@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน ก้าว
“สมัยก่อนที่พ่อบัสได้ช่วยเหลือเอาไว้ อาไม่เคยลืม ตอนนี้อาพอมีบ้างแล้ว นี่เป็นเงินส่วนหนึ่งที่อาต้องให้ รับเอาไว้เถอะนะ”
บารมีเงยหน้ามองหน้าอาพิชัยที่เป็นเพื่อนพ่อ เคยเจออาพิชัยสมัยที่ยังเป็นเด็กเมื่อนานมาแล้ว และไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อเคยช่วยเหลืออาพิชัยไว้
“สมัยก่อนลำบากมาก ถ้าไม่ได้พ่อบัสช่วย อาคงไม่มีวันนี้ อาตามหาอยู่นาน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตอนนี้ดีใจที่ได้เจอ เสียดายที่ไม่ทันได้เจอพ่อบัสนะ เสียดาย...”
บารมีได้แต่ยิ้มรับเมื่อนึกถึงพ่อและยกมือไหว้อาพิชัยที่ส่งเช็คที่มียอดเงินจำนวนหนึ่งให้
“มีอะไรให้อาช่วย บัสก็บอกอาได้นะ อย่าเห็นว่าเป็นคนอื่นคนไกล เพราะว่าได้พ่อบัสช่วย อาถึงได้พอมีกินมีใช้ในวันนี้ ถึงคราวที่ลำบาก ขอให้บัสนึกถึงอา อะไรที่อาช่วยได้อาจะช่วยทั้งหมด”
บารมียกมือไหว้ขอบคุณอาพิชัยคนที่พ่อเคยช่วยเหลือเอาไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ พ่อทำเรื่องดี ๆ ไว้มากมายและอานิสงค์ของความดีของพ่อก็ส่งต่อมาถึงบารมีด้วย
เย็นวันนั้น หลังจากการนัดพบกับอาพิชัย เมื่อบารมีกลับมาถึงอู่ก็ตรงมาหาพิพัฒน์ที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพราะใกล้จะสิ้นเดือน
“พัฒน์” เรียกคนที่กำลังกดเครื่องคิดเลขและขมวดคิ้วมุ่นและพิพัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นมองบารมีที่ส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่ดูมีความสุข รอยยิ้มที่พิพัฒน์ยังนึกแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นบารมียิ้มได้อย่างสบายใจขนาดนี้มานานก่อน
“วันไหนว่าง ๆ พาไปเจอพ่อพัฒน์หน่อยได้มั้ย”
พาไปเจอ...
พิพัฒน์ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ บารมีถึงนึกอยากจะเจอพ่อของพิพัฒน์ขึ้นมา แต่ก็พยักหน้ารับและยังยุ่งวุ่นวายอยู่กับบัญชีที่ต้องทำ
“นี่...จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจนะ”
เช็คที่มีตัวเลขระบุจำนวนเงินไม่น้อยที่บารมียื่นส่งให้ทำให้พิพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
“อันนี้ให้ลงรายการว่าอะไร”
อะไรงั้นเหรอ
“ค่า...สินสอด”
บารมีตอบไม่เต็มเสียงนัก และเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้พิพัฒน์เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ นี่คงเป็นการหยอกล้อและพิพัฒน์ก็ก้มหน้าก้มตาทำบัญชีต่อไป
“ค่าสินสอด มันลงบัญชีไม่ได้หรอกนะพี่”
“ก็ไม่ได้ให้ลง ให้เอาเก็บไว้ใช้”
และคราวนี้พิพัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นมองบารมีที่แกล้งทำเป็นเปิดดูเอกสาร แกล้งทำเป็นตรวจงานและพยายามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาทั้งที่ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะรู้ว่าบารมีขัดเขินเกินกว่าจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้ง่าย ๆ
“วันเสาร์นี้ไปเจอพ่อพัฒน์แล้วกันนะ ไปบอกเขาหน่อยว่าจะอยู่กันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว จะให้ทำยังไงก็บอก อยากให้ซื้ออะไรไปฝากพ่อเป็นพิเศษก็บอกได้นะ”
แล้วทำไมตอนพูดต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย พิพัฒน์ไม่เข้าใจว่าบารมีทำหน้าเหมือนเขินกับเรื่องที่แสนปกติธรรมดาแบบนี้ได้ยังไง
“ทำไมพี่ต้องเขิน”
ไอ้พัฒน์นี่ก็ขยันถามอะไรนักหนาวะ
“มึงนี่นะพัฒน์ กูจะไปขอลูกเขา จะให้กูพูดยังไง กูก็พูดได้แค่นี้แหละ อย่าถามให้มากเรื่องนักได้มั้ย”
แล้วทำไมต้องเอ็ด ทำไมต้องทำเสียงเข้มแบบนั้นใส่ด้วย
“อะไร มึงจะมองกูทำไมเนี่ย ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลยนะพัฒน์ มึงไม่ต้องมายิ้มเลย รีบ ๆ ทำงานของมึงให้เสร็จ ๆ ซะ จะได้รีบกลับบ้าน”
“แล้วถ้าไม่รีบล่ะ”
ไอ้พัฒน์...
บารมีวางเอกสารที่หยิบมาถือเอาไว้แก้เขินลงบนโต๊ะ และมองหน้าพิพัฒน์ด้วยความหงุดหงิดโมโห คนที่โดนปั่นหัวมักจะเป็นบารมีเสมอ และยิ่งเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของพิพัฒน์ที่จะทำเหมือนอย่างที่พูดจริง ๆ ก็นึกหงุดหงิดใจขึ้นมาจนต้องส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ
“กูต้องไปขอมึงกับพ่อของมึง ก่อนไปกูก็ให้สินสอดมึงแล้ว นี่กูแค่จะจีบมึงบ้าง ทำไมถึงไม่ให้ความร่วมมือเลยวะ”
แปลว่า ต้องให้ความร่วมมือในการจีบโดยไม่มีเงื่อนไขสินะ
“แล้วตอนจีบ พี่จะพูดยังไง”
พิพัฒน์เป็นคนร้ายกาจ ใครไม่รู้ก็คิดว่าพิพัฒน์มักถูกบารมีรังแกและทำร้ายจิตใจอยู่เสมอ แต่ทุกคนควรได้รู้ความจริงว่าคนที่ถูกทำร้ายจิตใจที่แท้จริงคือใคร
“คุณพิพัฒน์ครับ ผมไหว้ล่ะครับ มึงต้องให้กูเขินถึงขนาดไหนถึงจะพอใจวะ นี่กูทำตัวไม่ถูกแล้วนะ เลิกแกล้งกันซะที แล้วก็รีบ ๆ เก็บของเร็ว ๆ กูจะไปรอที่รถ”
บารมีไม่อยากพูดอะไรอีก ยิ่งพูดยิ่งทำหน้าไม่ถูกและดูเหมือนพิพัฒน์จะยิ่งพอใจที่ได้แกล้ง
บารมีเดินออกจากออฟฟิศเพื่อไปรอที่รถ และเต๋อที่นั่งเล่นอยู่กับช่างวินัยและช่างมิ่งก็ปรบมือและร้องเพลงเสียงดัง
“แต่งงานเถิดน้อง อย่ามัวแต่มองข้ามผ่าน เดี๋ยวตายไปยมบาลไม่สงสาร อดขึ้นสวรรค์เลย โอ้ยยยย”
เต๋อถึงกับกุมหัวด้วยความเจ็บเพราะโดนบารมีตบกบาลไปหนึ่งที
“มึงจะบันเทิงเกินไปแล้วไอ้เต๋อ เสือกสาระแนดีเหลือเกินนะ ค่าเทอมมึงกูคงไม่ต้องจ่ายแล้วมั้ง หักเอาจากเงินเดือนช่างนัยก็ได้”
เกี่ยวอะไรกับช่างนัยวะ
“เฮียจะหักจากเงินเดือนช่างนัยได้ไง”
“ทำไมจะหักไม่ได้ กูก็หักเงินเดือนผัวมึงมาส่งค่าเทอมให้มึงก็ถูกแล้ว มีอะไรที่มึงไม่เข้าใจอีกหรือไง”
เต๋อถึงกับอ้าปากตาค้าง และพูดอะไรไม่ออก เมื่อโดนบารมีพูดเรื่องที่ปกปิดเอาไว้ใส่หน้า
“ช่างนัย..ไม่ใช่..”
