┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 16
เย็นวันนั้น เด็กน้อยออกจากโรงเรียนด้วยสีหน้าแจ่มใส ตอนอยู่บนรถรับส่งยังเจื้อยแจ้วกับพี่ตังไม่หยุดเกือบตลอดทาง ขนาดอีกฝ่ายผล็อยหลับไปต่อหน้าต่อตายังอุตส่าห์ปลุกขึ้นมานั่งฟังเขาพล่ามต่อ แต่พี่ตังนั่งฟังไปได้อีกหน่อยก็สัปหงกคอพับคออ่อน หน้าผากวางแปะลงบนไหล่เขาแบบขุดไม่ขึ้น สุดท้ายเลยกลายเป็นเขาพูดคนเดียวไปเสียอย่างนั้น
ครั้นถึงบ้าน เห็นพ่อรออยู่ก่อนแล้ว ทว่าสีหน้าอมทุกข์อย่างทุกที อยากจะกระโจนเข้าไปกอดแล้วชวนว่าไปหาพี่ธัญญ์กันเถอะ แต่ยั้งปากไว้ได้ทันก่อนจะเผลอพูดอะไรให้ต้องเดือดร้อน
แอบไปง้อมาแล้วก็จริง แต่ขืนบอกว่าหนีโรงเรียนไปหาต้องโดนดุแหง ๆ
เขาถอยไปตั้งหลัก ถอดรองเท้าถุงเท้าเก็บเข้าที่ ล้างมือล้างขาเรียบร้อย เดินมาวนเวียนหยั่งเชิงอยู่สองสามรอบแล้วหาที่นั่งข้างผู้เป็นพ่อ
“พ่อครับ” เขาเอียงคอส่งยิ้มให้ เห็นอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่ข้าง ๆ ก็ขยับเข้าไปกระแซะอีกนิด
“ว่าไงครับ” ภูเมศตอบรับ สายตายังจับจ้องกับงานตรงหน้า
“ผมคิดถึงพี่ธัญญ์”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นจากปากเขา พ่อชะงักไป เหลือบมองมาแวบหนึ่ง ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเชื่อหู จากนั้นคล้ายต้องบังคับตัวเองอย่างหนักให้จดจ่อกับเอกสารที่ค้างอยู่ในมือ
เขาเพิ่มระดับความรบเร้าขึ้นอีกนิด “พ่อพาพี่ธัญญ์กลับมาให้หน่อย”
ครั้งนี้ยิ่งหนักกว่าเมื่อครู่ พ่อถึงกับวางมือจากงาน นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมามองเขาอย่างชั่งใจ คล้ายรอให้เอ่ยอะไรต่อ
เด็กชายยักไหล่เบา ๆ ก้มลงมองเท้าตัวเองที่แกว่งไปมา
เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นี้ พี่ธัญญ์เคยแอบเลื่อนมันออกตอนเขากำลังจะหย่อนก้นลงนั่งเมื่อคราวเจอกันครั้งแรก สอนให้ระวังกับเรื่องประหลาดที่คนทั่วไปไม่เห็นมีใครนึกถึง อดคิดไม่ได้ว่าถ้ากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง จะเอาอะไรพิลึก ๆ มาสอนอีกหรือเปล่านะ
“ก็พ่อทำผัดผักคะน้าอร่อยสู้พี่ธัญญ์ไม่ได้นี่นา” เด็กชายตัดพ้อ
“หือ?”
“แถมจำชื่อหุ่นรบผมไม่ได้สักตัว”
ภูเมศกะพริบตาปริบ ๆ
“แพ้ขนแมวอีกต่างหาก”
ชายหนุ่มได้แต่ยกนิ้วชี้หน้าตัวเอง เป็นเชิงว่าเรื่องนั้นพ่อก็ผิดด้วยหรือ?
“แต่ผมอยากเลี้ยงแมว” พร้อมภูมิบ่นเสียงหงอย “ถ้าพี่ธัญญ์ไม่อยู่แล้วจะเลี้ยงได้ยังไงล่ะ”
พ่อถอนใจหนหนึ่ง คลี่ยิ้มอ่อนแรงขณะมองมาทางเขา
“วันนี้เป็นอะไรไปน่ะเรา”
เขาคันปากอยากบอกจะตายอยู่แล้วว่าวันนี้เพิ่งไปง้อพี่ธัญญ์มา แถมฝ่ายนั้นยังบอกด้วยว่าให้พ่อไปง้อบ้าง แต่ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าหนีจากโรงเรียนไปเจอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูดอ้อมแอ้ม
“พ่อบอกว่าตามใจผมนี่นา” พอถึงตรงนี้ก็ยกมือสองข้างตบแก้มตัวเองเบา ๆ เรียกกำลังใจ “ผมอยากให้พี่ธัญญ์กลับมาอยู่กับเรา”
พ่อมองเขานานจนเผลอคิดไปแล้วว่าหรือจะไม่ยอมเห็นดีเห็นงามไปด้วย กว่าจะเอ่ยปากออกมาในที่สุด ด้วยทีท่าลำบากใจจนเขาอยากลูบหลังแล้วโอ๋ว่าไม่เป็นไรนะครับ เขาจะไม่หนีไปนั่งร้องไห้ในห้องแบบวันนั้นอีกแล้ว
“ถ้าพ่อตามพี่เขากลับมา เขาจะไม่ใช่แค่พี่เลี้ยงของลูกแล้วนะ”
เด็กชายพยักหน้ารับช้า ๆ
“พี่พ่อเคยบอกวันนั้น ลูกได้กลับไปคิดดีแล้วหรือยัง”
พร้อมภูมิรู้สึกได้ว่าแก้มตัวเองร้อนวาบขึ้นมา จนต้องยกมือขึ้นตบเบา ๆ อีกหน ลองคิดตามรอบที่เท่าไรก็เกินจะนับ แน่ใจแล้วจึงผงกศีรษะรับแข็งขัน
“พี่ธัญญ์จะเป็นแฟนพ่อ”
คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูง ถ้าดูไม่ผิด แก้มพ่อก็คล้ายจะขึ้นสีแดงจาง ๆ อยู่เหมือนกัน เด็กชายรีบฉวยโอกาสนั้นพูดต่อ
“แต่ถ้าพ่อไม่รักพี่ธัญญ์แล้ว เดี๋ยวผมดูแลพี่ธัญญ์เอง”
“เอ๋?”
คิ้วพ่อต้องกำลังจะพุ่งหลุดออกจากหน้าผากในอีกไม่กี่วินาทีนี้แน่ ๆ
“พ่อพากลับมาให้หน่อยสิครับ” เขาเริ่มอ้อน ทั้งยังแอบต่อในใจว่าก็ผมไปตามแล้วแต่พี่เขาอยากให้พ่อไปง้อนี่นา “นะครับ?”
ความเงียบของบรรยากาศภายนอกระหว่างพ่อลูก ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความอลหม่านในหัวทั้งสองฝ่าย
จากตอนแรกที่ดูตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย สักพักใหญ่พ่อค่อยทำคิ้วขมวด แม้ยังดูออกชัด ๆ ว่าพยายามกลั้นยิ้มจนแก้มเกร็งไปหมดแล้ว พูดตะกุกตะกักออกมาอย่างน้อยครั้งเขาจะได้ยินพ่อทำเสียงเช่นนี้
“แบบนี้ก็แย่เลยสิ” อีกฝ่ายพึมพำ นิ้วมือยกขึ้นถูเบา ๆ ที่ปลายจมูก “พี่เลี้ยงคนนั้นค่าตัวแพงมากเลยรู้ไหม..”
“เดี๋ยวผมช่วยออก” เด็กชายแบ่งรับแบ่งสู้
“ถ้าพากลับมาแล้วปล่อยเขาหลุดมือไปอีกหน คราวนี้ต้องไม่มีปัญญาหิ้วกลับมาอีกรอบแหง ๆ”
“งั้นเราก็อย่าปล่อยเขาอีกไปสิครับ” เขาแสดงความเห็นตรงไปตรงมา รูปแบบการคิดระดับเด็กประถมยังใช้ได้ดีในเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำท่าว่าปวดหัวนักหนา
“นั่นสิ...” ภูเมศเออออจนได้ “ถ้ารอบนี้เขายอมกลับมาอยู่ด้วยกันน่ะนะ”
พร้อมภูมิก้มหน้า ส่งเสียงกระซิบงุบงิบ “ก็ถ้าพ่อรีบไปง้อสักทีน่ะนะ...”
“หือ?”
“เปล่าครับ!”
พ่อไม่ว่าอะไร แต่ดูเหมือนจะกลั้นยิ้มไม่ไหวอีกแล้ว พร้อมกับที่ริมฝีปากวาดขึ้นเป็นมุมโค้งชวนมอง มือพ่อก็รวบตัวเขาหมับเข้าให้พอดี กอดไว้แน่นพลางลูบผมเขาไปด้วยแผ่วเบา
“พ่อรักลูกนะรู้ไหม”
ถึงจะเขินชะมัด เมื่อเที่ยงพี่ธัญญ์กอด ตอนนี้พ่อก็กอดอีกคน แต่รู้สึกเป็นที่รักบอกไม่ถูก
“ครับ” พร้อมภูมิพยักหน้า
วินาทีนั้น เหมือนได้คุณพ่อที่ใจดี ยิ้มง่าย แล้วยังอบอุ่นที่สุดกลับคืนมา หลังเสียเวลาเป็นนานสองนานกับความคิดว่าพ่อกับพี่เลี้ยงคนโปรดพากันไปทำอะไรกันลับหลังเขา โกรธที่เหมือนถูกหลอก กลัวทั้งคู่จะไม่รักเขาแล้ว ทว่าที่จริงคงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
..ไม่ใช่อย่างนั้นแหง ๆ อยู่แล้ว ทั้งสองคนรักเขาออกจะตายไป
เขายกมือกอดตอบพ่อ ฝ่ามือเล็กลูบบนแผ่นหลังกว้างนั้นเบา ๆ
คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงพ่อพึมพำ แต่เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ขอบใจนะลูก...ขอบใจมาก..”
