【*...สุดที่รักษ์...*】
บทที่ 05 : นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต“สวัสดีครับ ไม่ทราบติดต่อธุระอะไรครับ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยวัยสี่สิบค้อมกายสอบถามอย่างสุภาพนอบน้อม โดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าบุคคลที่เข้ามาเยือนบริษัท จะเป็นคนเดียวกับที่โดนกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมยเมื่ออาทิตย์ก่อน
ครั้นจะให้โทษความผิดว่าพี่รปภ.หลง ๆ ลืม ๆ คงไม่ได้ เพราะพนักงานแคชเชียร์ปอน ๆ ในคราวนั้นช่างแตกต่างกับหนุ่มนักศึกษา หุ่นสูง หน้าตามาดแมนใสกิ๊ง สวมแว่นกรอบดำ แถมเซ็ทผมสไตล์บอยแบนด์เกาหลีคนนี้อย่างลิบลับ
“ผมเอาของมาให้คุณชายครับ”
อนุรักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน พยายามทำบุคลิกให้ดูเคร่งขรึมและน่าเชื่อถือ แม้จะแอบถอนหายใจโล่งอกที่ผ่านด่านแรกมาได้อย่างแนบเนียบ
...ก็ไม่ใช่ว่าเขานึกคึกอยากแต่งตัวประชันความเนี้ยบกับคุณชายหรืออะไร แต่ขืนเกิดมาด้วยสภาพไอ้หนุ่มซิปเป้ากางเกงแตก คงได้โดนพี่ยามจับโยนออกไปก่อนที่จะบอกธุระของตนเอง สุดท้ายเลยพยายามค้นตู้หาเสื้อผ้าที่ดูเป็นทางการ ซึ่งก็หนีไม่พ้นชุดนักศึกษา เมื่อบวกแว่นทรงเหลี่ยมเลนส์ไร้ค่าสายตา กับการจัดแต่งทรงผมดี ๆ อีกหน่อย เขาก็อัพระดับกลายเป็นเด็กเรียนไม่มีพิษภัย จนพี่รปภ. รีบผายมือนำเขาไปที่ประชาสัมพันธ์ทันที
พอแจ้งเรื่องขอเข้าพบ สาวประชาสัมพันธ์คนสวยจึงบอกให้รอสักครู่ แล้วดำเนินการติดต่อให้ ใช้เวลาไม่นานคนนัดก็มาหา หากแทนทีจะเป็นคุณชาย กลับกลายเป็นคนอื่นเสียแทน
“สวัสดีค่ะ คุณรักษ์ ดิฉันพิมพิศา เป็นผู้ช่วยของคุณชายค่ะ”
สาวหมวยกรีดอายไลเนอร์เฉี่ยว ซึ่งอนุรักษ์จำที่เธอเรียกคุณชายได้ว่า
‘บอส’ หล่อนยกมือไหว้ทักทาย จนเขาต้องรีบยกมือไหว้บอกสวัสดีกลับ เพราะอายุอีกฝ่ายน่าจะมากกว่าเขาอยู่เกือบห้าหกปี กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงพูดด้วยประโยคเป็นทางการ
“ดิฉันต้องขอประธานโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้คุณชายติดประชุมอยู่ รบกวนรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะนำทางคุณรักษ์ไปที่ห้องพักรับรอง”
“ขอบคุณครับ เออ...คือพี่ไม่ต้องพูดสุภาพกับผมก็ได้ครับ มันเกร็ง ๆ ”
แม้บุคลิกของคุณผู้ช่วยจะเปรี้ยวมั่น แต่แววตาเรียวนั้นดูเป็นมิตร ทำให้อนุรักษ์กล้าที่จะใช้คำพูดลดระยะความเหินห่าง
“แล้วก็เรียกผมว่ารักษ์เฉย ๆ ก็พอครับพี่พิมพิศา”
เอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มผูกมิตร ด้วยความที่เขาทำงานในซุปเปอร์มาร์เก็ตกับคนหลากหลายวัย การทำความรู้จักด้วยวิธีเรียกนับพี่นับน้องแบบนี้ ถือเป็นการสร้างความสนิทสนมอย่างรวดเร็ว และก็ไม่ผิดจากที่หวัง เมื่อคู่สนทนาส่งรอยยิ้มกลับ
“งั้นเรียกพี่ว่า พี่พิมก็ได้ค่ะ น้องรักษ์”
“โอเคครับ พี่พิม”
“แล้วนี่น้องรักษ์จะมาฝึกงานกับคุณชายเหรอคะ แหม...ดีเลย มีเด็กหล่อ ๆ มาให้ออฟฟิตเจริญหูเจริญตาบ้าง”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นทันตา ซ้ำสาวหมวยยังเริ่มชวนคุยด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้าซึ่งน่าจะเป็นนิสัยแท้จริงของตนเอง ระหว่างเดินนำเขาไปยังลิฟต์ อาจเพราะเห็นว่าใส่ชุดนักศึกษาเลยทำให้เข้าใจผิดจนต้องรีบปฏิเสธ
“เปล่าครับพี่ ผมแค่เอาของมาให้คุณชายเฉย ๆ”
“อ้าว...เสียดายจัง ตอนนี้ออฟฟิตกำลังวุ่นสุด ๆ พี่นี่แทบจะสำเร็จวิชาแยกร่างอยู่แล้ว”
หญิงสาวบ่นด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ทำเอาเขาแอบเห็นใจอยู่เล็ก ๆ พนักงานคนอื่นเดินสวนออกมาจากลิฟต์ เพื่อแยกย้ายกันไปกินข้าวในเวลาพักเที่ยง ส่วนพี่พิมยังต้องอยู่รับรองแขก กระทั่งคุณชายเองก็ติดประชุมต่อเนื่องไม่เลิก
“ทำงานโฆษณายุ่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อืม...มันก็เป็นช่วง ๆ แล้วแต่ตำแหน่งนะ ตัวพี่เป็น Copywriter ...น้องรักษ์รู้จักมั้ย? คนที่คิดคำโฆษณาสวย ๆ ให้แบรนด์น่ะ ถ้าช่วงไหนมีงานที่ต้องใช้ภาษาเยอะ ๆ ก็จะหนักหน่อย ...แต่ถ้าเป็นตำแหน่ง Art Director อันนี้งานเขาเป็นประเภทกราฟฟิคแต่งภาพโฆษณา ซึ่งมันต้องใช้เวลา ถ้าเจอลูกค้าเร่ง ๆ บางทีไม่ได้นอนติดต่อกันสองสามคืนกันก็มี ...แต่ส่วนใหญ่พวกเราทำงานกันเป็นทีม มีอะไรก็เลยพอช่วยกันได้”
พี่พิมอธิบายศัพท์เฉพาะพร้อมรายละเอียดงานให้คนนอกวงการเข้าใจได้ง่าย ๆ แต่ขาดตำแหน่งสำคัญไปอีกหนึ่ง
“แล้วคุณชายล่ะครับ”
“อ๋อ...รายนั้นน่ะเป็น Creative Director พูดง่าย ๆ ก็ใหญ่ที่สุดในสายงานนี้ เป็นหัวหน้าคุมทีมก็อปปี้กับฝ่ายอาร์ตอีกทีหนึ่ง แต่บอสเค้าไม่ค่อยยอมนำทีมเท่าไร ส่วนใหญ่จะเหมางานทำเองคนเดียวหมด อย่างว่าล่ะนะ...เก่งขนาดจบโทจากฮาร์วาร์ดมาได้ แถมมีรางวัลพ่วงยาวเป็นหางว่าวอีก เป็นใครจะไม่หยิ่งในฝีมือตัวเอง อุ๊ย...นี่พี่ชมเขานะจ๊ะ ไม่ได้ว่า...”
คนช่างเมาท์รีบแก้ไขความเข้าใจผิด อาจเพราะกลัวถูกกล่าวหาว่านินทาเจ้านายตัวเอง แต่อนุรักษ์กลับพยักหน้าเข้าใจ
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมพอรู้นิสัยหยิ่ง ๆ ของคุณชายอยู่”
ขนาดไม่ได้ทำงานร่วมกัน เขายังโดนมาเยอะเจ็บมาเยอะ แล้วคนที่เป็นลูกน้องใต้อาณัติโดยตรง จะไม่ตั้งแง่หมั่นไส้กับนิสัยกวนประสาทของคุณชายยังไงไหว ทว่าพี่พิมก็ยังคงยืนยัน
“เปล่า ๆ บอสไม่ได้หยิ่งเลยนะ...ถึงบุคลิกจะดูเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่จริง ๆ บอสขยันตั้งใจทำงานตลอด ถ้าลูกทีมทำอะไรพลาด บอสก็จะเป็นคนรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด ...อย่างตอนนี้ก็กำลังมีปัญหาอยู่กับโฆษณาตัวหนึ่ง พี่เองเป็นหนึ่งในทีมช่วยคิด ต้องเข้าไปฟังลูกค้าคอมเพลน แต่บอสดันบอกให้พี่อยู่รอรับน้องรักษ์ไม่ต้องเข้าประชุมด้วย”
อนุรักษ์นึกแปลกใจกับอีกมุมหนึ่งของคุณชาย ยิ่งรู้จักก็ยิ่งเดาบุคลิกไม่ได้ขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคุณชายเป็นคนยังไงกันแน่ แต่เรื่องนั้นเก็บไว้คิดทีหลัง เพราะเขาติดใจกับเรื่องโฆษณาที่มีปัญหา ...หรือจะเป็นลิปสติกที่คุณชายบอกว่าโดนขโมยไอเดียไป?
อยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ แต่ลิฟต์ส่งเสียงถึงชั้นที่ต้องลงพอดี พอประตูเปิดออก เขาถึงเห็นว่านี่ไม่ใช่ชั้นออฟฟิตสุดโมเดิร์นของคุณชาย แต่เป็นชั้นที่จัดตกแต่งอย่างมีระดับคล้ายโรงแรม พื้นที่ถูกกั้นไว้เป็นห้อง ๆ มีโต๊ะประดับแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่วางตรงหน้าโถงทางเข้า ตัดบรรยากาศเคร่งขรึมเป็นทางการ
“น้องรักษ์ นั่งรอห้องนี้ก่อนนะคะ ห้องประชุมอยู่ถัดไป เดี๋ยวคุณชายประชุมเสร็จจะมาพบค่ะ”
พี่พิมนำเขาไปถึงห้องรับรองขนาดเล็ก ซึ่งมีโต๊ะและโซฟาสีเข้มจัดวางเข้าชุดกัน เขานึกอยากจะชวนคนคุยสนุกเล่าเรื่องงานโฆษณาต่อ แต่ดันมีสัญญาณเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของสาวหมวย แค่ฟังผ่าน ๆ ก็น่าจะเป็นธุระด่วนจากน้ำเสียงร้อนรน หลังวางสายก็อปปี้ไรเตอร์คิวแน่นจึงแจ้งข่าวร้ายด้วยสีหน้าอ่อนแรง
"ขอโทษด้วยนะ พอดีมีเคสด่วนจากโรงพิมพ์เข้ามา พี่ต้องขอไปเช็คงานกับอาร์ตก่อน น้องรักษ์อยู่รอคนเดียวได้ใช่มั้ย"
"ไม่เป็นไรพี่ ผมโตแล้วอยู่คนเดียวได้ครับ" เขาแกล้งแหย่
"แหนะ ไม่ต้องล้อเลยนะ เดี๋ยวจับเป็นลูกมือช่วยงานให้เข็ด" คนที่ทำท่าห่อเหี่ยวจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยขอตัว "งั้นพี่ไปก่อนนะ"
"เดี๋ยวครับพี่พิม!" สาวหมวยที่กำลังเปิดประตูห้องหันมาเมื่อถูกรั้ง อนุรักษ์อึกอักแต่ก็ตัดสินใจถาม
"เออ...ห้องน้ำไปทางไหนครับ"
...เปล่า...เขาไม่ได้ติดใจห้องน้ำในบริษัทนี้ แต่ที่ต้องวอแวเข้าออกบ่อย ๆ ก็เพราะเมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ มัวแต่คิดเรื่องซิมโทรศัพท์กับเจ้าของที่ฝากเอาไว้ เช้ามาเลยมีสภาพสะโหลสะเหลเหมือนซอมบี้ กลัวจะรับมื้อกับคุณชายไม่ไหว ก่อนมาเขาจึงจัดการซัดกาแฟดำของอาแปะหน้าปากซอยสูตรเข้มข้นพิเศษ จนตาสว่างพร้อมรบ และตอนนี้กาแฟก็กำลังออกฤทธิ์
อนุรักษ์เดินออกมาตามทางที่พี่พิมบอก หลังแยกกับอีกฝ่ายที่ขึ้นลิฟต์ไปยังออฟฟิตทำงาน ภายในห้องน้ำปูกระเบื้องสีดำตัดกับสุขภัณฑ์สีขาวที่เขาเคยเห็นมาแล้ว มีผู้ใช้บริการอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงอ่างล้างมือ เขาเลี่ยงเดินไปโถปัสสาวะจัดการธุระของตน ระหว่างได้ยินเสียงถอนหายใจยาว
“เฮ้อ...ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเนอะ”
คนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์จบบ่นพึมพำลอย ๆ เรียกความสนใจจากอนุรักษ์ให้หันมอง ...ชายหนุ่มอายุไม่น่าจะห่างจากเขาเท่าไร ไว้หนวดเคราสไตล์เซอร์ ๆ ดูไม่ค่อยเข้ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบพนักงานบริษัท กำลังแสดงสีหน้ายุ่งยากใจ สงสัยสายที่เพิ่งวางคงทะเลาะกับแฟนมา เลยอึดอัดอยากระบายเต็มที
“ไอ้เราบอกว่าอยากได้แบบนี้ แต่เขาก็งอแงจะเอาแบบนู้น ไม่ยอมแพ้สักที กล่อมตั้งนานไม่รู้ทำยังไงถึงจะเข้าใจ”
สถานการณ์ทำนองนี้มีแค่มนุษย์เพศผู้เท่านั้นที่จะรู้ซึ้งถึงความอาร์ตตัวแม่ อนุรักษ์ไหวไหล่ปลอบตามประสาผู้ชายด้วยกัน
“ก็เป็นธรรมดาของผู้หญิงล่ะครับ ไม่งั้นจะมีคนพูดเหรอว่า...มันผู้ใดเข้าใจผู้หญิง มันผู้นั้นไม่เข้าใจอะไรเลย...”
“เออ ก็จริง” หนุ่มหน้าหนวดพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ผมว่าก็มีนะ เรื่องที่ผู้หญิงยอมเข้าใจอะไรง่าย ๆ”
“เรื่องอะไร”
“ก็ตอนโดนชมว่า
‘สวย’ ไง คุณเธอเข้าใจง่ายขึ้นมาทันที”
คนฟังหัวเราะฮาครืนกับมุกที่เขาปล่อย แล้วตั้งประเด็นชวนคุย
“นี่คิดว่าผู้หญิงสวยสุดตอนไหน”
“อืม...พูดยาก ถ้าทั่ว ๆ ไปก็คงตอบว่าตอนยิ้ม แต่เพื่อนผมมันเคยบอกว่า ตอนแฟนมันโกรธ น่ารักที่สุด”
เขายกเคสตัวอย่างจากไอ้ทัตเพื่อนสนิท มันเล่นเพ้อถึงน้องส้มโอแทบไม่เว้นวัน ไม่ว่าน้องจะผิดนัด มาสาย วีนแตกขนาดไหน ไอ้ทัตก็ยังเห็นดีเห็นงามไปหมด ขนาดโดนน้องส้มโอทิ้งไปมีคนใหม่ มันก็ไม่คิดจะเลิกรักเลิกหลง ...โชคดีที่ล่าสุดไอ้ทัตได้คนมาดามใจ เขาก็ได้แต่หวังว่า คราวนี้มันจะเจอผู้หญิงที่นิสัยน่ารักและไม่คิดจะทำร้ายหัวใจมันอีก
...และอาจเพราะนึกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงเผลอคิดถึงคำพูดโฆษณากับคุณชาย
“แต่ยังไงผมก็เชื่อว่าความสวยที่แท้จริงอยู่ข้างในใจมากกว่าหน้าตานะ”
คนฟังเลิกคิ้ว ทำหน้าอี๋ วิจารณ์สั้น ๆ “น้ำเน่าว่ะ”
“เฮ้ย! คลาสสิกจะตาย”
อนุรักษ์โต้กลับ แต่อีกฝ่ายแค่หัวเราะขำ แล้วเดินออกไป เป็นครั้งที่สองที่คำคมสุดเท่ห์ของเขาถูกเมิน ...หรือคุณชายจะเล็งเห็นตั้งแต่แรกว่า คอนเซปต์โฆษณานี้มันไม่เข้าท่าเพราะน้ำเน่าจริง ๆ เลยโดนตัดทิ้ง แล้วเปลี่ยนไปเลือกอย่างอื่นแทน
...อยู่ ๆ อาการกระอักกระอ่วนก็กำเริบ เมื่อนึกได้ว่า
'อย่างอื่น' ในวิธีที่คุณชายใช้คืออะไร
คนร้อน ๆ หนาว ๆ รีบสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่าน จัดการทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมาด้านนอก ตั้งใจจะกลับไปนั่งรอในห้องเหมือนเดิม หากก็นึกเบื่อห้องว่าง ๆ ที่ไม่มีอะไร ถ้าเป็นคนอื่นคงได้งัดเอาสมาร์ทโฟนมานั่งเล่นเกมฆ่าเวลาไปแล้ว แต่โทรศัพท์ของเขาไม่มีเกมอะไรเล่นแก้เซ็งนอกจากเกมงู เขาจึงเปลี่ยนทิศทาง อยากจะกลับไปดูแจกันดอกไม้ใบยักษ์สวย ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโถงลิฟต์อีกสักรอบ
ทว่าเพียงแค่เดินผ่านห้องแรก บานประตูก็ถูกเปิดผลัวะออกมา พร้อมกับชายในชุดสูทสีดำเหมือนหลุดมาจากหนังเรื่อง Men in Black ทั้งยังมองเขาเหมือนเจอเอเลี่ยนต่างดาวแปลงกายมาในคราบนักศึกษาเต็มยศ
“เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันบอกให้พิมพาเธอไปรอที่ห้องรับรองไม่ใช่หรือ”
คุณชายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตานั้นเจือแววแปลกใจระคนตำหนิ จนอนุรักษ์ต้องรีบแก้ตัว
"ผมแค่เดินออกมาเข้าห้องน้ำเฉย ๆ" เขาตอบพลางเสมองไปยังประตูด้านหลัง "แล้วนี่คุณประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ”
“ยังไม่เรียบร้อยเท่าไร เธอกลับไปรอในห้องก่อน”
คุณชายออกคำสั่ง แต่ยังไม่ทันได้ปฏิบัติตาม บานประตูก็ถูกเปิดอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงอื้ออึง
"เดี๋ยวก่อนสิครับคุณดุจดาว"
"ยังไงดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ใช้คอนเซปต์นี้"
คุณป้าร่างอวบในชุดผ้าไหมไทยสีม่วงเข้มตีกระบังลมโป่ง ทั้งน้ำเสียงและกิริยาให้มาดคุณหญิงในละครไทยหลังข่าว เดินหน้าเชิดนำออกมาพร้อมเลขาสาว โดยมีคุณเฮง ชายร่างใหญ่นักการตลาดตามรั้ง ไม่สนใจมองคุณชายหรือตัวเขาที่ยืนหลบอยู่ข้าง ๆ พยายามเกลี่ยกล่อมคนที่กำลังหงุดหงิดเต็มความสามารถ
"แต่คอนเซปต์นี้มีข้อดีหลายข้อที่เราอยากให้ทางคุณพิจารณานะครับ"
“นั้นสิครับ ผมว่าไอเดียใหม่ที่เสนอมาก็น่าสนใจดีออกครับ"
เสียงสนับสนุนจากบุคคลที่สามตามมาจากในห้อง แล้วอนุรักษ์ก็นิ่งงันเมื่อพบว่า ใครคนนั้นคือผู้ชายที่เขาเพิ่งพบในห้องน้ำ
"ที่ว่าน่าสนใจ เพราะคุณทิมพยายามคัดค้านคอนเซปต์
'อยากให้ผู้หญิงไทยกล้ายิ้มอย่างมั่นใจ' ของดิฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้วมิใช่หรือคะ"
คุณดุจดาวเอ่ยค่อนแคะ แต่ก็ยังใช้คำพูดสุภาพทั้ง ๆ ที่อายุห่างจากคนพูดอยู่มาก แสดงว่าคุณทิมน่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตไม่เบา หากผู้ชายหน้าหนวดที่ขายลิปสติกกลับอธิบายด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
"ผมไม่ได้คัดค้านครับ แต่แค่ไม่อยากทิ้งมุมมองใหม่ ๆ ...คิดดูสิครับ...ที่เอเจนซี่ไทเกอร์เสนอให้เปลี่ยนเป็นคอนเซปต์
'จูบ' ก็น่าจะเข้าชื่อกับลิปสติก
'Baby Kiss' ด้วย ...แล้วยังให้ใช้เสียงผู้ชายเป็นคนบรรยายบอกถึงสัมผัสของลิปสติกผ่านการจูบจากผู้หญิงอีก... ผมยังทึ่งเลยว่าคิดได้ยังไง ...โฆษณาในสปอดวิทยุได้ยินแค่เสียง ไม่เห็นภาพมาช่วยกระตุ้น ...แต่ถ้าใช้แผนการนี้ มันจะต้องดึงดูดความสนใจของคนฟังได้แน่ ๆ”
ในที่สุดอนุรักษ์ก็รู้แล้วว่า เมื่อคืนคุณชายจูบเขาไปทำไม
...ที่แท้คุณชายต้องการดึงเอาประสบการณ์ที่ได้สัมผัสลิปสติกจากริมฝีปาก แล้วเอามาปรับใช้กับการโฆษณาได้ออกมาเป็นกลยุทธ์สร้างสรรค์สุด ๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาโดนเป็นหนูทดลองด้วย ก็อยากจะชมอยู่หรอกว่าคุณพี่ท่านเก่ง แต่ไอเดียสุดครีเอทนี้กลับมีอีกหนึ่งคนที่ไม่เห็นด้วย
"จะให้โฆษณาด้วยเรื่องบัดสีแบบนี้ผ่านทางวิทยุไม่มีทางเด็ดขาดค่ะ!”
เจ้าคุณป้าหวีดร้อง คนอายุห้าสิบคงมองว่าเรื่องจูบเป็นเรื่องน่าอายอนาจาร ตรงข้ามกับพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ยุคนี้ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติจนเห็นเป็นเรื่องปกติ
“ทำไมล่ะครับ คุณดุจดาวอยากให้ผู้หญิงไทยกล้าที่อวดริมฝีปากอย่างมั่นใจไม่ใช่เหรอครับ เรื่องจูบก็เป็นการกล้าที่จะแสดงความรักเหมือนกันนะครับ”
คุณทิมพยายามแย้งโดยอาศัยคำพูดเก่าที่อีกฝ่ายใช้มาโต้กลับเนียน ๆ กระนั้นคุณดุจดาวก็ยังยืนกรานเสียงแข็ง
“ยังไงดิฉันก็รับไม่ได้! คอนเซปต์ตั้งแต่แรกที่ดิฉันคิดไว้ก็ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไปก็อปปี้งานของคนอื่นมา เลยต้องเสียเวลาคิดกันใหม่”
...ก็อปปี้?
อนุรักษ์สะดุดใจในคำกล่าวหานั้น ...จริงอยู่ที่โฆษณายาสีฟันออกมาก่อน จะโดนหาว่าก็อปปี้ก็ไม่แปลก แต่เขาคิดว่าคนอย่างคุณชายคงไม่ทำ ซ้ำเจ้าตัวยังเคยพูดกับเขาว่าไอเดียนั้นถูกขโมยไป
ทว่าคุณชายไม่เอ่ยแก้ตัวใด ๆ เป็นคุณเฮงที่ออกหน้ามารับแทน
“ต้องขอประทานโทษเป็นอย่างสูงครับ”
หนุ่มใหญ่ก้มศีรษะ คุณป้ายังเชิดหน้าคอแข็งไม่เสียเวลาปรายตามอง ปล่อยให้ผู้บริหารอีกคนรีบไกล่เกลี่ย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณเฮง มันมีโอกาสที่ไอเดียซ้ำกันได้ครับ”
“แต่ซ้ำกันทุกระเบียดนิ้วแบบนี้ดิฉันเพิ่งเคยเจอ”
ถ้อยความเหน็บแหนมดังลอย ๆ บ่งบอกว่าคนพูดนั้นกัดไม่ปล่อย ซึ่งคนทำหน้าที่ Account Director แม้จะถูกตำหนิเพียงไรก็ต้องประสานความสัมพันธ์กับลูกค้าเอาไว้
“เป็นความผิดของทางเราเองครับ ถ้าคุณดุจดาวไม่พอใจกับคอนเซปต์ในวันนี้ ทางเราพร้อมจะเสนอคอนเซปต์มาให้ใหม่ครับ”
“ไม่ต้องลำบากทางคุณหรอกค่ะ ดิฉันจะว่าจ้างเอเจนซี่อื่น...”
“แต่ผมวางใจเอเจนซี่ไทเกอร์"
หนุ่มหน้าหนวดรีบแทรกการปฏิเสธอย่างไม่ใยดีนั้น แล้วหันมาหาคุณชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล
"ในเมื่อสองคอนเซปต์ที่คิดมายังใช้ไม่ได้ ผมเลยมีไอเดียคอนเซปต์ใหม่อยากให้คุณทำ”
“คอนเซปต์อะไรครับ”
คุณชายถาม แต่คู่สนทนากลับมองมาทางอนุรักษ์แล้วขยิบตา ก่อนเอ่ยคอนเซปต์ใหม่
“ความสวยของผู้หญิงที่แท้จริงอยู่ข้างในใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตาภายนอก”
...อ้าว...ไหนว่าน้ำเน่าไงวะ!
อนุรักษ์อยากจะโวยวาย แต่ก็ต้องปิดปากเงียบไว้ เมื่อคุณเฮงรีบพยักหน้าเห็นด้วย
“เป็นคอนเซปต์ที่ดีมากครับ ผมว่ามันจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์ลิปสติก Baby Kiss ในเชิงบวกได้ด้วย”
“แต่เราขายเครื่องสำอาง ถ้าไม่ให้ผู้หญิงสนใจความสวยที่หน้าตาแล้วลิปสติกเราจะขายออกได้ยังไง”
คุณดุจดาวยังคงคัดค้าน แถมตีได้ตรงจุดตายไม่พลาดเป้า
...เป็นความจริงตามกฏอุปสงค์อุปทาน ถ้าไม่มีคนอยากสวยเครื่องสำอางก็ขายไม่ได้ คอนเซปต์นี้จึงไม่ต่างจากคอนเซปต์โลกสวยช่างฝัน
“แล้วถ้าเพิ่มเงื่อนไขว่า เงินที่ได้จากการขายลิปสติกส่วนหนึ่งจะนำไปบริจาคให้เด็กที่มีปัญหาเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ล่ะครับ แบบนี้อาจช่วยกระตุ้นยอดขายให้ได้มากขึ้น”
ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงราบเรียบ สมกับเป็นนักครีเอทีฟที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสนำเสนอได้รวดเร็วน่าทึ่ง
“แต่บริษัทเราค้าขาย ไม่ได้ทำการกุศล ลิปสติกแท่งหนึ่งรู้มั้ยต้นทุนเท่าไร”
คนในชุดผ้าไหมฮึดอัด ไม่ยอมคล้อยตามง่าย ๆ จนคุณเฮงต้องรีบมาเสริมทัพ ลดแลกแจกแถมฮาร์ดเซลล์
“ถ้าอย่างนั้นทางเราจะรับเงินค่าโฆษณาแค่ 30% ครับ ส่วนต่างอีก 70% ที่เหลือคุณดุจดาวสามารถนำไปเป็นทุนในการบริจาคได้ ที่สำคัญ..." ผ่อนเสียงกระซิบอย่างมีเล่ห์นัยตามประสานักการตลาด "...ยอดเงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะครับ”
“โอโห...แบบนี้ก็ถือว่าวินวินทั้งคู่พอดีเลยนะครับ”
คุณทิมปรบมือชมเปราะ ข้อเสนอที่มีแต่ได้กับได้เริ่มทำให้ไม้แข็งเริ่มโน้มเอียง กระนั้นก็ไม่เพียงพอจะล้มลง
“ดิฉันยังไม่ตกลงเรื่องนี้ ต้องกลับไปแจ้งท่านประธานให้พิจารณาก่อน”
เป็นข้ออ้างที่ไว้ตัว แต่ทุกคนรู้ดีถ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เอเจนซี่ไทเกอร์คงไม่มีทางได้งานชิ้นนี้อีก คุณทิมจึงส่งเสียงกระแอมไอ รีบเข้ากู้สถานการณ์สุดท้าย
“เมื่อกี๊ผมโทรศัพท์คุยกับแม่ ท่านว่าให้คุณดุจดาวตัดสินใจได้เลยครับ เพราะคุณมีประสบการณ์มาก ผมยังมือใหม่ไม่รู้ประสีประสา ตอนผมสิบขวบ คุณดุจดาวก็เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารแล้ว ผมยังจำได้เลยนะครับว่าคุณทั้งสวยทั้งเก่ง ถึงผ่านมายี่สิบปีแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนเลยสักนิดครับ"
อนุรักษ์หายใจสะดุดกับคนที่นำคำพูดของเขามาใช้อีกครั้ง
...ผู้หญิงเข้าใจอะไรยาก แต่พอโดนชมว่าสวยก็เข้าใจง่ายทันที ตอนคุยในห้องน้ำผ่าน ๆ เขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่หัวเราะเล่นกับมุกที่พูดออกมา ที่ไหนได้กลับเก็บนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์รอบตัวอย่างลื่นไหลสุด ๆ เห็นมาดเซอร์ ๆ แต่ภายใต้นั้นเป็นนักบริหารที่ประมาทไม่ได้เลยสักนิด เพราะในที่สุดคุณดุจดาวก็ยอมจำนนตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะมาฟังคอนเซปต์ใหม่ แต่คราวนี้หวังว่าคงไม่เกิดปัญหาอีกนะ”
ใบหน้ายังคงเชิดเช่นเดิม เว้นแต่ดวงตาที่เหลือบมองไปทางคุณเฮง ซึ่งรีบยืนยัน
“แน่นอนครับ ทางเราจะทำโฆษณาออกมาอย่างดีที่สุด”
เมื่อข้อเสนอผ่านการอนุมัติ คู่ค้าก็เดินออกไปทางลิฟท์พร้อมเลขาทันที เหลือแค่หนุ่มหน้าหนวดที่หันกลับมาพูดกับคุณชาย
"แล้วผมจะรอดูงานของคุณนะครับ"
ก่อนจะยิ้มให้กับอนุรักษ์ เอื้อมมือตบบ่า ก้มลงกระซิบเบา ๆ
"ขอบใจนะ" แล้วจึงหมุนตัวตามคุณดุจดาวออกไป โดยมีคุณเฮงยืนรอส่งตรงโถงด้านหน้า
..
..