<< คำสาปร้ายพ่ายรัก>>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << คำสาปร้ายพ่ายรัก>>  (อ่าน 154607 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
สิงห์ควรเลิกแค้นแล้วช่วยกันหาความจริงนะ

ไหนๆก็ยินยอมกันทั้งคู่แล้ว  :-[ :-[

ออฟไลน์ Respire

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :o8: :-[ :impress2: เขาได้กันแล้ววววววว อ่านแล้วเขิน มันนุ่มนวลมาก แต่เราว่ามันคงจะสุขไม่นานหรอก เพราะปมต่างๆของเรื่องยังไม่เปิดเผยเลย แต่เราอยากให้ทั้งคู่ช่วยกันคลายปม มากกว่าจะมาไม่เข้าใจกันอีก มันปวดร้าววววว  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                         คำสาปร้าย พ่ายรัก

                                                                บทที่ 19


เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดด้วยความกลัดกลุ้มสลับกับการอมยิ้มด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน ทำให้ภูหิรัณย์

ต้องหันไปมองหน้าเพื่อนรักด้วยความสงสัย


วันนี้สิงหาให้เขาและธราเทพมาทำงานในเต็นท์เก็บของเพราะเห็นว่าเพิ่งหายไข้ทั้งคู่ เขาก็เลยได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิด

เพื่อนสนิทอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคนเป็นเพื่อนจะไม่ใส่ใจเขาเท่าไหร่นัก ภูหิรัณย์หน้ามุ่ยเมื่อเพื่อนมัวแต่ตกอยู่ในโลกส่วน

ตัว


“วินไอ้เชี่ยวิน


เขาพยายามเรียกแต่ธราเทพก็ยังเฉย


“เชี่ยวิน มึงเป็นไรเนี่ย


ในที่สุดเขาก็สบถออกมาเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ จนธราเทพได้สติ


“อะไรวะ มึงตะโกนเสียงดังทำไมเชี่ยเซน


ธราเทพมองมาอย่างงงๆ เมื่อเห็นสายตาเพื่อนค้อนขวับ


“ถ้ามึงมาแล้วจะอยู่แต่โลกส่วนตัวของมึง อันเชิญคุณมึงกลับไปนอนเล่นที่โรงแรมดีกว่าไหมวะ


“เออ กูขอโทษ กูมีเรื่องคิดเยอะไปหน่อย


ธราเทพส่งเสียงง้องอนสำนึกผิด ภูหิรัณย์เหล่ตามองอย่างสงสัย


“เรื่องเยอะแยะอะไรของมึง จำเป็นต้องเล่าให้กูฟังไหม


ดวงตายาวรีสะท้อนความยุ่งยากออกมาให้เห็น ธราเทพนิ่งไปครู่หนึ่งจึงได้ตัดสินใจ


“มึงจำเรื่องที่ก่อนมาอียิปต์ กูฝันประหลาดติดต่อกันทุกคืนได้ไหม มึงรู้ป่ะเซนยิ่งมาที่นี่กูยิ่งฝันเป็นเรื่องเป็นราวยิ่งกว่าเดิม

อีก


แล้วธราเทพก็เล่าเรื่องราวในความฝันให้เพื่อนฟังจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด ภูหิรัณย์ฟังเพื่อนเล่าไปดวงตาก็เบิกโพลงอย่าง

ตื่นเต้น


“นี่มึงกำลังจะบอกกูว่าฟาโรห์ราโมสเป็นเกย์ แถมยังเป็นแฟนกับองครักษ์มาอีเนี่ยนะ โอย คุณพระคุณเจ้า ไปบอกเซียน

ไอยคุปต์คนไหนเขาจะเชื่อมึงบ้างวะ แต่ว่า กูก็ไม่เห็นว่ามึงจะต้องกลุ้มตรงไหนนี่หว่า


ภูหิรัณย์หันมามองเพื่อนอย่างสงสัยอีกครั้ง ธราเทพอึ้งแล้วจึงเฉลยให้เพื่อนฟัง


“เซน มึงเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่จำอดีตได้อะไรแบบนี้หรือเปล่า คือกูคิดว่ากูเจอเรื่องแบบนั้น


“ทำไม มึงเจอใครที่กลับชาติมาเกิดแล้วจำอดีตได้หรือไง


ภูหิรัณย์พยายามปะติดปะต่อแต่ก็ไม่สำเร็จ ธราเทพพยักหน้ารับ


“ใช่


“เฮ้ย ใครวะ


คนเป็นเพื่อนทำหน้าตาตื่น


“พี่สิงห์


ภูหิรัณย์อ้าปากค้าง ถ้าการที่สิงหากลับชาติมาเกิดแล้วมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ธราเทพฝันก็หมายความว่า


“พี่สิงห์คือราชองครักษ์มาอี


ธราเทพเฉลยให้


“เฮ้ย จริงดิ


ภูหิรัณย์อุทานอย่างตื่นเต้น สมองของเขาประมวลเรื่องอย่างรวดเร็ว

ถ้าสิงหาคือมาอี แล้วการที่เพื่อนของเขาฝันถึงเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง ธราเทพก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในฝัน ภู

หิรัณย์หรี่ตามองเพื่อนอย่างสงสัย


“มึงอย่าบอกกูนะ ว่ามึงคือฟาโรห์ราโมส ไอ้เชี่ยวิน


สิ่งที่ภูหิรัณย์พูดมาคือสิ่งที่ธราเทพสงสัยในวินาทีที่เขารับรู้ว่าสิงหาคือมาอี


ความคิดนึกย้อนไปถึงตอนที่ยังนอนอยู่ภายใต้อกอุ่นกลางราตรีที่ผ่านมา เมื่อสิงหาชี้ทางให้เขาได้คิด


“มองตาพี่สิวิน มองให้ลึกเข้าไปให้ทะลุกายหยาบ แล้ววินจะรู้เอง


ธราเทพจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น จ้องผ่านกาลเวลาเข้าไปจนปรากฏภาพของมาอีมาซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของสิงหา แม้

รูปร่างหน้าตาจะไม่เหมือนเดิมแต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือร่องรอยจากดวงตาคู่นั้น


“ถ้าพี่เป็นมาอี แล้วผมล่ะ ผมเป็นใคร ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย


เขาผุดลุกขึ้นมาอย่างตระหนกกับสิ่งที่เขารับรู้ สิงหาลุกตามขึ้นมาแล้วกอดเขาไว้จากด้านหลังอย่างอ่อนโยน


“วินคือคนที่พี่รักไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน


คำบอกรักที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัวเรียกหยาดน้ำให้คลออยู่ในหน่วยตาคู่สวย ก่อนที่จะไหลรินผ่านร่องแก้มไปตกกระทบ

ลงบนหลังมือของสิงหา ธราเทพรู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วแผ่นอกจนต้องสะอื้นออกมา


“ไม่ยุติธรรมเลยที่พี่จำความรักทั้งหมดได้ ในขณะที่ผมไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความทรงจำ


ธราเทพหันกลับไปเผชิญหน้า เขาจึงได้เห็นร่องรอยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในดวงตาของสิงหาเช่นกัน ความสงสารแล่นวูบเข้ามา


จนธราเทพต้องยกมือขึ้นประคองใบหน้านั้นไว้


“พี่ต้องเจ็บปวดกับอยู่ความทรงจำที่ยาวนานเป็นพันปี พี่ต้องทรมานมากแน่ๆ


ธราเทพคร่ำครวญก่อนที่จะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่น


“จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะรักกันโดยที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีต ผมรักพี่แม้จะจำไม่ได้ว่าพี่คือใคร รักเพราะพี่

คือสิงหา พี่คืออัสลานของผม



คิดมาถึงตรงนี้หน้าเนียนก็ร้อนซู่เมื่อนึกถึงความหาญกล้าในการบอกรักตอบกลับอย่างไม่อาย และยิ่งเมื่อคิดถึงรางวัลที่

สิงหามีให้หลังจากจบประโยคนี้ พวงแก้มของธราเทพก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ภูหิรัณย์ยิ่งจ้องมองด้วยความสงสัยหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นปฎิ


กิริยาตอบสนองของคนเป็นเพื่อน จนอดปากไม่อยู่


“ทำไมมึงต้องหน้าแดงพอกูพูดว่าพี่สิงห์เป็นมาอีแล้วมึงเป็นราโมส เฮ้ย หรือว่า เชี่ยแล้วไงมึง ไอ้วิน


ภูหิรัณย์ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วดึงตัวธราเทพให้หันมาเผชิญหน้า พลางกวาดสายตาพิจารณาโดยที่ธราเทพยั้ง

ไม่ทัน จนสายตาไปหยุดอยู่ที่ซอกคอเมื่อเขาเห็นรอยแดงจางๆ ยังปรากฏให้เห็นภูหิรัณย์ตาเหลือก


“อย่าบอกกูนะ ว่ามึงกับพี่สิงห์น่ะมี….”


“คุยอะไรกันอยู่เหรอ


ภูหิรัณย์กลืนคำพูดลงคอเมื่อได้ยินเสียงของวริษฐาดังแทรกเข้ามาจากทางเข้าเต็นท์ ก่อนจะหันไปยิ้มแหยเป็นการ

ต้อนรับ


“มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะก้อย


“ก็มาทันคำถามว่าพี่สิงห์กับวินมีอะไรกันนั่นแหละ ทำไมหรือวินจนป่านนี้ยังทะเลาะกันไม่เลิกอีกหรือไง


“เอ่อ ก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ไม่ค่อยได้เถียงกันแล้ว”


ธราเทพเอ่ยตอบอย่างลำบากใจ ภูหิรัณย์ได้แต่ผิวปากแล้วก็หัวเราะอยู่ในลำคอ กระซิบเบาๆที่ข้างหูของธราเทพ


“เอาละเว้ย พอมือที่หนึ่งกับมือที่สองกำลังจะดีกันก็มีมือที่สามเข้ามาแทรก ไอ้วิน มึงแก้ปัญหาไปเองก่อนนะ มือที่ว่าง

เปล่าอย่างกูขอชิ่งก่อนละ


พูดจบภูหิรัณย์ก็เดินมายิ้มให้วริษฐาพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินลิ่วออกไปจากเต็นท์


“ไอ้ก้อย แกก็อย่าแรงนักนะยังไงก็เพื่อนกันนะโว้ย


“เฮ้ย ไอ้เซน เดี๋ยวก่อนดิ


ธราเทพส่งเสียงห้ามพลางก้าวตามไป แต่ก็ติดอยู่ตรงที่วริษฐาเอื้อมมือมาคว้าท่อนแขนของเขาไว้


“วิน แกจะเดินหนีฉันอีกนานไหม


ธราเทพชะงัก และเมื่อหันกลับมามองหน้าเพื่อนก็ต้องถอนหายใจออกมา ดวงตาของวริษฐามีแต่ความน้อยใจ ปนเปกับความขมขื่นจนเขาอด


สงสารไม่ได้


“เราไม่ได้เดินหนีแกนะก้อย เราแค่…”


“แค่ลำบากใจที่จะคุยกับเราใช่ไหม


วริษฐาสวนคำออกมา เมื่อเห็นท่าทีของคนเป็นเพื่อน หญิงสาวเสียใจจนน้ำตารื้นออกมา


“ทำไมเหรอวิน การที่ฉันชอบแกมากกว่าความเป็นเพื่อนมันทำให้แกลำบากใจขนาดนั้นเลยหรือ


เมื่อวริษฐาช้อนตาขึ้นมองธราเทพก็ยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนร้องไห้ เขาก้าวเข้าไปใกล้วางมือลงบนบ่า


ของหญิงสาวเป็นการปลอบโยน


“ไอ้ก้อย มันไม่ใช่เรื่องลำบากใจ เพียงแต่ฉันไม่คิดว่าแกจะคิดแบบนั้น เราเป็นเพื่อนกันนะ


“แต่ฉันไม่อยากได้แกเป็นเพื่อนนะวิน


วริษฐาโผเข้ากอดธราเทพพลางซุกหน้าลงกับแผ่นอก ธราเทพได้แต่ยืนอึ้ง


“ฉันชอบแกมานานแล้วนะวิน ทำไมแกถึงดูไม่ออกทำไมแกไม่เคยรู้ ขนาดเซนมันยังดูออกเลย


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เจ็บปวดแกมขอร้อง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าของธราเทพ แล้วอยู่ๆ มือ

ข้างนั้นก็เหนี่ยวต้นคอของธราเทพให้ก้มต่ำลงมาอย่างรวดเร็ว


“เฮ้ย ก้อย…”


ธราเทพห้ามเพื่อนไม่ทันเมื่อวริษฐายืดตัวขึ้นมาแล้วประกบริมฝีปากลงไปบนปากของเขา ธราเทพได้แต่เบี่ยงตัวหลีกหนี

และยกมือขึ้นดันไหล่ของหญิงสาวอย่างยากลำบาก กว่าที่เขาจะหลุดออกมาจากการกระทำนั้นได้ในที่สุด ธราเทพยืนหอบแล้ว


จ้องมองวริษฐาอย่างไม่เชื่อสายตา


“แกบ้าไปแล้ว ไอ้ก้อย สงบสติอารมณ์หน่อย


เขาหลุดปากต่อว่า วริษฐากัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือดเมื่อจ้องตอบธราเทพด้วยความเสียใจ


“ฉันจะถือว่าแกควบคุมสติสัมปชัญญะไม่ได้ แต่คิดว่านี่คงเป็นครั้งเดียวที่แกจะทำแบบนี้ ถ้าแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่


เมื่อพูดจบธราเทพก็กลับหลังเดินออกไปที่ทางเข้าเต็นท์ โดยไม่สนใจวริษฐาที่ร้องไห้โฮออกมาแล้วจึงไปหยุดยืนนิ่งอยู่

ทางเข้า ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะเลี้ยวออกไปทางปิรามิด


ธราเทพจึงไม่ได้เห็นร่างสูงของสิงหาที่ยืนอยู่ไกลออกไป ตรงกับตำแหน่งทางเข้าเต็นท์ที่แหวกออกเป็นช่องให้มองเห็น

เหตุการณ์ภายในได้พอดี











ธราเทพคลี่ยิ้มเมื่อมองออกไปที่ระเบียงแล้วเห็นแผ่นหลังกว้างยืนทอดสายตาไปที่แม่น้ำไนล์อย่างชินตา แต่คืนนี้เป็นคืน

แรกที่เขาก้าวออกไปยืนเคียงข้างแล้วมองไปยังแม่น้ำไนล์ที่คดเคี้ยวเบื้องหน้าอย่างชื่นชม


“ผมเคยสงสัยทุกคืนว่าที่ระเบียงมันมีอะไรดีพี่สิงห์ถึงได้มายืนมองอยู่ได้ แต่วันนี้เข้าใจแล้วจะรังเกียจไหมครับที่ต่อไปนี้

ผมจะมายืนตรงนี้ด้วย


ยิ้มอบอุ่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของสิงหาเมื่อหันหน้ามาสบตากับธราเทพ พลางยกมือขึ้นโอบไหล่ให้ร่างบางเข้ามาชิด

