้านายไม่ได้รักเค้ามาก นายก็คงไม่เรียกพี่เค้าว่าแฟน นายคงไม่อยากให้พี่ทดแทนต้องเป็นเหมือนพี่ทินกับพี่กริดใช่ไหมต้น"
ต้นนั่งเงียบด้วยความลำบากใจ สายตาของสนเหมือนคอยจับจ้องและสังเกตดูทุกรายละเอียดของสีหน้าท่าทางของต้น ถ้ามีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่นิดเดียว สนก็อาจจะรู้ได้ทันที
"ไม่...จะไม่มีใครต้องเสียใจกับเราเหมือนพี่ทินกับพี่กริดอีกแล้ว" ต้นยืนยัน
สนพยักหน้าเข้าใจ "แล้วนาย...เริ่มรักพี่เขาตอนไหนล่ะต้น เขาดูแลนายดีไหม"
"อ๋อ...เอ่อ...ก็...ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเราเหงา เราไม่มีใคร พี่เขาเข้ามาคุยเป็นเพื่อน พาไปเที่ยวบ้าง พาไปงานบ้าง ก็เลย...ผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว เรากับพี่เขาก็เลย...ลองคบกันเป็นแฟนดู"
"นายคงรักพี่เขามากใช่ไหมต้น" สนวกกลับมาถามคำถามเดิมที่ต้นยังไม่ได้ตอบ แต่ต้นก็ยังเงียบอีก
"รักพี่เขามากใช่ไหมต้น บอกเรามาสิต้น ถ้านายรักพี่เขา...นายก็บอกเรามาสิ เรารับฟังได้ นายไม่ต้องกลัวหรอกว่าเราจะเสียใจ เราไม่ควรจะเสียใจอีกแล้ว"
"ก็...พี่เขาก็เป็นคนดี"
"นายตอบไม่ตรงคำถามนะต้น" สนรีบพูดขึ้นมา "นายตอบเรามาสิต้น หนึ่งปีที่นายรู้จักกับพี่เขา นายรักพี่เขามากใช่ไหมต้น"
ต้นหลบตาต่ำลง ก่อนที่จะค่อยๆ พยักหน้า น้ำตาของสนไหลลงมาแต่ก็รีบเอามือป้ายให้มันหมดๆ ไป
"เล่าต่ออีกได้ไหม ทำไมนายถึงรักพี่เขามาก"
"สน...นายจะอยากรู้ไปทำไม" ต้นชักจะเริ่มทนไม่ไหวบ้าง
"ไม่เห็นแปลกเลยต้น นายก็เล่าเหมือนที่เราเคยเล่าเรื่องของแฟนเราให้นายฟังไง ตอนนั้นเราอยากเล่าอะไรเราก็เล่าเพราะเราเห็นนายเป็นเพื่อน เรารู้ว่านายรับฟังเราได้ทุกอย่าง เราก็เลยอยากให้นายรู้ว่าชีวิตเราเป็นยังไง มีแฟนแล้วเป็นยังไง นายเล่าแบบนั้นได้ไหมต้น เล่าเหมือนที่เราเคยเล่าให้นายฟังตอนเด็กๆ เราอยากให้นายเล่าให้เราฟังแบบนั้น"
"เราไม่อยากให้นายเสียใจน่ะสน" ต้นพูดออกมาในที่สุด
สนนิ่งเงียบไปสักพัก สูดหายใจลึกๆ "เราน่ะ...เสียใจไปตั้งนานแล้วต้น อีกอย่าง...เราเองก็เคยทำให้นายเสียใจบ่อยๆ เจ็บแค่นี้...ก็อาจจะไม่เท่ากับที่เราเคยทำให้นายเจ็บหรอก นะต้น...ถือว่าเราขอร้องละกัน ถ้าเรากับนายจะไม่กลับมารักกันอีก ถือซะว่านี่เป็นคำขอครั้งสุดท้าย เราขอร้องละกัน นายเล่าเรื่องแฟนของนายที่นายพอจะเล่าได้ให้เราฟังหน่อยนะ เล่ามาให้หมด เราอยากฟัง"
ต้นทำหน้ายุ่งยากใจ ถ้าเป็นเพื่อนกันปกติ การเล่าเรื่องแฟนให้เพื่อนฟังก็คงจะเป็นไปโดยธรรมชาติ ก็เหมือนกับที่สนเคยเล่าให้ต้นฟังตอนเด็กๆ นั่นแหละ แต่พอต้นจะต้องเล่าบ้างต้นกลับรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
"ถ้านายต้องการอย่างงั้น...เราก็จะเล่าให้นายฟัง"
ว่าแล้วต้นก็เล่าเรื่องของทดแทนไปต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไปเที่ยว เรื่องที่พูดคุยกัน เรื่องที่ทดแทนคอยปลอบใจเวลาที่ต้นมีปัญหาหรือคิดถึงบ้าน และอีกหลายๆ เรื่อง สนฟังไปก็ร้องไห้ไป แต่ก็พยายามเช็ดน้ำตาให้แห้งโดยเร็ว ส่วนคนเล่า พอคนฟังร้องไห้คนเล่าก็พลอยร้องไห้ไปด้วย แทนที่จะกลายเป็นเรื่องสนุกที่เพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังมันก็กลับกลายเป็นเรื่องเศร้าเสียอย่างนั้น
"พอแล้วสน เราไม่ไหวแล้ว เราไม่อยากเล่าแล้ว" ต้นร้องไห้อย่างสะเทือนใจ
"ยัง...เราขออีกเรื่องเดียวนะต้น ถ้านายตอบได้...นายก็ตอบเรานะ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"
ถึงต้นจะไม่อยากเล่าแล้ว แต่พอเห็นว่าเป็นเรื่องสุดท้ายต้นก็คิดว่าพอจะฝืนใจเล่าไปได้อีกสักหน่อยบ้าง
"นายอยากให้เราเล่าอะไรอีกล่ะสน"
สนทำท่าครุ่นคิด คำถามนี้สำคัญทีเดียว ถ้าสนรู้คำตอบ สนก็คงจะมีคำตอบให้กับตัวเองแล้วว่าต่อไปสนควรจะทำยังไง
"นายกับพี่เขา...มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง...เหมือนที่เรากับนายเคยมีหรือเปล่า"
ต้นนิ่งอึ้งไปเลยคราวนี้ นิ่งไปนานทีเดียว ส่วนสนก็เฝ้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แต่จนแล้วจนรอดต้นก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูด
"ตอบไม่ได้ใช่ไหม ไม่เป็นไร ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"
สนบอกแล้วก็หันไปมองข้างนอกร้านเมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ
"แฟนนายคงมารับนายแล้วล่ะ เอาไว้เราคุยกันอีกทีตอนเย็นๆ นะต้น"
ต้นพยักหน้าพร้อมกับค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมๆ กับสน
"อย่าร้องไห้ เดี๋ยวแฟนนายจะเข้าใจผิด หาว่าเราทำอะไรนาย ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อน เดี๋ยวเราพาไป"
ว่าแล้วสนก็คว้าข้อมือต้นพาเดินไปที่ห้องน้ำของร้านอาหาร พอมาถึงอ่างล้างหน้าต่างคนก็ต่างล้างหน้าของตัวเองให้สดชื่นเพราะต่างคนต่างก็ร้องไห้เหมือนกัน
"ขอโทษนะต้น เราต้องทำงาน นายมากะทันหันไปหน่อยเราก็เลยจัดเวลาให้นายไม่ได้ เอาไว้วันหลังนะ แต่เราว่า...นายคงอยากใช้เวลากับแฟนนายมากกว่า ใช่ไหมล่ะ" สนหันไปพูดติดตลกด้วยหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว พยายามยิ้มให้อีกฝ่ายเท่าที่พอจะยิ้มได้
ต้นหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินอย่างนั้น
"เราล้อเล่น ไปเถอะ แฟนนายรอแย่แล้ว" สนหัวเราะเบาๆ
จะว่าไปต้นก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน สนดูแปลกๆ และทำอะไรแปลกๆ แถมยังมีสีหน้าและแววตาที่ดูแปลกๆ ไปอีกด้วย ไม่ถึงกับสังเกตเห็นได้ชัดแต่ต้นก็รู้สึกได้ด้วยความที่รู้จักกันมานาน ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ยากที่จะหลุดรอดสายตากันและกันได้ ต่อให้จากกันไปสามปีแล้วก็เถอะ
สนพาต้นเดินไปส่งที่ลานจอดรถ ก็พอดีกับที่ทดแทนเดินเข้ามาในร้านอาหารของสนเสียก่อน
"เป็นไงบ้างต้น คุยกับเพื่อนเสร็จแล้วเหรอ" ทดแทนร้องทักเป็นคนแรกเมื่อต้นกับสนเดินมาถึงหน้าร้านที่ทดแทนกำลังเดินเข้ามาพอดี
"เรียบร้อยแล้วครับพี่ นี่สนนะครับพี่แทน ที่ต้นเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ แล้วก็นี่พี่ทดแทนนะสน ที่เราเล่าให้นายฟังเมื่อกี้" ต้นแนะนำให้ทดแทนและสนรู้จักกัน
สนมองดูผู้ชายแปลกหน้าอย่างสนใจ ทดแทนแต่งตัวภูมิฐานด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อดีราคาแพง รถยุโรปคันนั้นที่จอดอยู่ก็บ่งบอกฐานะของคนขับได้เป็นอย่างดี
สนยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า ดูจากอายุแล้วทดแทนก็น่าจะอายุพอๆ กับพี่กริดที่ตอนนี้เงียบหายไปจากชีวิตของต้นและสนนานแล้ว
"ร้านสวยนะครับ ไว้ว่างๆ พี่จะแวะมาอุดหนุน"
ทดแทนพูดพลางยิ้มพร้อมกับพิศดูลักษณะท่าทางของสนไปด้วย แม้จะดูผอมและโทรมไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาดีมากทีเดียว ถ้าดูแลตัวเองดีๆ กว่านี้หน่อยคงหล่อจนสาวๆ หรือหนุ่มๆ ต้องมองจนเหลียวหลังแน่
"ยินดีครับ"
"พี่ไปก่อนนะ ไปต้น"
สิ้นเสียงเรียกของทดแทน ต้นก็ค่อยๆ เดินไปหาคนเรียกอย่างช้าๆ ทดแทนจับมือของต้นไว้เมื่อต้นมาถึง ต้นคอยมองดูสนอย่างระแวดระวังเหมือนกับกลัวว่าสนจะเห็นภาพบาดตาบาดใจ
เป็นอย่างที่ต้นคิดไว้เสียด้วย สนแว่บมองมือของทดแทนที่จับมือของต้นอยู่ แล้วสีหน้าก็ดูหม่นเศร้าลง
"เราปิดร้านแล้วจะไปหาเย็นนี้นะ นายกลับไปนอนพักก่อนละกันนะต้น"
ต้นพยักหน้า มองดูรอยยิ้มบางๆ ของสนแล้วก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของรอยยิ้มคงต้องพยายามอย่างมากทีเดียว
ต้นกับทดแทนเดินจูงมือกันไปที่รถ สนยืนมองดูจนกระทั่งทั้งสองคนหายเข้าไปในรถแล้วก็หันหลังกลับเดินเข้าไปในร้าน จากที่คุยกันเมื่อกี้และจากภาพที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ สนได้คำตอบแล้วล่ะว่าต่อไปสนควรจะต้องทำยังไง
สนปิดร้านตอนสองทุ่มครึ่ง กว่าจะจัดการสิ่งที่ค้างคาให้เรียบร้อยก็เกือบๆ สามทุ่มแล้ว จากนั้นจึงขับรถกลับบ้าน มาถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า สิ่งแรกที่สนทำคือขึ้นไปหาลูกชายในห้องของแม่ที่ปกติก็มักจะนอนหลับไปแล้วในเวลานี้ อาจจะมีบางวันบ้างที่ภูคายังเล่นอยู่ สนก็เลยพอได้เล่นกับลูกบ้าง แต่ถ้าเป็นวันหยุดสนก็จะอยู่กับลูกทั้งวันไม่ไปไหน คอยอาบน้ำ ป้อนข้าว พาเล่น กล่อมให้นอนหลับ พ่อกับแม่จะได้พักผ่อนจากการเลี้ยงหลานบ้าง แต่พ่อกับแม่ก็มักจะอดไม่ได้เสียทุกครั้ง คอยช่วยสนเลี้ยงลูกตลอด
คืนนี้ภูคาหลับไปแล้วสนจึงแค่เข้าไปดู พ่อกับแม่มักจะเล่าให้สนฟังทุกครั้งว่าวันนี้ภูคาเล่นอะไรบ้าง เห็นพ่อกับแม่มีความสุขกับหลานแล้วสนก็มีความสุขมากทีเดียว แม้ว่าหลานคนนี้จะต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สนก็ยินดี
หลังจากฟังพ่อกับแม่เล่าเรื่องลูกชายให้ฟังแล้วสนก็ขอตัวเข้าห้องของตัวเอง สนเดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ใส่กระเป๋าเป้ไว้ จากนั้นก็ออกมาจากห้องอีกครั้ง แม่ออกมาเจอกับสนพอดี
"อ้าวสน จะไปไหนอีกล่ะลูก ดึกแล้ว พักผ่อนเถอะลูก พรุ่งนี้ก็ต้องไปแต่เช้าอีก"
"ผมจะไปหาต้นครับแม่" สนปิดประตูห้องแล้วก็เดินมาหาแม่ช้าๆ
"อ้อ..." แม่ของสนทำท่าครุ่นคิดเหมือนกับไม่แน่ใจว่าจะถามดีหรือไม่ "สนเป็นไงมั่งลูก ได้เจอกับต้นแล้วใช่ไหม"
สนพยักหน้า สีหน้าดูเศร้าลง
"สนไม่เป็นไรใช่ไหมลูก" แม่ถามอย่างเป็นห่วง
สนส่ายศีรษะ "ไม่รู้เหมือนกันครับแม่ แต่ช่างเถอะครับ ก็อย่างที่แม่บอกสน ถ้ารอแล้ว...ก็รอให้ถึงที่สุด รอจนกว่าจะรอไม่ไหว ผมไปก่อนนะครับแม่"
สนบอกแล้วก็ค่อยๆ เดินลงบันไดไป มีสายตาของแม่ที่คอยมองตามอย่างห่วงใย แต่ก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เธอคาดเดาว่าสนคงเสียใจฟูมฟายหรือไม่ก็อาจจะเสียศูนย์ไปเลย แต่ทำไมสนถึงกลับดูไม่เสียใจมากเท่าที่ควรจะเป็น
สนมาถึงบ้านต้นก็เกือบๆ สี่ทุ่มพอดี พ่อแอ๊ดบอกว่าต้นอยู่บนห้องนอน แต่ดูเหมือนจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะร่างกายยังปรับเวลาให้เข้ากับเวลาของประเทศไทยไม่ได้ ตอนนี้เพิ่งอยู่ในช่วงบ่ายเท่านั้นที่อังกฤษ
สนเคาะประตูห้องต้นที่สนคุ้นเคยมามากกว่าสิบปี ไม่นานนักคนในห้องก็มาเปิดให้ ต้นใส่ชุดนอนเตรียมตัวนอนแล้ว ท่าทางดูอิดโรยมากทีเดียวเพราะอยากนอนแต่ก็นอนไม่หลับ
"ยังไม่นอนอีกเหรอ" สนถามพร้อมกับค่อยๆ ปิดประตูห้องอย่างเบามือ
"ยัง เรานอนไม่หลับ ยังปรับเวลาไม่ได้"
สนหัวเราะเบาๆ "รออีกวันสองวันก็จะหายแล้ว" แล้วสนก็ทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง
"แล้วแฟนนายล่ะ กลับไปแล้วเหรอ" ในที่สุดก็ถามออกไป
ต้นพยักหน้า "กลับไปตั้งแต่ตอนบ่ายๆ แล้วล่ะ พี่แทนอยากให้เรานอนพัก เราก็พยายามนอนแล้วแต่ก็นอนไม่ได้"
"อดทนหน่อยละกัน เดี๋ยวก็หาย"
ต้นนั่งลงบนเตียง ส่วนสนยังคนยืนอยู่กลางห้อง เห็นต้นอยู่ในชุดแบบนี้แล้วก็อดคิดถึงช่วงเวลาสิบวันแห่งความรักของต้นกับสนไม่ได้ สนเฝ้าป้อนความสุขทางกายให้กับคนที่รักอย่างสุดฝีมือก่อนที่จะนอนหลับใหลไปด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีช่วงเวลาไหนของชีวิตอีกแล้วที่จะมีความสุขมากเท่านี้ น่าเสียดาย...สนคงไม่ได้ทำอย่างนั้นกับต้นอีกแล้ว
"แล้วเมื่อไหร่...นายกับพี่เขาจะตกลงอยู่ด้วยกันล่ะต้น"
คนถูกถามสะดุ้งเลยทีเดียว
"เพิ่งรู้จักกันแค่ปีเดียวเอง เรายังไม่คิดไปถึงขนาดนั้นหรอก" ต้นพูดเสไป
"ก็อย่าให้มันนานไปละกันต้น อย่าให้เหมือนเรา กว่าจะได้บอกรักกันก็ปาเข้าไปเป็นสิบปี"
แล้วสนก็หยุดพูดไปเฉยๆ พูดเรื่องนี้แล้วสนก็อดนึกถึงค่ำคืนนั้นที่ดอยอินทนนท์ไม่ได้ ความรักที่แสนหวานและลึกซึ้งคืนนั้นถือได้ว่าเป็นฉากรักที่ดีที่สุดที่สนจะไม่มีวันลืมเลย ไม่รู้ว่าต้นลืมไปแล้วหรือยัง แต่สนก็ไม่อยากจะถามตอนนี้
"อ้อ...เรามาเก็บของน่ะ พอดี...เราไม่รู้ว่านายจะกลับมาก็เลยยังไม่ได้เอาของบางส่วนกลับบ้าน เรามานอนที่นี่อาทิตย์ละวันตั้งแต่หย่ากับนินา จะได้ช่วยดูแลพ่อกับแม่ให้นายด้วยไง"
ต้นยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ สนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของต้นแล้วก็เก็บเสื้อผ้าที่สนทิ้งไว้ที่นี่สองสามตัวใส่กระเป๋าที่เตรียมมา จากนั้นก็เดินมาที่เตียงนอนของต้น หยิบเอารูปถ่ายตรงหัวเตียงมาถือไว้ มองดูรูปนั้นพร้อมกับคิดอะไรบางอย่าง สนรักต้นมากเหลือเกิน นึกไม่ออกเลยว่าถ้าต้นไม่มาอยู่เป็นคู่ชีวิตสนจะนำพาชีวิตของตัวเองไปในทิศทางไหน ถึงสนจะเป็นผู้ชาย แต่พอได้รักกับผู้ชายอย่างต้นแล้ว สนก็นึกภาพที่เขาจะมีชีวิตอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งไม่ออกเลย สนควรจะปล่อยต้นไปหรือควรจะทำยังไงดีหนอ
สนค่อยๆ เก็บรูปนั้นใส่กระเป๋าเป้ ยืนคิดสักพักแล้วก็ค่อยๆ สาวเท้าไปที่ประตู
"นายจะกลับแล้วเหรอ ไหนว่ามีอะไรจะคุยกับเราอีกไง" ต้นร้องดักไว้เมื่อเห็นสนทำท่าเหมือนจะกลับบ้าน
สนแอบยิ้มเล็กน้อยเพราะกำลังรอโอกาสนี้อยู่ แล้วก็หันหลังเดินกลับมานั่งลงบนเตียงข้างๆ กับต้น ยิ้มให้ต้นบางๆ ก่อนจะหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ใบนั้นให้ต้นดู
"นายจำเสื้อตัวนี้ได้ไหมต้น"
ต้นพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักที่สนยังเก็บมันไว้ เสื้อตัวนี้ต้นซื้อให้สนเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
"นายรู้ไหม ถึงเราจะใส่มันไม่ได้แล้ว แต่เราก็ไม่เคยทิ้งมันไป เพราะมันเป็นเสื้อที่เรารัก นายเห็นไหมต้น มันมีรอยเปื้อนอยู่บนเสื้อด้วย"
ต้นมองตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
"แต่ถึงมันจะเปื้อนจะด่างยังไง เราก็จะเก็บมันไว้ ถ้าใส่ได้เราก็คงจะใส่ไปแล้วล่ะ"
สนพูดติดตลกตอนท้ายก่อนจะจ้องมองหน้าของต้นด้วยสีหน้าจริงจัง
"นายรู้ไหมต้น คนที่ไม่เคยผิดเลยก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไร เสื้อผ้าที่ไม่เคยเปื้อนเลยก็คือเสื้อผ้าที่ไม่มีใครหยิบมาใส่ ความรักก็เหมือนกันนะต้น ความรักที่ไม่มีรอยเปื้อนเลยก็คือความรักที่ไม่เคยเกิดขึ้น ที่ผ่านมา...เราสองคนก็คงเคยทำอะไรหลายๆ อย่างให้ความรักมันเปื้อน เป็นรอยด่างในความทรงจำของเรา นายคงเคยสงสัยว่าทำไมเราถึงทำอย่างงั้น บางอย่างนายก็อาจจะรับไม่ได้ด้วยซ้ำ บางทีเราก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมนายถึงทำอย่างงั้น ทำไมเราถึงทำเหมือนไม่แคร์กัน ทำไมเราถึงทำอะไรโง่ๆ บ้าๆ อยู่หลายที" สนหยุดเว้นจังหวะให้ต้นคิดตาม
