ในความคิดของรชนี พฤทธิ์เป็นผู้ชายคนเดียวที่เข้ามาในชีวิตของฉลองขวัญและหล่อนก็รู้สึกยินดีมากถ้าหากได้อีกฝ่ายมาเป็นเขย กระนั้นกระแสความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมาคล้ายจะเบาบางลงกว่าเมื่อก่อน วันที่ฉลองขวัญใส่ชุดนิสิตและพาใครบางคนมาพบรชนี หล่อนจำได้ดีว่าอีกฝ่ายดูดีระดับไหน ไม่ว่าท่วงท่าใดก็สะกดสายตาลูกสาวของหล่อนทุกขณะจิต
รชนีรู้ดีมาตลอดว่าฉลองขวัญรักพฤทธิ์มากกว่าเพื่อน ในขณะที่ใครอีกคนขีดเส้นความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ฉลองขวัญมองอีกฝ่ายด้วยแรงปรารถนา แต่พฤทธิ์ทอดมองลูกสาวของหล่อนด้วยความเฉยชา ไม่กระตือรือร้นอย่างที่หล่อนคิดไว้
ใครคนหนึ่งมอบใจให้ ขณะที่อีกคนไม่ใส่ใจสักนิด
จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ฉลองขวัญเดินเข้ามาแล้วบอกหล่อนว่าจะแต่งงานกับพฤทธิ์ หล่อนยิ้ม แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็ก ๆ ก็ตาม
ในเมื่อคนสองคนไม่ได้มีใจตรงกัน..งานแต่งงานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทีแรกหล่อนคิดว่าเพราะระยะเวลานานจึงทำให้พฤทธิ์ใจอ่อนต่อลูกสาวของหล่อน แต่เปล่าเลย..พฤทธิ์คือเด็กหนุ่มที่เคยมาบ้านหล่อนเมื่อสิบปีก่อน และตอนนี้คือชายหนุ่มที่แสดงอากัปกริยาเช่นเดิม
ตอนนี้..พฤทธิ์มารอหน้าบ้านหล่อน ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยท่าทีสำรวม ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นเหมือนเดิมทั้งนั้น มารยาทดี ทว่าเย็นชาอย่างที่สุด
“สวัสดีครับ” พฤทธิ์ไหว้พร้อมรอยยิ้มตามมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณพฤทธิ์” รชนียิ้ม แม้ในใจของหล่อนจะรู้สึกโกรธอีกฝ่ายนิด ๆ ก็ตาม “มาหาฉลองขวัญหรือคะ”
“ฉลองขวัญอยู่ไหมครับ เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะไปต่างประเทศ ผมเลยรีบมาหา”
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ คุณพฤทธิ์เข้าไปได้เลยค่ะ ขวัญน่าจะรอคุณพฤทธิ์อยู่”
“ขอบคุณครับ” พฤทธิ์ยกมือไหว้ ก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานที่อยู่นอกตัวบ้าน มันเป็นเรือนกระจกหลังเล็ก ด้านนอกมีเก้าอี้ไม้และโต๊ะเตี้ย ๆ วางอยู่ ประดับด้วยกระถางต้นกุหลาบหินสีเข้ม
ด้านในยกพื้นสูงขึ้นหนึ่งขั้นบันไดและตกแต่งห้องด้วยโทนอบอุ่น มีเก้าอี้ไม้ตัวยาววางไว้มุมหนึ่งและบนโต๊ะยาวเต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก เอกสาร หนังสืออ้างอิง รวมถึงอุปกรณ์การเขียนต่าง ๆ
“รับทราบค่ะ เดี๋ยวจะสั่งรายละเอียดไปทางอีเมลที่แจ้งไว้นะคะ ขอบคุณค่ะ” หล่อนคุยโทรศัพท์ก่อนวางมันไว้ข้าง ๆ แล้วก้มเก็บกระดาษที่กระจัดกระจายบนพื้น
“ขวัญ เรามาคุยกันหน่อยไหม”
หล่อนชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู “เรื่องอะไรคะ”
ความเงียบและความกดดันคล้ายปลายเข็มที่คอยทิ่มแทงหล่อนจนรู้สึกเจ็บปวด
“ผมอยากถามขวัญเรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงของพฤทธิ์ทุ่มนุ่ม แต่ราบเรียบจนน่าใจหาย
ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างกันคงจะหมดไปในไม่ช้า..