“กูจะทำเหมือนไม่รู้เรื่องนี้ต่อไปแล้วกันนะ”
ช่างมิ่งลุกขึ้นยืนและถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินจากไป ไม่ขออยู่ร่วมเหตุการณ์และบอกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปเพื่อไม่ให้เต๋อต้องรู้สึกเขินเวลาที่ต้องทำงานร่วมกัน
“ไอ้มิ่ง มึงเข้าใจผิดแล้ว กูกับช่างนัย ไม่ได้...”
อยากจะพูดอะไรต่ออีกนิด แต่เมื่อมองหน้าของช่างนัยที่เริ่มทำหน้าขรึมใส่และมองหน้าของเต๋อนิ่ง ๆ ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“เฮีย..ผมไม่ได้...”
จากที่คิดจะแซวบารมี ตอนนี้คนที่โดนเอาคืนอย่างรุนแรงมากมายกว่าหลายเท่ากลายเป็นเต๋อไปแล้ว
“ผมโกรธเฮียบัสแล้ว”
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เต๋อก็ยังเป็นเด็กน้อยที่โดนรุมแกล้งจากบารมีและช่างวินัยอยู่เสมอและบารมีก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ
“มึงจะโกรธกูก็โกรธไปเถอะไอ้เต๋อ เพราะยังไงกูก็ไม่ง้อมึงอยู่แล้ว”
เต๋อได้แต่เบะหน้า เพราะถึงแม้จะโกรธที่โดนแกล้งแค่ไหนบารมีก็ไม่คิดจะง้อ เลยทำได้แค่นั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น เพราะอายที่มีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อกับช่างวินัยแล้ว
“กูโตแล้ว จะอยู่กินกับใครก็ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก ว่าแต่มึงเถอะจะให้กูฟ้องแม่มึงเรื่องมึงกับไอ้นัยมั้ย”
“ไม่ได้นะ เฮียอย่าบอกแม่นะ”
เต๋อถึงกับหน้าเสียเมื่อบารมีขู่ว่าจะฟ้องแม่ของเต๋อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อกับช่างวินัยและบารมีก็เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัยและเหลือบสายตามองหน้าช่างนัยที่แตะปลายนิ้วไปที่ริมฝีปากของตัวเองเพื่อไม่ให้บารมีพูดเรื่องนี้
...แม่มึงรู้ตั้งนานแล้วนะว่าพวกมึงได้กันแล้ว นี่ช่างนัยยังไม่บอกอีกเหรอวะ ว่าแม่มึงรู้เรื่องนี้เป็นปีแล้ว...
“ถ้าไม่อยากให้กูพูด มึงก็ทำตัวให้มันดี ๆ อย่ากวนตีนกูให้มากนัก”
ได้ทีบารมีก็เลยหาโอกาสใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เต๋อไม่รู้ และช่างวินัยก็แอบลอบยิ้มด้วยความขำ
“รู้แล้ว” เต๋อรีบรับคำอย่างแข็งขันและบารมีก็พยักหน้ารับและเดินไปรอพิพัฒน์ที่รถ
...ไอ้เต๋อ มึงยังเป็นแค่เด็กน้อย คิดจะแซวกูยังเร็วไปหมื่นปี เรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอด สมน้ำหน้า เสือกอยากจะสาระแนมาแซวเรื่องของกู...
+++