ใกล้


“การเคารพแม่น้ำไนล์แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมเรากับเทพเจ้า มันเป็นสิ่งที่ชาวไอยคุปต์ต้องทำอยู่แล้ว พี่จะรังเกียจวินได้ยัง

ไง ดีเสียอีกจะได้มีคนมาช่วยส่งใจไปถึงเทพเจ้า แต่ว่าคืนนี้อย่าเพิ่งตากน้ำค้างเลย


สิงหายกมือขึ้นประคองใบหน้าของธราเทพให้เอียงมาแล้วเขาก็โน้มใบหน้าไปจนหน้าผากทั้งคู่ชิดติดกัน


“ตัวยังรุมๆอยู่เลยนะเรา วันนี้บอกให้อยู่แต่โรงแรมก็ไม่เชื่อยังจะรั้นตามไปอีก


แล้วสิงหาก็เกี่ยวแขนให้ธราเทพเดินตามเข้ามาในห้องจนถึงเตียงนอน ผลักเบาๆ ให้หนุ่มน้อยลงไปนั่งที่ขอบเตียง


“นอนพักผ่อนเยอะๆ เพิ่งหายไข้นะวิน


ปลายเสียงที่เรียกชื่อเขามันช่างอ่อนหวานจนธราเทพคลี่ยิ้มรับ เขาเอนกายลงนอนอย่างว่าง่ายแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสิงหา

ทำท่าจะล้มตัวลงนอนตาม


“อ๊ะๆ พี่สิงห์ไปนอนที่เตียงตัวเองเลยนะ เตียงเล็กนิดเดียวมานอนเบียดกันอยู่ได้


สิงหาเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มรู้ทัน เขาทำท่าขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเอ่ยปากตอบโต้


“ก็ได้ เห็นว่าวินยังไม่หายดีกลัวว่าตกดึกมาจะหนาวจนไข้ขึ้นอีก แต่ถ้าวินอึดอัดพี่ไปนอนเตียงพี่…”


คำพูดชะงักลงพร้อมยิ้มกริ่มเมื่อธราเทพเอื้อมมือมารั้งที่แขนไว้แล้วเอ่ยปากด้วยเสียงรู้ทัน


“จะนอนก็นอนไปสิ ท่ามากจริงๆเลย


สิงหาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆแล้วจึงซุกกายเข้าไปในผ้าห่มก่อนที่จะดึงธราเทพมากอดไว้ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงธราเทพถอนหายใจยาวพรืดแล้วบ่นออกมา


“พี่สิงห์ ผมนอนไม่หลับ หัวใจของพี่เต้นแรงจังเสียงดังมากเลย


“แล้วจะให้พี่ทำไงล่ะครับ เจ้าชายของพี่ อยู่ใกล้วินขนาดนี้หัวใจพี่มันก็ตื่นเต้นน่ะสิ


เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะพลางดึงให้หน้าเรียวมาซุกแนบอก


“เอ่อ ก็ ไม่ทำอะไรให้หายตื่นเต้นหรือครับ


ธราเทพอ้อมแอ้มถามเมื่อใบหน้าเกลือกกลิ้งอยู่กับอกกว้าง ทำให้สิงหาต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจยาวบ้าง


“ก็อยากอยู่นะ แต่ร่างกายของวินยังระบมจากเมื่อคืนอยู่เลย พี่ไม่อยากทำให้วินเจ็บมากกว่านี้ เว้นไว้ก่อนนะ


สิงหาประคองใบหน้าของธราเทพออกห่างจากแผ่นอกแล้วมองด้วยดวงตาพราวระยับจนธราเทพไม่กล้าสบตา


“แต่ยังไงคืนนี้ก็ขอมัดจำไว้ก่อน แค่นี้…”


สิงหาจูบลงไปที่หน้าผากมน ก่อนลากมาที่เปลือกตาทั้งสองข้างลงมาที่จมูกโด่งได้รูป พอมาถึงที่ริมฝีปากอิ่มเขาก็

ประกบมันแนบลงไป ใช้ปลายลิ้นดุนเบาๆให้ธราเทพเปิดรับก่อนที่ลิ้นนุ่มลื่นจะสอดเข้าไปอย่างนุ่มนวลแล้วตวัดเกี่ยวกับ

ปลายลิ้นของธราเทพให้พอหวามไหว


เขาถอนปลายลิ้นออกมาช้าๆ แวะเล็มไล้ที่กลีบปากอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะคืนอิสระให้ธราเทพได้ในที่สุด สิงหาดึงร่างบางเข้ามาใน


อ้อมกอดแล้วลูบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยน


“นอนเสียเจ้าชายของพี่ ตื่นขึ้นมาจะได้สดใส มีแรงมาต่อปากต่อคำกับพี่เหมือนเดิม


เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ธราเทพก็หลับลงในอ้อมกอดของเขา







                                                      :L1: :L1: :L1: :L1:




                                                      มีโพลด้านบนด้วยนะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2015 21:03:57 โดย Belove »

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ก้อยต้องน่ากลัวแน่เลย
ดูนางเอาแต่ใจจัง  รายีอากลับชาติมาเกิด

ออฟไลน์ dekvet

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
1อียิบป์เป็นแนวที่ชอบมาก
2นายเอกไม่ว่าจะยุกต์อดีตหรืออนาคตไม่มีอะไรดีเลย ถึงจะเป็นองค์ชายก็เป็นองค์ชายที่ฮ่วยมากปัจจุบันก็เหมือนกันมีดีแค่เรียนเก่งรู้จักภาษาอียิบป์เฉยๆนอกนั้นก็ไม่มีอะไรดีแถมถูกทิ้งตั้งแต่เด็ก
3เป็นถึงองค์รัชทายาทแทนที่จะมีเทพคอยปกป้อง แต่เทพเข้าข้างคนชั่วอีกตังหากแต่รัชทายาทไม่มีเทพค่อยป้องกันสิ่งไม่ดีเลย ทั้งอดีตและปัจจุบัน
4พระเอกโง่มากไม่ว่าอดีตและปัจจุบัน
5พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร จากตอนล้าสุดก็พอจะเดาเรื่องได้ว่าอะไรเป็นอะไร
6ไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ดีนะ มันดีทุกอย่างอ่านเข้าใจง่ายภาษาดี แต่มันไม่ใช่แนวผม จากที่อ่านนิยายแนวนี้มาถ้านายเอกเป็นแบบนี้ผมจะไม่อ่านเพราะไม่ชอบนายเอกที่อ่อนแอ่และไม่มีอะไรดี ไม่ปลื้มสุดๆ แถมพระเอกโง่ๆด้วยแล้วยิ่งคัดใจ ผมก็รู้ว่าเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ คือเข้าใจเรื่องกดขี่ทางเพศไหม ผมไม่ชอบเรื่องคนอ่อนแอ่แล้วชอบทำตัวอ่อนแอ่อ่ะ ถึงจะสู้ไม่ได้ก็ขอแรกมันด้วยชีวิตไปเลย จะปล่อยให้ตัวเองเจ็บซ้ำไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่มห้ไปฆ่าเขาแค่เอาตัวเองให้ออกมาจากวงจรต้องนั้นซัะ อโหสิกรรมให้มัน คือดูแล้วมันมีแค่แก้แค้นกันแทบตาย สุดท้ายก็ให้อภัยง่ายๆ ตามหลักพระธรรมมันก็ใช้ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่คนที่จะทำดีทำให้ถึงต้องถูกคนไม่ดีทำร้ายอยู่ร่ำไป ไม่เข้าใจก็ต้องนี้ เพราะแบบนี้เขาจึงไม่ค่อยทำดีกันเพราะกว่าจะได้ดีมันต้องแลกกับความเจ็บซ้ำมากมายกว่าจะได้มันมา แต่ถึงทำชั่วมันได้สิ่งที่ต้องการเร็วกว่าถึงจุดจบมันจะไม่สวยก็เถอะ  เพ้อเจ้ออะไรเนี้ย ไปแหละ อ่านแล้วมันอัดอั่นตันใจมาก พอได้ละบายมันก็ดีขึ้น ถึงจะทำให้คนเขียนเสียความรู้สึกก็เถอะ ใครอ่านแล้วจะด่าจะว่าจะลบเป็ดเราไม่ว่านะ ไปก่อนล่ะ

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                            คำสาปร้าย พ่ายรัก

                                                                   บทที่ 20



          “เราหนีไปด้วยกันได้ไหม”


          สุรเสียงนุ่มดังขี้นมาพร้อมเสียงถอนพระปัสสาสะด้วยทรงกลัดกลุ้ม แม้จะทอดวรกายกอดก่ายอยู่กับ

มาอีบุรุษที่ทรงรักที่สุดก็ยังไม่สามารถบรรเทาความปริวิตกลงได้


          “ข้าไม่สนอะไรอีกแล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดากับเจ้าแม้จะให้ข้าไปเป็นเบดูอินเร่ร่อน

ข้าก็ทำได้”


          มาอีได้แต่กระชับอ้อมแขนให้วรกายนุ่มเบียดชิดเข้ามาเป็นการปลอบประโลมให้คลายกังวล


          “ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าชายของข้ามันอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด”


          “ข้าใจเย็นลงไม่ไหวหรอกนะมาอี เจ้าไม่เห็นรึว่าท่านพ่อและพระสนมเซฟเทตเร่งรัดงานอภิเษก

จนข้าหาวิธีผัดผ่อนไม่ได้อีกแล้ว นอกจากหนี”

          หากแต่ยังไม่ทันที่จะรับสั่งมากไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำอยู่ภายนอกห้องบรรทมดังอื้ออึงเข้ามา

ถึงภายในก็ทำให้มาอีสะดุ้งและเตรียมที่จะลุกออกจากแท่นพระบรรทมแต่ก็ไม่ทันการ


          บานประตูกว้างใหญ่ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยผู้ที่เจ้าชายราโมสไม่ต้องการพบก้าวนำ

เข้ามาเป็นคนแรกทำให้ร่างที่กอดก่ายกันบนแท่นบรรทมกว้างต้องผละห่างออกจากกันด้วยความตกใจสุดขีด


          ฟาโรห์เพตเทเมนทรงยืนจังก้าอยู่ที่ปลายพระแท่นบรรทมด้วยพระพักตร์ถมึงทึงตามด้วยเมเลส

นายทหารระดับสูงผู้ซึ่งเป็นพระสหายสนิทและยังเป็นบิดาของมาอี รวมทั้งพระสนมเซฟเทตและเจ้าหญิง

ราบีอาทรงยืนอยู่ถัดไป โดยมีมหาอำมาตย์ฮาอัสยืนพิงกรอบประตูอยู่เบื้องหลัง


        “ท่านพ่อ”


          เจ้าชายทรงค้นพบสุรเสียงขององค์เองเป็นคนแรกแม้จะเบาหวิวอยู่ในพระศอเมื่อทุกคนที่อยู่ภายใน

ห้องต่างตกอยู่ในความเงียบด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน


          ทั้งฟาโรห์เพตเทเมนและเมเลสผู้เป็นบิดาต่างมองบุตรด้วยความเจ็บปวด เสียใจในการกระทำเยี่ยงนี้

โดยเฉพาะเมเลสถึงกับขอบตาร้อนผ่าวเมื่อทราบว่ามาอีได้กระทำการหยามหมิ่นเบื้องพระยุคลบาทของฟาโรห์

แค่ไหนพระสนมเซฟเทตยกมือขึ้นปิดปากทำตาโตเมื่อรู้ว่าเรื่องที่เจ้าหญิงราบีอาตัดสินใจนำมากราบทูล


ฟาโรห์นั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนมหาอำมาตย์ฮาอัสยืนมองภาพเบื้องหน้านิ่งดวงตาที่เคยหลุกหลิกลุกวาบ

ขึ้นมาคราหนึ่งก่อนที่จะจางหายไป


          ส่วนเจ้าหญิงราบีอาทรงทอดพระเนตรมองร่างกำยำที่รีบคว้าผ้ามาพันกายท่อนล่าง แล้วลงมาคุกเข่า

ค้อมศีรษะลง ณ เบื้องหน้าฟาโรห์ ทรงกำพระหัตถ์และกัดพระโอษฐ์องค์เองจนห้อเลือดพลางเงยพระพักตร์

ขึ้นเพื่อสกัดกั้นพระอัสสุชลไว้


          ฟาโรห์ทรงก้าวเข้ามาหาพระวรกายบางที่ทรงถลามานั่งคุกพระชานุเคียงคู่อยู่กับมาอี ทรง


ทอดพระเนตรราชโอรสนิ่งก่อนที่ทุกคนในห้องจะตกใจเมื่อทรงสะบัดพระหัตถ์ไปตบพระพักตร์

ของเจ้าชายเสียงดังสนั่น


           ไม่มีสุรเสียงจากเจ้าชายราโมสที่ค่อยๆ หันพระพักตร์กลับมาพร้อมโลหิตที่ไหลซึมจากมุมพระโอษฐ์

และพระอัสสุชลที่หยาดหยดผ่านร่องแก้มร่วงหล่นต้องพื้น หัวใจของมาอีหล่นวูบเมื่อเห็นภาพนั้นและเมื่อ


ฟาโรห์เพตเทเมนทรงยกไม้เท้าทองคำที่ใช้พยุงวรกายขึ้นเงื้อสูง มาอีจึงรีบโผไปบังวรกายบางจนไม้เท้า

ที่ตวัดลงมาอย่างรวดเร็วฟาดลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา


         รอยแดงเป็นแนวยาวเห่อขึ้นมาทันทีบนแผ่นหลัง มาอีกัดฟันที่จะไม่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

ออกไปก่อนจะกลับไปนั่งคุกเข่าในสภาพเดิม ฟาโรห์ทรงลดระดับไม้เท้าลงนำกลับมายันที่พื้นพระหัตถ์สั่นเทา


ทั้งสองวางซ้อนกันกุมแน่นอยู่บนยอดไม้เท้า พระอังสาลู่ลงอย่างอ่อนแรง พระเนตรที่ทรงมองผู้เป็นบุตร

บอกถึงความเสียพระทัยทำให้ดูเหมือนทรงชราลงไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไม่กี่วินาที


          “ที่เจ้าอ้างกับพ่อว่าไม่อยากแต่งงานกับราบีอามาตลอด แท้จริงเป็นเพราะเหตุนี้ใช่ไหม ราโมส”


          สุรเสียงอ่อนระโหยดังขึ้นในความเงียบ กลับทำให้ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในพระหทัยของเจ้าชาย


มากขึ้นกว่าตอนที่ฟาโรห์ทรงตบพระพักตร์ด้วยซ้ำ เจ้าชายราโมสผวาไปค้อมวรกายจนพระนลาฎของ

พระองค์ประทับอยู่บนหลังพระบาทของฟาโรห์ พลางกันแสงออกมา


         “พ่อ ลูกขอโทษ”


          พระสนมเซฟเทตถลันเข้ามายืนอยู่ที่เบื้องปฤษฎางค์ของฟาโรห์ พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้ว


          “ต๊าย เป็นเรื่องจริงหรือนี่ ตอนที่ราบีอามาบอกหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่เชื่อนะเพคะยังดุลูกกลับ


ไปว่าเป็นเรื่องบัดสีเหลวไหล ไม่นึกว่าที่ลูกบอกจะเป็นเรื่องจริง”


            พระสนมมองวรกายที่ยังคุดคู้แนบพื้นร่ำไห้อยู่นั้น ด้วยแววตาสาแก่ใจผิดกับน้ำเสียง


          “โถๆ ทรงรักใคร่อยู่กับมาอีก็ไม่บอกนะเพคะ หม่อมฉันจะได้ให้น้องหญิงตัดใจจากงานอภิเษกที่


ทรงไม่ยินดี”


          “พอเถอะ เซฟเทต”


         สุรเสียงแข็งกร้าวดังปรามไว้ พระสนมจึงต้องยั้งปากพลางค้อนปะหลับปะเหลือก องค์ฟาโรห์ทรง

ทอดพระเนตรร่างที่ยังหมอบกรานเบื้องหน้ารวมทั้งมาอีที่ยังคงคุกเข่าก้มหน้าสลับกันอยู่พักใหญ่แล้วจึง


เหยียดวรกายยืดตรงอีกครั้ง


            “เมเลส สั่งกักบริเวณเจ้าชายราโมสให้อยู่แต่ห้องนี้ห้ามผู้ใดเข้ามาและห้ามเจ้าชายราโมส


ออกไป ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้นอกจากข้า”


           “ท่านพ่อ”


           เจ้าชายทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาด้วยความตกพระทัย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนพระทัยองค์ฟาโรห์


ได้ซ้ำร้ายฟาโรห์เพตเทเมนยังทรงดึงข้อพระบาทออกจากการเกาะกุม แล้วทรงหันกลับก้าวพระบาท

ออกไปทรงยั้งวรกายไว้แล้วทรงตรัสโดยไม่หันกลับมามอง


        “ส่วนมาอี เจ้าจะทำเยี่ยงไรเป็นสิทธิ์ของเจ้า”


        ฟาโรห์ทรงก้าวจากไป นำหน้าพระสนมและเจ้าหญิงราบีอา รวมทั้งฮาอัสที่กระตุกยิ้มเพียง


เล็กน้อยจนเกือบไม่เห็นก่อนที่จะก้าวตาม ทิ้งไว้เพียงเมเลสที่จ้องมองลูกชายด้วยความปวดร้าว

เมเลสทรุดตัวคุกเข่าลงไปจนตัวเสมอกับบุตรชายที่มองมาอย่างขอลุแก่โทษ


          “เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร มาอี ไม่รู้รึว่าผลจะออกมาเยี่ยงไร”


           “ข้ารักราโมส รักเท่าชีวิตของข้า ท่านพ่อโปรดเข้าใจ”


            “ข้าเข้าใจแล้วจะทำอย่างไรได้ เจ้าชายราโมสต้องขึ้นครองแผ่นดินเป็นฟาโรห์คนต่อไป


เจ้าทำเยี่ยงนี้เป็นการหยามเกียรติองค์ฟาโรห์เจ้ารู้ตัวหรือเปล่า”


           ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยเสียงแหบโหย เจ้าชายราโมสทรงถลามาใกล้แล้วทรงตรัสทั้งน้ำตา


           “ท่านลุง อย่าลงโทษมาอีเลย มันเกิดขึ้นเพราะความรัก เราสองคนรักกัน”


            “ความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้หรือกระหม่อม โทษพระองค์ไม่ได้เพราะพระองค์ยังทรง


พระเยาว์นักแต่เจ้า มาอี เป็นผู้ใหญ่แล้วกลับไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ”


             เมเลสลุกขึ้นยืน แล้วส่งเสียงดัง


               “ทหาร”


             ร่างกำยำของทหารที่ยืนรออยู่ภายนอกวิ่งกรูเข้ามาหลายนาย แล้วมายืนตรงรอรับคำสั่ง


             “โบยราชองครักษ์มาอีห้าสิบครั้ง แล้วนำตัวไปขังไว้ในคุกหลวง”


               จบคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทหารนายหนึ่งจึงหยิบแส้ที่ทำจากเส้นใยผ้าทอที่เหนียว


และหนักขึ้นมา เจ้าชายราโมสทรงเบิกพระเนตรกว้าง


             “ไม่นะ ท่านลุง อย่าทำอย่างนี้”


             ทหารนายนั้นก้าวตรงมาคุกเข่าต่อหน้ามาอี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ


             “ท่านมาอี ข้าขอโทษ ข้าต้องทำตามคำสั่ง”


            มาอียิ้มเศร้าตอบกลับ นายทหารจึงได้ลุกขึ้นยืน เงื้อมือที่จับแส้ขึ้นสูงแล้วโบยลงมา


            “โอ๊ย!”


              กลับกลายเป็นเจ้าชายราโมสที่ผวามากอดร่างมาอีไว้ จนเป็นผู้รับโบยแรกพาดผ่านแผ่นหลัง


นายทหารรีบลดแส้ลงยืนตัวสั่นงันงกที่ทำร้ายราชโอรส


           “ราโมสเป็นอย่างไร”


            มาอีถามด้วยความตกใจที่คนรักยอมมารับแส้แทน และมองรอยแส้ที่ปรากฎอยู่อย่างเสียใจ

ยังไม่ทันที่มือแกร่งจะเอื้อมไปแตะต้องรอยแดงนั่น เมเลสผู้เป็นบิดาก็ออกคำสั่งอีกครั้ง


            “จับตัวเจ้าชายไว้ อย่าให้เข้ามาข้องเกี่ยว แล้วลงทัณฑ์ต่อ”


             ทหารสองนายตรงเข้ามาคว้าแขนของเจ้าชายไว้แล้วลากวรกายไปอยู่ที่มุมห้องโดย


ไม่สนใจว่าพระองค์จะทรงดิ้นรนขัดขืน นายทหารที่ถือแส้อยู่มองราชองครักษ์อย่างขอลุแก่โทษ

อีกครั้งก่อนเงื้อมือโบยแส้ลงไปบนแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ยังนั่งคุกเข่านิ่ง




            …ควับ!!!...



              ทันทีที่แส้เหนียวชำแรกผ่านเนื้อเปล่าเปลือยลงมา มาอีก็สะดุ้งเมื่อความรู้สึกเจ็บแปลบ


แผ่ซ่านไปทั่วและยังไม่ทันที่ความเจ็บปวดจะคลายลงเขาก็ต้องกัดฟันแน่นเมื่อแส้ที่โบยเป็นครั้ง

ที่สองลอยละลิ่วลงมาซ้ำที่เดิม


            ชายหนุ่มสะดุ้งซ้ำๆ จนนับไม่ได้ว่าเขาถูกโบยไปกี่ครั้ง ความเจ็บปวดทวีทับถมจนหูอื้อตาพร่า


เสียงของเจ้าชายราโมสที่ร้องตะโกนลั่นคร่ำครวญทุกครั้งที่แส้ตกกระทบกับเนื้อตัวจนโลหิตหลั่งริน

ออกมาเปรอะเปื้อนไปกับแส้แล้วกระเด็นไปทั่วห้องเมื่อนายทหารออกแรงโบยลงมาเริ่มจางหายไป

จากการรับรู้ของเขา เสียงสุดท้ายคือเสียงแส้ที่แหวกอากาศลงมาอีกครั้งก่อนที่สติของมาอีจะดับ

วูบลง


             นายทหารถือแส้ค้างอยู่ในมือเมื่อเห็นราชองครักษ์ล้มลงไปนอนกองกับพื้น เนื้อตัวเต็มไป


ด้วยรอยเลือดจากแส้ที่โบยลงมานับไม่ถ้วนจนรอยเป็นทางพันกันยุ่งเหยิง เขาหันไปสบตากับเมเลส

ด้วยความเกรงใจ


               “ท่านเมเลสครับ ท่านมาอีสลบไปแล้ว พอเถอะครับ”


                 เมเลสที่ยืนกัดฟันมองร่างที่ไม่ได้สติของบุตรพลางกลั้นน้ำตาไว้


                “โบยไปกี่ครั้งแล้ว”


               “สี่สิบครั้งแล้วครับท่าน”


              นายทหารค้อมศีรษะลงตอบ


                 “ท่านลุง พอเถอะ นั่นลูกชายของท่านเองนะ อย่าโหดร้ายนักเลย”


                  เจ้าชายราโมสที่กันแสงจนพระพักตร์เต็มไปด้วยคราบน้ำตาทรงตะโกนลั่นพลาง


พยายามดิ้นรนให้พ้นการจับกุมแต่ก็ไม่สำเร็จ เมเลสกัดฟันจนเห็นสันกราม


              ยิ่งเป็นลูก ยิ่งเป็นราชองครักษ์ เมื่อกระทำผิดโทษจึงต้องยิ่งหนักกว่าเป็นเท่าตัว


             เมเลสกลั้นน้ำตาไม่สำเร็จเมื่อมันไหลลงมา ตอนที่เขาออกคำสั่งอีกครั้ง


             “โบยต่อให้ครบตามคำสั่ง แล้วพาตัวไปคุกหลวง”


            เขาหันหลังให้เมื่อนายทหารลงมือโบยร่างที่ไม่ได้สตินั้นอีกครั้ง จนมาอีนอนจมกองเลือด


ที่หลั่งรินออกมาจากแผลที่แผ่นหลัง และแผลใหม่จากด้านหน้าเมื่อถูกโบยขณะไม่ได้สติ

เจ้าชายราโมสทรงดิ้นจนหมดแรง พระชานุทั้งสองข้างสั่นเทาจนประทับไม่อยู่ต้องทรุดวรกาย

ลงกันแสงอยู่กับพื้นแม้จะมีนายทหารยึดพระอังสาและพระหัตถ์ไว้เมื่อเสียงแส้ที่แหวกอากาศ

สิ้นสุดลง พระองค์จึงได้เงยพระพักตร์ขึ้นมอง ก็ได้เห็นเมเลสเดินนำนายทหารที่หิ้วปีกร่างที่

หมดสติของมาอีออกไป


           “ไม่นะ มาอี เจ้าต้องไม่เป็นอะไร”


            นายทหารที่ยึดวรกายไว้ยอมปล่อยพระองค์ให้เป็นอิสระจากการจับกุมแล้วก้าว


ตามออกไปอย่างรวดเร็ว เจ้าชายราโมสทรงผวาตามไปแต่ประตูบานใหญ่กลับปิดใส่แล้วลั่นดาน

ทันที ทรงอ้าพระโอษฐ์ค้างก่อนที่จะได้สติ เจ้าชายราโมสทรงทุบประตูติดต่อกันจนอุ้งพระหัตถ์

ห้อเลือดพลางส่งสุรเสียงดังลั่น แต่ประตูหนาหนักที่กั้นพระองค์ไว้กับภายนอกก็ไม่ขยับ


            “เปิดประตู เปิดเดี๋ยวนี้ เราจะไปหามาอี เราจะไปหามาอี ได้โปรดเถอะ ได้โปรด…”


         ปลายสุรเสียงขาดหายเมื่อวรกายบางแนบไปกับประตูแล้วเลื่อนไถลไปกองอยู่กับพื้นอย่างหมดแรง




                                TBC



ขอบคุณคอมเมนท์ของคุณชัดเจนกาบนะคะ
คนแต่งจะเก็บไปปรับปรุงในเรื่องต่อไปค่ะ
แต่ว่าเรื่องนี้แต่งจบไว้นานแล้ว ต้องขออภัยที่คงเปลี่ยนบททั้งหมดไม่ได้ค่ะ
แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณที่อ่านนะคะ











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2015 13:58:37 โดย Belove »

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยย สงสารง่ะ
ชาติก่อนเจ็บปวด แต่ชาติปัจจุบันขอให้สมหวังเนอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พอจะเดาเรื่องในอดีตได้ แต่อยากรู้ว่าคนเขียนจะให้ตอนต่อๆไปเป็นไปในแนวทางไหน
เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
คือก็ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับคุณคนแต่ง มันก็แค่อารมณ์เพ้อเจ้อของผมเท่านั้น ผมว่ามันกะเป็นสิ่งที่บ่งบอกนิสัยคนเราได้ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ เพราะส่วนใหญ่จะเอาอารมณ์โกรธจนไม่ทีสติก่อนเสมอแหละ ทุกวันนี้ก็มีข่าวให้เห็นบ่อยๆ คือมันเป็นนิยายเลยแค่อยากขอกำลังใจจากสิ่งที่ไม่มีจริงๆเพื่อเป็นกำลังใจในการทำสิ่งดีๆเฉยๆ ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเพศไหนก็เป็นแบบในเรื่องเปียบเลยอ่ะ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
 :hao5: :hao5: :z3:  ลุ้นๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4 :pig4:

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove

                                                          คำสาปร้าย พ่ายรัก

                                                              บทที่ 21


วรกายสะพรั่งด้วยวัยดรุณีย่างพระบาทลงมาสู่ดินแดนจองจำทั้งที่ไม่เคยเหยียบย่างมาก่อนพระพักตร์เชิดสูงใช้หาง

พระเนตรทอดมองทหารเฝ้าเวรยามทั้งสองนายเบื้องหน้าทางเข้า


“นำเราไปพบราชองครักษ์มาอี”


“ตะ แต่ว่า”


ทหารชั้นผู้น้อยมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินสุรเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ


“หรือว่าอยากถูกแยกร่างเป็นห้าส่วน”


นายทหารลนลานนำผู้เป็นราชธิดาของฟาโรห์ก้าวพระบาทตามเข้ามาในเขตคุมขังที่อับทึบ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ ณ ห้อง

ขังที่มีเหล็กกล้ากั้นขวางอิสรภาพของผู้อยู่ภายใน


“เปิดทางให้เราได้เข้าไปพูดคุยกับท่านมาอี แล้วพวกเจ้าก็ไสหัวไปซะ”


ทรงก้าวเข้าไปในเขตห้องขังที่มีร่างกำยำนั่งพิงผนังด้านหนึ่งอย่างอ่อนแรง ทรงรอจนทหารย่ำเท้าออกไปจนพ้นสายตา

แล้วเจ้าหญิงราบีอาจึงคุกพระชานุลงเบื้องหน้าคนที่ทำให้พระองค์รุ่มร้อน


ทอดพระเนตรร่างที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งบาดแผล บางรอยยังมีเลือดซิบ บางแห่งกลายเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ใบหน้า

ที่หลอกหลอนอยู่ในพระสุบินดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด พระหัตถ์สั่นเทาเอื้อมไปแตะที่แผ่นอกกว้างจนเจ้าตัวสะดุ้ง ปรือตา

ขึ้นมาช้าๆ


“ถ้าเพียงแต่ท่านทำตามที่เราปรารถนา ท่านก็จะไม่มีสภาพเยี่ยงนี้”


เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ทรุดนั่งไปกับพื้น เอนวรกายลงไปซบพระพักตร์ลงบนอกที่เต็มไปด้วยบาดแผล พลางใช้พระหัตถ์ลูบไล้

ที่บ่ากว้าง


“ข้าจะให้ในทุกสิ่งที่ท่านต้องการแม้แต่ดาวกับเดือนบนฟ้า ท่านก็รู้ว่าข้าทำได้”