หล่อนพยักหน้า ยอมละจากกระดาษมาสนใจคนที่กำลังพูด “ค่ะ..ขวัญพร้อมจะฟังแล้ว”
“ขวัญอยากแต่งงานกับผมจริง ๆ หรือครับ”
“จริงสิคะ ในเมื่อพฤทธิ์กับขวัญรู้จักกันมานานแล้ว และเราก็ไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน มันก็ไม่เสียหายถ้าเราจะเริ่มใช้ชีวิตฉันสามีภรรยา” หล่อนย้ำเหตุผลของหล่อน แม้จะรู้ดีว่าพฤทธิ์เป็นอย่างไร พฤทธิ์คือพฤทธิ์..ผู้ชายที่ไม่เคยหย่อนเส้นกั้นระหว่างกันแม้แต่ครั้งเดียว “ทำไมหรือคะ ขวัญไม่ดีตรงไหน”
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าระหว่างเราเกินกว่านี้ไม่ได้”
ความเสียใจของหล่อนท้วมจนล้นเอ่อ “ขวัญเคยคิดว่าวันหนึ่งพฤทธิ์จะรักขวัญแบบที่ขวัญรักพฤทธิ์”
“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าไม่มีวัน”
น้ำตาของฉลองขวัญคล้ายจะไหล กระนั้นใครบางคนกลับมองหล่อนด้วยความสงบและเฉยชาเหมือนทุกครั้ง
หล่อนไม่เคยเชื่อว่าคนเราจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่กรณีของพฤทธิ์..ความรู้สึกของอีกฝ่ายต่อหล่อนมั่นคงราวกับหินผา แม้หล่อนจะเป็นลม แต่เป็นลมที่สาดซัดไม่แรงพอจะทลายความแข็งแกร่งลงได้
“ทำไมพฤทธิ์ใจร้ายแบบนี้คะ” หล่อนถามพลางเม้มปากจนรู้สึกเจ็บ
“ต่อให้แต่งงานกันไป ผมก็ไม่ได้รักคุณแบบที่คุณต้องการ” พฤทธิ์เงียบ “ผมไม่อยากตัดสินใจคนเดียว ในเมื่อมันเป็นเรื่องของคนสองคน จะให้คน ๆ เดียวรู้สึกไม่ได้”
หล่อนรู้ความหมายของพฤทธิ์ดี แต่ไม่อยากยอมรับว่าหล่อนแพ้หมดรูป ทั้งที่หล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เข้ามาในชีวิตของพฤทธิ์ แต่กลับไม่เคยเอาชนะใจอีกฝ่ายได้เลย
“พฤทธิ์รู้จักขวัญมาตั้งหลายปีแล้ว อีกอย่างเราก็ทำอะไรเกินเพื่อนมานานแล้ว ทำไมพฤทธิ์ยังเป็นแบบนี้กับขวัญได้”
“ก่อนทุกอย่างจะเริ่ม เราเคยตกลงกันไว้ก่อน..ผมผิดจริงเปล่าครับฉลองขวัญ” พฤทธิ์มั่นใจว่าตลอดระยะเวลาที่รู้จักฉลองขวัญ เขาไม่เคยพูดว่ารัก ไม่เคยให้ความหวัง ยกเว้นเรื่องที่พวกเขาตกลงกัน..ต่างคนต่างได้ความสุขในแบบของตนเอง ไม่มีใครเสียเปรียบ ทว่าในวันหนึ่ง..ใครบางคนกลับละเมิดข้อตกลง ทุกอย่างแตกหัก เศษซากความรวดร้าวกระจายล่องลอยในอากาศและไม่มีวันกลับมาประกอบได้ดังเดิม
“พฤทธิ์!”
“ผมไม่ได้พูดออกไปว่าไม่ มันเลยทำให้คุณเข้าใจผิดว่าผมเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ตอนนี้ผมอยากชัดเจนขึ้นมาบ้างว่าระหว่างเราต่อให้นานกว่านี้ คุณก็เป็นมากกว่าผู้หญิงคนเดียวในชีวิตผมไม่ได้”
“คุณไม่เคยคิดเกินเพื่อนกับขวัญแม้เราจะใกล้ชิดกันมากกว่าใคร ๆ แต่พฤทธิ์ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” ความโกรธขึง ไม่เข้าใจ และสับสน ประดังเข้ามาใส่หล่อนในระยะสั้น ๆ ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “หรือคุณมีคนอื่น บอกได้ไหมว่าใคร”
“ผมเอง ไม่มีใครทั้งนั้น”
พวกเขานั่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมร่วมชั่วโมง จากท้องฟ้าสว่าง แปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ก้อนเมฆกลม ๆ อัดกันแน่น ลมด้านนอกเริ่มพัดแรง ก่อนห่าฝนจะทะลักทลายลงมา
ฉลองขวัญเหลือบตามองพฤทธิ์อีกครั้ง อีกฝ่ายนั่งนิ่งแทบไม่ขยับตัว แม้หล่อนจะรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่มีทางเอ่ยอะไรมากกว่านี้ แต่ฉลองขวัญก็ยังหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าจะมีคำพูดปลอบจากพฤทธิ์
“ถ้าสาเหตุเป็นเพราะตัวพฤทธิ์เอง ขวัญคงทำใจได้ไม่ยาก แต่ถ้าเพราะอย่างอื่น..ขวัญทำใจไม่ได้จริง ๆ” หัวใจของหล่อนเจ็บแปลบ มันเสียดแทงคล้ายจะกระอักเลือดออกมา แต่หล่อนกลับไม่มีน้ำตาสักหยด เพราะหล่อนมั่นใจว่าในชีวิตของพฤทธิ์ไม่มีใครและไม่มีใครเข้ามาได้ไกลเท่าหล่อนอีกแล้ว
“ขอบคุณครับ”
“ถ้าปัญหามันเกิดเพราะพฤทธิ์และพฤทธิ์เองก็ยืนยันว่าไม่มีใคร ขวัญก็ยินดีจะเลิก”
แผ่นหลังของพฤทธิ์ไกลเกินกว่าเอื้อมถึง..
พระอาทิตย์ข้างนอกยังเร้นกายในหมู่เมฆ ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาว่าเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว ไม่นานนัก ลำแสงน้อย ๆ ก็ลอดผ่าน ทอประกายราวกับเส้นด้ายสีทองที่ขอบฟ้า ก่อนความสว่างจะพาดผ่านทั่วทั้งผืนก็ล่วงเวลามาเกือบแปดโมงเช้าแล้ว
มันเป็นช่วงสายของวันที่พฤทธิ์ยังไม่ได้ออกไปทำงาน เขาเก็บหนังสือ เอกสาร รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถูกใช้อย่างเรียบร้อย แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
จะว่าไปเมื่อคืนเขาก็แทบนอนไม่หลับ ความคิดวุ่นวายย่างกรายเข้ามาในสมองราวกับจะจัดระเบียบไม่ได้ พร้อม ๆ กับความคิดบางอย่างที่เกาะกุมจิตใจ ไม่ใช่ใครอื่นหรือใครคนไหน แต่เป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องจิ๋วที่ดูอย่างไรก็คล้ายกับเศษซากความทรงจำ
หน้าจอถูกเปิดค้างไว้เมื่อคืน กระนั้นพฤทธิ์ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่ามองมันนิ่ง ๆ ถูกต้องล่ะ..เขาไม่มีความจำเป็นต้องโทรศัพท์ออกไปในช่วงแปดโมงเช้า ทว่าปลายนิ้วกลับกดโทรศัพท์ออกไป รอนานสักหน่อยกว่าปลายสายก็กดรับ ทว่าไม่มีประโยคใดออกมา
“ไม่คิดจะรับโทรศัพท์หรือครับ”
‘คุณพฤทธิ์’ ปลายสายตอบไม่เต็มเสียงนัก
“คุยได้หรือเปล่าครับหลง”
‘ผมกำลังจะออกไปซื้อโทรศัพท์กับคุณกรณ์’ อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ทว่ามันเป็นความเงียบที่เขาจดจ่อรออยู่ ‘แต่ผมยังใช้เบอร์เดิมครับ’
“รับทราบครับ”
‘คุณพฤทธิ์’
“ครับ”
‘วันนี้จะมาหรือเปล่าครับ’
“ไม่ไปครับ” พฤทธิ์เว้นจังหวะสักพัก แล้วพูดต่อ “วันนี้ผมไปหาคุณแขที่บ้าน”
หลงไม่พูดอะไร แต่พฤทธิ์ก็เดาได้ว่าปลายสายแสดงสีหน้าอย่างไร
“แต่ถ้าเป็นพรุ่งนี้จะแวะไปหา..แล้วเจอกันนะครับ”
‘ผมจะรอครับ’
พฤทธิ์ยิ้มจาง ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าเด็กหนุ่มที่เขาเคยนึกไม่ชอบหน้าเพราะมาจากครอบครัวไม่สมบูรณ์จะทำให้เขานึกเอ็นดูได้ขนาดนี้ “แล้วเจอกันครับ”
เพ็ญแขรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ลูกชายของหล่อนมาตั้งแต่ก่อนเก้าโมงเช้า เพราะหลัง ๆ มานี้ พฤทธิ์แทบไม่มาหาหล่อนที่บ้านถ้าหากไม่เพ็ญแขไม่เป็นคนโทรศัพท์ไปหาก่อน อีกทั้งยังไม่ค่อยโทรศัพท์มาหาหล่อนเหมือนเมื่อก่อนด้วย ในทีแรกหล่อนก็อดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ ทว่าฉลองขวัญเคยบอกหล่อนว่าพฤทธิ์ทำงานหนักแค่ไหน หล่อนจึงไม่อยากทำให้ลูกชายต้องลำบากใจเพราะเรื่องเล็กน้อย
“คุณพฤทธิ์จะมาทำไมไม่บอกแม่ก่อน” หล่อนยิ้ม “เมื่อวานเพิ่งเจอกันแท้ ๆ”
“ตอนบ่ายผมมีประชุมต่อครับเลยรีบมาหาคุณแขแต่เช้า”
หล่อนลูบใบหน้าของลูกชายที่คล้ายคนพักผ่อนไม่เพียงพอ “พฤทธิ์ทำงานหนักแบบนี้ แม่เป็นห่วง”
พฤทธิ์ยิ้ม อันที่จริงการทำงานไม่หนักหนาเกินว่ามนุษย์คนหนึ่งจะแบกรับไหว “ไม่หนักครับ แต่ผมอยากทำงานให้เสร็จก่อนปิดเทอมครับ”
“คุณพฤทธิ์กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวแม่ให้เด็กตั้งโต๊ะให้”
“เรียบร้อยแล้วครับ” เขาเดินเข้ามาภายในบ้าน บ้านยังเหมือนเดิม ไม่มีตรงไหนเปลี่ยนแปลง รูปภาพสมัยเด็กของเขาที่กำลังเล่นกอล์ฟ..กีฬาที่เขาเกลียดที่สุดตั้งอยู่บนโต๊ะขนาดเล็ก รูปภาพของเขาในอิริยาบถอื่น ๆ วางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบและไร้ฝุ่นที่เกาะตามกรอบ บ่งบอกถึงความรักและความใส่ใจเป็นอย่างดี กระนั้นพฤทธิ์ก็รู้ดีว่าช่วงเวลานั้นของชีวิต..เขารู้สึกว่างเปล่าเสียยิ่งกว่าอะไร “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณแข”
“แม่ให้แม่บ้านชงโกโก้ให้ รอสักครู่นะคะ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยกับแม่แต่เช้าคะ”
ประกายตาของหล่อนเจิดจรัสจนพฤทธิ์ปวดใจหนึบ ๆ กระนั้นความทรมานของเขาในระยะหลายเดือนที่ผ่านมาก็ผลักดันให้พฤทธิ์ต้องพูดประโยคทำลายความหวังของหล่อนอย่างไม่ปราณี
“คุณแข”
“คะ”
“ผมเลิกกับฉลองขวัญแล้ว”
แม่บ้านยกแก้วโกโก้มาเสิร์ฟ ควันของมันหอมและเข้มข้น กระนั้นกลับจางหายอย่างรวดเร็ว
“คุณพฤทธิ์..เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” น้ำเสียงของเพ็ญแขสั่นเครือ หล่อนตกใจและเสียใจพร้อม ๆ กับการตั้งรับเหตุการณ์ไม่ทัน
“ผมกับฉลองขวัญไม่ได้รักกันแต่แรก” พฤทธิ์มองเพ็ญแข หล่อนผิดหวังรุนแรงจนเผลอวางแก้วเซรามิกกระแทกจานรอง “ผมไม่ได้บอกคุณแขเองจนเรื่องบานปลายถึงขนาดนี้”
พฤทธิ์ยกมือไหว้หล่อน “ผมขอโทษครับ แต่ผมคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
“แต่แม่แจ้งเพื่อน ๆ ไปหมดแล้ว จะให้บอกหรือคะว่าลูกชายถอนหมั้นผู้หญิง!”
