คำสาปร้าย พ่ายรัก
บทที่ 8
โอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก้าวพระบาทเข้ามาใกล้ร่างกำยำ แล้วทอดพระเนตรพร้อมแย้ม
พระโอษฐ์เบาบางเมื่อหยุดต่อหน้าบุคคลที่เห็นกันมาแต่เยาว์
มาอีที่รู้จักก็ยังคงเป็นมาอีตั้งแต่เด็กจนโต พูดน้อย ยิ้มยาก บ่ากว้างเชิดสูงอย่างคนที่ไม่ยอมใคร
ยกเว้นเพียงแค่เจ้าเหนือหัวกษัตริย์เพตเทเมน และพระราชโอรสเพียงสองพระองค์เท่านั้นที่เขาจะยอม
ค้อมศีรษะศิโรราบ
มาอีบุตรชายเพียงคนเดียวของเมเลสราชองครักษ์และพระสหายคู่พระทัยของกษัตริย์เพตเทเมน ที่มีอายุมากกว่า
เขาเพียง 5 ขวบปี แต่กลับทำตัวสูงวัยกว่าเขาราวกับเป็นบิดาอีกคน ด้วยคำสั่งของกษัตริย์และด้วยความเป็นพระสหาย
คนสนิทของฝ่ายบิดา ผู้เป็นบุตรอย่างมาอีและเขาจึงได้รับการเลี้ยงดูมาคู่กันตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาจึงมีเพียงมาอีที่เป็นทั้ง
เพื่อนและพี่ที่คอยปกป้องดูแล เจ้าชายราโมสนึกไม่ออกเลยว่า ชีวิตที่ขาดมาอีจะเป็นอย่างไร
“ท่านพี่อยู่ที่นี่เอง ข้าเที่ยวตามหาเสียแทบแย่”
น้ำเสียงหวานแหลมเชิงไว้ตัวดังขึ้น ก่อนที่พระวรกายสันทัดของพระขนิษฐาจะปรากฎพระองค์ตามมาหยุดยืน
เคียงข้าง เจ้าหญิงราบีอาพระขนิษฐาร่วมพระบิดาเดียวกันแล้วยังครองตำแหน่งพระคู่หมั้นเพื่อสืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์
แห่งราชวงค์เหลือบพระเนตรมองผู้เป็นพระเชษฐาอย่างเอือมระอา
เจ้าชายราโมสผู้รักสันติ รักอิสระ แสวงหาแต่การท่องเที่ยว แต่ในสายตาของเจ้าหญิงราบีอากลับมองเป็นความ
น่าเบื่อหน่าย พระคู่หมั้นที่มัวแต่เที่ยวเล่นไม่ปรารถนาความรุนแรง ถ้าไม่ติดว่าเป็นคำสั่งสอนตั้งแต่ยังเยาว์จากพระมารดา
ว่าต้องเข้าพิธีอภิเษกซึ่งกัน ไม่มีวันที่เจ้าหญิงราบีอาจะสนพระทัย
ต่างจากอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง
แม้จะเชิดพระศอขึ้นด้วยความทะนงในขัตติยะนารี แต่เจ้าหญิงราบีอาก็ต้องยอมรับกับองค์เองว่า
ร่างกายกำยำที่เปลือยส่วนบนให้เห็นมัดกล้ามเนื้อ เผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากการต่อสู้ในบางส่วน ช่าง
เรียกร้องให้พระองค์ต้องลอบทอดพระเนตรอยู่หลายคราว
ยิ่งเห็นหน้าขรึมที่ก้มลงเล็กน้อยในทุกคราที่พบเจอ มันยิ่งทำให้โลหิตในพระวรกายที่สาวสะพรั่งสูบฉีดวิ่งพล่าน
แต่ก็ต้องทรงเก็บกักมันไว้อย่างอัดอั้น จนเกิดความหงุดหงิดแล้วจะไประบายโทสะออกกับใครถ้ามิใช่เจ้าชายราโมสผู้
เป็นพระเชษฐา ถ้าแม้นแข็งแกร่งน่าหลงใหลได้เพียงครึ่งของมาอี เจ้าหญิงราบีอาคงไม่ทุกข์ทรมานขนาดนี้
“มีอะไรกับพี่หรือเปล่าราบีอา”
เจ้าชายราโมสทอดสุรเสียงถามอย่างเอ็นดู แม้จะเป็นเพียงพระขนิษฐาร่วมพระบิดา แต่พระองค์ก็ทรงเอ็นดูไม่
น้อย แม้จะรู้ดีกว่าเจ้าหญิงราบีอาทรงเย่อหยิ่งไม่แพ้พระสนมเซพเทตผู้เป็นมารดา
“มีสิท่านพี่ ถ้าไม่เป็นเพราะพระบิดามีกระแสรับสั่งหา ข้าไม่เสียเวลามาตามท่านในที่ที่แสงแดดแผดเผาเยี่ยงนี้
ดอก”
พระขนงโก่งงามที่แต่งแต้มอยู่บนพระพักตร์ที่งามราวกับอิสตรีเลิกขึ้น พลางลอบถอนพระปัสสาสะอย่างเหนื่อย
หน่าย พระบิดาเรียกหาจะมีเหตุอันใดหากมิใช่เร่งรัดเรื่องงานอภิเษกที่เจ้าชายทรงผัดผ่อนมานาน จนพระชนม์พรรษาได้
ล่วงเข้ายี่สิบ
“งั้นพี่จะรีบไป พระบิดาจะได้ไม่ทรงกริ้วที่เรียกแล้วไม่พบ มาอี…”
พระพักตร์เรียวงามหันไปทอดพระเนตรผู้เป็นสหายสนิท
“ฝึกซ้อมเสร็จแล้วก็ตามเราไปนะ”
พระวรกายบอบบางหันกลับแล้วดำเนินไปทางพระราชวังอย่างรวดเร็ว มาอีทอดสายตาตามได้ชั่วครู่แล้วเตรียมที่
จะคว้าเคเพชคู่ใจขึ้นมาฝึกซ้อมต่อ หากไม่ติดด้วยสุรเสียงของเจ้าหญิงราบีอา
“เดี๋ยวสิ มาอี จะรีบไปไหน”
หน้าขรึมหันไปมองพระวรกายอวบอัดด้วยวัยสาวอย่างเฉยชา แม้ว่าเจ้าหญิงราบีอาจะเลื่องชื่อเรื่องพระสิริโฉม
งดงามไม่แพ้พระสนมเซพเทต
“ข้าจะไปฝึกต่อ เจ้าหญิงมีธุระอันใดอีก”
น้ำเสียงเฉยชาไม่แพ้ใบหน้าเอ่ยขึ้น ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้แก่เจ้าหญิง
“มีสิ เจ้าไม่เห็นรึว่า ลูกปัดทองที่ผูกอยู่ที่ข้อเท้าข้ามันหลุดอยู่ จงก้มลงไปยึดติดมันให้ข้าเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงเจ้าหญิงราบีอาก็เหยียดข้อพระบาทออกมาตรึงอยู่กับพื้นเบื้องหน้า จนเผยให้เห็นเนื้อในขาวผ่องของต้น
ขาที่โผล่พ้นรอยแยกของผ้าทอดิ้นทอง มาอีนิ่งงันเมื่อสบตากับสายพระเนตรท้าทายคู่นั้น ก่อนที่จะกัดฟันคุกเข่าลงไป
ใกล้แล้วเอื้อมมือไปที่พระบาทเพื่อซ่อมสร้อยลูกปัดทอง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงรีบเหยียดตัวตรงพลางเตรียมหันหลัง
ให้ผู้เป็นพระคู่หมั้น
“หยุดนะ” เจ้าหญิงราบีอาแผดพระสุรเสียงด้วยโทสะ
ถ้าเพียงจะตามหาเจ้าชายราโมส พระองค์ไม่ทรงลงทุนยอมทอดพระบาทฝ่าเปลวแดดมาด้วยองค์เองหรอก
เพียงแค่รับสั่งให้ทหารคนใดมาก็ได้ แต่นี่เป็นเพราะต้องการใกล้ชิดร่างที่คล้ำไปด้วยไอแดดนี่
ต่างหาก
เจ้าหญิงราบีอายื่นพระหัตถ์อันสั่นเทาออกไปวางแนบบนแผ่นอกหนา ร่างที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อยิ่งทำให้
ความอัดอั้นทวีขึ้นจนเผลอกลืนพระเขฬะลงคอ
หน้าขรึมขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น มาอียกมือขึ้นมาแล้วจับพระหัตถ์นั้นออกไปจนพ้นตัว ก่อนกล่าว
ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทรงเป็นพระคู่หมั้น อย่ากระทำตัวเยี่ยงหญิงงามเมืองเช่นนี้”
เจ้าหญิงราบีอาแผดสุรเสียงอย่างโหยหวลด้วยไฟแห่งโทสะ ยกพระหัตถ์ขึ้นชี้หน้ามาอี ก่อนที่จะกระทืบพระบาท
จากไป
“มาอี เจ้าโง่ ข้าเกลียดเจ้า”
“ไอ้วิน เฮ้ย ตื่นสิวะ”
เสียงภูหิรัณย์ดังขึ้นพร้อมกับแรงตบเบาๆกระตุ้นที่ใบหน้า ทำให้สติกลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนที่ขนตายาวจะกระ
พริบถี่ๆ ธราเทพค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากจุดที่นอนอยู่เปลี่ยนเป็นท่านั่ง เขาหันไปมองรอบตัวจึงได้รู้ว่า ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่
บนแผ่นผ้าใบที่ปูให้เขานอนพักอยู่กลางเต็นท์งานชะงักเมื่อสบตากับคนที่ยืนมองอยู่ด้านหนึ่ง มือสองข้างกอดอกไว้
อย่างถือตัว ช่างน่าคุ้นเคยอย่างประหลาด
“เป็นไรเนี่ยมึง ลมแดดหรือไง อยู่ๆ ก็ตะโกนอะไรแปลกๆแล้วล้มตึงไปเลย ตกใจกันแทบแย่”
คนเป็นเพื่อนเล่าให้ฟังพร้อมกับมองอย่างสงสัย ธราเทพได้แต่ส่ายหน้า
“คงพักผ่อนน้อย แล้วมันผิดเวลาน่ะ เดี๋ยวสักพักคงดีขึ้น”
“เซน มาทางนี้ มาฝึกอ่านภาษาทางนี้”
เสียงวาโยตะโกนมาจากทางเข้าปิรามิด ภูหิรัณย์จึงได้ละล้าละลังด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ดูวินเอง”
เสียงขรึมดังขึ้นใกล้ตัว ธราเทพเหลือบไปมองอย่างตกใจเพราะไม่รู้ว่าสิงหาเดินมาตอนไหนภูหิรัณย์ได้ยินก็ยิ้ม
รับแล้วลุกขึ้นเดินไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ธราเทพอยู่กับสิงหาเพียงลำพัง ท่ามกลางคนงานต่างชาติที่ความสนใจแต่
งานของตัว สิงหาย่อตัวลงแล้วยื่นผ้าเย็นมาให้
“เช็ดหน้าซะ”
ธราเทพขมวดคิ้วพลางสะบัดหน้าหนี สิงหาจุ๊ปากอย่างขัดใจ
“จะเช็ดเองดีๆ ไหม”
ดวงหน้าหวานยังคงเชิดขึ้น พร้อมกัดริมฝีปากอย่างดื้อรั้นจนสิงหาทนไม่ไหว เขายกมือขึ้นคว้าคางเรียวแล้วบีบ
ไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งที่มีผ้าเย็นสิงหาใช้มันเช็ดไปจนทั่วหน้าเนียน แม้เจ้าของจะพยายามสะบัดหน้าหนี แต่เขาก็บังคับให้
อยู่นิ่งจนได้
“เลิกมายุ่งกับผมเสียทีจะได้ไหม”
ธราเทพเอ็ดเสียงดังพลางปัดมือของสิงหาที่บีบคางออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ซ้ำร้ายคนเผด็จการยังใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดไล่