ทรงดึงอาภรณ์ออกจากวรกายเบื้องบนจนเหลือแต่ปทุมถัน แล้วทรงดึงมือหนาของมาอีมาวางแนบกอบกุมพระถันจนอยู่

ในอุ้งมือ ก่อนที่จะยื่นพระพักตร์ไปบดแนบฝีพระโอษฐ์ลงกับปากแห้งผากที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ


“กอดเราสิ จูบเราสิ มาอี”


สุรเสียงแหบพร่าพร้อมลมหายใจที่ผ่าวร้อนรินรดอยู่ใกล้ใบหน้า เจ้าหญิงราบีอาทรงบังคับให้มือหนาที่กอบกุมพระถันบีบ

เค้นหนักหน่วง


“ทำทุกอย่างให้เราเหมือนที่ท่านทำให้ราโมส ข้าปรารถนาในตัวท่านเหลือเกินมาอี ปรารถนาจนแทบจะขาดใจ”


แม้จะทรงเบียดวรกายแนบแน่นแต่ร่างที่ยังเอนกายพิงผนังก็ยังคงนิ่ง  มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ยังแสดงถึง

ความมีชีวิต ยิ่งสร้างความขัดเคืองให้แก่เจ้าหญิงสูงศักดิ์ ที่เพียรพยายามเท่าใด คนที่ปรารถนาก็ยังไม่ตอบสนอง


“เจ้าตายด้านไปแล้วหรืออย่างไร มาอี เราลดตัวลงมาให้เจ้าถึงขนาดนี้เจ้ายังโง่อยู่ได้”


ความอดทนขาดสะบั้น ทรงตวาดรุนแรงเมื่อผละห่างออกมาจากร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล พลางจ้อง

ตามาอีด้วยไฟแห่งโทสะ มาอีกระตุกยิ้มช้าๆ เป็นสิ่งแรกที่เขาทำตั้งแต่เจ้าหญิงราบีอาย่างพระบาทเข้ามา ใบหน้า

เคร่งขรึมเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์อย่างหยามหยัน พลางสะบัดมือออกจากการเกาะกุม


“หญิงแพศยา”


นี่คือคำพูดแรกที่มาอีมีต่อเจ้าหญิง ทำให้พระองค์ต้องกำพระหัตถ์แน่นพร้อมเค้นสุรเสียงถาม


“เจ้าพูดว่ากระไรนะ”


“ต่อให้ไอยคุปต์ไม่มีราโมส ข้าก็ไม่มีวันทำให้เจ้าสมปรารถนา”


พระเนตรลุกวาบ ทรงตวัดพระหัตถ์ลงไปบนซีกหน้าด้านหนึ่งของมาอีอย่างรวดเร็ว และรุนแรง ก่อนที่จะตวัดผ้าทอขึ้น

สวมใส่กลับคืนแล้วทรงลุกขึ้นยืนจ้องร่างกำยำอย่างเคืองแค้น


“เจ้ามันโง่ ข้าให้โอกาสเจ้าถึงขนาดนี้ยังไม่ยอมน้อมรับ เจ้าเป็นคนบังคับข้าเองนะ มาอี”


น้ำพระเนตรคลอไปด้วยความผิดหวัง โกรธกริ้ว ทรงชี้หน้ามาอีด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา


“ข้ารักมากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งทำลายเจ้าได้รุนแรงแค่นั้น จำใส่หัวเอาไว้”


ทรงก้าวพระบาทออกจากที่จองจำด้วยพระพักตร์ขึ้งเครียด จนผ่านต้นไม้ใหญ่หน้าทางเข้าเขตพระราชฐานจึงทรงหยุดนิ่ง

เมื่อเห็นมหาอำมาตย์ฮาอัสยืนพิงลำต้นหนาของต้นไม้พร้อมด้วยยิ้มพรายในสีหน้า


“ฮาอัส เราพร้อมที่จะเป็นสาวกของพญางูอะโพรฟิสแล้ว”


สุรเสียงเยียบเย็นดังขึ้น

ฮาอัสค้อมศีรษะลงริมฝีปากข้างหนึ่งกระตุกยิ้มช้าๆ ดวงตาราวกับงูพิษจ้องมองเหยื่อส่งตรงมาให้เจ้าหญิงราบีอา


“น้อมรับคำสั่งกระหม่อม”









วรกายบอบบางนั่งอยู่เพียงลำพังบนแท่นพระบรรทมกว้างอย่างเลื่อนลอย พระเนตรงามช้ำจากการกันแสงอย่างหนัก จน

บัดนี้อัสสุชลเหือดแห้งแต่ก็ยังไม่คลายความเสียพระทัย


แท่นบรรทมที่เคยนอนเคียงข้างและพร่ำบอกรักกันยิ่งทำให้ทั้งคิดถึงและเป็นห่วง กลิ่นกายที่คุ้นชินยังทิ้งไว้อยู่บนผ้าทอ

ยิ่งทำให้ทุกข์ทรมาน เจ้าชายราโมสทรงกลืนความเจ็บปวดลงไปอย่างยากเย็น


บานประตูหนาหนักเปิดออก นายทหารที่ทำหน้าที่ดูแลก้าวเข้ามาภายในพร้อมถาดที่บรรจุอาหารชั้นเลิศ แต่เมื่อมาถึงที่

วางอาหารเมื่อได้เห็นอาหารมื้อเก่ายังไม่พร่องแม้แต่ส่วนเดียว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ


“พระองค์ควรจะเสวยบ้างนะกระหม่อม หากเป็นเช่นนี้ท่านมาอีคงไม่สบายใจเป็นแน่”


ซาจี นายทหารลูกน้องคนสนิทของมาอีก้าวเข้ามา เอ่ยกับเจ้าชายราโมสด้วยความเป็นห่วง เจ้าชายทรงหันพระพักตร์มา

มองด้วยแววตาเศร้าสร้อย


“กินไม่ลง ขอบใจนะซาจีที่เป็นห่วง”


ซาจีมองราชโอรสอย่างเห็นใจ แม้จะไม่เข้าใจความรักระหว่างชายด้วยกันแต่เขาก็รู้ว่าทั้งมาอีเจ้านายของเขากับเจ้าชาย

ราโมสผูกพันกันมาก


“หม่อมฉันเห็นใจพระองค์กับท่านมาอีเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”


เมื่อได้ยินคำรำพึงของซาจี พระเนตรที่ยังเหม่อลอยกลับเบิกกว้างเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา


“เจ้าจะช่วยเราจริงหรือเปล่า ซาจี”

ตรัสถามพลางหันพระพักตร์มาสบตา ซาจีรีบพยักหน้า


“ด้วยความสัตย์จริงกระหม่อม”


พระโอษฐ์เริ่มมีรอยยิ้มสรวล พระเนตรงามเริ่มมีประกาย


“เจ้าช่วยเราได้แน่ ซาจี เจ้าต้องช่วยไปพามาอีหนีออกจากคุกหลวง แล้วเราจะไปจากวังนี้ไปกับมาอี จะไม่กลับมาอีก

เลย”


ซาจีเบิกตากว้างกับพระดำรัส


“พระองค์ทำอย่างนั้นไม่ได้ โทษถึงกับใช้ม้าแยกร่างเลยนะกระหม่อม”


“แล้วทุกวันนี้ เราเหมือนมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซาจี”


ทรงย้อนคำพูดนายทหารคนสนิทของคนรักด้วยสุรเสียงขื่นขม


“การอยู่โดยไม่สามารถเคียงคู่กับมาอีได้ก็เหมือนตายทั้งเป็น สู้ลองเสี่ยงหนีไปดีกว่าอาจจะมีทางรอด”

ซาจีนิ่งอึ้งเมื่อไม่สามารถยับยั้งเจ้านายเหนือหัว เมื่อเห็นว่าเป็นจริงดังพระดำรัส


“แล้วพระองค์จะให้หม่อมฉันทำอย่างไร”


“ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ไปส่งข่าวให้มาอีรู้และเตรียมตัวไว้ เมื่อไหร่ที่เราพร้อมเราจะหาทางไปช่วยมาอี และหนีไป

ด้วยกัน”







มืดสนิทในราตรีกาล


ยิ่งเป็นราตรีที่ไม่มีแสงจันทรา ยิ่งมืดจนไม่เห็นแม้มือของตนเองเมื่ออยู่ในวิหารร้างเก่าแก่ร่างสูงของฮาอัสซ่อนอยู่ภายใต้

ผ้าทอสีเข้มเนื้อหยาบ ดวงตาที่เฉียงขึ้นราวกับดวงตางูพิษเบิกกว้างจ้องตรงไปที่รูปปั้นอสรพิษเบื้องหน้า เสียงฝีเท้าดัง

ขึ้นจากเบื้องหลัง แม้จะไม่หันไปมองฮาอัสก็รู้ได้ในทันที


ราชธิดาในฟาโรห์คนปัจจุบันเดินทางมาถึงแล้ว


วรกายอวบอัดซ่อนร่างอยู่ในผ้าทอสีเข้มไม่แพ้กัน ซ้ำยังดึงส่วนหนึ่งคลุมไปถึงพระเกศาปิดบังพระพักตร์เสียเกินครึ่ง

ปรากฏแต่พระเนตรดุโผล่พ้นออกมา ฮาอัสค่อยๆหันไป เจ้าหญิงราบีอาถึงกับสะท้านเมื่อดวงตาคู่นั้นส่องแสงฉายฉาน

เป็นสีแดงก่ำ เหมือนกับรูปปั้นงูยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังของเขา


“ข้าต้องทำอย่างไร”


แม้จะทรงหวาดกลัว แต่เจ้าหญิงราบีอาทรงกัดพระทนต์ตรัสด้วยสุรเสียงที่บังคับไม่ให้สั่นไหว รวมทั้งบังคับไม่ให้วรกาย

สั่นสะท้านเมื่อร่างสูงก้าวเดินมาตรงหน้าช้าๆ


ฮาอัสราวกับไม่ใช่ฮาอัส ดวงตาแดงก่ำที่จ้องตรงมาร้อนระอุเหมือนไฟที่แผดเผาแต่เจ้าหญิงกลับรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึง

กระดูกเมื่อฮาอัสมาหยุดนิ่งต่อหน้าและเอื้อมมือมาดึงผ้าทอคลุมกายออกช้าๆจนมันหลุดไปกองอยู่กับพื้น ก่อนที่เขาจะ

ใช้มือหนาลูบไล้ที่พระหนุของพระองค์แล้วบีบแน่น


“ทำบ้าอะไรของเจ้า ฮาอัส”


ทรงปัดมือหยาบอย่างแรงและก้าวพระบาทหนีด้วยความรังเกียจ ดวงตาของฮาอัสลุกวาบขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างที่เจ้าหญิง

ราบีอาทรงเดาไม่ถูกว่าฮาอัสคิดอะไรอยู่


“งู เป็นสัญลักษณ์ของตัณหา ราคะ กามารมณ์”


ฮาอัสราวกับไม่ใช่ฮาอัส เสียงที่เปล่งจากคอนั้นเยียบเย็นชวนขนหัวลุก มาถึงตอนนี้ทรงบังคับองค์ไม่ให้สั่นสะท้านไม่ได้

อีกแล้ว


“เจ้าคิดว่า การที่มนุษย์ผู้หญิงอย่างเจ้าจะปาวารณาตนเป็นสาวกของพญางูอะโพรฟิส เพื่อแลกกับทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ

เจ้าต้องเสียสละอะไรมาแลกกับมันล่ะ”


“ไม่”


เจ้าหญิงราบีอาทรงตะโกนลั่น จนเสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในวิหารร้าง


“เจ้ามันบ้าไปแล้ว ฮาอัส ข้าไม่มีทางที่จะทำบ้าๆ อย่างที่เจ้าว่ามา”


ตรัสจบทรงหันวรกายอย่างรวดเร็วเตรียมก้าวพระบาทกลับ แต่ก็ทรงชะงักเมื่อน้ำเสียงเย็นยะเยือกนั้นดังเข้ามาเสียดแทง

ความรู้สึก


“คิดดูสิ ว่าเจ้าเพียรพยายามมากี่ครั้ง เพื่อที่จะให้บุรุษคนนั้นหันสนใจและทำให้เจ้าสมปรารถนา นอกจากจะไม่สำเร็จเขา

ยิ่งกระทำหยามเหยียดให้เจ้าอับอายด้วยการดูหมิ่นเป็นเช่นนี้แล้วหากเจ้ายอมแพ้ ข้าก็คงไม่ขัดความประสงค์”


เจ้าหญิงราบีอายกพระหัตถ์ขึ้นกดไปที่พระหทัยเมื่อความเจ็บปวดทวีล้นขึ้นมา มันมีทั้งความเสียใจ อับอายที่ถูกหยาม

พระเกียรติ และความรู้สึกทั้งหมดทำให้ความแค้นยิ่งพลุ่งพล่าน


“ข้ารักมากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งทำลายเจ้าได้รุนแรงแค่นั้น จำใส่หัวเอาไว้”


ประโยคสุดท้ายที่ฝากไว้กับมาอีดังก้องในพระเศียร จนทำให้ทรงตัดสินใจหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับสาวกของพญางู

อีกครั้ง พระพักตร์เชิดสูงเมื่อทรงตรัสด้วยความมั่นพระทัยอย่างที่สุด


“เราพร้อมที่จะพลีกายเราเพื่อท่าน พญางูที่ยิ่งใหญ่ โปรดรับข้าเป็นสาวกและบันดาลทุกสิ่งที่ข้าปรารถนาด้วยเถิด”


ดวงตาแดงก่ำยิ่งเรืองแสง ฮาอัสดึงผ้าทอสีเข้มออกโยนทิ้งเผยให้เห็นร่างกายที่ราวกับมีไฟมาเผาผลาญเดินย่ำก้าวมาที่


เจ้าหญิงราบีอา เอื้อมมือมากระชากจนอาภรณ์เนื้อดีขาดวิ่น สร้อยพระศอขาดสะบั้นหลุดร่วงกระจัดกระจาย เหลือแต่

วรกายเปล่าเปลือยในความมืด


ฮาอัสที่ไม่ใช่ฮาอัสผลักจนเจ้าหญิงราบีอาหงายหลังไปนอนอยู่กับพื้นดินหยาบกระด้าง ก่อนที่จะถาโถมตามมาทับลงไป

น้ำพระเนตรหลั่งรินลงมาจากหางตา พระหัตถ์กำเศษดินเศษทรายจากพื้นจนแน่น


“เป็นเพราะพวกเจ้า มาอี ราโมส พวกเจ้าทำให้ข้าต้องทำอย่างนี้ ข้าจะไม่มีวันอภัยให้พวกเจ้า”


ทรงตะโกนด้วยความแค้น ก่อนที่จะทรงกรีดร้องจนเสียงก้องสะท้อนกลับไปมาอยู่ในวิหารจากความเจ็บปวดที่ถูกคร่า

พรหมจรรย์จนย่อยยับ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2015 21:13:07 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                    คำสาปร้าย พ่ายรัก


                                                           บทที่ 22



ธราเทพส่ายหน้าไปมาเมื่อรู้สึกถึงการถูกรบกวนนิทราของเขา

เปลือกตาที่ปิดคลุมดวงตาคู่หวานขยุกขยิกเมื่อเจ้าของพยายามปรือตาขึ้นมอง แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อมันถูกปิดทับไว้ด้วยจูบ