หนึ่งวันก็แล้ว...สองวันก็แล้ว
นับจากเที่ยงวันที่พร้อมภูมิแอบมาหา กระทั่งตอนนี้เข้าวันที่สาม ทุกอย่างที่ร้านอาหารยังคงดำเนินไปเป็นปกติ เขาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในห้องครัวด้านหลังกับสองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของร้านควบตำแหน่งพ่อครัว โดนเคี่ยวเข็ญหนักกว่าที่คิดไปไกลโขจนมั่นใจแล้วว่าตอนนี้ให้เปิดร้านเองต้องทำได้สบายแหง ๆ
พูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ธัญญ์ก็คิดว่าเขาหัวไวใช้ได้อยู่หรอก แต่ไม่รู้ได้รับความหมั่นไส้หรือเอ็นดูเป็นพิเศษจากเจ้าของร้าน จึงได้ถูกปฏิบัติด้วยอย่างเข้มงวดเกินกว่าแค่ลูกจ้างปกติ โดยเฉพาะกับลุงชัยยศผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในร้าน ที่จุกจิกนั่นนี่ทุกขั้นตอนการปรุงอาหารอย่างกับจะหาทายาทอสูร มีคุณป้านฤมลคอยส่งยิ้มอ่อนใจเป็นบางครั้ง พลางปรามว่าอย่าเข้มหนักนักเลย ประเดี๋ยวเครียดมาก ๆ ก็ได้เข้าโรงพยาบาลอีกหรอก ท่าทางยังติดใจไม่หายเรื่องครั้งหนึ่งเคยต้องให้ลูกน้องช่วยกันหามสามีตัวเองเข้าโรงพยาบาล เพราะกินยาเบาหวานแต่มัวทำงานไม่ยอมไปหาข้าวหาปลากินจนน้ำตาลต่ำ ถึงกับวูบไปพักหนึ่ง
“ก็ดูไอ้หนูนี่จัดจานเข้าสิ ดูไม่ได้เลย!”
ธัญญ์ลอบกลอกตา มองอย่างไรมะเขือเทศที่ถูกเรียงซ้อนเป็นดอกกุหลาบแดงฝีมือเขาก็ออกจะดูดีไม่น้อยแท้ ๆ แต่ปฏิเสธไม่ออกว่าฝ่ายนั้นเอาไปจัดเรียงใหม่ได้มืออาชีพกว่าจริง ๆ
ปล่อยลุงยศบ่นจนสาแก่ใจได้อีกพักใหญ่ เป๊กก็เยี่ยมหน้าเข้ามาแจ้งข่าวถึงในครัว
“พี่ธัญญ์ มีคนมาหาแน่ะ!”
“หือ?” ทั้งเขาและชัยยศส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“มีคนมาหาบ่อยนะเรา” เจ้าของร้านส่ายหน้าน้อย ๆ เอ่ยทีเล่นทีจริง “วันนั้นก็เด็กประถมนี่ไหนไม่รู้โผล่มาร้องห่มร้องไห้ใส่ นี่ไปแอบมีลูกชายลับ ๆ ไว้หรือไง”
ธัญญ์ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา หันไปส่งสายตาถามเป๊กถึงผู้มาเยือนคราวนี้
อีกฝ่ายรู้ใจใช้ได้ รีบบอกรูปพรรณสัณฐานคร่าว ๆ ให้ไว้ก่อน ต่อให้เจ้าตัวไม่รู้ว่าเป็นใครก็เถอะ
“คราวนี้ไม่ใช่ไอ้หนูตัวน้อยแล้วพี่ แต่เป็นคุณลุงรุ่นใหญ่ พี่นี่รู้จักคนเยอะเหมือนกันนะ”
“อ้อ”
ถึงแม้สีหน้าจะยังนิ่งงันเช่นเดิม แต่หัวใจกลับเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าเจ้าของ อึดใจหนึ่งจึงค่อยเริ่มกลับมาเป็นปกติ
“แต่เป็นคุณลุงที่แต่งตัวดูดีเลยอะ” เป๊กขยายความเพิ่ม “รออยู่ข้างนอกแน่ะ ที่สวนข้างร้าน”
ลักยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนแก้มซ้าย แต่เจ้าของรอยบุ๋มบนแก้มนั้นกลับไม่รู้ตัวสักนิด กระทั่งเป๊กผิวปากเบา ๆ ขณะเขาเดินผ่านหน้าเจ้าตัวไปโดยไม่พูดไม่จา ได้ยินเสียงคนมาบอกข่าวพึมพำตามหลังว่าท่าทางจะเป็นคนสำคัญนะเนี่ย
แวบหนึ่งซึ่งเผลอคิดไปว่า ‘นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว’ จึงเพิ่งรู้ตัว ว่าสามวันที่ผ่านมานี้ เขาคาดหวังและรอคอยขนาดไหน
คนบื้อ ๆ แบบนั้น จะง้อใครเป็นหรือเปล่านะ