ลงไปที่คอเรียวจนหมดคราบเหงื่อ ก่อนที่จะบังคับให้เงยหน้ามาสบตากับตาดุ
“แล้วเมื่อไหร่นายจะเลิกทำตัวอ่อนแอเรียกร้องความสนใจล่ะ”
สิงหาลุกขึ้นยืนแล้วกระชากต้นแขนให้ธราเทพลุกติดมือตามมา ธราเทพรีบสะบัดตัวออกเมื่อยืนมั่นคงแล้ว
“ใครไปเรียกร้องความสนใจจากคุณ ผมเป็นอะไรคุณก็ไม่ต้องมายุ่ง ให้ผมนอนตายกลางทะเลทรายเลยก็ได้”
สิงหาตาลุกวาบ คราวนี้เขาก้าวพรวดเข้าไปใช้สองมือกระชากต้นแขนของธราเทพแล้วบีบแน่น จนธราเทพต้อง
นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“อย่าหยิ่งผยองนักเลยวิน ตอนนี้นายมันก็แค่คนพลัดถิ่น ถ้าฉันไม่คิดจะใช้งานนาย คิดหรือว่านายจะอยู่ใน
สายตา”
“เฮ้ย ไอ้สิงห์ มาดูอะไรนี่เร็ว”
เสียงตื่นเต้นของวาโยที่วิ่งเข้ามาในเต็นท์ห้ามทัพไว้ สิงหาผลักร่างบางของธราเทพจนเซ ก่อนที่จะก้าวหนีไป
ยืนอีกมุมหนึ่ง วาโยค่อยๆ วางถาดที่บรรจุบางสิ่งเอาไว้มาวางบนโต๊ะกลางเต็นท์ตามมาด้วยภูหิรัณย์ที่ตามมาติดๆ อย่าง
ตื่นเต้น
“คนงานเพิ่งจะขุดออกมาจากช่องที่ใช้เก็บตำราในปิรามิดได้เมื่อครู่นี้เอง สดๆร้อนๆ ข้าเลยรีบเอามานี่แหละ
อยากจะรู้ว่าข้างในเขียนว่าอะไร”
วาโยคว้าถุงมือขึ้นมาสวมพลางคว้าแปรงขนอ่อนขึ้นมาแล้วบรรจงปัดคราบดินทรายออกจากแผ่นปาปิรัสเก่าแก่
อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ คลี่ออก แล้วเขาก็ก้มหน้าไปอ่าน
“ศัพท์ยากจังโว้ย บางตัวก็เลือนๆไปแล้ว จับใจความได้กระท่อนกระแท่น ไม่ชัดเลย”
เสียงวาโยบ่นอย่างหงุดหงิด ธราเทพจึงได้เดินเข้ามาใกล้แล้วอาสา
“อาจารย์ ขอผมลองหน่อย”
วาโยก้าวหลีกไปให้ธราเทพเดินเข้ามาแทนที่ ธราเทพเพ่งตามองไปที่แผ่นปาปิรัสนั้นธราเทพมองแผ่นปาปิรัส
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดสิ่งที่เขาเห็นเหมือนตัวหนังสือลอยขึ้นมาให้เห็นเป็นภาพสามมิติ ธราเทพ
มองเห็นมัน เขาอ่านและแปลราวกับเป็นเจ้าของภาษา
“เหตุที่เจ้าชายราโมสได้ขึ้นครองราชย์เนื่องด้วยกษัตริย์เพตเทเมนถูกลอบปลงพระชนม์ จากองครักษ์คนสนิท
นามผู้นั้นว่า มาอี เขาได้เป็นชู้กับพระสนมของกษัตริย์และคิดจะแย่งอำนาจด้วยการปลงพระชนม์ แล้วเข้าพิธีอภิเษกกับ
พระสนมเพื่อจะได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปเจ้าชายราโมสจึงได้สังหารมาอี…”
“ไม่จริง…”
สิงหาตะโกนเสียงดังขัดจังหวะด้วยแววตาตระหนก เมื่อตัวอักษรที่บันทึกไว้ขัดจากสิ่งที่รู้มาแต่แรกอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าคมเผือดสีลงจนสังเกตเห็นชัด
“ไม่มีทางที่มาอีจะทำอย่างนั้น ไม่มีทาง”