บางเบา จนเมื่อคนที่รบกวนย้ายริมฝีปากไปที่จมูกโด่งได้รูป เขาถึงมีโอกาสเปิดตามองได้สำเร็จ จึงได้เห็นสิงหาที่ยัง

คลอเคลียอยู่ใกล้ๆ


จนเมื่อคนที่ตื่นก่อนเตรียมประทับริมฝีปากลงมาบนปากของเขา ธราเทพจึงรีบปิดปากตัวเองไว้พลางยกมือขึ้นผลัก

ใบหน้าสิงหาให้ห่างออกอย่างรวดเร็ว


“อย่านะ พี่สิงห์ ผมยังไม่ได้แปรงฟัน”


ดวงตาของสิงหาพราวไปด้วยความขบขันเมื่อมือเรียวของธราเทพดันมาที่คางของเขาไม่ให้เข้าใกล้ ซ้ำอีกมือหนึ่งยังยก

ขึ้นปิดปากตัวเองไว้แน่นแถมยังเบือนหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับสีหน้าเหยเก


“ก็ไม่เหม็นเท่าไหร่นะ เท่าที่พี่ลองดมๆดูทั้งคืนอยู่ในระดับที่พี่รับได้”


สิงหาเลิกคิ้วพูดล้อเลียนยิ่งทำให้ธราเทพเบิกตากว้างขึ้นหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน


“พี่จะบ้าเหรอ โรคจิตหรือเปล่าครับ ชอบดมของเหม็นๆ”


คราวนี้สิงหากลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือของธราเทพที่ดันอยู่ที่คางของเขาออกแล้วผลักวางราบไป

เหนือศีรษะของธราเทพพร้อมกับล็อคนิ่ง ส่วนมืออีกข้างเขายื้อยุดอยู่กับมือที่ธราเทพปิดปากตัวเองจนกระทั่งดึงมันออก

ได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะดันจนมันขนานคู่ไปกับแขนอีกข้าง สิงหาใช้มือแค่ข้างเดียวรวบข้อมือทั้งสองของธราเทพจนขยับ

ไม่ได้ แล้วจึงก้มหน้าไปใกล้


“ใช่ครับ พี่มันโรคจิตชอบดมของเหม็นๆไหนลองให้พี่พิสูจน์หน่อยนะ ว่าเหม็นขนาดไหน”


ว่าแล้วสิงหาก็ก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากลงบนปากนุ่มจนได้ แม้ว่าธราเทพจะพยายามหลบเลี่ยงแต่ก็ไม่สำเร็จ ต้อง

ปล่อยให้คนที่ชอบขู่บังคับหาเศษหาเลยได้ตามอำเภอใจ


จนกระทั่งสิงหาพอใจเองนั่นแหละเขาจึงยอมปล่อยให้ธราเทพเป็นอิสระ  แต่ก็ยังไม่วายดึงตัวนุ่มให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด


“มอนิ่งคิสของพี่เป็นยังไงบ้าง พอจะปลุกให้เจ้าชายของพี่ตื่นจากฝันได้ไหม”


ธราเทพซุกหน้าเข้ากับอกกว้างเพื่อซ่อนรอยยิ้มไว้ บทจะหวานขึ้นมา “อัสลาน” เจ้าป่าก็หวานจนเขาแทบหลอมละลาย


“งั้นๆแหละ ไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย”


ธราเทพส่งเสียงอู้อี้อยู่ตรงอก เรียกรอยยิ้มจากสิงหาได้ไม่ยาก เขาลูบผมธราเทพเบาๆ อย่างอ่อนโยน


“ถ้ามอนิ่งคิสยังไม่ตื่นเต้น งั้นเราไปหาเรื่องตื่นเต้นกว่านี้กันไหม อาทิเช่น...”


สิงหาดันตัวธราเทพออกห่างเล็กน้อย พลางค่อยๆปลดกระดุมชุดนอนของธราเทพออกทีละเม็ดจนหมด แล้วจึงดึงเสื้อ

ออกจากลำตัว


“ไปแช่น้ำอุ่นด้วยกัน”


ธราเทพเป็นฝ่ายเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มรู้ทันใส่บ้าง


“แช่น้ำอุ่นแล้วมันตื่นเต้นตรงไหนหรือครับ คุณอัสลาน โอ๊ะ พี่สิงห์จะทำอะไรครับ”


ธราเทพอุทานเมื่ออยู่ๆสิงหาก็ยักไหล่พลางดันตัวขึ้นนั่งสอดแขนไปรอบลำตัวของเขา แล้วยกตัวขึ้นพาดบ่าอย่างรวดเร็ว

สิงหาลุกขึ้นยืนทั้งที่มีธราเทพพาดอยู่บนบ่ากว้าง เขาแบกน้ำหนักตัวที่ไม่ได้น้อยเลยไว้อย่างสบายพลางเดินตรงเข้าไป

ในห้องน้ำที่เขาเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำตีฟองสบู่ไว้จนฟูฟ่อง


“พี่ก็จะพาเด็กขี้เซามาอาบน้ำน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ยอมตื่น”


สิงหาดึงกางกางชุดนอนออกจากสะโพกของธราเทพจนเหลือแต่ตัวเปล่าแล้ววางลงในอ่างอาบน้ำอย่างนุ่มนวล ก่อนที่

เขาจะถอดเสื้อผ้าตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วก้าวตามลงไปในอ่างอาบน้ำ  ธราเทพนั้นหน้าแดงซ่านเบนสายตาหรุบต่ำตั้งแต่

สิงหาเริ่มถอดเสื้อ จนเมื่อร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อปราศจากอาภรณ์ใดห่อหุ้มเขาก็ยิ่งเขิน


ไม่รู้ว่าทำไมสิงหาช่างมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขานักทั้งร่างกายและจิตใจ ยิ่งอยู่ใกล้ธราเทพก็ยิ่งรู้สึกโหยหาราวกับสิงหา

เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ธราเทพถอนหายใจเฮือกใหญ่ซุกกายเข้ากอดร่างแข็งแกร่งนั้นไว้เมื่อสิงหาพิงหลังไว้กับด้านหนึ่ง

ของอ่างอาบน้ำ


“อย่าดีกับผมมากนัก เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมพี่สิงห์ถึงได้โกรธและเกลียดผมเมื่อตอนแรกที่เรารู้จักกัน ผมกลัวว่าถ้า

ผมรู้ผมจะยิ่งเสียใจ”


สิงหาโอบร่างของธราเทพเข้ามาอยู่ในวงแขน ดวงตาหม่นเศร้าเมื่อมองกลับ เขาดึงหน้าเนียนมาจูบที่หน้าผากแผ่วเบา


“พี่อาจจะโกรธแต่พี่ไม่เคยเกลียด วินพูดถูก อดีตก็คืออดีตแต่ปัจจุบันถ้าเราจะรักกันอย่างที่เป็นทุกวันนี้ เพราะพี่คือสิงหา

เพราะวินคือธราเทพ เราจะรักกันโดยไม่สนใจว่าเราเป็นใครในอดีต ได้ไหมวิน”


สิงหาดันตัวออกจากขอบอ่างอาบน้ำแล้วดันให้ธราเทพเข้าไปแทนที่ เพื่อที่เขาจะได้หันหน้ามามองใบหน้าที่ทำให้เขา

หลงใหลได้เต็มตา ธราเทพที่มองสบตากลับมาคลี่ยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นประคองใบหน้าของเขาแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ


“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่วันที่ผมรู้ใจตัวเองว่าผมรักพี่”


สิงหาอดใจไว้ไม่อยู่เขาเอียงหน้าลงไปแนบริมฝีปากลงกับปากนุ่ม สอดลิ้นอุ่นชื้นเข้าไปแตะลงทักทายก่อนจะตวัดเกี่ยว

เข้ากับลิ้นของธราเทพ


แม้จะอยู่ภายใต้น้ำในอ่างอาบน้ำ แต่ธราเทพกลับรู้สึกร้อนวูบวาบไปทุกจุดที่มือแกร่งคู่นั้นลากไล้ผ่าน ยิ่งเมื่อมือนั้นวางลง

ที่จุดอ่อนไหว ลมหายใจของเขาก็แทบสะดุด สิงหาเบียดตัวเข้าไประหว่างต้นขาที่ยกตั้งขึ้นของธราเทพแล้วดันสะโพก

แทรกกายเข้าไปช้าๆ


“เจ้าชายของพี่ช่างน่ารักเหลือเกิน”


เขากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงสั่นไหว ก่อนที่จะตอกย้ำความรักเมื่อพระอาทิตย์เริ่มฉายแสงสาดส่องที่ริมขอบฟ้าเบื้องนอก








สิงหาพาลูกทีมเข้ามาในเต็นท์งาน พลางกวาดสายตาไปทั่วเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรอยู่ไม่ไกลนัก  เมื่อเห็นว่าต้น

เหตุคือเสียงถกเถียงกันระหว่างด็อกเตอร์อัคนีกับชายชาวยุโรปที่มีท่าทีหัวเสีย เขาเลยก้าวเขาไปหา


“แดม ผิดแล้วอาร์ตี้ ก็เมื่อวานผมเป็นคนพบชิ้นส่วนนี้เอง คุณจะมาเหมารวมว่ามันเป็นชิ้นที่คุณวิจัยอยู่ได้ยังไง”


“หรือคุณอยากจะดูใบอนุญาตจากทางการถึงจะยอมรับความจริง อลัน คุณเองขอวิจัยเรื่องอื่นแล้วคุณจะมาเก็บส่วนที่ไม่

เกี่ยวของกับคุณไว้ทำไม”


อัคนีตอบโต้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยในขณะที่ชายเชื้อชายยุโรปที่ถูกระบุชื่อว่าอลันยังคงมีสีหน้าไม่พอใจนักเมื่อสิงหาก้าว

ขึ้นไปถึง


“เฮลโล อลัน สวัสดีครับพี่อัคนี นี่มีอะไรไม่เข้าใจกันหรือเปล่าครับ”


อิสริยะเอ่ยทักเมื่อรู้จักอลันที่อยู่ในแวดวงโบราณคดีด้วยกัน


“ไฮ อัสลาน ดูสิ เมื่อวานผมกับทีมขุดเจอชิ้นส่วนกระเบื้องดินเผา แต่พอมาวันนี้อาร์ตี้เอาใบอนุญาตจากทางการมาขู่ จะ

ยึดเอาของที่ผมได้มาเพราะว่าเป็นสิ่งที่ทางการอนุญาตให้เขาวิจัย มันถูกต้องหรือ ถึงแม้ผมจะไม่ได้ขอทำเรื่องนี้ แต่ใน

เมื่อผมเป็นคนพบผมก็ต้องได้มัน”


สิงหาหันไปมองอัคนีก็เห็นแต่สีหน้าเรียบเฉบ ซ้ำยังยกไหล่ขึ้นอย่างไม่แยแสเป็นการยอมรับในสิ่งที่อลันพูด


“ใจเย็นอลัน ผมคิดว่า ถ้าจะให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษา คุณควรจะให้สิทธิกับผู้ที่ขอวิจัยนะ พวกเราค้นคว้ากันคนละ

เรื่องความรู้จะได้กระจายไปอย่างทั่วถึง


อลันมีสีหน้าเดือดดาลเมื่อได้ฟังความเห็นของสิงหา เขาหันมาจ้องมองด้วยความขัดเคือง


“นี่คุณเข้าข้างอาร์ตี้งั้นหรือ”


“ผมเข้าข้างความถูกต้อง ถ้าผมเป็นพี่อัคนี ผมก็ต้องทำแบบนี้”


เสียงพึมพำดังขึ้นในแวดวงนักวิจัยที่รายล้อม ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับสิงหาจนอลันได้แต่ฮึดฮัดแล้วเดินไปยกถาดใบหนึ่งมา

กระแทกใส่มือของอัคนี


“ผมยอมให้ครั้งเดียว ครั้งหน้าผมจะไม่ยอมให้คุณอีกแล้ว อาร์ตี้”


สิงหาโคลงศีรษะเมื่ออลันเดินฮึดฮัดจากไป ก่อนที่จะหันมามองสิ่งของที่วางอยู่ในถาดนั้น

ธราเทพที่เดินตามหลังมาชาวาบไปทั่วร่างเมื่อเห็น เขาหันไปสบตากับสิงหาที่เบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึงเช่นกัน

ด็อกเตอร์อัคนีได้ชิ้นส่วนกระเบื้องดินเผาที่เหมือนเป็นจิ๊กซอร์กับที่สิงหาให้กับธราเทพไม่มีผิด






หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายจบลงและนักโบราณคดีแยกย้ายกันไป ธราเทพก็เดินเข้ามาหาสิงหาที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าขรึมอยู่

ด้านนอกของปิรามิด


“คิดอะไรอยู่ครับ”


หนุ่มน้อยถามขึ้นอย่างเอาใจใส่ สิงหาหันมายิ้มให้แม้ว่าจะยังไม่วายมีสีหน้าครุ่นคิด


“ไม่นึกมาก่อนว่าพี่อัคนีจะวิจัยเรื่องนี้”


เมื่อธราเทพได้ฟังก็ฉุกคิดถึงสิ่งที่ตนสงสัยแต่ไม่เคยได้ถาม


“แล้วพี่สิงห์ขออนุญาตในหัวข้ออะไรครับ ขุดกันมาเป็นเดือนแล้วผมเองก็ยังไม่รู้เลย”


“คัมภีร์ปาปิรัส”


ธราเทพขมวดคิ้วด้วยความสงสัยหนักขึ้น


“ทำไมต้องเป็นคัมภีร์”


“พี่ต้องการคัมภีร์ที่ไขปริศนาว่าด้วยเรื่องคำสาปแช่งและการถอนคำสาป”


“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่พี่ต้องการให้ผมมาที่นี่ แต่คำสาปอะไรและสาปใครครับ”


สิงหาสบตาธราเทพด้วยใบหน้าเคร่งเครียด


นี่แหละที่เขาต้องการรู้ คำสาปที่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวต้นเหตุที่แท้จริงเป็นใครกันแน่ อาจจะเป็นคนที่ยืนตรงหน้าซึ่ง

ในอดีตเคยทำให้เขาเจ็บช้ำ นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นสาเหตุหลักที่เขาต้องพาธราเทพมาที่นี่


ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรได้มาก เสียงตึง เหมือนเสียงของหนักเลื่อนหลุดก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียง

เอะอะเอ็ดตะโรจะตามมาในทันที สิงหาหันไปมองก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นนั่งร้านที่ตั้งอยู่ด้านข้างปิรามิดล้มลงและเอน

มาทางที่เขาและธราเทพยืนอยู่


“วิน ระวัง!”


สิงหาผลักร่างของธราเทพจนกระเด็นไปพ้นทางก่อนที่ตัวเขาจะเบี่ยงตัวหลบ แต่แม้จะเคลื่อนที่หลบด้วยความเร็วแต่

เพราะนั่งร้านที่ใหญ่โตและมีน้ำหนักมากเอนล้มมาด้วยความเร็วที่ไม่ยิ่งหย่อน ส่วนหนึ่งของไม้หนาหนักที่ยื่นออกมาจึง

ฟาดที่ไหล่ข้างหนึ่งของสิงหาเข้าอย่างจัง


สิงหาร้องอุบเมื่อเซล้มไปทางด้านหน้า เศษไม้ครูดจนเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาขาดเป็นแนวยาวผิวหนังด้านในเกิดแผลเลือดซิบ

เสียงนั่งร้านกระแทกพื้นบาดลึกเข้าไปในหูยิ่งเห็นสิงหาได้รับบาดเจ็บ ธราเทพใจหายวาบผวาเข้าไปรับร่างทาล้มลงมา

อย่างรวดเร็ว


“พี่สิงห์ เป็นไงบ้าง”


สิงหายึดแขนของธราเทพไว้เป็นหลัก กัดฟันส่ายหน้าว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก


ชั่วเสี้ยววินาทีที่สิงหาเงยหน้าขึ้นมา เขาเห็นวริษฐายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของลานสายตา จนเมื่อสติกลับคืนมา เขาหันไปมอง

มุมนั้นอีกครั้งกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า นอกเหนือจากที่คนงานต่างชาติวิ่งเข้ามาที่นั่งร้านพลางถามไถ่เขาอย่าง

ตกใจและเป็นห่วง สิงหามองไม่เห็นวริษฐา

เขาอาจตาฝาดและคิดมากไปเองก็ได้ สิงหาบอกตัวเอง







“ซวยแท้ๆไอ้สิงห์ อยู่ๆไอ้นั่งร้านเส็งเคร็งนั่นมันร่วงมาได้ไงวะ ดีนะหลบทันไม่ฟาดหัวเอ็งเข้า”


วาโยที่ช่วยขับรถพาสิงหาไปทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วมาส่งที่โรงแรมบ่นอุบเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนที่ ไหล่เริ่มเขียวช้ำ

รอบๆ รอยแผลที่เป็นทางยาวเกือบครึ่งฟุต สิงหายิ้มเซียวตอบเพื่อนเพื่อไม่ให้วาโยเป็นห่วงมากนัก


“เออน่า ไกลหัวใจ อย่าบ่นมากนักเลย”


วาโยส่ายศีรษะแล้วโบกมือไล่เพื่อน


“ไปเลยเอ็ง ขึ้นห้องไปพักได้ยินหมอเขาบอกว่าวันนี้เอ็งจะปวดแผลกับกล้ามเนื้อแถวไหล่เพราะมันฟกช้ำนี่หว่า อย่าลืม

กินยาแก้ปวดล่ะ อ้อคงไม่ต้องเป็นห่วงล่ะมั้ง ได้พยาบาลดีนี่หว่า ไอ้วิน..”   


วาโยหลิ่วตาล้อเลียนลูกศิษย์ที่กำลังช่วยประคองคนเป็นเพื่อนอย่างใกล้ชิดผิดสังเกต


“ดูแลเพื่อนอาจารย์ดีๆ หน่อยนะ เพื่อนอาจารย์คนนี้เป็นคนดีมาก”


ธราเทพหัวเราะหึหึเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะขยิบตาตอบ


“คร้าบอาจารย์ ยังไงอาจารย์ก็อย่าลืมดูแลเพื่อนผมด้วยนะครับ”


ธราเทพบุ้ยใบ้ไปทางภูหิรัณย์ที่นั่งรออยู่บนรถ


“เพื่อนผมก็เป็นเด็กดีเหมือนกัน”


ผิวหน้าขาวของวาโยแดงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำแซว เขายกมือชี้หน้าลูกศิษย์พลางทำปากขมุบขมิบ แล้วหันหลังกลับ

ไปทางรถยนต์เพื่อขับกลับไปทำงานต่อ ธราเทพหัวเราะไล่หลังก่อนที่จะประคองสิงหาขึ้นลิฟต์มาที่ห้องพัก


“ปวดมากไหมครับ”


เขาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของสิงหา ธราเทพประคองร่างสูงนั่งลงที่ขอบเตียง


“พอทนนะ แต่มึนๆจากยาแก้ปวดมากกว่า”


“งั้นพี่สิงห์นอนพักดีกว่า”


ธราเทพจัดแจงให้สิงหาล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วนั่งมองอยู่ใกล้ๆ


“วิน”


สิงหาที่หลับตาไปแล้วครู่หนึ่งปรือตาขึ้นมามอง ธราเทพถลาเข้ามาใกล้


“ว่าไงครับพี่สิงห์”


“ถ้าวินจะนั่งมองแบบนี้ พี่นอนไม่หลับหรอก”


ธราเทพทำหน้าเหรอหรา


“แล้วพี่สิงห์จะให้ผมทำไงล่ะ”


“มานอนให้พี่กอดแทนหมอนข้างหน่อยสิ”


หนุ่มน้อยหน้าร้อนวูบเมื่อได้ยิน หมั่นไส้คนเจ็บจนเผลอทุบไปที่ต้นแขนเสียทีหนึ่ง สิงหาอุทานเสียงดังจนธราเทพหน้า

เสีย


“พี่สิงห์ผมขอโทษ เจ็บไหม”


“เจ็บมาก มากกว่าเจ็บแผลอีก วินลืมไปแล้วหรือว่าพี่เจ็บอยู่ มาให้พี่ลงโทษซะดีๆ”


สิงหาถือโอกาสรวบร่างบางให้เอนตัวมานอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอด ธราเทพนอนทำตาปริบๆจนรู้สึกได้ว่าลมหายใจของอีก

ฝ่ายผ่อนลงจนสม่ำเสมอ เขาจึงได้โอบกอดร่างของสิงหาแล้วหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราตามไป






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2015 21:54:53 โดย Belove »

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ราบีอานี่มันบื้อจริงๆ  :beat:
เขาเจ็บตัวอยู่ ช้ำเลือดช้ำหนอง  มันยังจะยั่วเค้า   ต่อให้คนที่ชอบมันก็คงไม่มีอารมณ์หรอกยัยนี่
หมั่นไส้นาง  :z6:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove

                                                    คำสาปร้าย พ่ายรัก

                                                            บทที่ 23


“เจ้าชายราโมสรับสั่งให้ข้ามาแจ้งแก่ท่านว่าในคืนเดือนดับวันพรุ่งนี้ พระองค์จะลอบออกจากวังแล้วให้ข้าช่วยเหลือท่าน

ให้หนีออกจากที่คุมขังไปพบกันที่โอเอซิสร้างที่ท่านกับเจ้าชายเคยไปด้วยกันเมื่อเวลาที่ดาวเหนืออยู่กลางท้องฟ้า”



ซาจีกระซิบเบาๆผ่านโลหะเนื้อหนาที่กั้นเป็นตารางขวางอิสรภาพของมาอี เจ้านายของเขากับภายนอก มาอีก้มหน้าแล้ว

นิ่งคิดจนซาจีต้องเตือนสติ



“ข้าทราบว่าท่านยึดมั่นกับกฎระเบียบถ้าหนีไปเท่ากับความผิดยิ่งทวีคูณ แต่นายข้า ถ้าท่านได้เห็นสภาพของเจ้าชาย

ท่านจะไม่คิดแบบนั้น”



“ราโมสเป็นเช่นไร”



มาอีถามด้วยเสียงแหบโหย บาดแผลตามร่างกายเริ่มทุเลาที่เป็นแผลลึกเนื้อก็เริ่มสมานจนตกสะเก็ดเมื่อเวลาผ่านไป

เกือบสัปดาห์ที่เขาไม่รู้เหตุการณ์เบื้องนอกว่าเป็นเช่นไร



“ทรงผ่ายผอมอย่างเห็นได้ชัด”



ซาจีเล่าให้มาอีฟังพร้อมทอดถอนใจ



“มักจะทรงประทับอยู่ริมหน้าต่างแล้วทอดพระเนตรอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่ยอมเสวยพระกระยาหารจนพระวรกายยิ่ง

บอบบางลงไปอีก”


มาอีแทบหยุดหายใจเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ซาจีพูด ความสงสารแล่นจู่โจมท่วมท้นอยู่ในอกจนแทบกระอักเป็นเลือด  เขาเงย

หน้าขึ้นมองสบตากับซาจีแล้วกระซิบตอบแผ่วเบา



“ตกลง วันพรุ่งนี้ข้าจะลอบออกจากที่คุมขัง ส่วนเจ้าไม่ต้องช่วยเหลือข้า จงไปช่วยเจ้าชายราโมสให้หนีออกจากวังให้

ได้”



ค่อนคืนกว่าที่เขาจะฝ่าฟันจนพ้นออกจากที่คุมขัง แล้วโซซัดโซเซมาจนถึงโอเอซิสที่เขาและเจ้าชายราโมสเคยมาเที่ยว

เล่นแต่เยาว์ แม้ว่าด้วยฝีมือของราชองครักษ์อันดับหนึ่งจะเชี่ยวชาญเพียงใดแต่ด้วยสภาพที่ไร้ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์และ

ร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์เขาจึงต้องใช้เวลามากโขกว่าที่ลอบออกมาจากวังหลวง แต่มาอีก็ยังใจชื้นที่เขาสามารถช่วงชิงเค

เพชอาวุธคู่ใจมาจากทหารที่เฝ้ายามได้



มาอีก้าวย่ำอย่างอ่อนระโหยจนมาถึงแอ่งน้ำจืดกลางโอเอซิส เขาทรุดตัวลงก้มหน้าไปวักน้ำขึ้นมากลืนลงคออย่าง

กระหาย แล้วจึงรออย่างกระวนกระวาย ดาวเหนือขึ้นกลางฟ้าแล้วแต่ยังไร้วี่แววของคนที่เขาเฝ้ารอ จนมาอีต้องเดินกลับ

ไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น เขายังคงเฝ้ารอจวบจนดาวเหนือเคลื่อนตัวไปเกือบค่อนฟ้าซึ่งแสดงว่าใกล้ถึงย่ำรุ่งเต็มที่ จึง

ได้ปรากฎเงาตะคุ่มขึ้น



มาอีหลบวูบไปอยู่หลังเงาไม้สูงหัวใจเต้นเร็วด้วยความหวังว่าเจ้าของเงานั้นจะเป็นเจ้าชายราโมส จนกระทั่งร่างนั้นก้าวมา

ให้เห็นเด่นชัดอยู่ใกล้ตา เขาจึงได้ก้าวออกมาจากมุมมืด



“ซาจี ข้าอยู่นี่ แล้วราโมสล่ะอยู่ที่ไหน”



มาอีพยายามมองหาวรกายบางที่คุ้นตาเผื่อว่าจะทรงก้าวตามหลังซาจี แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่ากับใบหน้าซีดเผือดของ

ทหารคนสนิท ซาจีอ้ำอึ้งก่อนที่จะคุกเข่าลงเบื้องหน้ามาอีแล้วกล่าวคำที่มาอีไม่ต้องการฟัง



“นายข้า ขออภัยด้วย ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าชายราโมสออกมาได้”



ผิวหน้าคล้ำแดดกลับซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัดแม้แต่ในความมืด มาอีกระชากต้นแขนของทหารคนสนิทจนตัวลอยติด

อุ้งมือมายืนต่อหน้าเขา ก่อนที่จะตวาดจนดังก้องไปทั่วโอเอซิส



“บอกข้ามา ว่าตอนนี้ราโมสเป็นเช่นไร”



ซาจีตัวสั่นเมื่อเห็นอาการเกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย เขาก้มหน้าต่ำเมื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น



“ข้ากำลังจะลอบพาเจ้าชายออกมาจากเขตพระราชฐานได้สำเร็จแล้ว แต่จู่ๆ ทหารของฟาโรห์ก็มาล้อมไว้และจับกุมเจ้า

ชายราโมสคืนสู่ราชวังแถมตอนนี้พระองค์ยังถูกจับใส่ตรวนเพื่อไม่ให้ทรงหนีได้อีก”



โอ…ไม่ ราโมสยอดดวงใจ



จิตใจของมาอีแทบไม่อยู่กับร่างกายเมื่อได้ยิน


เขาปล่อยซาจีแล้วรีบวิ่งกลับไปทางเดิมที่จากมา ชีวิตของเขาไม่มีคุณค่าถ้าสุดท้ายต้องลงเอยโดยปราศจากราโมสที่

เป็นทุกอย่างของชีวิต



กว่าจะถึงพระราชวังที่เขาอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดก็ใกล้ย่ำรุ่งเต็มที มาอีมีเวลาไม่มากที่จะอาศัยความมืดมิดลอบกลับเข้าไป

จนถึงเขตตำหนักของเจ้าชายรัชทายาท พอเท้าเหยียบเข้าไปในตัวตำหนัก แสงแรกแห่งอรุโณทัยก็จับอยู่ที่ขอบฟ้าพอดี



ราชองครักษ์หนุ่มย่างก้าวอย่างเงียบเชียบจนถึงหน้าบานประตูใหญ่หน้าห้องพระบรรทมที่เขาคุ้นเคย หัวใจของเขาเต้น

เร็วแรงด้วยความหวาดวิตกจนมาอีต้องสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ความสงบกลับคืนมาแล้วเอื้อมมือไปผลักบานประตูหนา

หนักนั้นอย่างระมัดระวัง



ทันทีที่ประตูบานใหญ่เปิดกว้างให้เห็นภาพภายใน มาอีก็ต้องเบิกตากว้าง ตัวแข็งราวกับก้อนหินหัวใจของเขาหล่นร่วง

ราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิวออกจากขั้ว
 


ไหนล่ะ ราโมสที่ถูกล่ามตรวน



ไหนล่ะ ราโมสที่คร่ำครวญราวกับจะขาดใจเมื่อมองเห็นเขาถูกลงทัณฑ์ด้วยแส้อยู่ที่พื้นห้อง



จะมีก็แต่วรกายบางที่อยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน ซ้ำร้ายโอษฐ์อิ่มที่เขาเคยประทับริมฝีปากลงไปอย่างดูดดื่มบัดนี้กลับ

ถูกครอบครองด้วยปากของคนที่เขาคาดไม่ถึง  ดวงตาของมาอีคุโชน สองมือกำแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ



โกรธ เขาโกรธจนแทบระเบิดเมื่อเห็นเจ้าชายราโมสทรงยินยอมให้คนๆ นั้นจูบแต่โดยดี



วรกายที่เคยเป็นของเขาบัดนี้ยืนนิ่งคล้ายยอมรับจุมพิตจากคนตรงหน้า มาอีกัดริมฝีปากจนห้อเลือด เขาเค้นเสียงรอด

ไรฟันออกมาอย่างดุดัน



“ราโมส เหตุใดเจ้าทำเยี่ยงนี้”



ร่างทั้งสองตรงหน้าชะงักจากการจุมพิต คนที่บังอาจเหยียบหัวใจของเขายอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วผินหน้า

มายิ้มเยาะหยันให้เขายิ่งเจ็บปวด



“ไอ้ฮาอัส”



มาอีคำรามลั่น ดึงเคเพชออกจากซองหนังเสือที่เอวแล้วพุ่งตรงเข้าหามหาอำมาตย์อย่างรวดเร็ว ฮาอัสผลักให้เจ้าชายรา

โมสพ้นทางแล้วเบี่ยงกายหลบก่อนที่การต่อสู้ระหว่างมาอีและฮาอัสจะเริ่มต้น



แม้ว่ามาอีจะขึ้นชื่อเรื่องการต่อสู้ แต่ฝีมือของมหาอำมาตย์ก็มิได้เป็นรอง ประกอบกับความอ่อนล้าของร่างกายและความ

วู่วามจากโทสะของมาอีทำให้ฮาอัสเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซ้ำร้าย เมื่อเสียงของการต่อสู้แว่วดังไปด้านนอก บรรดาทหาร

รักษาพระองค์ก็กรูกันเข้ามา มาอีอยู่ในวงล้อมและถูกจับกุมได้ในที่สุด มาอีฮึดฮัดเมื่อถูกล็อคแขนไว้และบังคับให้คุกเข่า

เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าชายราโมส



อนิจจา ดวงตาหวานเชื่อมที่เคยมองเขา ดวงตาที่เป็นห่วงยามเขาบาดเจ็บ ไม่มีอีกแล้ว



มีแต่ดวงตาที่ว่างเปล่าเลื่อนลอย ไม่มีเขาอยู่ในสายตาอีกต่อไป มาอีกัดฟันกลืนก้อนสะอื้นลงไป เขาจะทำให้ฮาอัสเห็น

ไม่ได้ว่าเขากำลังจะขาดใจ



“โอ…มาอีกลับมาจนได้”



ฮาอัสกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างสาแก่ใจแล้วจึงก้าวไปหาเจ้าชายราโมสที่ยืนนิ่งอยู่ที่กลางห้อง



“กลับมาทันเวลาเห็นข้ากับเจ้าชายตกลงกันอย่างสันติวิธีสินะ”



ฮาอัสก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าเจ้าชายราโมสแล้วยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าเรียวอย่างหลงใหล



“เรามาทำให้มาอีเห็นกับตาอีกสักครั้งดีไหมกระหม่อม ว่าการตกลงกันด้วยไมตรีจิตเขาทำกันเยี่ยงไร”
 


“อ๊ากกก”



มาอีตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งเมื่อเห็นฮาอัสบดริมฝีปากไปที่โอษฐ์ของราโมสอีกครั้งโดยไร้การขัดขืนซ้ำยังสอดปลายลิ้นลง

ไปอย่างย่ามใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำไปหมดเมื่อฮาอัสยอมถอนริมฝีปากออกมาแล้วหันมามองเขาด้วยใบหน้าของผู้

ชนะ



“ตอนนี้ราชองครักษ์มาอีคือนักโทษที่หนีการลงทัณฑ์ มีความผิดอันใหญ่หลวง”



มหาอำมาตย์ฮาอัสประกาศก้อง



“จับกุมตัวไปคุมขังอย่างเข้มงวด รอการบัญชาจากข้า”



สิ้นสุดคำสั่งของฮาอัส ทหารที่ยึดตัวของมาอีไว้ก็ลากเขาให้พ้นจากห้องพระบรรทมจนออกจากตำหนักผ่านอุทยานออก

มา แต่เมื่อเกือบถึงที่คุมขังกลับปรากฏร่างของชายกลุ่มหนึ่งที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าทอสีเข้มออกมาต่อสู้กับบรรดาทหาร

ของฮาอัส มาอีหลุดจากการยึดเหนี่ยวเขาจึงร่วมกับคนที่เขายังไม่รู้ว่าเป็นใครต่อสู้จนได้รับชัย



หนึ่งในบรรดาผู้ที่ไม่เปิดเผยโฉมหน้าคว้าแขนให้มาอีวิ่งตามไป จนออกนอกเขตพระราชวังไปสิ้นสุดที่บ้านหลังเล็กริมเขต

กำแพงเมือง คนที่มีท่าทางเป็นหัวหน้าเคาะประตูเป็นรหัส ไม่นานนักประตูบานเล็กก็เปิดออก มาอีถูกผลักให้ก้าวเข้าไป

ด้านใน ก่อนที่กลุ่มคนที่เขายังไม่เห็นหน้าจะกรูกันเข้ามาแล้วประตูก็ถูกปิดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว คนที่

ปิดบังใบหน้าทั้งหมดจึงดึงผ้าสีเข้มออก มาอีจึงได้เบิกตากว้าง



“ท่านพ่อ”



คนที่เป็นหัวหน้าคือเมเลสบิดาของเขานั่นเอง ส่วนคนอื่นๆ ก็คือเหล่าทหารคนสนิทของฟาโรห์ที่มาอีก็รู้จักแทบทั้งหมด


ความแปลกใจยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากห้องที่อยู่ภายใน จนเมื่อเจ้าของฝีเท้าก้าวออกมาสู่ห้อง

โถงทุกคนที่ยืนอยู่จึงรีบค้อมศีรษะลง


“องค์ฟาโรห์”



มาอีรีบค้อมศีรษะลง เขาพึมพำกับตัวเองอย่างงงงัน



“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”



“ตามสบายทุกคน”



เมื่อได้รับดำรัสอนุญาต ทุกคนจึงปล่อยตัวตามสบาย เมเลสดึงตัวบุตรชายมากอดแน่น



“มาอี ลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”



มาอีสบตาบิดาที่กลั้นน้ำตาจนดวงตาแดงก่ำเมื่อเห็นริ้วรอยบนร่างกายของเขา มาอียิ้มแล้วโผเข้ากอดตอบผู้เป็นบิดา



“ข้าไม่เป็นไร ท่านพ่อ”



เมื่อไต่ถามกันจนพอใจมาอีก็เอ่ยถามข้อข้องใจ



“เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ข้าถูกคุมขัง”



เมเลสมองไปยังฟาโรห์ เมื่อเห็นพระองค์พยักพระพักตร์ เมเลสจึงได้เริ่มเล่าเรื่อง             



“เมื่อลูกถูกคุมขัง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันฮาอัสมันเริ่มคุกคามองค์ฟาโรห์ มันถือเอาอำนาจของมหาอำมาตย์ปลดกองกำลัง

ที่ขึ้นตรงต่อฟาโรห์แล้วเปลี่ยนเอาพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อมันมาทำงานล้อมหน้าล้อมหลังองค์ฟาโรห์แทน พ่อเองก็เพิ่งรู้

ว่ามันซ่องสุมคนไว้เยอะขนาดนี้”



เมเลสกล่าวด้วยสีหน้ากลุ้มใจ



“ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ทั้งพระสนมเซพเทตและเจ้าหญิงราบีอาก็ดูเหมือนจะให้การช่วยเหลือไอ้ฮาอัส ที่สำคัญ พ่อไม่รู้ว่าทำไม

เจ้าชายราโมสจึงไม่มีปฎิกิริยาอะไรเลยกับเรื่องนี้ ซ้ำยังดูโอนอ่อนผ่อนตามอย่างไม่น่าเชื่อ”



มาอีกัดริมฝีปากเมื่อผู้เป็นบิดากล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตากร้าวเมื่อคิดถึงภาพที่ได้เห็น


เสียงถอนพระอัสสาสะดังขึ้นจากฟาโรห์เพตเทเมน ก่อนที่พระองค์จะตรัสด้วยสุรเสียงเครียด


“ข้าไม่รู้ว่าทำไมทั้งลูกชายและลูกสาวถึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับฮาอัสหมด เป็นความผิดข้าเองที่มองแต่ความฉลาดของ

ฮาอัสจนมองข้ามความเจ้าเล่ห์ของมัน มอบตำแหน่งสำคัญให้จนอำนาจเหนือผู้อื่น จริงๆ แล้วข้าก็คิดยกบัลลังค์ให้ราโม

สกับราบีอาอยู่แล้ว กลัวแต่ว่าเจ้าฮาอัสจะคิดไม่ซื่อจึงได้หาทาง


รวมพลอยู่นอกวังอย่างนี้”



ทรงหันพระพักตร์มาทางมาอี แล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจัง



“มาอี เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีฝีมือและไว้ใจได้ เจ้าจะรับปากกับข้าได้หรือไม่ ว่าจะดูแลคุ้มครองราชบัลลังค์ของไอยคุปย์รวม

ถึงรัชทายาทให้ปลอดภัยจากมือผู้ไม่ประสงค์ดี”



มาอีได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบคุกเข่าก้มหน้าจนหน้าผากแนบพื้น



“หม่อมฉันรับปากพะยะค่ะ ข้าจะปกป้องดูแลไอยคุปต์ตราบลมหายใจสุดท้ายของหม่อมฉัน”



 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2015 19:26:54 โดย Belove »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มาม่าชามโตกำลังจะมาแล้วสินะ
สงสารแต่เจ้าชาย เห้ออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
เจ้าชายโดนทำไรแน่เลยยย  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
จากกันด้วยความแคลงใจ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อืมแล้วอะไรล่ะที่ทำให้แค้น ดูจะไม่สมเหตุสมผลเลยนะ หรือพวกพระเอกจะไม่รู้ว่ายังมีพิธีที่ไม่ดีแบบนี้อยู่ถึงปักใจเชื่อ นี้หรอเรียกว่ารักกันนะมาอี รักแต่ตัวเองนะสิไม่ว่า ผิดหวังในตัวมาอีสุดๆเลยไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีตยังโง่ไม่เลิก กว่าความจริงจะเปิดเผยคงปางตายกันไปบ้างแหละ

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                คำสาปร้าย พ่ายรัก


                                                      บทที่ 24

             มาอีหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังเล็กติดกำแพงเมืองได้ไม่กี่วัน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้นนายทหารที่ได้

รับบาดเจ็บนายหนึ่งซมซานกลับมาเพื่อแจ้งข่าวที่ทำให้นายทหารอีกหลายคนที่หลบซ่อนตัวพร้อมกับเขาตกใจจนแทบ

สิ้นสติ ว่ามหาอำมาตย์ฮาอัสได้มุ่งเข้าตีฝ่ากองกำลังรักษาความปลอดภัยขององค์ฟาโรห์เพื่อหมายที่จะควบคุมพระองค์


            องค์ฟาโรห์เพตเทเมนพร้อมทั้งทหารคนสนิทต่างลุกขึ้นต่อสู้เพื่อป้องกันมิให้ถูกจับใครที่ต่อสู้ขัดขวาง เหล่า

ทหารขององค์ฟาโรห์ล้วนบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ร่วง บางส่วนต้องยอมจำนนให้ทหารของฮาอัสจับกุมไปอย่าง

ง่ายดาย



          มาอีกุมเคเพชอาวุธคู่ใจด้วยความโกรธแค้นเหลือที่จะกล่าว เขาและนายทหารที่เหลืออยู่พร้อมใจกันเร่งเดินทาง


กลับเข้าไปในพระราชวัง เพื่อช่วยเหลือองค์ฟาโรห์เป็นการด่วน จนเมื่อเดินทางไปถึงมาอีก็เห็นว่าทหารที่จงรักภักดีต่อ

ฟาโรห์เพตเทเมนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ทุกคนก็พยายามยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด รวมถึงตัวเขาที่เพียรฟาดฟันอาวุธ


คู่ใจปลิดชีพพวกที่คิดทรยศ


         มาอีและพรรคพวกอีกหลายคนพยายามฝ่าไปจนเกือบถึงเขตราชฐานชั้นใน แต่กำลังก็เริ่มถดถอยและต่างก็ได้รับ

บาดเจ็บจนกระทั่งพวกของเขาไปบรรจบกับทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งที่กำลังต่อสู้จนสุดแรงอยู่หน้าทางเข้าสุดท้าย



“ท่านพ่อ”



              มาอีตะโกนก้องที่เห็นบิดาของตนล้มลงนอนขวางทางเข้าด่านสุดท้ายไว้ โลหิตไหลเป็นทางดวงตาเบิกโพลง

ด้วยความเจ็บปวด ราชองค์รักษ์มาอีโผเข้าหาผู้เป็นบิดาประคองร่างนั้นไว้อย่างรักใคร่เทิดทูนน้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินอาบ

แก้ม มือของผู้เป็นบิดาพยายามเอื้อมมาแตะผู้เป็นบุตร



“ปกป้องฟาโรห์ ปกป้องเจ้าชาย ลูกรักของพ่อ”



มาอีกอดร่างของบิดาไว้แน่น เขาพยายามกลั้นสะอื้นแต่ก็ทำไม่ได้



“ข้าสัญญาท่านพ่อ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ข้าจะไม่ลืม”



              ใบหน้าอ่อนแรงของเมเลสค่อยๆ ยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมือที่เอื้อมมาแตะใบหน้าของมาอีจะตกลงไป

ตามแรงโน้มถ่วงพร้อมกับวิญญาณที่ปลิดปลิว



“อ๊ากสสสส”



มาอีกอดบิดาไว้แน่น เขาตะโกนก้องระบายความเจ็บปวดดวงตาคมคุโชนด้วยไฟแค้น เขาวางร่างที่ไร้วิญญาณของบิดา

อย่างเบามือ แล้วเขาก็พุ่งตัวไปฟาดฟันเหล่าทหารของฮาอัสด้วยโทสะ



           แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในที่สุดพวกเขาที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็ถูกจับกุมแล้วมัดตัวผูกติดอยู่กับเสาไม้กลางลานกว้าง

ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ จนกระทั่งแสงอาทิตย์ที่โรยราพร้อมร่างไร้วิญญาณที่กองเกลื่อนอยู่ทั่วราชวัง จนบัดนี้ มา

อียังไม่รู้ชะตากรรมของฟาโรห์เจ้าชีวิตและเจ้าชายราโมสเจ้าหัวใจของเขาแม้แต่น้อย



เมื่อความมืดแห่งรัตติกาลมาเยือน มาอีที่ร่างกายอ่อนระโหยจากการต่อสู้และขาดน้ำขาดอาหาร ค่อยๆ ลืมตามองร่างที่

ซ่อนตัวอยู่ในผ้าทอสีเข้มที่มายืนอยู่เบื้องหน้า ช่วงผ้าที่บดบังใบหน้าถูกเปิดออก ใบหน้าของมาอีกร้าวด้วยความแค้นเมื่อ

เห็นใบหน้าชัดเจน



“ไปให้พ้นหน้าข้า นังหญิงแพศยา”



มาอีถ่มน้ำลายใส่วรกายของเจ้าหญิงราบีอาจนกระเด็นเปรอะผ้าคลุมอยู่เป็นวงกว้าง เจ้าหญิงทรงกัดพระทนต์ด้วยความ

แค้น



“เป็นเพราะเจ้าต่างหากมาอี ที่ไม่สนองตอบความรักของข้า ทั้งที่ข้าให้โอกาสเจ้าไม่รู้ต่อกี่ครั้ง เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้ข้า

ต้องพลีกายเป็นสาวกแด่พญางูอะโพรฟิส ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเจ้า”



“ฮะ ฮะ ฮ่า”



มาอีเงยหน้าหัวเราะหยามเหยียด



“มันเป็นเพราะความไม่รู้จักพอ และความร่านราคะของเจ้าต่างหากราบีอา เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น เจ้าพาตัวเองไปสู่ทางอ

โคจรไม่พอ เจ้ายังพาบุคคลที่เลวร้ายมาทำลายพระราชบิดาและเมืองของเจ้าเองอีก หญิงชั่ว”



“ไม่…ไม่ใช่เพราะข้า”



วรกายของเจ้าหญิงราบีอาสั่นสะท้านด้วยทรงกริ้วจนพระเนตรแดงก่ำ ปลายพระหัตถ์ชี้หน้ามาอีสั่นสะท้านยิ่งกว่าวรกาย

เมื่อฟังคำบริพาษจบลง



“เป็นเพราะพวกเจ้านั่นแหละ มาอี ข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะยอมสนองตอบข้าหรือไม่”



ดวงตาคมของมาอีบอกถึงความหยามเหยียดอย่างที่สุด



“ฝันไปเถอะ นังหญิงแพศยา”



เจ้าหญิงราบีอาถลาเข้ามาฟาดพระหัตถ์ลงกับใบหน้าของมาอีจนชาดิก ก่อนที่พระองค์จะจิกเส้นผมแล้วดึงขึ้นจนมาอี

หน้าแหงนตามแรงนั้น ดวงตาแดงก่ำจ้องมาอีราวกับไฟร้อนที่มาจากนรก



“เจ้ากับราโมสจะไม่มีวันสมหวัง ข้าสาบาน”






             พยับเมฆดำทมึนลอยต่ำ ยิ่งทำให้ท้องฟ้ายามราตรีกาลมืดมิดลงอีก นกกลางคืนรู้แกวบินผวาหนีจากการเกาะ

เกี่ยวอยู่บนยอดของวิหารเล็กที่ซ่อนตัวอยู่กลางทะเลทราย เมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีแห่งความอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจาก

ภายใน


                     เสียงอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงอยู่ภายนอก มิได้ทำให้ร่างที่ยืนตัวตรงห่อหุ้มไปด้วยผ้าทอย้อมสีเข้มจน


มองเห็นเพียงดวงตาที่ดำขลับขยับเขยื้อน ซ้ำร้ายดวงตาคู่นั้นยังลุกโชนราวกับแสงไฟจากแท่งใต้ที่ตั้งอยู่



           ด้านข้างของแท่นหินก้อนใหญ่ตรงหน้าจะสะท้อนออกมา ร่างที่ยืนนิ่งเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองเทวรูปองค์

ประธานในวิหาร



น่าแปลก...เทวรูปนั้นกลับไม่ใช่ก้อนหินแกะสลักที่ทำเป็นตัวแทนของเทพองค์ใด แต่หากกลับกลายเป็นรูปงูตัวใหญ่คด

เคี้ยว แผ่แม่เบี้ยชูคอหรา อัญมณีที่ประดับเป็นดวงตาของงูยักษ์เป็นสีแดงฉานยิ่งกว่าแสงเพลิงยิ่งทำใหญ่หินสลักยิ่งดู

เหมือนงูที่มีวิญญาณ



หินก้อนใหญ่หน้าตัดเรียบ ถูกนำมาวางอยู่ระหว่างงูยักษ์และมนุษย์เพียงคนเดียวเพื่อใช้เป็นที่จัดวางสิ่งบูชา ซึ่งตอนนี้

ปรากฎแค่ดินเผาที่ทำขึ้นมาลักษณะคล้ายภาชนะที่นำมาใส่น้ำภายในภาชนะดินเผามีอักษรรูปร่างแปลกประหลาดบันทึก

อยู่ในเนื้อดิน มนุษย์ที่มีลมหายใจก้มหน้ามองอีกครั้งเป็นครั้ง


สุดท้ายเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาของงูยักษ์อีกครั้ง ร่างที่ห่อหุ้มจนมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริง ชูแขนสองข้าง

ขึ้นเหนือศีรษะ แสดงการสักการะสูงสุด
 

ขอคำรามคำรพนบไหว้

แด่งูใหญ่ในพื้นปฐพี

แผ่อำนาจทั่วหล้าจวบถึงสุริย์ศรี

ข้านี้ขอรองบาททุกชาติไป

ขออำนาจที่แก่กล้า

ปกปักรักษาทุกสมัย

แลโปรดดลบันดาลขจัดศัตรูพ่าย

นาม.. มาอี..ชาติชายให้ย่อยยับ

อย่าได้พบพักตร์...ราโมส

ทุกภพทุกชาติจงแคล้วคลาด

ความรักจงกลับกลายพยาบาท

ตราบจนกว่าจะได้รับคำอนุญาต

จากข้า ผู้บูชา
 


สิ้นเสียงคำสาปแช่ง ดวงตาดำสนิทวาวโรจน์ขึ้น มือล้วงเข้าไปในเครื่องแต่งกายด้านใน แล้วดึงก้อนหินที่ถูกทำให้แหลม

และคม ขึ้นมาจ่ออยู่ที่ข้อมืออีกด้าน แล้วกรีดกับเนื้อจนโลหิตสีแดงฉานไหลเป็นทาง


ร่างนั้นปล่อยให้โลหิตหลั่งรินลงไปสู่ก้นของภาชนะดินเผา จนเป็นแอ่งคาวคลุ้งไปด้วยเลือด ก่อนที่จะ

ชะงักเมื่อได้ยินเสียงลมพัดอื้ออึงอยู่ภายนอกวิหาร


เปลวไฟที่ถูกลมพัดโบกไหว ก่อให้เกิดเงาดำทมึนเบื้องหลังงูยักษ์ มองไปก็เหมือนเป็นงูจริงที่ออกมารับการบูชา อัสนี

บาตฟาดครืนครั้งใหญ่ ดวงตาสีนิลไหววับอย่างพึงพอใจ มือข้างที่ไม่บาดเจ็บยกหินก้อนขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมา แล้วทุบ

ลงไปบนภาชนะดินเหนียว จนมันแตกเป็นเสี่ยง โลหิตภายในกระเด็นเซ็นซ่าน


มนุษย์ผู้นั้นดึงผ้าที่คลุมใบหน้าออก เผยให้เห็นเป็นพระพักตร์งดงามของราชธิดาแห่งฟาโรห์เพตเทเมนที่บัดนี้ดวงตาสี

นิลกลับคุโชนเป็นไฟราวกับดวงตาของรูปปั้นงูยักษ์กำลังกระตุกยิ้มอย่างสาสมใจ






          แสงแดดส่องสะท้อนจนลานกว้างที่มัดเหล่านักโทษไว้กับเสาไม้ต้นใหญ่ร้อนระอุ กลิ่นศพที่ถูกนำมารวมกันกอง

ไว้จนสูงท่วมหัวส่งกลิ่นคละคลุ้ง ทำให้เหล่านกแร้งกินซากพากันมาบินวนอยู่กลางอากาศยิ่งทำให้ชวนสังเวช



มาอีทอดสายตามองกองศพเหล่านั้นด้วยความเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา หนึ่งในกองศพเหล่านั้นต้องมีร่างไร้วิญญาณ

ของเมเลสผู้เป็นบิดา แต่เขากลับเข้าไปทำความเคารพและทำศพให้บิดาของเขาเดินทางไปเข้าเฝ้าเทพอะนูบิสตาม

ธรรมเนียมไม่ได้


เสียงเป่าแตรให้สัญญาณดังขึ้น ก่อนที่ขบวนแห่บางอย่างที่มาอีไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะมุ่งหน้าเข้าสู่ลานกว้าง แล้วเขาก็ต้อง

เบิกตากว้างเมื่อชายฉกรรจ์หลายคนหามกรงขนาดใหญ่เท่าตัวคนเข้ามา ภายในกรงขังกลับมีวรกายขององค์ฟาโรห์เพต

เทเมนประทับนั่งอยู่



มาอีมองวรกายที่พระอังสายังคงเหยียดกว้างด้วยขัตติยะกษัตริย์ทั้งน้ำตา เขาพยายามกระชากเชือกที่มัดรอบตัวไว้แต่ก็

ไม่สำเร็จ เสียงทุกอย่างเงียบลงเมื่อปรากฎร่างบุคคลบนกำแพงสูงเบื้องหน้าลานกว้าง


ราโมส!!


มาอีเห็นเจ้าของหัวใจของเขายืนประทับด้วยพระพักตร์เรียบเฉยอยู่บนกำแพง เบื้องพระปฤษฏางค์ กลับมีร่างของคน

ที่มาอีอยากจะพุ่งตัวไปบั่นคอที่สุด มหาอำมาตย์ฮาอัสก้าวมาด้านหน้า แล้วเอ่ยเสียงดังก้อง


“ฟาโรห์เพตเทเมนปกครองไอยคุปต์อย่างไร้ความสามารถ การเกษตรตกต่ำ การค้าขายก็ฝืดเคืองทำให้ผู้คนอดอยาก

ยากไร้ พระองค์จะยอมรับความผิดเหล่านี้หรือไม่”



“ทุด”



องค์ฟาโรห์ทรงถ่มพระเขฬะ ทรงทอดพระเนตรฮาอัสด้วยความแค้น


“หาใช่เป็นเพราะเหตุดังกล่าว แต่เป็นเพราะเจ้าที่มักใหญ่ใฝ่สูงต่างหาก ฮาอัส เจ้าชั่ว”


ดวงตาหลุกหลิกลุกวาบเมื่อได้ยิน ฮาอัส ยกมือสั่งอย่างเหิมเกริม


“องค์ฟาโรห์มีความผิดจริงดังกล่าวจึงถูกถอดยศจากตำแหน่ง และถูกลงทัณฑ์ด้วยการฝังทั้งเป็น”


เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีจากเหล่านักโทษ ทุกคนร่ำไห้ไม่เว้นแต่มาอี เหล่าชายฉกรรจ์ที่หามกรงขังมาพากันลุกขึ้นแล้ว

แบกหามกรงขังผ่านพวกเขาทีละคน เมื่อกรงขังเดินผ่านมาอี วรกายที่ยังเหยียดกว้าง พระพักตร์ที่ยังเชิดสูงหันมาสบตา

กับเขา


“มาอี ช่วยปลดปล่อยข้า ช่วยปลดปล่อยราโมส ไม่ว่านานแค่ไหน”


ทรงตรัสทิ้งท้าย ก่อนที่กรงขังจะผ่านไปจนลับตา


“ไอยคุปต์จะขาดผู้นำไม่ได้ เจ้าชายราโมสจะขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์องค์ต่อไป”


เสียงประกาศของฮาอัสดังขึ้นต่อเนื่อง นายทหารของฮาอัสล้วนคุกเข่าและแซ่ซ้องพระนาม


“ฟาโรห์ราโมส ทรงพระเจริญ”


“และข้า ในฐานะมหาอำมาตย์เอกเป็นที่ปรึกษาแก่ฟาโรห์องค์ใหม่ ขอลงทัณฑ์พวกเจ้าที่ขัดขวางการขึ้นครองราชย์ของ

องค์ฟาโรห์ราโมสด้วยยาพิษที่ประทานจากพระองค์”


“ราโมส เจ้าจะบ้าไปแล้วรึ อย่าทำอย่างนี้”


มาอีตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาที่จ้องวรกายบอบบางที่อยู่เบื้องสูงเต็มไปด้วยความผิดหวังและคาดไม่ถึง พระเนตรที่

เฉยเมยเมื่อหันมาสบตากับมาอีค่อยๆ เบิกกว้าง ฮาอัสตะโกนเสียงดัง


“ราชองครักษ์มาอีคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธแค้นไปแล้ว นำยาพิษจากฟาโรห์ประทานสู่ราชองครักษ์เป็นคนแรก”


นายทหารด้านข้างที่เตรียมการไว้อยู่แล้ว ตรงเข้ามาหามาอี คนหนึ่งแก้เชือกที่มัดออกแล้วบังคับให้มาอีคุกเข่า ส่วนอีก

คนส่งถ้วยที่บรรจุน้ำยาสีเข้มกลิ่นฉุนมาให้ตรงหน้า


มาอียกมือขึ้นกุมที่หน้าอกด้านซ้าย เขาเจ็บยิ่งกว่าถูกของแหลมทิ่มแทงเป็นร้อยพันเท่า น้ำตาไหลรินลงมาเมื่อเขาเงย

หน้ามองบนกำแพงสูงด้วยสายตาที่ทั้งรักและแค้น


“เสียแรงที่ข้ารักเจ้าสุดชีวิต แต่เจ้าก็ทำให้ข้าเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ในเมื่อเจ้า…ที่เป็นเจ้าชีวิตและเจ้าหัวใจต้องการวิญ

ญาณของข้า ข้าจะมอบให้เจ้า ราโมส”


มาอีคว้าถ้วยยาพิษมาจากมือทหารและจ้องมองมันก่อนที่จะเทพรวดเข้าปากแล้วกลืนมันลงไป


พระเนตรขององค์ฟาโรห์องค์ใหม่เบิกกว้างจากท่าทีเฉยชา หยาดอัสสุชลรื้นไปทั้งหน่วยแล้วไหลรินลงมา วรกายบาง

ถลาไปเกาะขอบกำแพงแล้วทรงกรีดร้องโหยหวนเมื่อเห็นร่างกำยำทรุดลงแล้วดิ้นพราดอยู่กับผืนดินก่อนที่จะหยุดลง

พร้อมลมหายใจที่ขาดห้วง


“มาอี ไม่…อย่าทิ้งข้าไป”
 





        ดวงตายาวรีลืมตาโพลงในความมืด สิงหาจ้องมองร่างที่นอนคุดคู้หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยไฟแห่ง


ความแค้นที่มากับอดีตในความฝัน เขาเกือบลืมเลือนไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงเพราะมารยาที่คนๆ นี้หลอกเขามาแล้ว

ในชาติที่แล้ว รวมถึงชาตินี้ด้วย แต่เขาจะไม่โง่อีกครั้ง


เขาดันตัวบางๆ นั่นอย่างแรงจนหงายกลับไป คนหลอกลวงผวาตื่นอย่างตกใจ สิงหาไม่รอช้า เขาพลิกตัวขึ้นคร่อมไว้บน

ร่างนั้น ดันไหล่บางจนติดที่นอน


“พี่สิงห์ เป็นอะไร อ๊ะ อย่า…”


คนหลอกลวงร้องลั่นเมื่อเขากดริมฝีปากลงไปอย่างดุดัน
 
 
 
 
 
 
อัปเดตผลงานกันหน่อย


เพลิงพ่าย
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43444.0


X-theme the series season2
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45021.0


เกมพิสวาสซาตานร้าย
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46102.0










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2015 10:00:41 โดย Belove »

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
หวังว่าน้องจะจำเรื่องในอดีตทั้งหมดแล้วก็แก้ต่างให้ตัวเองได้นะคะ... :mew2:

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :z3: :z3: :z3:  พี่สิงห์เป็นบ้าอาร๊ายยยยย แกไม่รู้ความจริงอย่ามาพาลสิวุ้ยย  :katai1: :katai1:

นังหญิงชั่ว ร่านบีอา ชาตินี้แกก็คงเป็นก้อยสินะ  แต่ไหงมาชอบ น้องวินได้หว่า น้องวินเป็นราโมสนิ  :hao4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ง่าาาา สงสารน้อง

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
สิงหา อย่าเข้าใจน้องผิด โถ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด