คำสาปร้าย พ่ายรัก
บทที่ 34
สิงหาทอดสายตามองออกไปยังสายน้ำคดเคี้ยวสะท้อนแสงสุดท้ายแห่งวันด้วยจิตใจที่อ่อนล้า
แม่น้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้าประกอบด้วยผู้คนที่ยังใช้ประโยชน์จากผืนน้ำ ทั้งเดินทางและดื่มกิน
ทำให้สายน้ำแห่งนี้เป็นที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ผู้คนดำรงอยู่ได้
สิงหาอยากให้ธราเทพเป็นเหมือนสายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเขาให้มีชีวิตอยู่
เขายอมทำทุกทางที่จะให้เจ้าแห่งหัวใจกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือเขาหาหนทาง
คืนชีวิตให้ธราเทพไม่เจอ
ร่างสูงที่เคยผึ่งผาย บัดนี้เดินไหล่ลู่กลับเข้าไปในคอนโดมิเนียมของตนเองที่ตั้งอยู่บนตึกสูง
ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาก้าวตรงเข้าไปในห้องเล็กที่รูปหล่อทองเหลืองของชายที่มีศีรษะ
เป็นเหยี่ยวที่ยังคงสถิตอยู่ที่เดิม ดวงตาของรูปหล่อทองเหลืองที่หรุบลงมองสิงหา
ราวกับมีชีวิตเมื่อชายหนุ่มยอบตัวลงคุกเข่าต่อหน้าพลางมองตอบรูปหล่อด้วยแววตาวอนขอ
“เทพรา บิดาแห่งข้า หลังจากที่ท่านช่วยให้ภารกิจผ่านพ้นแล้ว
โปรดจงช่วยบุตรแห่งท่านอีกสักเรื่องเถิด โปรดจงช่วยให้ข้าถอนคำสาปและคืนชีวิต
ให้แก่หัวใจของข้า ได้โปรดเถิดเทพแห่งแสงสว่างทั้งปวง”
“เฮ้ย เร็วดิ เดี๋ยวอาจารย์อัคนีก็รู้เรื่องที่แกแอบลักเอาไอ้ถ้วยต้องคำสาปนี่มาหรอก ไอ้ก้อย”
ภูหิรัณย์หยุดเดินแล้วหันไปมองวริษฐาที่จ้ำอ้าวตามหลังมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
เมื่อทั้งคู่ต้องนำมาคืนไว้ที่เดิม คือที่โต๊ะทำงานของด็อกเตอร์อัคนีในมหาวิทยาลัย
“รู้แล้ว ก็เร่งจนขาจะฉีกแล้วเนี่ย ไม่เห็นหรือไง”
วริษฐาที่เร่งฝืเท้าจนทันหายใจหอบน้อยๆ ในมือถือกล่องใส่วัตถุโบราณอย่างระมัดระวัง
เมื่อมาเกือบถึงหน้าคณะโบราณคดี
“พี่สิงห์เขาหยิบเอาส่วนที่เป็นของเขาออกไปแล้วใช่ไหมวะ ไม่งั้นนี่ถ้าตามหาเจ้าหญิงราบีอา
เจอก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีส่วนของถ้วยไปแก้คำสาป”
ภูหิรัณย์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาเองก็กังวลเรื่องธราเทพเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กของเขา
ไม่น้อยกว่าคนอื่น วริษฐาพยักหน้ารับให้คนเป็นเพื่อนคลายกังวล
“เรียบร้อย ในกล่องนี้มีแต่ส่วนของที่น้าอัคนีได้มาจากอียิปต์”
ภูหิรัณย์รับรู้พลางหันกลับไปเพื่อที่จะเดินตรงไปที่อาคารเรียน แต่ก็ต้องผงะและเซ
จนเกือบล้มเมื่อหันไปชนเข้ากับคนที่เดินตัดหน้าเข้าพอดี
“โอ๊ะ เดินยังไงวะ ไม่เห็นคนยืนอยู่หรือไง อ้าว…”
ภูหิรัณย์ที่เพิ่งเงยหน้ามองขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นคนที่เดินตัดหน้าจนเขาเกือบล้ม
“ไอ้ตรี”
ชายหนุ่มขานชื่อคนที่ยืนกอดอกมองมาอย่างหาเรื่อง โดยที่มีลูกสมุนอีกสองคนยืนอยู่เบื้องหลัง
“ก็มึงเสือกยืนขวางทางกูเองนี่ไอ้เซน แล้วคู่หูของมึงไม่มาด้วยหรือไง”
ตรีภพพูดอย่างชวนทะเลาะพลางสอดส่ายสายตามองหาธราเทพ วริษฐาได้แต่รั้งแขนของเพื่อน
ไว้เพื่อปรามอารมณ์เดือด
“มึงจะมาหาเรื่องอะไรไอ้วินมันอีก กูถามจริงเหอะมึงนี่แค้นอะไรมันนักหนาถึงคอยหาเรื่อง
ไอ้วินตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นควายแล้วก็ยังไม่เลิก”
“อ้าว ไอ้เซน มึงพูดงี้หาเรื่องกูนี่หว่า กูน่ะเป็นห่วงกลัวไม่มีใครไปช่วยหลวงพ่อของมัน
หิ้วปิ่นโตตอนเช้าต่างหากล่ะ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากตรีภพและลูกน้องยิ่งทำให้ภูหิรัณย์ที่เครียดเรื่องธราเทพอยู่แล้ว
ยิ่งทวีโทสะ เขายกมือชี้หน้าตรีภพพลางต่อว่าเสียงดัง
“มึงน่ะ ก็ได้แต่อิจฉาไอ้วินเท่านั้นแหละที่มันหล่อกว่า เรียนเก่งกว่า ส่วนมึงน่ะนอกจาก
มีเงินแล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง กูจะบอกมึงให้ว่าคนอย่างมึง ไม่มีอะไรจะไปเทียบกับคนดี
อย่างไอ้วินหรอก”
“ไอ้เซน”
ตรีภพปรี่เข้าหาพลางยกหมัดขึ้นชกหน้าภูหิรัณย์ด้วยความโมโห วริษฐาหวีดร้องด้วยความ
เป็นห่วงเมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนเซตามแรงหมัดจนแทบจะไปกองกับพื้น มิหนำซ้ำตรีภพ
ยังตะโกนบอกให้ลูกน้องวิ่งตรงเข้ามาจัดการกับภูหิรัณย์
ภูหิรัณย์ก็สู้ไม่ถอยแม้จะเป็นสามรุมหนึ่ง จนตรีภพเองยิ่งบันดาลโทสะที่ล้มภูหิรัณย์ไม่ลง
เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังที่สะพายอยู่แล้วหยิบมีดพกอันเล็กขึ้นมาสะบัดคมออกจาก
ปลอกเก็บ พลางยกขึ้นชี้ใส่ภูหิรัณย์
“เซน ระวัง”
วริษฐาตะโกนลั่น ภูหิรัณย์ยืดตัวขึ้นพลางเขยิบมายืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อนสาว
ตรีภพไม่สนใจก้าวตรงรี่เข้ามาแล้วป่ายมือไปมาเป็นที่หวาดเสียวแก่ผู้ที่มายืนมุง
ภูหิรัณย์คว้าหมับที่ข้อมือของตรีภพพลางหักลง ตรีภพใช้แรงผลักจนภูหิรัณย์เซไปข้างหลัง
แล้วหงายหลังไปชนวริษฐาจนหงายหลังไปพร้อมกัน กล่องใส่วัตถุโบราณหลุดจากมือหญิงสาว
จนร่วงกระแทกพื้น ฝากล่องหลุดจนเผยให้เห็นถ้วยดินเผาเก่าแก่
ขัอมือของตรีภพที่ถือมีดพกถูกปัดจนหลุดมือ มีดเล็กลอยขึ้นไปในอากาศแล้วร่วง
ลงมาตามแรงโน้มถ่วงแหวกอากาศมากรีดเข้าที่ต้นแขนของตรีภพจนเสื้อนักศึกษา
ขาดเป็นทาง เลือดไหลซึมออกจากบาดแผล แล้วหยดลงมาเปรอะเปื้อนเศษดินเผา
ในกล่องเก็บที่ตกอยู่บนพื้นดินอย่างพอดิบพอดี
ภูหิรัณย์รวบรวมแรงผลักตรีภพออกไปจนพ้นตัว แล้วรีบลุกขึ้นยืนจังก้าเตรียมรับมือ
แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจกับเสียงอุทานของวริษฐา
“เซน เซน ดูนี่เร็วๆ”
เมื่อชายหนุ่มหันไปมองตามที่วริษฐาเรียก ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
ควันสีดำลอยคลุ้งออกจากเศษดินเผาก่อนที่เปลวไฟจะค่อยๆ ลุกวาบแล้วเผาผลาญ
ถ้วยดินเผาต้องคำสาปจนไม่มีเหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
สิงหากุมมือนุ่มที่ตอนนี้ซีดจนแทบจะกลายเป็นกระดาษพลางยกมือนั้นขึ้นมาแนบแก้ม
อย่างรักใคร่ เสียงถอนหายใจดังขึ้นจนตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะถอนหายใจไปเพื่ออะไร
เมื่อทำไปแล้วธราเทพก็ยังไม่ตื่นจากนิทราเสียที
“วินฝันดีหรือเปล่า มีพี่อยู่ในความฝันของวินไหม”
สิงหารำพึงอยู่กับหนุ่มน้อยที่ยังหลับใหล
“แต่พี่อยากให้วินตื่นมาอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากกว่า พี่อยากกอดวิน
อยากบอกรักวินทุกวัน”
โน้มตัวไปจุมพิตที่หน้าผากมนก่อนที่จะสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์มือถือที่แผดดัง
สิงหาหยิบมันขึ้นมารับแล้วกรอกเสียงลงไป
“ว่าไงเซน”
“มะ มันไหมไฟ พี่สิงห์ เลือดไอ้ตรีมันหยดลงไป ละแล้วมันก็มีควันดำ”
“เดี๋ยวๆ เซน ใจเย็น ค่อยๆ พูด พี่ไม่เข้าใจ”
เขาได้ยินเสียงภูหิรัณย์สูดหายใจเข้าออกอยู่หลายที ก่อนที่จะพูดออกมาได้อีกครั้ง
“เลือดไอ้ตรีภพ โจทย์เก่าไอ้วินมันหยดลงไปในถ้วย แล้วอยู่ๆ ก็มีควันดำลอยขึ้นมา
จากนั้นไฟก็ลุกเผาถ้วยจนไม่มีเหลือเลยพี่ ฮัลโหล พี่สิงห์ พี่สิงห์”
โทรศัพท์มือถือเลื่อนหลุดจากมือ เสียงของภูหิรัณย์จางหายไปแต่สิงหาก็ไม่ได้สนใจ
เมื่อมัวแต่ตะลึงมองร่างที่หลับใหลค่อยๆ ขยับตัว ขนตาหนากะพริบเบาๆเป็นสัญญาณ
แห่งการรับรู้
สิงหาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ เมื่อดวงตาคู่หวานเปิดขึ้นมาช้าๆ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้ตรีจะเป็นราบีอา”
ธราเทพที่ยืนเกาะราวระเบียงคอนโดหรูมองต่ำไปยังสายน้ำคดเคี้ยวที่หล่อเลี้ยง
ชีวิตผู้คนเบื้องล่าง
หลังที่ตื่นจากการหลับ ธราเทพแทบจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยนอกจากความรู้สึกหิวโหย
และเขาก็จัดการอาหารมื้อใหญ่จนเรียบ จากนั้นร่างกายก็ฟื้นตัวจนเป็นปกติ
แม้แต่แพทย์เจ้าของไข้ยังแปลกใจ แต่ก็ยอมให้เขาออกจากโรงพยาบาลหลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน
เมื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดอีกรอบก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ
เหตุการณ์ต่างๆ ถูกเล่าให้เขาได้รู้ ธราเทพเองก็แปลกใจไม่แพ้คนอื่นที่รู้ว่าหยดเลือด
ที่แก้คำสาปได้เป็นเลือดของตรีภพ
“ตอนนี้ผมไม่แปลกใจแล้วที่ไอ้ตรีมันเกลียดขี้หน้าผมตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพราะเรื่องในอดีต
ตั้งแต่ชาติที่แล้วนี่เอง”
“ใช่ เป็นเพราะราบีอาที่ไม่สมหวังในรักโยนความผิดให้ราโมส จึงได้จงเกลียดจงชัง
พี่ชายและความรู้สึกนั้นก็ฝังแน่นอยู่ในจิตมาจนถึงชาตินี้”
สิงหาที่เดินมายืนเคียงข้างถอนหายใจ
“มัวแต่ตามหาคนผิด หาคนที่หลงรักพี่สิงหาแต่ลืมมองคนที่เกลียดผมใช่ไหมครับ”
ธราเทพคลี่ยิ้ม
“เป็นเพราะไอ้ตรีมันยังไม่เคยเจอพี่ ความรักมันเลยยังไม่เกิด สงสัยผมต้องระวังไม่ให้มัน
ได้เจอพี่สิงห์เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย”
“หึงล่ะสิ”
สิงหายิ้มยั่วเย้าจนธราเทพต้องย่นจมูกใส่ สิงหามองอย่างเอ็นดูพลางใช้มือบีบจมูกอย่างมันเขี้ยว
“พี่เกือบเสียวินไปอีกแล้ว”
ร่างสูงก้าวไปซ้อนหลังแล้วสวมกอดธราเทพไว้ เกยคางที่ไหล่มนแล้วมองไปยังลำน้ำเบื้องหน้า
เช่นเดียวกัน
“ต่อไปนี้คงจะไม่มีอุปสรรคอะไรอีก วินย้ายมาอยู่กับพี่นะ”
“เหลือเวลาอีกเกือบเดือนกว่าจะเปิดเทอม ผมคิดว่าจะบวช”
“อะไรนะ”
สิงหาร้องเสียงหลงแล้วปล่อยร่างนุ่มออกจากอ้อมกอด เขาบีบที่ไหล่ทั้งสองข้างพลางดึง
ให้ธราเทพหันหน้ามาสบตา
“ทำไมต้องบวช”
“ก็บวชให้ท่านพ่อ ฟาโรห์เพตเทเมน แล้วก็เจ้ากรรมนายเวรในครั้งนั้นไงครับพี่สิงห์”
สิงหาหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ
“บวชแล้วจะสึกหรือเปล่า ไม่ใช่ติดใจจนบวชตลอดชีวิตหรอกนะ”
“โธ่ พี่สิงห์”
หนุ่มน้อยหัวเราะเสียงหวาน
“สึกสิครับพี่ อย่ากลัวไปเลย ผมยังตัดกิเลสไม่หมดหรอก ต้องอยู่กันพี่ออกจากพวกที่มาวอแว”
“จริงนะ งั้นพี่ขอค่ามัดจำไว้ก่อน”
ดวงตาพราวระยิบระยับที่มองมาพราวแสงเหมือนแสงดาวที่เริ่มปรากฎตัวที่ริมขอบฟ้า
เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงสู่ผืนดินจนเหลือแค่แสงสีส้มนวลตาทาบทอไปกับสายน้ำเจ้าพระยา
ในที่สุดองค์เทพราก็ขับเคลื่อนเรือลำใหญ่จากท้องฟ้าด้านหนึ่งสู่อีกด้านเสร็จสิ้นลง
รอเวลาเดินทางในวันรุ่งเพื่อนำแสงสว่างสู่ผู้คนอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่อดีตกาล
สิงหานึกบูชาเทพราอยู่ในใจเมื่อเขาได้ธราเทพซึ่งเป็นทั้งเจ้าชีวิตและเจ้าหัวใจกลับคืนมาอีกครั้ง
และครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้ความรักของเขาต้องมีอุปสรรคใดๆอีก
ต่อให้มีเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้ฟันฝ่ามันไปเพื่อคนตรงหน้า
แสงสีส้มของอาทิตย์อัสดงอาบไล้ใบหน้าเรียวให้ยิ่งหวาน ดวงตาราวกับสมันน้อยเรียกร้อง
ให้สิงหาเอียงหน้าไปแล้วประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่เผยอรับ
ปลายนิ้วของเขาไล้ไปตามกรอบหน้าอย่างทะนุถนอม
ไม่มีคำสาปใดจะทำร้ายความรักของทั้งคู่ได้อีกแล้ว เมื่อต้องพ่ายให้กับความรักอันมั่นคง
ร่างทั้งสองตระกองกอดกันเป็นการสัญญา ว่าจะไม่มีอะไรมาพรากจากกันได้
ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลาหรือคำสาปร้ายทั้งปวง
---------------- The End --------------------