@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน จบ
“เห็นมันเป็นน้องไม่ได้จริง ๆ เหรอนัย”
ช่างวินัยก้มลงกราบแม่ของเต๋อด้วยความเคารพ และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าดวงตาแม่ของเต๋อแดงก่ำ ช่างวินัยเข้าใจดีว่าแม่ของเต๋อรู้สึกยังไง ความรู้สึกมันชัดเจนมาตั้งนานแล้วแต่ที่ไม่พูดก็เพราะไม่อยากทำให้ผู้ใหญ่เสียใจ ถึงจะใจร้อนอยากให้รับรู้แค่ไหน
แต่ช่างวินัยก็ต้องยอมรับว่าต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของแม่ของเต๋อและนั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
“ผมรักมันจริง ๆ ครับป้า ผมไม่เคยเห็นมันเป็นน้องมานานแล้ว ผมพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะทำเหมือนว่ามันเป็นแค่น้องมาตลอด แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ห้ามใจไม่ให้รักมันไม่ได้ ผมขอโทษจริง ๆ ครับป้า”
ยอมรับออกไปตรง ๆ และแม่ของเต๋อก็ได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ผู้ใหญ่ยังไงก็ดูออก ถึงแม่จะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อกับช่างวินัยที่แม่ของเต๋อเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก แต่นานวันเข้าก็ต้องยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้
วันหนึ่งแม่ของเต๋อ เลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามานั่งคุยกับช่างวินัย ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้คุยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังบ่อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ของเต๋อที่ไหว้วานให้ช่างวินัยช่วยดูแลเรื่องไปรับไปส่งและอาศัยพึ่งพาช่างวินัยในหลาย เรื่องอยู่บ่อย ๆ
เริ่มแรกคุยกันด้วยเรื่องอื่น ๆ ก่อนและค่อย ๆ เริ่มถามเรื่องความความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อกับช่างวินัย และช่างวินัยก็ยอมรับว่ากำลังคบหากัน ถึงจะเตรียมใจมาแล้วส่วนหนึ่งแต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้แม่ของเต๋อนิ่งงัน
แม่ของเต๋อหวังแค่เพียงอยากให้ช่างวินัยเห็นเต๋อเป็นน้องเหมือนที่ผ่านมา แต่ช่างวินัยก็ยอมรับว่าคงกลับไปทำแบบนั้นไม่ได้
“ผมขอโทษครับป้า ยกโทษให้ผมด้วย แต่ผมรักมันมาก ผมขอโทษที่ทำให้ป้าผิดหวังแต่ผมไม่คิดจะทำให้มันเสียใจ”
แม่ของเต๋อได้แต่นั่งฟังนิ่ง ๆ และพยายามจะเข้าใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนี้อยู่ตลอดเวลา สุดท้ายได้แต่พยักหน้าอย่างช้า ๆ และได้แต่ทำใจยอมรับ จะให้ทำยังไงได้มาถึงขนาดนี้แล้ว คนมันรักกันชอบกัน จะให้บังคับขู่เข็ญให้เลิกกันยังไงก็เป็นไปไม่ได้
“ไม่มีทางเลยเหรอนัย”