แต่ถ้าเป๊กบอกว่าแต่งตัวดูดีมาเชียว อย่างน้อยก็หมายความว่าใส่ใจที่จะมาพบจริง ๆ ใช่หรือเปล่า ต่อให้ในเวลาที่ยังเป็นช่วงกลางวันทำงานอย่างนี้ จะแต่งตัวให้ภูมิฐานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ธัญญ์รักษาจังหวะการเดินให้คงที่ นึกเกลียดตัวเองอยู่นิดหน่อยที่ยังไม่ทันไรก็หลุดท่าทางเสียเยอะแยะถึงขั้นให้เด็กเป๊กจับสังเกตได้ แต่ไหนแต่ไรไม่เห็นเคยเป็นอย่างนี้กับคนอื่นมาก่อน ต่อให้เป็นคน สัตว์ สิ่งของที่ถูกใจอย่างไร สุดท้ายหากจะตัดทิ้งจริง ๆ ก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นมาตั้งนานแล้วแท้ ๆ
ด้านข้างของร้าน มองออกไปเห็นพุ่มกุหลาบซึ่งถูกปลูกไว้เป็นแนว ตำแหน่งเดิมกับเมื่อสามวันก่อนที่เขาเคยคุยกับลูกชายของคนคนนั้น อดนึกขำกับตัวเองไม่ได้ที่ตอนนั้นบอกพร้อมภูมิซึ่งกำลังยืนสะอื้น ว่าอยากเห็นภูเมศร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาบ้างเลย
ใกล้ถึงที่หมาย ใครคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลนัก
ธัญญ์เดินตรงไปข้างหน้า เมื่อมองเห็นแผ่นหลังนั้นได้เต็มตา ฝีเท้าซึ่งคงที่มาตลอดพลันชะงักลง เปล่งเสียงออกมาได้เพียงพยางค์เดียว ปล่อยคำพูดที่เหลือตกค้างอยู่แค่ในลำคอ
“คุณ—”
ฝ่ายนั้นหันกลับมา มองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้า ทั้งยังสุ้มเสียงทุ้มต่ำที่เคยได้ยินเรียกชื่อเขามาหลายปี
“ธัญญ์”
ขนที่ต้นคอลุกชันขึ้นมาวูบหนึ่ง
เขาเผลอกลั้นหายใจ ยืดหลังตรง ตั้งตัวได้แล้วจึงค่อยระบายยิ้มบางเบาอย่างที่ผู้คนมักลงความเห็นว่าดูดีเมื่ออยู่บนดวงหน้าเขา แต่ความหมายของรอยยิ้มนั้นกลับบอกได้ยากลำบาก
“คุณธเนศ”
เหมือนถูกความจริงตบหน้าเรียกสติ น่าตลกตัวเอง เมื่อกี้หลงเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้
“ไม่เจอกันนานเลย” ฝ่ายนั้นทักขึ้นก่อน ขณะเดินตรงเข้ามาใกล้ แววตาที่สะท้อนทั้งความคิดถึงและรักใคร่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดี ตรงกันข้าม กลับยิ่งชวนให้สะอิดสะเอียนขึ้นมา เขาอาจห่างจากคนตรงหน้ามานานเกินจนลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปแล้ว เมื่อพบกันอีกหน ความรู้สึกผิดเพี้ยนที่ครั้งหนึ่งเคยชินชาจึงกลับฟุ้งตลบขึ้นมาใหม่
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยหรือ?”
“สวัสดีครับ” ถ้อยคำเรียบ ๆ กลับให้ความรู้สึกประชดประชัน ทว่าอีกฝ่ายพูดต่อตามใจเหมือนไม่สนคำทักตามมารยาทของเขานัก
“อย่างเช่นกอด?”
“ผมโตแล้วนะครับ”
ธเนศถอนหายใจแผ่วเบา “เป็นพ่อที่กอดลูกตัวเองไม่ได้นี่..น่าผิดหวังจังเลยนะ”
ธัญญ์ยืนนิ่ง ไม่ตอบคำ สายตาเบนไปยังกอกุหลาบขาวด้านข้าง ราวกับจะเล่นสงครามประสาทว่าใครจะพ่ายแพ้ให้ความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ก่อนกัน
ใครรักมากกว่า ย่อมเป็นฝ่ายแพ้ เรื่องนั้นอาจจะจริงก็ได้
และระหว่างเขากับธเนศ คนคนนั้นย่อมไม่ใช่ตัวเขาเองแน่นอน
“เธอกอดคนอื่นได้ ยกเว้นกับฉันหรือ”
“คุณต่างจากคนอื่น”
“นั่นถือว่าชมนะ”
“แล้วแต่จะคิดครับ” เขาพึมพำอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่ได้มองหน้าคนฟังสักนิด สายตายังคงจับจ้องกับดอกกุหลาบบนต้น กระทั่งธเนศต้องเหลียวมองตาม ว่าอะไรกันที่ตรึงความสนใจของคู่สนทนาไว้
“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนจากชอบไฮเดรนเยียมาเป็นกุหลาบขาวแล้วหรือ?”
