【*...สุดที่รักษ์...*】
บทที่ 06 : ทุกหยดซ่า....บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร โจ๊กคัพ ปลากระป๋อง หอยลายทอดกระป๋อง
ถ้ามองผ่าน ๆ หลายคนคงนึกว่า นี่เป็นของยังชีพเอาไปบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ไหน แต่สำหรับพนักงานแคชเชียร์อย่างนายอนุรักษ์ เห็นปราดเดียวก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้คืออาหารสำคัญของเหล่าบรรดา 'เด็กหอ'
...ไม่ใช่ว่าอนุรักษ์มีจิตสัมผัสรู้ลึกซึ้งรวดเร็วขนาดนั้น แต่ส่วนหนึ่งเพราะคนซื้อเป็นกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนวัยนักศึกษาไล่เลี่ยกับเขา ซึ่งน่าจะเป็นรูมเมทกัน เดาจากการที่พอบอกยอดเงินสินค้าทั้งหมด ทุกคนก็นับนิ้วบวกลบคูณหารไล่เก็บเงินมารวมให้ลงตัว แล้วส่งแบงค์กับเหรียญเป็นยอดพอดีเป๊ะมาให้ แต่ระหว่างที่เขากำลังกดสลิปใบเสร็จ หนึ่งในนั้นกลับเอ่ยรั้ง
"อ่ะ เดี๋ยว ๆ เพิ่มนี่อีกอันด้วยค่ะ"
ลิปสติกแท่งสีชมพูถูกวางบนสายพานแคชเชียร์ พาให้เพื่อนสาวพูดล้อ
"ต๊ายยแม่คุณ! เงินไม่พอกิน ยังจะห่วงสวยอีกนะยะ"
"ก็ปากฉันแห้งพอดีอ่ะ แล้วแกดูสิลิปแท่งละยี่สิบเก้าบาท ถูกจะตาย แถมซื้อไปเหมือนทำบุญด้วย เผื่อตายไปชาติหน้าฉันจะได้มีปากฉ่ำ ๆ เหมือนแอนเจลิน่า โจลี่ มีสามีหล่อแบบแบรด พิตต์"
"กล้าพูดนะแก ไหนเอามาดูบ้างดิ อุ๊ย...ลิปแบบเปลี่ยนสีด้วยเหรอ มีตั้งหลายสี สีนี่สวยป่ะแก..."
ทุกคนหันไปรุมชั้นวางของตั้งอยู่ใกล้ ๆ เคาท์เตอร์แคชเชียร์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ุดักลูกค้าด่านสุดท้ายระหว่างรอเข้าคิวคิดเงิน บนชั้นนั้นจึงมีของจำพวกลูกอม หมากฝรั่ง ถ่านไฟฉาย ...รวมไปถึง 'ลิปสติก Baby Kiss' สินค้าตัวใหม่ล่าสุดที่อนุรักษ์เพิ่งนำของจากสโตร์ไปเรียงเมื่อวาน พร้อมด้วยแผ่นป้ายโฆษณา
ลิปบัตเตอร์ Baby Kiss หนึ่งแท่ง คือหนึ่งการเติมเต็มรอยยิ้มของผู้พิการปากแหว่งเพดานโหว่
...เพราะความสวยแท้จริง ไม่ได้เห็นแค่ด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยใจ...