“ผมขอโทษครับป้า” ช่างวินัยได้แต่พูดขอโทษแต่ไม่คิดจะตัดใจ และถึงแม่เต๋อจะโกรธจะเกลียดยังไง ช่างวินัยก็คิดจะเอาความดีเข้าสู้ จะพิสูจน์ตัวเองให้แม่ของเต๋อเห็นว่ามีความจริงใจและไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจง่าย ๆ
“เรื่องนี้ นัยอย่าเพิ่งบอกไอ้เต๋อมันนะ ป้ากลัวมันจะอาย”
ถึงที่สุดแล้ว คนที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเต๋อ ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต คนที่เต๋อรักและอยากอยู่ด้วยมาตลอดก็คือช่างวินัย และแม่ของเต๋อก็รู้ความรู้สึกที่เต๋อมีให้ช่างวินัยมาตลอด ถึงได้พยายามบอกให้ช่างวินัยเห็นเต๋อเป็นแค่น้อง เพราะถ้าห้ามความรู้สึกของลูกชายไม่ได้ ก็หวังว่าจะห้ามความรู้สึกของช่างวินัยได้ แต่สุดท้าย คนจะรักกันชอบกัน ถึงจะห้ามแค่ไหนแต่ถ้ามันจะรักกันก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
“นัยอย่าบอกมันนะ ว่าป้ามาคุยเรื่องนี้กับนัยแล้ว”
ช่างวินัย ยกมือไหว้แม่ของเต๋อและก้มลงกราบอีกครั้ง
“ป้าครับ ป้าจะไม่ห้ามหรือบอกให้เต๋อเลิกกับผมใช่มั้ยครับ” แม่ของเต๋อได้แต่ถอนใจยาวและยอมพยักหน้าอย่างช้า ๆ
“ป้าก็เห็นนัยเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานมาตลอด แล้วป้าจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”
+++
มีการแซวกันในอู่ซ่อมรถ ว่าเฮียบัสไปขอพี่พัฒน์แล้ว เพราะที่ข้อมือของพี่พัฒน์และเฮียมีสายสิญจน์ผูกอยู่เต็มข้อมือทั้งสองข้าง ไม่มีใครพูดหรือเอ่ยถามเรื่องนี้ แต่ก็รู้กันดีว่าหมายความว่ายังไง แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วเพราะถึงแม้จะมีใครถาม ทั้งเฮียและพี่พัฒน์ก็ไม่คิดจะปิดบังใครแม้แต่ญาติทางฝั่งนี้ก็ตาม
“คนที่ทำให้กูยังยืนอยู่ต่อไปได้โดยไม่ล้มไปซะก่อน ช่วยเหลือกูทุกอย่างยิ่งกว่าญาติ ทำให้กูยังมีแรงจะสู้ต่อก็คือพิพัฒน์ แล้วการที่กูจะยกย่องคนที่ช่วยประคับประคองกูจนถึงตอนนี้อย่างออกหน้าออกตาแล้วใครจะทำไม”
เต๋อไม่เคยรู้ว่าเฮียจะชัดเจนกับพี่พัฒน์มากขนาดนี้ การเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบตัวเองอย่างดีมากพอแล้ว มันสามารถทำให้คนเราทำสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลใจอย่างที่เต๋อกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
ทุกวันนี้เต๋อไม่อยากให้แม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อและช่างวินัยเพราะกลัวว่าจะทำให้แม่ผิดหวัง กลัวทำให้แม่เสียใจ ไม่อยากให้แม่ต้องอายที่กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
ถึงจะคบหากัน และมีคนรู้เรื่องนี้มากแค่ไหนก็ตาม มันไม่สำคัญเท่าการที่แม่จะต้องรับรู้เรื่องนี้ เต๋อไม่อยากทำให้แม่เสียใจ
“พี่นัย” เต๋อขยับตัวออกห่างช่างนัยที่มานั่งข้าง ๆ และช่างวินัยก็ขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกอึดอัดใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