ธัญญ์โคลงศีรษะ
“ชอบอะไร ก็ยังชอบเหมือนเดิม” เขาตอบเบา ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้คนถาม “..เกลียดอะไร ก็ยังเกลียดเหมือนเดิมครับ”
ธเนศทำสีหน้าคล้ายเข้าอกเข้าใจ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ชอบดื้อสินะ”
เขาย้อนด้วยถ้อยคำของอีกฝ่าย “นั่นถือว่าชมนะครับ” เรียกให้เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของธเนศยาวนานขึ้นไปอีกหน่อย ก่อนความเงียบจะโรยตัวอีกหน
และคนที่เริ่มพูดก่อนก็ยังเป็นผู้มาเยือนเช่นเคย
ทั้งคราวนี้ยังถือวิสาสะ เอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือเขาไว้หลวม ๆ นิ้วหัวแม่มือกดเบา ๆ ลงกลางฝ่ามือ
“มือด้านหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนุ่มนิ่มอยู่เลยแท้ ๆ”
ธัญญ์ไหวไหล่ “มือผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็แบบนี้แหละครับ”
“ออกมาตะลอนอย่างนี้ลำบากหรือเปล่า” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ท่าทางคล้ายเป็นห่วง แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมา เขารู้ดีว่าเลือกเฟ้นแล้วว่าจะทำให้เขาต้องสะดุดหู “กับผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่ว่าถูกทิ้งแล้วหรือนี่”
ธัญญ์สูดลมหายใจเข้าลึก ดึงมือตัวเองกลับมาปล่อยไว้ข้างลำตัว
“ดูยังไงก็ผมเป็นฝ่ายทิ้งไม่ใช่หรือครับ”
“ดีแล้ว” ธเนศพยักหน้า ยกยิ้มที่มุมปาก “เพราะพอเห็นเธอสนใจบางอย่างมากเกินไปทีไร ฉันก็อดไม่ได้จะเผลอเข้าไปจัดการทำให้พ้นหูพ้นตาเสียอยู่เรื่อย”
“นิสัยคุณ ผมรู้ดี”
“นิสัยเธอ ฉันก็รู้ดีเหมือนกัน”
“สมเป็น
พ่อ ลูก นะครับ..ว่าไหม?”
เขาทอดเสียง เน้นคำว่า ‘พ่อ ลูก’ ช้า ๆ สังเกตเห็นแววตาไหวระริกของอีกฝ่ายที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เขาเพียงมองผ่านไป แสร้งทำเหมือนไม่เห็น
ธเนศถอนหายใจยาว ราวเหน็ดเหนื่อยกับเขาเต็มที
“เมื่อไหร่จะกลับบ้าน ฉันคิดถึงเธอนะ”
“ผมก็คิดถึงคุณ”
“ปกติเธอโกหกเก่ง” อีกฝ่ายให้ความเห็น และเขาก็ไม่คิดเถียง “แต่รู้ไหม เวลาเธอพูดคำนี้ทีไร แววตาเธอไม่เคยแนบเนียนเลย จนบางทีฉันก็คิดว่าเธอจงใจสื่อให้รู้ว่ากำลังโกหกอยู่หรือเปล่า”
เรื่องนั้นเขาก็ไม่เถียงอีกเหมือนกัน ยังยิ้มให้อย่างทุกที ทว่าให้คำตอบตรงข้ามกับการกระทำ
“คุณคิดมากเกินไป”
ธเนศหัวเราะ “กับคนอย่างเธอน่ะ อยู่ด้วยแบบไม่คิดให้ถ้วนถี่ไม่ได้หรอก”
“ดูลำบากนะครับ”
“นั่นสิ” ธเนศพยักหน้า “แล้วเธอจะตอบแทนความลำบากพวกนี้ของฉันยังไงดีล่ะ หือ?”
“ผมไม่มีอะไรจะให้คุณหรอก”
“จริงหรือ?”
ธัญญ์ไม่ตอบ
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้กลับมีบางคนที่อย่างไรก็ไม่อยากปล่อยมือ
เพียงแต่สามวันผ่านไปแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะโผล่มาเจอกันอีกหน เกรงว่าคนที่เป็นฝ่ายเลือกว่าจะปล่อยมือหรือไม่ อาจไม่ใช่เขาก็ได้
ใครรักมากกว่า ย่อมเป็นฝ่ายแพ้ เขาเข้าใจเรื่องนี้ดีเสมอมา
“ธัญญ์?” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อ เมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน ดึงเขาให้หลุดจากภวังค์
และเป็นอีกครั้งที่ธเนศยื่นมือมาสัมผัส หากแต่คราวนี้ไม่ใช่ที่มือ เป็นข้างแก้ม
ในความเงียบงัน ปลอดจากสายตาผู้คน คล้ายว่าเวลารอบกายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ปลายนิ้วหยาบกร้านไล้แผ่วเบาบนผิวอุ่น ใบหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้เชื่องช้า ทิ้งลมหายใจร้อนผ่าวรินรดลงบนปลายจมูก
ธัญญ์ถอยหลังมาก้าวหนึ่ง
“คุณบอกว่าจะไม่แตะต้องผมอีก”
ธเนศชะงักไปอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมจำนน
“ใช่”
“แล้วคุณก็บอกจะรักผมตลอดไป”
“ใช่”
เขาสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ วางฝ่ามือไว้กลางอกคนตรงหน้า ดูคล้ายว่ารักแสนรัก แต่พวกเขาทั้งสองต่างรู้อยู่ลึก ๆ ว่านั่นเป็นทีท่าพร้อมจะผลักไสต่างหาก
ทว่าความหวานละมุนในถ้อยคำ ยังคงล่อหลอกให้หลงอยู่ในวังวนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“บอกสิครับ ว่าจะรักผมตลอดไป”
ฝ่ายนั้นพึมพำตามราวกับต้องมนตร์สะกด “ฉันจะรักเธอตลอดไป”
ธัญญ์คลี่รอยยิ้มงดงาม ลากฝ่ามือลงช้า ๆ ก่อนจะค่อยดึงกลับหาตัวอย่างอ้อยอิ่ง โน้มตัวกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู ทอดน้ำเสียงอ่อนโยนจนหากไม่ฟังเนื้อความ คนได้ยินคงละลายลงตรงนั้นเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
“แต่ผมไม่มีวันรักคุณ”
คนที่หวังลึก ๆ ให้มากลับไม่มา คนที่ไม่ได้อยากเจอหน้ากลับโผล่มาให้เห็น
ธเนศกลับไปได้ไม่ทันไร ภาคี ลูกพี่ลูกน้องต่างแม่—และจะให้ชัดกว่านั้นก็ต่างพ่อด้วย จนถ้าว่าด้วยสายเลือดคงไม่สามารถเรียกเป็นลูกพี่ลูกน้องกันได้—ก็โผล่มาที่ร้าน ไม่เจอกันพักใหญ่ แต่รู้ว่าคงแอบตามข่าวคราวเขาอยู่ ส่วนจะนำไปบอกธเนศมากน้อยเพียงใดนั้นยากจะคาดเดา
แม้มาในฐานะลูกค้า แต่เห็นหน้าตาที่โกหกใครไม่ค่อยเนียนก็รู้ ว่าจงใจมาดูความเป็นไปชัด ๆ
คราวนี้ เขาเสนอตัวยกอาหารมาเสิร์ฟเอง
“คุณธัญญ์”
แค่อ้าปากคำแรกก็เห็นลิ้นไก่
“ไม่ต้องมาตามผมกลับนะครับ”
ภาคีทำหน้าจ๋อยไปนิดหน่อย จับแก้วน้ำตรงหน้าหมุนไปมาแก้เก้อ “ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ ผมจะตัดสินใจเอง” เขาชิงพูดดักคอ “แล้วอยากเอาอะไรไปบอกคุณธเนศก็ตามสบาย”
“ผมไม่ได้ขายคุณธัญญ์นะ”
“ถึงขายก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ” เขาเอ่ยเนือย ๆ “ผมเข้าใจ”
“อย่าพูดเหมือนชีวิตมันมีแต่แง่ร้าย ๆ อย่างนั้นสิครับ”
ธัญญ์เพียงแต่พยักหน้าโดยไม่ตอบความ ถือวิสาสะอู้งานนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย เดี๋ยวลุงยศมาเห็นเข้าคงโดนอบรมยาวแน่นอน แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาจนต้องขอนั่งไม่สนใจโลกสักพัก ถึงจะเป็นต่อหน้าภาคีที่มองมาด้วยสายตาสงสัยเมื่อเห็นเขาถอนใจยาวเหยียดออกมาก็เถอะ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ภาคีค่อยถามเสียงเบา “ทานด้วยกันไหมครับ”
กลายเป็นลูกค้าชวนกินข้าวไปเสียอย่างนั้นละ
ธัญญ์ส่ายหน้า นั่งเหม่อให้อีกคนกินข้าวไม่อร่อยเล่นอีกพักใหญ่ ผ่านไปจนภาคีจัดการอาหารเกือบหมดอยู่แล้ว ตอนที่เป๊กเดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามาหาพร้อมดอกไม้ช่อโต
“พี่ธัญญ์”
แม้แต่เสียงเรียกก็ยังฟังดูน่าหมั่นไส้เหลือประมาณ
เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ พลางลอบสังเกตช่อดอกไม้ในมืออีกฝ่ายไปด้วย
กุหลาบขาวดอกใหญ่ล้อมรอบด้วยไฮเดรนเยียช่อโตสีน้ำเงินดูสวยแปลกตา ริบบินสีขาวฟ้ายิ่งขับให้สีของดอกไม้งดงามอ่อนโยนยิ่งขึ้น
“ของพี่อะ”
“หือ?”
พอเป็นดอกไฮเดรนเยีย ก็ชวนให้สะดุดใจอยู่หรอก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นของเขาจริง ๆ
“เสน่ห์แรงใหญ่ละ”
“ใครส่งมา”
“ไม่รู้ ร้านมาส่งเมื่อกี้” ถึงตรงนี้ สายตาเป๊กก็ยิ่งกรุ้มกริ่มขึ้นไปอีกอย่างนึกสนุก “พอถามก็บอกว่าคนซื้อบอกมาอีกที ว่าเดี๋ยวเห็นการ์ดแล้วก็จะรู้เองว่าใคร”
“อ้อ” ธัญญ์พึมพำ มองดอกไม้ช่อใหญ่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท ผิดกับเป๊กที่หอบมายื่นให้
“นี่ ๆ ผมไม่ได้แอบอ่านการ์ดด้วยนะ”
เขารับช่อดอกไม้มาถือไว้ พลิกเปิดอ่านข้อความที่มากับดอกไม้ มีเพียงประโยคสั้น ๆ เขียนอยู่บนนั้น แม้ลายมือไม่คุ้นตาเพราะคงเป็นลายมือคนจากร้านดอกไม้ แต่เนื้อความชัดเจนว่าส่งมาจากใคร
‘ฉันคิดถึงเธอ กลับบ้านเราเถอะ’เจ้าของคำพูดนั้นเพิ่งแยกจากเขาไปเมื่อราวสองสามชั่วโมงก่อนเท่านั้นเอง
เขาเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง อยากโยนมันทิ้งเสียตรงนี้ กระทืบให้แหลกเละคาเท้า ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะวางท่าทีเฉยชา ไม่แสดงสายตารังเกียจออกมาให้คนอื่นเห็น
ภาคีซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบยกสองมือขึ้นเป็นเชิงว่าตัวเองบริสุทธิ์ รีบเอ่ยคำแก้ต่างตั้งแต่ยังไม่มีใครถาม “อันนี้ผมไม่รู้เรื่องนะ ไม่เกี่ยวกับผม”
“เป๊ก” เขาหันไปเอ่ยเรียบ ๆ กับเด็กหนุ่มที่ยังทำหน้าระรื่น แถมยังแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นเต็มแก่ว่าใครส่งดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ลูกพี่ “ฝากบอกลุงยศหน่อย วันนี้ฉันขอกลับก่อน เดี๋ยวมาทำงานใช้คืนให้ หรือไม่ก็หักเงินเอาได้เลย”
“อ้าว?” คนฟังทำหน้าฉงน “ทำไมอะ”
ธัญญ์ไม่ตอบ ถือดอกไม้เดินออกจากร้านดื้อ ๆ ครั้นเลยจากหน้าร้านไม่ทันไร แค่พอพ้นสายตาคนรู้จัก ช่อดอกไม้ในมือก็ถูกเหวี่ยงทิ้ง การ์ดที่แนบมาด้วยถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เขายืนมองช่อดอกไม้บนพื้นอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไป ขยี้ด้วยส้นเท้าจนดอกไม้หลุดจากช่อ กลีบบี้แบนติดกับพื้น สีน้ำเงินสดใสของไฮเดรนเยียกลับขมุกขมัวอยู่ใต้รองเท้าเขา จนพักหนึ่ง จากแค่เหยียบเฉย ๆ ก็กลายเป็นกระทืบลงไปจนแหลก
ทว่ายิ่งทำเช่นนั้นซ้ำ ๆ กลับยิ่งรู้สึกแน่นในอกเสียเอง อะไรบางอย่างคล้ายขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ อึดอัดจนขอบตาร้อนผ่าว
ไม่รู้ว่าเขาย่ำเท้าลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าบนกลีบดอกไม้ที่น่าสงสารพวกนั้นอยู่นานเท่าไร จนมีรถคันหนึ่งแล่นมาจอดเลียบทางเท้าใกล้จุดที่เขายืนอยู่ ไม่ทันได้เหลือบมองว่าเป็นพาหนะหน้าตาแบบไหน กระทั่งได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูรถดังอยู่ไม่ไกล
เสียงเรียกที่เมื่อราวสองสามชั่วโมงก่อนคิดว่าจะได้ยิน กลับลอยมาเข้าหูเอาตอนนี้
“ธัญญ์!?”
เขาเหลียวมองตามเสียง เห็นภูเมศยืนเบิกตากว้างอยู่ข้างหลัง มองเขาที ก้มลงมองช่อดอกไม้แหลกเละที่กลายเป็นขยะอยู่บนพื้นที
คล้ายว่าลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะ
ไม่รู้ทำไม...พอเจอหน้าในเวลาไม่คาดคิดเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
“ขอโทษ” อีกฝ่ายรีบเดินตรงเข้ามาหาพลางละล่ำละลักไปด้วยไม่ขาดปาก “ขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ ไม่คิดว่าจะทำให้เธอโกรธขนาดนี้ ขอโทษ..”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ออกมาราบเรียบเป็นปกติที่สุด ทว่าดูเหมือนจะล้มเหลว
“ขอโทษทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้โกรธคุณสักหน่อย”
ภูเมศทำหน้าเจื่อน ก้มลงมองช่อดอกไม้บนพื้น ท่าทางเหมือนกำลังนึกหาคำพูดดี ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็คงออกมาไม่ถูกใจเจ้าตัวเท่าไรนัก เพราะยิ่งฟังดูตะกุกตะกักกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“คิดว่าเธอจะชอบไฮเดรนเยียเสียอีก”
“ผมน่ะหรือ?” เขาบอกไม่ถูกเลยว่าชอบหรือเกลียดดอกไม้ชนิดนี้กันแน่
“ฉันเข้าใจที่เธอจะโกรธ” อีกฝ่ายพึมพำ ขยับเข้ามาใกล้ แต่คล้ายว่าไม่กล้าเข้าใกล้มากไปกว่านี้ “ฉันขอโทษ ขอโอกาสอีกสักครั้งได้หรือเปล่า”
ธัญญ์เม้มปาก ก้มหน้ามองพื้น
“ถ้าเธอไม่ชอบดอกไม้ ต่อไปฉันจะไม่ซื้อมันมาอีก เธอไม่ชอบอะไร ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะงั้นจากนี้ช่วยเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟังบ้างได้ไหมว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร...”
เขามุ่นคิ้ว เงยขึ้นมองภูเมศด้วยสายตาคลางแคลงใจ
“..ดอกไม้นี่?”
“...ฉันคิดถึงเธอ...กลับบ้านเราเถอะนะ...”
เหมือนกับโลกหมุนสลับทิศ กลางวันสลับกับกลางคืน หายใจไม่ออกทั้งที่ยังยืนอยู่บนพื้นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่เห็น บางครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นบ้าไปแล้ว
เขายกมือขึ้นกุมอกเสื้อ อะไรบางอย่างที่ขึ้นมาจุกอยู่ในคอตอนกระทืบช่อดอกไม้จนแหลกเละเมื่อครู่ เวลานี้เหมือนมันหลุดออกมาพร้อมกับหยดน้ำที่เอ่อคลออยู่ในหน่วยตา
“ดอกไม้นี่...ของคุณหรือ?”
ภูเมศย่อตัวลงเก็บเศษซากที่เหลือขึ้นมา ฝืนยิ้มอ่อนแรง พยักหน้าช้า ๆ ให้เขา แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเอามันไปทิ้งถังขยะใกล้ ๆ
“ไม่คิดว่าจะทำเธอโกรธขนาดนี้ ฉันขอโทษจริง ๆ”
ธัญญ์เบิกตากว้าง กระซิบเสียงแผ่ว
“...ขอโทษ” จากนั้นค่อยเอ่ยดังขึ้นจนเกือบกลายเป็นตะโกน กอดเอวฝ่ายนั้นไว้จากด้านหลัง “ผมขอโทษ คุณอย่าทิ้งมันนะ!”
“ธัญญ์?”
ภูเมศเอี้ยวตัวกลับมา จากมุมนั้นคงมองไม่เห็นหน้าเขา เห็นเพียงแต่ไหล่ที่สั่นอยู่น้อย ๆ เท่านั้น
อีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจหันกลับมากอดตอบ ลูบหลังเขาไปด้วย ไม่ถามไถ่ถึงสาเหตุของพฤติกรรมเขาเมื่อครู่สักคำ เพียงแค่กอดไว้แน่น ๆ กระซิบเสียง
“ชู่วว...” เบา ๆ ข้างหูเหมือนกำลังปลอบเด็กสักคน
นี่ไม่เหมือนอย่างที่เขาบอกพร้อมภูมิสักนิด วันนั้นยังพูดเองแท้ ๆ ว่าอยากเห็นภูเมศมาร้องห่มร้องไห้กับเขาดูสักที สุดท้ายกลายเป็นสลับกันไปหมด
แต่ก็ช่างเถอะ..
“กลับบ้านกันนะ”
อีกฝ่ายบอกอย่างนั้น
“ฉันอยากเป็นคนดูแลเธอ ตอนฝนตก ตอนฟ้าร้อง ตอนแดดออกอย่างนี้ด้วย”
ภูเมศพูดเหมือนจะติดตลก ไม่รู้ควรขำเป็นกำลังใจดีหรือเปล่า
เขากะพริบตาถี่ ๆ แต่พบว่าไม่ช่วยเก็บกลั้นอะไรที่คล้ายจะไหลออกจากตาได้เท่าไรนัก
สุดท้ายจึงเพียงแต่กำเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น แล้วพยักหน้าเงียบ ๆ ในอ้อมกอดที่มาช้าไปตั้งราวสามชั่วโมง
To be continued….มาจ่ายงวดประจำเดือนเม.ย.ค่ะ หงุงง
งวดหน้าขอเป็นปลายเดือนพ.ค.นะคะ ขอเตรียมสอบก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่รอดมาเขียนนิยายต่อ (ฮา) หลังจากช่วงนั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอาจจะอัปได้เร็วขึ้นมากกว่าเดือนละงวดค่ะ จะตามกลับมาชดเชยในความช้านี้ให้แน่ ๆ ค่ะ ขอเอาชีวิตรอดก่อน เอื้อะ!
คิดถึงมาก ๆ เลยค่ะ พบกันงวดหน้านะคะ
//รวบกอดดด
แถมดูเดิ้ลน้องธัญญ์เปียกน้ำเบาว์ ๆ ค่ะ แด่อากาศที่ร้อนถึงปานฉะนี้ ฮรือ