เป็นข้อความเชิญชวนเจือด้วยกลิ่นอายของความเมตตาโอบอ้อมอารี แต่ใครจะรู้เบื้องหลังของคอนเซปต์โฆษณาตัวนี้ผ่านการฟาดฟันมาอย่างดุเดือดเลือดพล่านขนาดไหน
บางคนอาจสงสัยว่ากับไอ้แค่ลิปสติก ทำไมต้องวางแผนคิดคอนเซปต์ใหญ่โตให้วุ่นวายด้วย อนุรักษ์ก็เคยตั้งคำถามเช่นเดียวกัน หากพอพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาถึงเข้าใจ
ลิปมันที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายแบรนด์ และทุกยี่ห้ออาจให้ผลลัพธ์ในด้านความนุ่มชุ่มชื้นกับริมฝีปากเหมือน ๆ กันไปหมด ...เมื่อตัวเลือกมากเช่นนี้ ความต้องการให้ลูกค้าเจาะจงซื้อผลิตภัณฑ์เฉพาะของบริษัทตนเอง จึงจำต้องมีการใส่ 'คอนเซปต์' ...เปรียบไปก็คล้ายการสวมเสื้อผ้าให้กับผลิตภัณฑ์ ยิ่งเสื้อผ้าที่ใส่สวยเท่าไรก็จะยิ่งช่วยทำให้ Baby Kiss โดดเด่น แตกต่าง เป็นที่จดจำมากกว่ายี่ห้ออื่น
...นี่คือเวทย์มนตร์ของการตลาดและโฆษณา
และวันนี้อนุรักษ์ก็ค้นพบผู้โดนร่ายมนตร์ใส่อีกสี่ราย เมื่อลิปสติกสี่แท่งถูกวางบนสายพานเลื่อน เขาหยิบของขึ้นมาแสกนบาร์โค้ดเงียบ ๆ ตามหน้าที่แคชเชียร์ ตรงข้ามกับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจลึก ๆ ข้างใน จนแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว
...ก็จะว่าไป เขาก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมเสกคาถาสร้างโฆษณานี้อ้อม ๆ เหมือนกัน
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์หลังเหตุการณ์ในบริษัทเอเจนซี่ไทเกอร์ ถึงตัวเขาจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร หากก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นในชะตากรรมของลิปสติก พอว่าง ๆ เลยมักเผลอเปิดวิทยุหมุนหาคลื่นสปอดโฆษณาฟัง แต่กลับไม่มีโฆษณาลิปสติกหลุดเข้าหู พาลให้นึกว่าคอนเซปต์นี้ล่มไปแล้ว
กระทั่งเมื่อวานที่เขาช่วยจัดเรียงสต็อกสินค้า เขาจึงพบกล่องสินค้าของ Baby Kiss ที่มีการรีแพ็คเก็ตใหม่ โดยนำสติกเกอร์ข้อความจากคอนเซปต์นี้ใส่แปะเพิ่ม ซ้ำพี่ตายังบอกให้เขานำป้ายโฆษณาสั่งทำพิเศษมาติดไว้ตรงชั้นวางผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเห็นชัด ๆ อีก
...นั่นแหละ อนุรักษ์ถึงเพิ่งรู้...ไม่ใช่แค่สปอดวิทยุ แต่คอนเซปต์
'ความสวยแท้จริงอยู่ที่ใจ' ได้ขยายกลายเป็นแคมเปญชูโรงหลักของ Baby Kiss ไปแล้ว
แม้คุณทิมจะนำคำพูดเขาไปใช้แบบจับพลัดจับผลู แต่พอได้เห็นไอเดียของตัวเองเป็นรูปร่างก็ทำเอาอดยิ้มปลื้มไม่ได้
...แล้วคนที่ทำโฆษณาบ่อย ๆ จะรู้สึกแบบนี้เหมือนกันมั้ย?
ใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายของคุณชายแทรกผ่านเข้ามาในความคิด ...ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ก็รู้ รายนั้นต่อให้โดนชมมากแค่ไหนก็คงหน้าแข็งเป็นรูปปั้น จะให้ส่งยิ้มออกมาน่ะเหรอ รอให้หิมะตกในประเทศไทยคงง่ายกว่า ...เสียดายหน้าตาดีขนาดนั้น ถ้าขยันยิ้มสักหน่อยสาว ๆ คงพากันเข้าคิวเป็นทิวแถว ผิดกับเขากว่าจะหาแฟนได้สักคนแสนลำบากยากเย็น เลยยังครองความโสดจนป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ อยากตะโกนบอกฟ้าเหลือเกินว่า
...
'ความหล่อแท้จริง มันก็อยู่ที่ใจ' เหมือนกันนะเว้ย!
ปึก!เสียงตะกร้าวางของบนเคาท์เตอร์แคชเชียร์หยุดอาการตัดพ้อ อนุรักษ์รีบหันไปมุ่งมั่นบริการลูกค้ารายใหม่ พนมมือไหว้อ่อนน้อมตามขนบธรรมเนียมไทย ส่งยิ้มต้อนรับ โดยพยายามใส่หัวใจหล่อ ๆ ลงไปเต็มร้อย
"เจคิงซ์ซูเปอร์ สวัสดีครับ"
ก่อนจะเหลือบมองของภายในตระกร้าสีฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยผงปรุงรสน้ำซุป สำเร็จทั้งแบบซองและแบบก้อน เดาจากปริมาณก็เผลอวิเคราะห์ลูกค้าตามนิสัย ...ถ้าไม่เปิดร้านขายอาหาร ก็ต้องขายก๋วยเตี๋ยวแน่ ๆ แต่คนกินคงซดไปผมร่วงไป เพราะพี่ท่านเล่นใส่ชูรสเยอะขนาดนี้ ...เอ้ยย เกือบลืม วิจารณ์มากไม่ได้ ต้องใจหล่อไว้ก่อน
เขาจึงรีบเปลี่ยนไปถามด้วยความสุภาพ
"ไม่ทราบว่ามีบัตรสมาชิกมั้ยครับ"
"ไม่มีครับ"
น้ำเสียงราบเรียบแสนคุ้นหู อนุรักษ์คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อเห็นเสื้อสูทเนื้อดี ใบหน้าหล่อคม ผมหวีเสยจัดทรงเนี้ยบ และนัยน์ตาเรียวโศกไม่แสดงความรู้สึก องค์รวมทั้งหมดประกอบออกมาได้เป็นคนเดียว
"คุณชายมาทำอะไรที่นี่ครับ!"
โพล่งออกไปอย่างตระหนก แววตานิ่งเฉยของคุณชายจึงเริ่มแสดงความรู้สึกนิด ๆ แปลความหมายออกมาว่า เขาช่างถามอะไรแสนโง่เง่า
"ซื้อของ"
...ถูกครับ มาซูเปอร์ก็ต้องมาซื้อของ แต่ไอ้ที่เขาอยากรู้คือ ทำไมคนอย่างคุณชายถึงได้ออกมาซื้อของตอนสองทุ่มกว่าด้วยชุดสูทเต็มยศ และที่สำคัญสินค้าในตระกร้ามันก็ไม่ได้เข้ากับบุคลิกคนซื้อจนเขาวิเคราะห์เดาผิดไปคนละทิศ
"คุณจะซื้อพวกนี้ไปทำไมตั้งเยอะแยะครับ"
ปกติเจคิงส์ซูเปอร์มีนโยบายสอนให้พนักงานแคชเชียร์ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ ...ไม่ใช่ในแง่ไม่ดี แต่หมายถึง ...ไม่ว่าลูกค้าจะหยิบจับซื้ออะไรก็ห้ามแสดงอาการออกมาให้เห็น เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดอาการเคอะเขินหรือกระอักกระอวนใจ ...ผู้ชายซื้อผ้าอนามัย ...ผู้หญิงซื้อถุงยาง อนุรักษ์ก็ทำหน้าที่คิดเงินหยิบใส่ถุงเป็นเรื่องปกติ แม้จะแอบวิเคราะห์นิสัยคนซื้อเล่น ๆ แต่เขาไม่เสียมารยาทสอดรู้สอดเห็นจุดประสงค์ในการซื้อของของลูกค้า
แต่ครั้งนี้คงต้องขอแหกกฏ เพราะความสงสัยมันท่วมท้น แต่คำตอบที่ได้รับดันเรียบง่ายกว่าที่คิด
"ฉันต้องทำปรินท์แอดผงซุปต้มยำ"
เกือบลืมไป...คนที่จะซื้อของในตระกร้านี้ได้ นอกจากพ่อครัว ก็คงมีแต่เป็นนักครีเอทีฟโฆษณาที่ต้อง
'รู้ลึก รู้ละเอียด ทดลองใช้จริง' เท่านั้น คุณชายจึงลงทุนมาซื้อสินค้าเพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง ซึ่งเขาคงไม่แปลกใจเท่าไรถ้ามีแค่ผงซุปต้มยำเพียงอย่างเดียว
"ทำโฆษณาผงซุปต้มยำ แล้วซุปก้อนแกงกะหรี่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ"
อนุรักษ์หยิบเครื่องปรุงสัญชาติญี่ปุ่นออกมาจากกองผงซุปนับสิบ ทั้งผงซุปกระดูกหมู ซุปก้อนไก่ ผงปรุงต้มแซ่บ ต้มข่า สารพัดยี่ห้อ แตกต่างกันทุกรส แต่คุณชายทำให้มันเกี่ยวโยงกันได้ด้วยประเด็นสำคัญ
"ฉันต้องเข้าใจในผลิตภัณฑ์ถ่องแท้ เพื่อเอามาเปรียบเทียบ ถึงจะทำโฆษณาออกมาได้ดี"
เป็นคำอธิบายที่แสนทุ่มเทให้กับงาน จนน่าเรียกร้องให้เอเจนซี่ไทเกอร์มอบโล่ตำแหน่งพนักงานดีเด่นประจำทศวรรษให้
"แต่กินเยอะขนาดนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ"
ถามเพราะรู้ว่าส่วนประกอบของพวกซุปก้อนปรุงสำเร็จล้วนใส่ผงชูรสลงไปทั้งนั้น ทานมาก ๆ ก็เป็นอันตรายกับร่างกายของตัวเอง ถ้าคุณชายห่วงสุขภาพสักนิดคงเข้าใจ ทว่านอกจากจะไม่สน ยังย้อนความกลับ
"อาหารทุกวันนี้ที่เธอกินก็ใส่ของพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ"
อนุรักษ์คิ้วกระตุก นึกถึงสินค้าของกลุ่มเด็กหอรายล่าสุด ...บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กคัพ ปลากระป๋อง ...จริงอยู่ว่าเขาพึ่งพาพวกมันบ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นเดือน เพราะไม่มีปัญญาไปหาซื้อพวกผักปลาออร์แกนิคสดจากธรรมชาติ กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีสิทธิเลือก
"ผมไม่ได้กินแต่ของสำเร็จรูปอย่างเดียวนะครับ ถึงงบจะน้อย ผมก็ยังเลือกของมีประโยชน์ แต่ถ้าคุณอยากกินทั้งหมดนี้แล้วเป็นไตวายก็เชิญเลยครับ"
โต้กลับไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด คุณชายขยับปากคล้ายจะตอบอะไรบางอย่าง แต่กลายเป็นเสียงหนึ่งดังขึ้นแทน
"อะแฮ่ม!"
เสียงกระแอมไอจากด้านหลังแบบนี้ พนักงานในเจคิงซ์ซูเปอร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอนุรักษ์ที่โดนเดจาวูมาแล้วสองรอบ
"น้องรักษ์ไปแช่งลูกค้าแบบนั้นได้ยังไงคะ พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าลูกค้าคอมเพลนมาจะเกิดอะไรขึ้น"
พี่ตา ผู้จัดการซูเปอร์เอ่ยเตือนด้วยใบหน้านุ่มนวลใจดีของผู้หญิงวัยห้าสิบ แต่ด้านหลังดันเป็นภาพลวงตาของคุณครูถือไม้เรียว พร้อมลงโทษเด็กเกเรออกนอกลู่นอกทาง พาให้คนแหกกฏเสียวหลังวาบ รีบก้มศีรษะขอขมาต่อผู้มีอุปการคุณทันที
"ต้องขอประทานโทษด้วยครับที่พูดจาลามปามไม่สุภาพ"
"ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือ"
น้ำเสียงราบเรียบยังคงเป็นเช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติม...คือการยกมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ คล้ายกำลังขำ
อนุรักษ์เห็นมันเพียงแค่เสี้ยววินาทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมา แทบไม่แน่ใจจนนึกว่าตาฝาดไปเอง หากก็ต้องเลิกสงสัย เพราะถูกพี่ตาเร่ง
"รีบคิดเงินสิจ๊ะน้องรักษ์ อย่าให้ลูกค้ารอนาน"
พนักงานแคชเชียร์จึงกลับไปทำหน้าที่สแกนบาร์โค้ทสินค้าอย่างไว แจ้งยอดบิล พร้อมรับธนบัตรสีเทาจากคุณชาย และทอนเงินโดยไม่มีการผิดพลาด
"ขอบคุณที่ใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญที่เจคิงส์ซูเปอร์ใหม่นะครับ"
พวกเขาสองคนกลับไปอยู่ในสถานะผู้ให้กับผู้ใช้บริการเหมือนเดิม คุณชายหิ้วถุงซูเปอร์มาร์เก็ตเดินจากไป ส่วนอนุรักษ์ก็ต้องต้อนรับลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาพอดี
ทว่า...บางสิ่งยังคงติดอยู่ในใจของใครบางคนไม่หาย
สงสัยวันนี้หิมะคงตกในประเทศไทยแน่ ๆ เพราะแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ใบหน้านิ่งเฉยนั้นแปรเปลี่ยน อนุรักษ์ก็รู้ซึ้งปนความเจ็บใจหน่อย ๆ ว่า...
...เขาไม่อาจงัดเอาความหล่อที่แท้จริงจากข้างใน มาสู้กับรอยยิ้มเดียวของคุณชายได้เลย-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หิมะไม่ตก แต่ฝนดันตก
อนุรักษ์เลิกงานตอนใกล้ห้าทุ่มในสภาพเอวแทบเคล็ด เพราะโดนพี่ตาเรียกใช้ให้ไปยกลังสินค้าหนัก ๆ ประเภทผงซักฟอกสูตรห้ากิโล กระสอบข้าวสารหอมมะลิ แกลลอนน้ำยาถูพื้นขนาดสามลิตร มาจัดเรียงเข้าชั้น ถือเป็นการทำโทษที่แสดงกิริยาไม่สุภาพต่อหน้าลูกค้า
นึกเคืองตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวาย แต่จะโทษว่าอากาศเปลี่ยนเพราะอิทธิพลของคุณชายก็คงไม่ถูก
หมดช่วงหน้าร้อน เริ่มมีคำเตือนเรื่องมรสุมได้ยินบ้าง แต่ทำไมไม่รอให้เขากลับบ้านก่อนค่อยตก ลงเม็ดหนักเหมือนฟ้ารั่วขนาดนี้ จะรอฝนซาก็ไม่ได้เพราะกลัวรถเมล์หมด เขาตัดสินใจลัดเลาะตามมุมหลังคาไปยังป้ายรถเมล์ตรงหน้าซูเปอร์ กระนั้นก็ยังแอบโดนฝนจนหายใจฟึดฟัดหน่อย ๆ เป็นธรรมดาเวลาร่างกายเขาเจออากาศเปลี่ยน ภาวนาให้รถเมล์มาเร็ว ๆ จะได้รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้เป็นหวัด
ตี๊ด ติ๊ด! โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเบา ๆ เป็นเสียงข้อความเข้า อนุรักษ์รีบหยิบขึ้นมากดเปิดอ่าน สัญญาณจากสองเครือข่ายซึ่งอยู่ในเครื่อง ทำให้ทราบได้ว่า SMS นี้ถูกส่งมาจากซิมไหน นับจากคราวที่เขารับฝากซิมเอาไว้จากคุณชาย ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลยเป็นอาทิตย์ จวบจนกระทั่งวันนี้...
อนุรักษ์ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลง ด้วยการกดโทรหาคุณชาย และพอปลายสายรับ เขาก็แจ้งเรื่องทันที
"มีข้อความกดถอนเงินจำนวนสามหมื่นบาท เวลาสี่ทุ่มห้าสิบสามครับ"
"งั้นรึ เข้าใจแล้ว"
เพราะไม่เห็นหน้า จึงไม่อาจเดาได้ว่าคุณชายจะกระตือรือร้นกับข่าวนี้รึเปล่า ครั้นจะเอ่ยปากถามซ่อกแซกเรื่องคุณชายสืบหาสปายของ ATM ไปถึงไหนแล้วก็ไม่กล้า เพราะเพิ่งโดนบทลงโทษฐานสอดรู้สอดเห็นจากพี่ตาไปหมาด ๆ ในเมื่อหมดธุระ เขาเลยเลือกขอวางสาย
"ถ้างั้น แค่นี้นะครับ สวัส..."
แต่ยังไม่ทันจะจบประโยค รถแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นโฉบเข้ามาอย่างเร็ว พาให้น้ำซึ่งเอ่อท่วมถนนเพราะฝนตกกระเซ็นขึ้นมาถึงขอบฟุตบาท ทำเอาเขากระโดดหลบเกือบไม่ทัน
"เฮ้ยย! ขับดี ๆ สิพี่!"