เต๋อไม่ยอมให้แตะต้อง ไม่ยอมให้เข้าหา มีเวลาได้อยู่ใกล้กันเล็กน้อยก็ตอนที่ได้ไปรับไปส่ง เต็มที่ก็แค่ได้กอดได้หอมบ้าง แต่มันน้อยเกินไปสำหรับช่างวินัย
“พี่นัย เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
บางทีช่างวินัยก็อยากจะพูดอะไรออกไปตรง ๆ แต่รับปากแม่ของเต๋อเอาไว้แล้วก็เลยได้แต่เก็บเงียบเอาไว้
“รอให้มันเรียนจบก่อน รอให้มันทำงานเป็นเรื่องเป็นราวก่อน ให้มันโตกว่านี้มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ ถึงตอนนั้นถ้ายังรักกันอยู่ ก็คงไม่สายเกินไปหรอกใช่มั้ยนัย”
ช่างวินัยเข้าใจดี ทำไมแม่ของเต๋อถึงขอร้องแบบนั้น ถึงจะไม่ได้ขัดขวางและยอมให้คบหากันแบบเงียบ ๆ ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ทั้งหมด แม่ของเต๋อคงอยากให้เต๋อโตขึ้นกว่านี้ คิดได้กว่านี้ อยากให้มีความเป็นผู้ใหญ่และสามารถพิจารณาเรื่องบางอย่างได้อย่างถี่ถ้วนมากกว่านี้ ช่างวินัยเข้าใจดี สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่รอเท่านั้น รอวันที่เต๋อจะโตขึ้นและกล้าพอที่จะบอกใคร ๆ ว่าเราเป็นอะไรกัน
ช่างวินัยไม่ได้รีบร้อน และสามารถรอต่อไปได้อีกนาน แต่บางครั้งก็มีเรื่องให้หงุดหงิดหัวใจบ้าง เช่นตอนที่อยากเข้าใกล้อยากแตะต้องแต่ทำอะไรอย่างที่ใจคิดไม่ค่อยได้
“โคตรอยากให้แม่เอ็งรู้เรื่องนี้จริง ๆ”
ได้แต่บ่นพึมพำเสียงเบาและเต๋อก็ปลอบใจช่างวินัยด้วยการดึงมือช่างวินัยมาแนบที่แก้มและกระพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนอ้อน จนช่างวินัยได้แต่ถอนใจ
“พี่นัยของเต๋อ”
เป็นแบบนี้ตลอด บางครั้งช่างวินัยก็นึกอยากโบกกบาลเต๋อสักที ไม่เข้าใจว่าทำไมเต๋อถึงสามารถเข้าหาช่างวินัยได้ตามใจชอบ แต่พอช่างวินัยจะเข้าหาบ้างก็ทำเป็นบ่ายเบี่ยงและผลักไส ตกลงไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องกังวลใจมากกว่ากัน
“นี่เอ็งรักพี่จริง ๆ หรือเปล่าวะ หรือเพราะกลัวพี่จะไปฟ้องแม่เอ็งถึงได้มาทำเป็นออดอ้อนให้หลงดีใจ”
ช่างวินัยได้แต่ถอนหายใจยาว และเต๋อก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ
“งอนเหรอพี่นัย”
“งอนห่าอะไรของเอ็งกันล่ะ” ช่างวินัยได้แต่เมินหน้าหนีและลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปซื้อสายรุ้งและไฟประดับเพื่อมาจัดงานวันเกิดให้พิพัฒน์เพราะเฮียสั่งมา
...สั่งหมูกระทะมาด้วยห้าชุด เผื่อคนอื่น ๆ ด้วย พอดีวันนี้คุณทัศเขาจะมากินด้วย...
ก็เลยต้องไปจัดการงานให้เสร็จเรียบร้อยและทั้งเต๋อและช่างวินัยก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถเพื่อเตรียมไปซื้อของ เมื่อนึกดูแล้วก็ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงหลังจากซื้อของเสร็จแล้วก็มีเวลามากพอให้ทำอะไรอย่างอื่นที่อยากทำได้
“มีเวลาอีกถมเถ เข้าโรงแรมกันมั้ยวะ”