ต้นฟังอย่างตั้งใจ แต่ละประโยคที่พูดมานั้นเฉียบคมจนคิดตามและมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
"ไม่มีความรักของใครแม้แต่คนเดียวหรอกนะต้นที่ไม่เคยมีรอยเปื้อน ไม่มีความทรงจำของใครที่ไม่เคยมีเรื่องไม่ดี ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่เรารักกัน ถึงจะรักกันมากแค่ไหนมันก็มีรอยเปื้อนเกิดขึ้น ถึงจะดีต่อกันแค่ไหน ก็ยังมีหลายๆ เรื่องที่เป็นรอยเปื้อนในความทรงจำของเรา ความรักของเราก็คงเหมือนกับเสื้อตัวนี้ที่นายซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเรานั่นแหละ มันมีรอยเปื้อนอยู่หลายจุด ถึงเราจะทำความสะอาดมันดีแค่ไหนมันก็หายไปไม่หมด แต่นายรู้ไหม...ต่อให้เสื้อตัวนี้มีรอยเปื้อนเยอะแค่ไหน มันก็เป็นเสื้อที่เรารัก เราจะเก็บมันไว้ตลอดไป แล้วนายล่ะต้น นายยังเก็บความรักของเราที่มีรอยเปื้อนไว้อยู่หรือเปล่า ถ้าความรักเหมือนเสื้อที่เปื้อนตัวหนึ่ง นายยังจะเก็บมาซักให้สะอาดแล้วใส่ใหม่อีกครั้งหรือเปล่าต้น" สนเว้นจังหวะอีกเล็กน้อย
"ถึงเราจะไม่ได้มีความรักที่ดีเลิศให้นาย แถมยังทำให้มันเปื้อน แต่มันก็เป็นความรักแท้จากใจของเรานะต้น"
สีหน้าของสนอาจจะเหมือนคนร้องไห้ แต่เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ ต้นยังคงเงียบ มองดูสนเหมือนกับคนที่ใช้ความคิดอย่างหนัก
"เราจะพูดกับนายแค่นี้แหละ นายคิดดูดีๆ ละกันนะต้น ได้คำตอบแล้วค่อยบอกเราก็ได้ เดี๋ยวเราไปนอนก่อนนะ"
สนมองหน้าต้นอีกครั้ง แววตาแฝงความอาลัยอาวรณ์ให้พอสังเกตเห็นได้ สนไม่มีเพื่อนนอนคุยด้วยมาสามปีแล้ว แม้ว่าคนที่สนเคยนอนคุยด้วยมาเป็นสิบๆ ปีจะกลับมาแล้วแต่สนกลับรู้สึกว่ามีช่องว่างจนไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ
สนลุกขึ้นออกไปพร้อมกับกระเป๋าเป้อย่างช้าๆ ยังไม่ทันจะเปิดประตูห้อง คนที่นั่งครุ่นคิดอยู่ก็วิ่งมากอดสนไว้จากทางด้านหลัง
"อยู่เฉยๆ ไม่ต้องหันมา" ต้นบอกพร้อมกับร้องไห้เบาๆ
สนยืนนิ่งและทำตามอย่างว่าง่าย สามปีที่ต้นจากไปนั้น เหมือนกับชีวิตเคยชินที่ไม่มีสนคอยอยู่ใกล้ๆ จากกันนานจนรู้สึกไปเองว่าไม่มีก็ไม่เป็นไร ชีวิตยังไปต่อได้ แต่พอได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ต้นก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าความเคยชินนั้นอาจไม่ได้ช่วยให้ความรักนั้นหายไป ต่อให้ความรักมันเปื้อนยังไงมันก็คือความรักที่คนสองคนตั้งใจที่จะมอบให้แก่กัน แล้วเพราะเหตุใดเล่าต้นถึงต้องทิ้งความรักเปื้อนๆ นั้นไป เพียงเพราะว่าความรักมันเปื้อนแค่นั้นหรือ
TBC