แท็กซี่ตีนผีซิ่งดริฟห่างไปไกล คงไม่มีทางได้ยินเสียงสบถด่า แต่คนในโทรศัพท์ที่เขาถืออยู่กลับได้ยินชัดเจน
"ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน"
"อ้อ...ผมเพิ่งเลิกงาน กำลังรอรถเมล์อยู่ตรงหน้าซูเปอร์ครับ เมื่อกี๊มีแท็กซี่ขับซิ่งด้วย ฝนกำลังตก ถนนลื่น ไม่ระวังไปชนใครขึ้นมาจะทำยังไง"
ด้วยความที่เสียพ่อแม่ด้วยอุบัติเหตุทำให้เขาอ่อนไหวเป็นพิเศษกับเรื่องการใช้รถใช้ถนน ที่บ่นไปก็หวังว่าคุณชายจะเห็นพ้อง ทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด
"เธออย่าเพิ่งกลับ เดี๋ยวฉันจะไปหา"
"คุณจะมาทำไมครับ" ขมวดคิ้วงง ดึกดื่นใกล้ห้าทุ่มเขาเองก็อยากกลับหอไปนอนพัก แต่คุณชายดันอ้างเหตุผล
"ฉันอยากจะเช็คข้อความ"
"เดี๋ยวผมส่งซ้ำไปให้คุณก็ได้"
ระบบโทรศัพท์ยุคนี้พัฒนาแล้ว จะก็อปปี้ข้อความกดแค่ปุ่มเดียวก็ส่งไปได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาดูให้เห็นกับตาจากเครื่องของเขา หากใครบางคนเลือกเมินทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นยาก
"รออยู่ตรงนั้น"
คุณชายออกคำสั่ง แล้วตัดสายทิ้ง ถือเป็นการบังคับอ้อม ๆ และอนุรักษ์รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะเถียง เขาจึงจำต้องปล่อยให้รถเมล์สายที่รอ ซึ่งหยุดจอดเทียบป้ายเมื่อครู่แล่นผ่านไปต่อหน้า
...ไม่เกินสิบห้านาที ฝนเริ่มซาลงไปเล็กน้อย รถญี่ปุ่นสีดำคันเล็กก็เคลื่อนมาหยุดใกล้ ๆ เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่ง โดยไม่ต้องให้คนขับลดกระจกมาสั่งซ้ำสอง
คุณชายยังใส่สูทเต็มยศเหมือนที่เขาเห็นในซูเปอร์ คล้ายเจ้าตัวยังไม่ได้กลับบ้าน แน่นอนเขาไม่แปลกใจเลยสักนิด ต่อให้อยู่บริษัทดึก ๆ หรืออยู่ที่คอนโดคุณชายก็ยังหอบงานไปทำอยู่ดี ทีแรกเขานึกว่าคุณชายจะขับต่อไปเรื่อย ๆ แต่รถวิ่งต่อไปไม่ไกล คุณชายก็เปิดไฟเลี้ยวจอดแนบ แล้วหันมาหาผู้โดยสาร
"ขอโทรศัพท์ของเธอหน่อย"
อนุรักษ์จึงส่งมือถือเครื่องเก่าโทรมของตัวเองไปให้ คุณชายรับไปเปิดอ่านข้อความ แววตาเคร่งเครียดตั้งใจพิจารณาไม่ได้ทิ้งขว้างส่ง ๆ เช่นเดียวกับคราวที่แล้ว
เขาไม่ห้ามหรอก ถ้าคุณชายอยากจะจ้องโทรศัพท์ให้ข้อความมันซึมลงไปถึงแก่นสมอง แต่จะขอบคุณมากถ้าทำอะไรสักอย่างกับอุณหภูมิในรถ คุณชายเล่นเปิดแอร์เย็นฉ่ำประหนึ่งสืบสายเลือดเดียวกับเอสกิโม คนใส่สูทสองชั้นอาจไม่หนาว แต่เขาที่มีเพียงเสื้อยูนิฟอร์มแคชเชียร์ซ้ำยังโดนฝนมาก่อน นั่งนาน ๆ ก็ชักจะเกิดอาการสั่น ๆ ครั่นจมูก
"ฮัชชิ่ว!"
สุดท้ายก็เผลอจาม โชคดีที่ไม่มีน้ำมูกไหลย้อยออกมาให้น่ารังเกียจ หากโชคร้ายที่ระบบหายใจของเขาสะดุดเปลี่ยนเป็นอาการสะอึกต่อเนื่องไม่หยุด
“ดื่มมั้ย”
คุณชายส่งแก้วกาแฟมาให้ด้วยความสงสารหรือรำคาญไม่อาจทราบ แต่อนุรักษ์ก็รีบรับน้ำใจ
"ขะ..อึก..ขอบคุณ..อึก..ครับ"
วิธีแก้สะอึกที่ได้ผลสำหรับเขาคือการกลั้นหายใจ แล้วดื่มน้ำตามลงไป เขาจึงเอามือบีบจมูก ก้มลงดูดน้ำผ่านหลอดรวดเดียว แต่ทันทีที่รสชาติผ่านลิ้น... คนดื่มก็แทบจะคายสวนของที่อยู่ในปากออกพรวด! ยังดีที่ยั้งไว้ได้จึงแค่สำลักไอค่อกแค่ก อาการสะอึกหายไปฉับพลัน ไม่ใช่เพราะการดื่มน้ำช่วย แต่เพราะความตกใจ
“นี่อะไรครับเนี่ย!”
อนุรักษ์มองแก้วกาแฟปิดฝาครอบทึบสีน้ำตาลในมือ แก้วแนวนี้มักจะใส่เครื่องดื่มจำพวกมอคค่า ลาเต้ คาปูชิโน่ แต่ของที่อยู่ด้านในไม่ได้ใกล้เคียง ซ้ำยังสยดสยองเมื่อคุณชายเฉลย
“ผงซุปรสต้มยำ เธอชิมแล้วไม่รู้หรือ สงสัยยี่ห้อนี้รสอ่อนเกินไป”
ถึงเขาจะเอามือบีบจมูกทำให้ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ยังจำรสเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ดได้ดี และปริมาณที่เพิ่งชิมก็เป็นอัตราส่วนที่ผสมมาไม่ใช่น้อย ๆ ด้วย
“รสอ่อนตรงไหน เข้มจนผมสำลักขนาดนี้ แล้วใครเขามาละลายน้ำดูดกินกันดื้อ ๆ มันต้องใส่เครื่องลงไปต้มด้วย"
“ถ้าใส่อย่างอื่นก็จะไม่รู้รสแท้จริงของซุปน่ะสิ”
“แต่มันจะไปอร่อยได้ยังไง”
“ถ้าเธอไม่ชอบรสนี้ ฉันมีรสอื่นอีก ชิมแล้วบอกฉันด้วยว่าเธอคิดยังไง”
คุณชายหันไปมองทางเบาะหลังของรถ ซึ่งมีแก้ว กระติกน้ำร้อน และถุงซูเปอร์มาร์เก็ตเจคิงส์ ภายในเต็มไปด้วยสารพัดผงซุปที่ดูเหมือนจะถูกแกะกินไปแล้วบางส่วน
...
อัจฉริยะกับความบ้าห่างกันแค่เส้นบาง ๆ ...อนุรักษ์สงสัยว่า คุณชายคงข้ามขั้นไปอยู่อีกฝากเรียบร้อยแล้ว
ก็จะมีคนปกติธรรมดาที่ไหนชงน้ำซุปเหมือนชงกาแฟ แล้วพกติดตัวมาด้วย แถมยังสั่งให้เขาชิมอีก หรือความจริงที่เรียกเขามา จุดประสงค์ไม่ใช่เพราะอยากดูข้อความทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว
“คุณจะใช้ผมเป็นหนูทดลองอีกแล้วเหรอครับ”
“ฉันแค่อยากได้ข้อมูลจากผู้บริโภคเพิ่ม”
คนโดนคาดคั้นหาข้ออ้างเดิม ๆ ฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจ
...กี่ครั้งที่คุณชายชอบใช้วิธีบีบบังคับกันอ้อม ๆ ไอ้นิสัยเสีย ๆ ติดตัวทำนองนี้คงไม่มีทางแก้หาย ...เขาว่ากันว่าไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก แต่ถ้าไม่ลองค่อย ๆ ดัดไม้แก่ที่แข็งแทบกลายเป็นหินของคุณชายดู สักวันคงถูกใครหมั่นไส้ถีบโครมให้หักพังลงมา
"ผมจะยอมช่วยก็ได้ครับ แต่คุณต้องพูดขอร้องผมดี ๆ ก่อน"
เขาลองยื่นเงื่อนไขโดยไม่ลืมดักคอนักโฆษณา "แล้วห้ามใช้วิธีโน้มน้าวด้วย ต้องพูดกันตรง ๆ"
แต่แทนทีจะรับฟังข้อเสนอ ดันถูกอีกฝ่ายพึมพำระอา
"...เล่นอะไรเป็นเด็ก"
โดนคนอายุมากกว่าบ่นใส่แบบนี้ ก็ขยำความหวังดีต่าง ๆ โยนทิ้งถังขยะได้เลย
"งั้นช่างเถอะ ถ้าเรื่องพื้นฐานเด็ก ๆ แค่นี้คุณยังทำไม่ได้ ผมขอโทรศัพท์คืนด้วยครับ"
อนุรักษ์ยื่นมือไปคว้าอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเก่าของตนเอง แต่คุณชายรีบยกมันออกห่างไปยังอีกฝั่งของรถ
"เอาโทรศัพท์ผมคืนมา"
โวยวายใส่คนที่ชูมือขึ้นสูงเหมือนแกล้ง ...ตอนนี้ใครกันแน่ที่กำลังเล่นเป็นเด็ก นึกหงุดหงิดในใจว่า พลาดอีกแล้ว เขาไม่น่าปล่อยมือถือตัวเองไปให้ผู้ร้ายชอบจับตัวประกันนี่เลย
อนุรักษ์พยายามโน้มตัวไปใกล้อีกฝั่ง เขาไม่ใช่คนตัวเล็ก รถญี่ปุ่นแคบ ๆ เพียงแค่ขยับไม่กี่ครั้งก็แทบจะเอื้อมมือแตะกระจกฝากคนขับได้ ดังนั้นใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดเขาจึงสามารถคว้าโทรศัพท์จากมือคุณชาย ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมปล่อยแต่โดยดี หากสภาพองศาร่างกายเขาตอนนี้ แทบจะเบียดชิดกับคนในเสื้อสูท ใบหูอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ รวมทั้งน้ำเสียงราบเรียบแสนคุ้นเคยกระซิบเป็นถ้อยคำ
"...รักษ์ ฉันขอร้อง"
ตลอดมาพอได้ยินทำนองเสียงนี้ อนุรักษ์จะรู้สึกได้ว่ามวลอากาศรอบกายนั้นสั่นไหว นำพาคำพูดทุกพยางค์พุ่งปะทะใส่หู แต่เมื่อคุณชายกระซิบผ่านหูโดยตรงจริง ๆ แล้ว เขาจึงเพิ่งรู้...
...ไม่ใช่แค่อากาศโดยรอบสั่นสะท้อน หากมันคล้ายถูกดูดให้หายวับ กระทั่งเขาไม่สามารถหายใจ
"พอใจรึยัง"
อนุรักษ์ดึงสติกลับมาอีกครั้งหลังได้ยินคำถาม เขารีบขยับตัวออกห่างมานั่งฝั่งตนเองในท่าปกติ พลางพยกหัวเงอะ ๆ งะ ๆ
"อ่ะ...เออ...ครับ"
"งั้นลองชิมดูอีกที"
คุณชายยื่นแก้วบรรจุน้ำละลายผงปรุงรสต้มยำมาให้ แต่ไม่มีทางที่เขาจะรับยาพิษมาดื่มเป็นครั้งที่สอง
"ไม่ครับ" ปฎิเสธชัดเจนโต้ง ๆ จนคู่สัญญาต้องร้องเรียน
"แต่เธอบอกว่าจะช่วย"
"ผมไม่ได้จะช่วยชิม แต่ผมจะช่วยให้ข้อมูล"
"ข้อมูลแบบไหน"
อนุรักษ์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะยกยิ้ม
"อย่างคุณชาย ผมจะจัดให้แบบซุปเปอร์สเปเชี่ยลเลยครับ"--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
และตอนนี้ก็เฉลยไปอีกอย่างว่า รักษ์มีจุดอ่อนสะท้านทรวงอยู่ตรง 'หู' เป็นผู้ชายที่หวั่นไหวง่ายเป็นพิเศษกับหูตัวเองค่ะ ฉะนั้นคุณชายจะหลอกแตะอั๊งเด็กคราวหน้า ก็จำ ๆ เอาไว้ด้วยนะคะ ฮาาา
มีคำถามสงสัยว่า "ตกลงคุณชายชื่อจริงว่า 'ชาย' หรือ 'คุณชาย' กันแน่?" ...จริง ๆ ชื่อ 'ชาย' ค่ะ แต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกคุณชายหมด
ใครมีคำถามอะไรอีก ถามได้เลยนะคะ หรือสงสัยเนื้อเรื่องตรงไหน ถ้ามันไม่เกี่ยวกับการเฉลยปมก็จะพยายามบอกให้
บทนี้มาช้าไปหน่อย ขออภัยที่ให้รอ แต่ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
BitterSweet