ชวนออกไปตรง ๆ และเต๋อก็หันมามองหน้าของช่างวินัยและหน้าแดงก่ำ ก้มลงมองหลังมือของตัวเองและขบริมฝีปากแน่น รู้ว่าการชวนเข้าโรงแรมหมายถึงการชวนไปทำอะไรบางอย่างที่เต๋อเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธเพราะอยากทำ
“จะดีเหรอพี่นัย”
ช่างวินัยหัวเราะออกมาด้วยความขำ เมื่อหันไปมองท่าทางที่แสดงออกว่าขัดเขินแต่ก็น่ารักไม่น้อยของเต๋อ
“เผื่อเต๋ออยากเปลี่ยนบรรยากาศไง ที่บ้านกับบนรถก็บ่อยแล้ว เผื่ออยากลองแปลก ๆ ใหม่ ๆ บ้าง”
ก็ไม่ใช่ว่าเบื่ออะไรหรอกนะแต่ถ้ามีอะไรใหม่ ๆ ก็น่าลอง
“เต๋อไม่อยากขัดใจพี่นัย กลัวพี่นัยไปฟ้องแม่”
ถ้าไม่ให้ขำตอนนี้จะขำตอนไหน ถ้าไม่หัวเราะตอนนี้จะให้ไปหัวเราะตอนไหน ถ้าไม่ให้มีความสุขตอนนี้แล้วจะให้ช่างวินัยยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขตอนไหน
“งั้นเต๋อต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน ถ้าพี่ทำอะไรไปเต๋อต้องไม่งอแง”
เต๋อโตมากแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมจะทำให้ไม่ได้ เต๋อพยักหน้ารับทั้งที่หน้ายังขึ้นสีแดงเรื่อและก็ทำให้ช่างวินัยหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเพราะการรับคำของเต๋อที่พูดออกมา
“เต๋อไม่ดื้อกับพี่นัยหรอกนะ สัญญา”
+++
หายกันไปพักใหญ่และทั้งเต๋อและช่างวินัยก็กลับมาที่อู่ซ่อมรถด้วยสีหน้าอิ่มเอิบมีความสุข ช่วยกันประดับประดาไฟและสายรุ้งหลากสี เพื่อจัดงานวันเกิดให้พิพัฒน์และช่วยกันลากโต๊ะมาติดกันหลายตัวเพื่อจัดพื้นที่สำหรับวางเตาหมูกระทะ เตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อยทั้งช่างและเด็กในอู่ก็มารวมตัวกันเพื่อร่วมสังสรรค์ในงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกัน เต๋อนั่งข้างช่างวินัย และไม่นานช่างมิ่งช่างคนใหม่ของอู่ก็ตามมาสมทบ
“เขากินกันจะหมดแล้ว เพิ่งโผล่หัวมา”
“พอดีที่บ้านโทรมา”
ช่างมิ่งดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องที่บ้านอยู่บ่อย ๆ และเต๋อก็ได้แต่เห็นใจเรื่องปัญหาครอบครัวของช่างมิ่งไม่น้อย
“เรื่องเดิมอีกสิ บ้านมึงน่ะ”
“รอบนี้จะเอาให้ได้ กูเหนื่อยนะไม่ใช่ไม่เหนื่อย ที่มาทำงานหาเงินขนาดนี้ก็ทำเพื่อลูก ทำเพื่อที่บ้าน เอาไปก็ไม่ใช่จะเอาไปเลี้ยงให้ดี มาขู่เอาเงินเรื่อย”
พูดคุยและปรับทุกข์กันด้วยเรื่องครอบครัวและเต๋อก็พยักหน้ารับ
“มึงก็ให้ไปสิ เอาไปเลี้ยงซะ”
“ถ้าเอาไปแล้ว ชาตินี้ก็คงไม่ได้เห็นอีก”
เต๋อไม่เข้าใจชีวิตครอบครัวของคนอื่นมากนัก พูดไปพูดมาก็มึนงง รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้
“ลูกมึงนี่ดีนะ พ่อแม่แย่งกัน น่าอิจฉาดี”
ไม่รู้ว่าเต๋อพูดออกไปด้วยความรู้สึกยังไง แต่มันมากพอให้ช่างวินัยเงยหน้าขึ้นมองและเรียกคนที่เริ่มจะพูดเรื่องเดิม ๆ อีกแล้ว
“เต๋อ”
“เออ รู้แล้วไม่มีอะไรหรอก”
ตอบกลับช่างวินัยไปอย่างรวดเร็วและเต๋อก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร คีบหมูใส่ปากและเคี้ยวไปเรื่อย ๆ และช่างวินัยก็คีบหมูใส่จานให้เต๋อด้วย
“เอามาให้ทำไม”
ช่างวินัยไม่ได้ตอบแต่ยังปิ้งหมูและปลาหมึกใส่ในจานของเต๋อเรื่อย ๆ ถึงแม้เต๋อกับช่างวินัยจะไม่ได้แสดงออกให้ใคร ๆ เห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่ไม่ว่าใครก็พอมองออกว่าเต๋อกับช่างวินัยไม่ได้เป็นแค่คนที่ทำงานด้วยกันเฉย ๆ และช่างมิ่งก็แค่พยายามทำตัวให้เป็นปกติเท่านั้น ไม่ว่าจะรู้อะไรมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเหมือนรู้ อยู่ไปเงียบ ๆ ไม่ทำให้คนรอบข้างอึดอัดใจก็พอ
“เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือให้ นานทีปีหน”
วันนี้มีลูกค้าคนสำคัญของอู่มาด้วย คุณทัศนัย เดินออกจากออฟฟิศมาพร้อมกับเฮียบัส
“รังเกียจมั้ยเนี่ย ผมมาขอร่วมวงด้วยคน”
คุณทัศนัยยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และคนอื่น ๆ ก็หัวเราะเฮฮาไม่ได้แสดงทีท่าอึดอัดใจที่ลูกค้ารายใหญ่ของอู่ขอมากินหมูกระทะด้วย
อาหารที่กินร่วมกันเป็นแบบง่าย ๆ แต่เต็มไปด้วยมิตรภาพและสร้างความสุขให้ทุกคนในอู่
“มิ่ง” เฮียบัสเรียกให้มิ่งที่นั่งใกล้ถังน้ำแข็งที่สุดลุกขึ้นไปจัดการเตรียมน้ำกับน้ำแข็งมาเสิร์ฟให้กับคุณทัศนัย
“ขอบคุณมาก...มิ่ง”
เต๋ออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าเคยแกล้งอะไรช่างมิ่งเอาไว้บ้าง
...คุณทัศนัยเขามาชอบมึง...
เคยพูดเอาไว้แบบนั้นและเต๋อก็รู้ดีว่าช่างมิ่งมีท่าทีอึดอัดใจและกำลังทำตัวไม่ถูกเพราะอะไร
“พัฒน์” แค่เฮียเรียกพี่พัฒน์ก็คีบอาหารใส่จานให้เฮียแล้ว แม้จะเป็นวันเกิดของพี่พัฒน์แต่พี่พัฒน์ก็ยังทำหน้าที่ดูแลเฮียและคนในอู่อยู่เสมอ
พิพัฒน์คีบหมูที่สุกแล้วให้บารมี ช่างวินัยก็คีบปลาหมึกที่สุกแล้วใส่จานให้เต๋อ และเมื่อเต๋อมองไปที่จานของช่างมิ่งก็เห็นคุณทัศนัย คีบหมูมาใส่จานให้แล้วเหมือนกัน
“กินกันสบาย ๆ นะครับ ผมเป็นคนง่าย ๆ ไม่เรื่องมากอะไรอยู่แล้ว สนุกสนานเหมือนปกตินะครับ นี่ผมก็ไม่รู้ยังไง มิ่งดูไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ผมทำอะไรไม่ดีไปก็อย่าถือโทษโกรธผมนะ”
คุณทัศนัยเป็นคนพูดจาดีและไม่ถือตัว ไม่ได้ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดใจแต่ยังชวนคุยและทำให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่ ไม่ ผมไม่ได้อะไรกับคุณทัศจริง ๆ”
ช่างมิ่งพยายามอธิบายบางอย่างและคุณทัศนัยก็หัวเราะออกมา
“นี่ตั้งแต่ผมส่งงานในอู่มา เขาเพิ่งพูดกับผมยาว ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ”
เสียงหัวเราะของทุกคนในอู่ดังขึ้น ทั้งช่างและเด็กในอู่คุยกันด้วยความสนุกสนานและเฮียก็ชวนคุณทัศนัยคุยบ้างเพื่อสร้างความรู้สึกที่ผ่อนคลายให้กับทุกคน
“มันไม่ค่อยพูด ทำแต่งานอย่างเดียวคุณทัศ”
เฮียบัสช่วยพูดให้และคุณทัศนัยก็พยักหน้ารับและหันมามองช่างมิ่งที่นั่งอยู่ติดกัน ส่งยิ้มให้และชวนช่างมิ่งคุย
“ไม่ได้เกลียดผมใช่มั้ย”
“ไม่ได้เกลียดครับ” ช่างมิ่งตอบออกไปแบบนั้น เพราะไม่อยากทำให้เกิดปัญหาและคุณทัศนัยก็ถอนหายใจยาวเหมือนโล่งใจ
“แค่ไม่เกลียดกัน ผมก็ดีใจแล้ว”
เห็นคุณทัศนัยกับช่างมิ่งคุยกันแล้วเต๋อก็รู้สึกสนุก ยักคิ้วและส่งยิ้มแปลก ๆ ให้ช่างมิ่งที่ก้มหน้าก้มตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเต๋อก็ขยับเข้ามาใกล้ช่างมิ่งอีกนิด กระซิบกระซาบพูดบางอย่างที่ทำให้คนฟังต้องขบริมฝีปากแน่นและยิ่งทำตัวไม่ถูกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“กูบอกแล้ว คุณทัศเขามาชอบมึง”
เต๋อหัวเราะออกมาด้วยความขำและสนุกสนานกับงานวันเกิดของพิพัฒน์มากกว่าใคร ช่างวินัยได้แต่ส่ายหน้ากับความช่างแกล้งของเต๋อและได้แต่หัวเราะตาม
วันนี้เป็นวันที่ทุกคนในอู่มีความสุขและสนุกสนานกับงานเลี้ยงสังสรรค์วันเกิดเล็ก ๆ ของพิพัฒน์ที่จัดขึ้นเพื่อทุกคนมากกว่า พิพัฒน์หันไปมองหน้าของบารมีและส่งยิ้มบาง ๆ ให้ นาน ๆ ทีอู่ซ่อมรถจะมีงานเลี้ยงบ้างและบารมีก็มองทุกคนในอู่ด้วยรอยยิ้ม
ทุกวันยังเป็นเหมือนเดิม มีบางวันที่เป็นวันพิเศษบ้างเช่นวันนี้ที่บารมีจัดงานวันเกิดให้พิพัฒน์เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการทำให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาที่ได้พักผ่อน ได้กินอาหารและได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานร่วมกัน
บารมีวางมือลงไปที่หลังมือของพิพัฒน์และพิพัฒน์ก็ส่งยิ้มกลับมาให้
“สุขสันต์วันเกิดนะพัฒน์” พิพัฒน์ยิ้มออกมาและพยักหน้ารับกับสิ่งที่บารมีบอก และนั่นยิ่งทำให้บารมียิ้มได้อย่างมีความสุข
เต๋อมองไปที่พิพัฒน์และเฮียบัสที่ส่งยิ้มให้กัน และช่างวินัยก็มองหน้าของเต๋อและเรียกให้เต๋อหันกลับมามองที่ช่างวินัยบ้าง
“ถ้าเอ็งมองคนอื่นมากกว่าพี่ พี่จะฟ้องแม่เอ็งนะเต๋อ”
กระซิบบอกเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคนและช่างวินัยก็แกล้งขู่เต๋อไปเล็กน้อยและเต๋อก็ตีหน้าขาของช่างวินัยแรง ๆ จนช่างวินัยต้องจับมือเต๋อเอาไว้แน่น
บารมีลอบมองสิ่งที่เต๋อกับช่างวินัยทำแล้วก็หัวเราะด้วยความขำแต่ก็ต้องถือตะเกียบค้างเอาไว้อย่างนั้นเมื่อพิพัฒน์วางมือลงที่หน้าขาของบารมีบ้างและเริ่มลูบไล้เล่นเบา ๆ
“ขอบคุณมากนะพี่บัส ดีใจที่เราได้อยู่ด้วยกัน”
พิพัฒน์ส่งยิ้มให้กับบารมีและบารมีก็พยักหน้ารับและพยายามระงับจิตใจให้จดจ่ออยู่กับงานวันเกิดของพิพัฒน์
ทุกอย่างยังเป็นปกติดี บารมียังโดนพิพัฒน์ทำให้หลงรักอยู่ทุกวัน วันนี้ทุกคนในอู่หัวเราะไปพร้อมกันอย่างมีความสุข และบารมีหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปทุก ๆ วัน
(จบ)