@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน สู้ไม่ได้
พิพัฒน์เป็นคนดื้อ
......ดื้อเงียบ......
หลายครั้งอาจจะทำเหมือนยอมคล้อยตาม หรืออาจจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้ารู้จักกันนาน ๆ จะรู้ได้ทันทีถึงความ "ดื้อ" ที่แม้แต่บารมียังต้องยกมือขอยอมแพ้ เพราะเมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายคิดจะดื้อเงียบขึ้นมา คนอย่างบารมีก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องตามใจ ก็เท่านั้น
"พัฒน์ เข้าใจที่พูดมั้ย"
ถามไปครั้งที่สิบ แต่พิพัฒน์ก็ยังทำเป็นเฉย แกล้งทำเป็นหูทวนลม และยังก้มหน้าก้มตา กรอกตัวเลขลงไปในสมุดบัญชีและกดเครื่องคิดเลขต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่บารมีได้แต่เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาว ๆ และต้องมาท้าวแขนอยู่เหนือโต๊ะทำงานของพิพัฒน์เพื่อจะได้พูดกันให้เข้าใจ
"นี่กูไม่มีศักดิ์ศรีขนาดนี้เลยเหรอวะ เหี้ยชิบหาย"
บารมีหัวเราะออกมาแบบแกน ๆ ที่ยิ้มที่หัวเราะก็แค่จะเย้ยหยันตัวเอง
อายุขนาดนี้แล้ว แต่ยังไม่มีปัญญาดูแลใครให้ดีได้ ยิ่งคิดยิ่งสมเพชตัวเองอยากจะหัวเราะออกมาให้ดัง ๆ กับความทุเรศของตัวเอง
"มึงเอาที่ดินบ้านเก่ามึงไปจำนองเลยพัฒน์ มึงอยากทำอะไรก็ทำไป แต่กูบอกเลย เงินมึงที่ได้มา บาทเดียวกูก็ไม่เอา อยากทำอะไรมึงทำไปเลยตามใจมึง"
พิพัฒน์รู้เห็นทุกอย่างมาตลอด ดอกเบี้ยธนาคารที่เพิ่มพูนสูงขึ้นทุกวัน ทำไมจะมองไม่เห็น รายได้ของอู่ไม่ใช่น้อยก็จริง แต่เมื่อต้องนำเงินที่ได้มาหมุนเวียนจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บางเดือนมันก็มีที่ต้องชักเนื้อตัวเองและพิพัฒน์รู้ดี หากมีเงินสำรองอีกหน่อย คงไม่ต้องลำบากกันถึงขนาดนี้ คงมีช่วงเวลาให้ได้หายใจหายคออย่างปลอดโปร่งบ้างก็เท่านั้น
แต่บารมีไม่ยอมที่จะทำตาม ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอม และพิพัฒน์ทำได้แค่เงียบ และนั่นคือการยืนยันความคิดเดิมว่าจะทำอย่างที่ตั้งใจ แม้บารมีจะไม่ยอมรับ แต่พิพัฒน์ก็ยังจะทำอยู่ดี
"พัฒน์"
"พัฒน์"
"ไอ้พัฒน์"
เรียกอีกกี่ครั้งก็เหมือนเดิม พิพัฒน์ยังทำเป็นเมินเฉยตั้งหน้าตั้งตากรอกตัวเลขลงไป และขยับแว่นสายตาไปมาในบางครั้ง ทำเหมือนบารมีที่กำลังหงุดหงิดโมโหโวยวายตรงหน้าไม่มีตัวตน
แล้วบารมีจะไปทำอะไรได้ นอกจากเดินวนไปวนมาในห้อง เมื่อรู้แน่ว่า ทำอะไรไม่ได้ ก็ผลักประตูเดินออกมานอกออฟฟิศ หน้าหงิกหน้างอ และไปยืนมองช่างวินัยที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจเช็คสภาพรถ
ช่างวินัยเพียงแค่อมยิ้มน้อย ๆ และทักทายคนที่ยืนหน้าบึ้งและมองไปที่ออฟฟิศหลายครั้ง
"กูจะทำยังไงกับมันดีวะ"
บารมีหันไปถามช่างวินัยที่ยังคงอมยิ้มน้อย ๆ และช่างวินัยก็เพียงแค่หัวเราะกับอาการไม่พอใจของบารมี ที่ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าใครที่ทำให้บารมีโกรธและหงุดหงิดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมายืนทำหน้าบึ้งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว
"ไม่น่าจะทำอะไรได้นะเฮีย"
ช่างวินัยตอบกลับไปแบบยิ้ม ๆ และบารมีก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คล้ายกับต้องยอมจำนนต่ออำนาจมืดของพิพัฒน์ที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับความคิดและความรู้สึกของบารมีมากขึ้นทุกที
"ผมก็ไม่รู้ยังไงนะ แต่ที่แน่ ๆ พื้นที่ตรงโน้นที่คิดจะขยายมาหลายปีก็ไม่ได้ขยายสักที จนกระทั่งพิพัฒน์มาอยู่ที่นี่ถึงได้ขยายออกไปได้ไม่ใช่เหรอ"
เท่านั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
คำตอบที่มากพอที่ทำให้บารมีต้องยอมรับ ถึงความสามารถในการจัดการภายในอู่ซ่อมรถเล็ก ๆ มองเผิน ๆ เหมือนบารมีจะเป็นฝ่ายออกคำสั่งในเรื่องต่าง ๆ แต่หลายๆ ครั้ง เรื่องบางเรื่องก็มาจากความช่วยเหลือทางด้านความคิดจากใครบางคนที่ไม่เคยออกตัว และไม่ใช่แค่เพียงด้านความคิดแต่รวมถึงกำลังใจและความเข้าอกเข้าใจ ที่ช่วยให้บารมีกล้าที่จะฟันฝ่าอุปสรรคบางอย่างที่คอยกัดกร่อนให้แรงใจค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
"คนเราติดนิสัยทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอด โดยไม่คิดจะพึ่งพาใคร เพราะคิดว่าล้มก็ล้มคนเดียว เจ็บก็เจ็บคนเดียว มันทำให้เข้มแข็งก็จริงแต่มันก็ทำให้เกิดความกลัวจนไม่กล้ารับความช่วยเหลือจากใคร กลัวความล้มเหลว กลัวความเสี่ยงที่อาจจะขึ้นและกลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว"
ใช่
นั่นคือสิ่งที่บารมีคิด ความหวาดกลัวในใจลึก ๆ ไม่ต้องการให้ใครมาเสี่ยงด้วย ไม่ต้องการสร้างความลำบากให้ใคร
"กูเหนื่อยจะพูดกับไอ้พัฒน์แล้ว"
บารมีได้แต่ส่ายหน้า และช่างวินัยก็ได้แต่ยิ้มกับอาการหงุดหงิดโมโหไม่พอใจของบารมีที่ไม่มีทีท่าจะลดลงง่าย ๆ และสุดท้ายช่างวินัยแอบฟันธงไว้ในใจ
..........ถึงจะหงุดหงิดโมโหไม่ชอบใจขนาดไหน แต่สุดท้ายบารมีก็ไม่มีทางขัดขวางสิ่งที่พิพัฒน์ต้องการจะทำได้อยู่ดี............
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บารมีเมินหน้าหนีและทำเป็นไม่สนใจไยดีคนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม
พิพัฒน์ยังคงนิ่งเฉย
และบารมีก็ทำแบบที่พิพัฒน์ทำ โดยปกติอาจจะเสียงดังโวยวายไม่พอใจใส่ แต่สุดท้ายก็คงเป็นเหมือนเดิมคือไม่ว่ายังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ก็เลยได้แต่เมินเฉยอยู่อย่างนี้
กินข้าวเสร็จเรียบร้อยบารมีก็ลุกขึ้น ดันเก้าอี้ไว้ใต้โต๊ะกินข้าวเรียบร้อย พิพัฒน์จัดการเก็บล้างถ้วยจานและคว่ำไว้ในชั้นวางจาน
สิ่งที่ต่างออกไปจากทุกวันคือบารมีไม่ได้ไปนั่งดูรายการโทรทัศน์ที่โซฟาเหมือนทุกวัน แต่เดินหนีขึ้นห้องไปแล้ว และพิพัฒน์ก็มองตามคนที่เดินหนีขึ้นห้อง
พิพัฒน์ขมวดคิ้วมุ่น และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เดินไปทิ้งกายลงนั่งอยู่บนโซฟา และเอนหลังพิงกับพนักโซฟาอยู่อย่างนั้น
มองไปที่นาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว และพิพัฒน์ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจยาว ๆ หลังจากนั่งครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มานานนับชั่วโมง
เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังลงจากบันไดบ้านทำให้พิพัฒน์หันกลับไปมองและเป็นบารมีที่กำลังก้าวขาเดินลงจากบันได
คนสองคนสบตากันนิ่ง ๆ และบารมีก็เดินมานั่งอยู่ที่โซฟาห่างออกไปจากพิพัฒน์เล็กน้อย
ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ หลังจากจมอยู่กับความคิดของตัวเองมาพักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
พิพัฒน์ก้มลงมองที่มือตัวเอง และบารมีก็เมินมองไปทางอื่น
ต้องพูดอะไร ...........จะให้ทำยังไงถึงจะเข้าใจกัน
"กูบอกเลยตรงนี้นะพัฒน์ว่า.............."
บารมีตัดสินใจจะพูดให้ชัดเจน แต่พิพัฒน์ลุกขึ้นและเดินมากอดบารมีที่กำลังอ้าปากจะพูดเรื่องบางอย่าง
"เฮ้ย คุยกันก่อน พัฒน์"
พิพัฒน์ไม่คุย
ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมคุย และในเวลานี้ก็ปีนขึ้นมานั่งคร่อมทับอยู่เหนือร่างของบารมีเรียบร้อยแล้ว
เสื้อที่สวมอยู่ถูกถอดออกและโยนทิ้งไว้บนพื้นอย่างรวดเร็ว พิพัฒน์จับบ่าของบารมีไว้แน่น และแนบริมฝีปากลงประกบกับริมฝีปากของบารมีอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
"เฮ้ย พัฒน์ แอ่ะ อึก พัฒน์"
ไม่คุยและไม่เคลียร์ และบารมีที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ก็มีอันต้องยอมตามใจพิพัฒน์ทุกอย่างเมื่อพิพัฒน์ทิ้งกายลงและขยับสะโพกเคลื่อนไหวไปมาและเริ่มบดเบียดร่างกายเข้าหาส่วนที่ไวต่อความรู้สึกของบารมีอย่างรุนแรง
"คิดจะปล้ำกันหรือไง"
พิพัฒน์ไม่สนใจสิ่งที่บารมีพูดเลยสักนิด จัดการถอดเสื้อของบารมีออกและโยนทิ้ง เริ่มซุกไซร้ปลายจมูกไปที่ซอกคอแกร่งจูบไล้เรื่อยลงมาตามแนวบ่าและลาดไหล่กว้างของบารมีอย่างจงใจ และบารมีก็ได้แต่แหงนเงยใบหน้าขึ้น และสูดลมหายใจเข้าลึก ยากจะระงับความรู้สึกที่กำลังประทุขึ้นได้
"ดื้อ"
สิ่งที่ได้ยินทำให้บารมีขมวดคิ้วมุ่น แม้คำพูดของพิพัฒน์จะฟังดูน่าหงุดหงิดใจ แต่ก็น่ารักน่าใคร่ในเวลาเดียวกันจนบารมีต้องหัวเราะออกมา
กางเกงถูกถอดทิ้งไปนานแล้ว เรือนร่างเปลือยเปล่าของพิพัฒน์กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่เหนือร่างของบารมี และบารมีก็ลูบไล้บีบเค้นสะโพกมนอย่างรุนแรง พิพัฒน์ก้มลงขบกัดริมฝีปากบารมี ดูดดึงด้วยริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะฝากร่องรอยไว้ตามแผ่นอกกว้าง ขบกัดกลืนกินยอดอกของบารมีเพื่อปลุกเร้าอารมณ์
ฝ่ามือแกร่งฟาดลงไปที่สะโพกแน่นอย่างรุนแรงเมื่อพิพัฒน์ขยับสะโพกเคลื่อนไหวอยู่เหนือท่อนเอ็นแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายในกางเกงนอน
บางอย่างที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของร่างกายตื่นขึ้นและขยายใหญ่จนคับแน่นอยู่ภายในกางเกงจนแทบจะทะลุออกมา
ปวดหนึบไปหมดที่ส่วนปลาย แต่ก็ต้องยอมอดทนเอาไว้เพราะพิพัฒน์คนเดียว
พิพัฒน์เทชโลมความชุ่มชื้นของเจลใสลงบนปลายนิ้ว และสอดแทรกเข้าไปในช่องทางด้านหลังของตัวเองขยับปลายนิ้วเข้าออกเพื่อช่วยขยายช่องทาง และบารมีก็นิ่งมองทุกการกระทำของพิพัฒน์อย่างถูกใจ
กางเกงนอนถูกดึงลงเรียบร้อยแล้ว และส่วนที่อยู่ภายในนั้นก็ดีดตัวออกมาอย่างรุนแรง
ความใหญ่โตแข็งขืนขยับไหวไปมา เส้นเลือดปูดโปนปรากฎให้เห็นที่ส่วนกลางของท่อนลำ และพิพัฒน์ก็รูดรั้งร่างกายของตัวเองไปมาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ วางมือลงบนหน้าท้องแกร่ง และชโลมท่อนเอ็นที่ขยายใหญ่ของบารมีด้วยเจลใส ก่อนจะค่อย ๆ จับให้ส่วนนั้นตั้งลำให้ตรงกับช่องทางคับแคบนุ่มหยุ่นที่กดแทรกลงมาอย่างช้า ๆ
"อืออออ"
ริมฝีปากแดงเรื่อขบเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาปรือปรอยทอดมองที่ใบหน้าของบารมีที่แสดงความรู้สึกออกมาไม่ต่างกัน
"อ่ะ พัฒน์ อืมมม ซี้ดดส์"
ส่วนนั้นค่อย ๆ กลืนหายเข้าไปในช่องทางด้านหลังของพิพัฒน์อย่างช้า ๆ และไม่นานก็จมมิดหายเข้าไปทั้งหมด
พิพัฒน์จ้องมองใบหน้าของบารมีด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม ปลายลิ้นเปียกชื้นไล้เลียไปที่ริมฝีปากตัวเอง และก้มลงแนบริมฝีปากกับริมฝีปากร้อนของบารมี เผยอริมฝีปากตอบรับปลายลิ้นนุ่มหยุ่นที่แทรกเข้ามาของคนที่ปรนเปรอทุกความรู้สึกให้
"หัดเชื่อกันบ้าง"
บารมีกระซิบบอกเสียงพร่า และพิพัฒน์ก็ปรือตาขึ้น ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมรับสิ่งที่บารมีบอกทั้งสิ้น
"พัฒน์อย่ามาแกล้งทำเป็นเฉย"
บารมีกระแทกร่างกายของตัวเองเข้าไปในช่องทางที่บีบรัดแน่น และพิพัฒน์ก็นิ่วหน้าและร้องครางออกมาเพราะการกระทำแบบนั้นของบารมี
"โอ้ย.......อื้ออออ"
ปลายเล็บจิกลงที่ลาดไหล่แกร่ง และพิพัฒน์ก็ขบริมฝีปากลงไปที่ลาดไหล่กว้างจนขึ้นรอย
"โอ้ยยย"
บารมีร้องออกมาเสียงเบา และรับรู้ว่านั่นคือการเอาคืนของคนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
ถ้าดื้อขนาดนี้ ก็ต้องจัดการให้รู้แล้วรู้รอดไป
บารมีหยัดกายลุกขึ้นนั่ง และพิพัฒน์ยังขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปมา จนส่วนนั้นผลุบเข้าออกไปมาอยู่ภายในช่องทางคับแน่นที่ดูดกลืนร่างกายของบารมีเอาไว้ พิพัฒน์ใช้แขนโอบรัดรอบคอบารมีเอาไว้เพื่อเป็นหลักยึด กระแทกสะโพกลงมาซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง และควบคุมทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของตัวเอง
"อื้อ อาส์ ซี้ดดดดดด อึก อื้อ"
ดวงตาหวานเชื่อมปรือปรอย ริมฝีปากเม้มแน่น และใบหน้าเนียนขาวก็แดงก่ำ หยาดเหงื่อหยดลงที่ข้างแก้มขาวเป็นทางยาว และบารมีก็รั้งร่างของพิพัฒน์มากอดเอาไว้ อ้อมแขนแกร่งโอบรัดสะโพกมนแน่นและลุกขึ้นยืน เรียวขาขาวรัดสะโพกแกร่งเอาไว้ และร่างกายก็ขยับไปตามจังหวะการสอดแทรก ท่อนเอ็นแกร่งที่อยู่ในช่องทางคับแน่นขยับเคลื่อนไหวขึ้นลงตามจังหวะการก้าวเดิน ริมฝีปากยังพัวพันกันแนบแน่น และเมื่อร่างกายของพิพัฒน์ถูกวางลงบนขั้นบันได สองขาก็ถูกยกขึ้นพาดอยู่บนไหล่กว้าง เสียงเนื้อกระทบกันดังลั่น ตามจังหวะการกระแทกกระทั้น บารมีฝังกายเข้าไปในช่องทางที่บีบรัดครั้งแล้วครั้งเล่า
รูดรั้งความต้องการให้พิพัฒน์ไปพร้อมๆ กัน หยดน้ำใสไหลเยิ้มออกมาที่ส่วนปลายเป็นทางจนเปรอะเปื้อนไปทั้งฝ่ามือ บารมีขยับร่างกายเข้าออกรุนแรงและกดเรียวขาของพิพัฒน์ให้แยกออกกว้างยิ่งขึ้น สอดแทรกท่อนเอ็นใหญ่โตเข้าไปในช่องทางที่เปิดรับอย่างรุนแรง และพิพัฒน์ก็จิกปลายเล็บลงที่ลาดไหล่กว้างฝังรองรอยความรู้สึกเอาไว้ สะบัดใบหน้าไปมาและร้องคราง เมื่อร่างกายถูกเติมเต็มอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายส่วนล่างถูกยกขึ้นจนสุด และบารมีก็ขยับร่างกายลุกขึ้นตามและสอดแทรกความใหญ่โตลงมาในช่องทางที่เปิดรับมากขึ้น
เสือกไสท่อนเอ็นแกร่งเข้าไปอย่างรุนแรง และพิพัฒน์ก็ได้แต่หลับตาแน่นและร้องครางออกมาเสียงดังลั่น
"อาส์ พี่บัส เสียว"
บารมีถอนท่อนเอ็นที่ขยายใหญ่เต็มทีออก และรูดรั้งความต้องการของตัวเองไปมา สอดปลายนิ้วเข้าไปที่ช่องทางที่บีบรัด และขยับปลายนิ้วสอดแทรกเข้าหา ขยับเข้าออกรุนแรงหลายครั้ง และพิพัฒน์ก็ได้แต่ร้องครางและรูดรั้งร่างกายของตัวเองตาม สะโพกมนแอ่นขึ้นเพื่อรองรับทุกความต้องการที่ถูกสอดแทรกเข้ามา ก่อนจะขยับกายยืนขึ้นตามแรงฉุดของบารมี
พิพัฒน์จับราวบันไดเอาไว้แน่น และแยกขาออกกว้างเพื่อเปิดรับความต้องการใหญ่โตที่จดจ่ออยู่ที่สะโพก และเมื่อส่วนนั้นค่อย ๆ สอดใส่เข้ามาอีกครั้ง พิพัฒน์ก็โน้มกายลงและวางมือไว้บนขั้นบันไดเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองเอาไว้ ท่อนเอ็นใหญ่โตสอดแทรกเข้ามาจนสุด และเมื่อบารมีขยับร่างกาย คนที่รองรับอารมณ์ของบารมีทั้งหมดก็ถึงกับร้องครางออกมาเสียงลั่นเพราะการแทรกสอดที่รุนแรงตามความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ทนเก็บกักเอาไว้มานาน เสียงร้องครางกระเส่าเพราะถูกใจกับสิ่งที่ได้รับ ยิ่งทำให้บารมีเร่งจังหวะสะโพกรุนแรงขึ้น อัดกระแทกเข้าไปไม่หยุด จนร่างกายของพิพัฒน์ขยับไหวไปมาตามแรงกระแทก
"โอ้ย อาส์......อึ่ก.....แรงอีก.. แรงกว่านี้...จะ....จะ เสร็จ....แล้ว พี่บัส....จะแตกแล้ว..โอ้ย"
พิพัฒน์ร้องบอกคนที่ยังขยับสะโพกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และบารมีก็กดปลายจมูกแนบลงที่แผ่นหลังเนียนขาว ขบกัดและประทับร่องรอยของตัวเองเอาไว้ ทั้งที่ยังสอดใส่กระแทกกระทั้นความแข็งขืนใหญ่โตที่ใกล้จะปลดปล่อยเข้าไปเต็มแรงไม่หยุด
"ออกยังพัฒน์ ออกยัง อึก อาส์"
เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกพร่า และเพียงไม่นานเพิพัฒน์ก็ถึงกับทรุดกายลงเพราะไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนต่อไปได้อีก
เสียงร้องครางลั่นในจังหวะสุดท้าย ทำให้บารมีเร่งเร้าร่างกายให้สอดแทรกรุนแรงเพิ่มขึ้น
พิพัฒน์ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาแล้ว
ร่างกายเกร็งกระตุก และช่องทางด้านหลังก็บีบรัดรุนแรง จนบารมีต้องขยับสะโพกให้เร็วขึ้น
"พัฒน์ เสร็จแล้วพัฒน์ อาส์"
บารมีปลดปล่อยความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้น ความร้อนภายในร่างกายฉีดพ่นเข้าไปในช่องทางที่บีบรัดจนล้นเอ่อออกมา
และความรู้สึกทั้งหมดของพิพัฒน์ก็ถูกกลั่นกรองออกมากระเซ็นกระสายหลั่งทะลักออกมาจากช่องทางเล็ก ๆ ที่ส่วนปลาย หยาดหยดขาวขุ่นไหลชโลมที่ความแข็งขืนของร่างกาย หยดลงเปรอะเปื้อนตามขั้นบันไดจนทั่ว
ลมหายใจของคนที่เพิ่งปลดปล่อยความรู้สึกออกมาทั้งหมด ยังคงหอบหนัก และทรุดกายลงอยู่บนขั้นบันได
พิพัฒน์นิ่งสงบลงแล้วและร่างกายยังคงเกร็งแน่น เมื่อบารมีถอดถอนร่างกายออกมาและยัดเยียดกลับเข้าไปอีกครั้ง
"โอ้ย"
โดนแกล้งให้ร้อง และบารมีก็ยิ้มออกมา เมื่อหยาดหยดร่างกายของตัวเองที่กลั่นกรองออกมาทั้งหมดไหลซึมออกมาจากช่องทางด้านหลังของพิพัฒน์
"วันนี้ออกมาเยอะเลยพัฒน์.........ลุกไหวมั้ย"
บารมียืนขึ้นและฉุดแขนของพิพัฒน์ให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
พิพัฒน์ยังไม่ได้ขยับไปไหน แต่กอดเอวของบารมีเอาไว้เป็นหลักยึด และแหงนเงยใบหน้าขึ้นจ้องมองหน้าของบารมีนิ่ง ๆ
"เวลากอดกันพี่รู้สึกยังไง......พี่รู้สึกดีหรือเปล่า"
"...................................."
"เวลาที่อยู่ด้วยกันทุกวัน พี่บัสรู้สึกดีมั้ย"
"................พัฒน์.............................." บารมีนั่งงัน และเริ่มจะยอมรับฟังสิ่งที่พิพัฒน์พูดอย่างตั้งใจ
"สุขก็สุขด้วยกัน ถ้าจะทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกัน ผมล้มผมเจ็บมาเยอะไม่น้อยกว่าพี่หรอก ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"
รอยยิ้มบาง ๆ จุดขึ้นที่ใบหน้าของพิพัฒน์
สัมผัสเบา ๆ จากปลายจมูกที่แนบลงบนแผ่นอกข้างซ้ายอย่างช้า ๆ ทำให้บารมีรู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ
พิพัฒน์จ้องมองหน้าของบารมีนิ่ง ๆ และบารมีก็ได้แต่ถอนหายใจยาว และแตะฝ่ามือไปที่ข้างแก้มของพิพัฒน์ ลูบไล้แผ่วเบา และยอมพยักหน้ารับสิ่งที่พิพัฒน์ตั้งใจจะทำ
"เออ.....เอายังไงก็เอา........จะทำอะไรก็ทำ......อยู่ด้วยกันกูมีแต่ทำให้มึงลำบากตลอด"
พิพัฒน์ยังคงยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้บารมี มีความสุขที่สุด สุขจนต้องยิ้มตาม มีความสุขจนสามารถยิ้มตามอีกฝ่ายออกมาได้
"ง่วงยัง"
พิพัฒน์แนบใบหน้าลงซบไหล่บารมีเบา ๆ อีกครั้งและบารมีก็อมยิ้ม เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของพิพัฒน์
"ง่วง"
น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตอบที่พูดจาแทบไม่รู้เรื่องทำให้บารมีหัวเราะออกมาและกดปลายคางไปที่กลางกระหม่อมของพิพัฒน์เพื่อหยอกล้อ
"ง่วงก็ขึ้นไปนอนสิวะ ไปอาบน้ำอีกรอบแล้วมานอน จะมาซบกูทำไม ง่วงแต่ไม่ยอมไปนอน มึงจะเอายังไงพัฒน์"
พิพัฒน์ไม่ได้ตอบ แต่แค่ปฏิกิริยาทางกายก็มากพอให้บารมีรับรู้
ฝ่ามือที่ค่อย ๆ ลากไล้ไปทั่วหน้าขาและกำลังวนกลับมาที่กลางหว่างขาตรงส่วนที่ยังอ่อนแรง ทำให้บารมีนิ่งมองคนที่ยังแนบใบหน้าซุกซบอยู่ที่อกแต่มือยังไม่หยุดนิ่ง
"......พี่....บัส....."
บารมีทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากยอมให้พิพัฒน์ทำทุกอย่างได้ตามใจชอบอย่างที่อยากจะทำอีกครั้ง
ในเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับบารมีเป็นไปอย่างที่ช่างวินัยคิดเอาไว้หมดทุกอย่าง
..........ถึงจะหงุดหงิดโมโหไม่ชอบใจขนาดไหน แต่สุดท้ายบารมีก็ไม่มีทางขัดขวางสิ่งที่พิพัฒน์ต้องการจะทำได้อยู่ดี............
TBC.