เขาเงียบพลางทอดมองฝ่ามือของมารดาที่กำแน่นจนขาวซีด ก่อนจะเอื้อมมือไปจับ ทว่าหล่อนกลับไม่ยอมให้พฤทธิ์ได้แตะต้อง
รอบกายพวกเขามีแต่ความเย็นชืด สายใยบางเบาระหว่างกันคล้ายจะปลิวหายไปในอากาศ
“คุณแข..”
“แม่หวังให้คุณพฤทธิ์แต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ” ครอบครัวของหล่อนเป็นใคร มาจากไหน เพ็ญแขรู้แก่ใจดีและยอมรับสิ่งที่เรียกว่าความเหมาะสมได้อย่างไร้เงื่อนไข ดังนั้นการแต่งงานจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันยังเป็นเรื่องความเหมาะสมและฐานะทางสังคม
“ผมไม่ได้รักฉลองขวัญ”
“อยู่ ๆ ไปก็รักกันเอง ยิ่งพฤทธิ์กับฉลองขวัญรู้จักกันมานานด้วยแล้ว..แม่เชื่อว่าวันหนึ่งพฤทธิ์จะเปลี่ยนใจ” หล่อนกล่อมลูกชายพลางทอดมองใบหน้าหล่อเหลา ความอ่อนเยาว์แปรเปลี่ยนเป็นความเติบใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยความรู้และความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วใครจะกล้าปฏิเสธลูกชายของหล่อน “ไปคุยกับฉลองขวัญใหม่ดีไหมคะ”
พฤทธิ์ไม่ตอบคำถามของหล่อน “คุณแข ชั่วชีวิตนี้ผมเคยทำให้คุณแม่ผิดหวังไหมครับ”
หล่อนนึก ตั้งแต่เด็กจนโต..ลูกชายของหล่อนไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยผลการเรียนตก หนำซ้ำยังได้เกรดดีมาตลอดจนได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ เมื่อกลับมาก็ได้ทำงานในมหาวิทยาลัย ทำอาชีพที่ประเสริฐ หากพิจารณาแล้วพฤทธิ์ไม่เคยทำให้หล่อนผิดหวังสักครั้งเดียว
“ไม่เคยค่ะ”
เขายิ้มจาง ๆ กระนั้นในใจกลับอึดอัดจนแทบระเบิด “ถ้าอย่างนั้นนี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำให้คุณแขผิดหวัง”
“พฤทธิ์!”
“จนตอนนี้..คุณพ่อกับคุณแม่เคยรักกันบ้างหรือเปล่าครับ”
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มาช้านะคะ
ตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๘ แล้ว น่าจะถึงครึ่งเรื่องแล้วนะคะ อาจจะเกินครึ่งไปแล้วหรือเปล่าไม่แน่ใจ
ขอบคุณสำหรับการรอของนักอ่านทุกคนนะคะ เรื่องนี้ก็หลายปีแล้วยังไม่จบสักที อยากเขียนให้จบใจจะขาด แต่มันก็ขี้เกียจและไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม ~
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ
Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE/