@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน ไม่เคยลืม
“พี่พัฒน์ เฮียให้มาตาม”
“เดี๋ยวไป”
“พี่พัฒน์ เฮียบอกว่าเลิกเล่นได้แล้ว”
“เออ เออ”
“พี่พัฒน์ เฮียบอกว่าถ้าไม่เลิกเล่นเฮียจะให้กลับเอง”
“แป๊บ”
“พี่พัฒน์ เฮียบอกว่า เชิญเล่นตามสบายเลย”
“เอ่อ........”
ก็รู้ว่าบารมีให้เด็กมาตามหลายรอบแล้ว แต่อีกนิดเดียวเอง อีกนิดเดียวเอง อีกนิดเดียวเอง และ.........อีกนิด.....เดียว........
“.....................”
ใครบางคนมายืนกอดอกอยู่ข้างสนาม และเมื่อพิพัฒน์เหลือบสายตาไปเห็นก็ถึงกับพูดไม่ออกหน้าตาแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ มีอารมณ์เดียวเท่านั้น
“ไอ้พัฒน์”
พิพัฒน์หยุดเล่นทันที แตะมือกับเพื่อนร่วมทีมเรียบร้อยและวิ่งออกจากสนาม มาหาบารมี
“นี่มึงอยู่ทีมถอดเสื้อเหรอ ไม่แก้ผ้าเล่นเลยล่ะถ้ามึงจะพับขากางเกงขึ้นขนาดนี้ กูว่าวันหลังมึงแก้ผ้าเล่นเลย สะดวกกว่าใส่เสื้อผ้าเล่นเยอะ เชื่อกู”
ประชดประชันด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่พอใจอย่างรุนแรง และพิพัฒน์ก็หยิบเสื้อที่ถอดทิ้งไว้ข้างสนามมาพาดไว้บนบ่าและเดินตามบารมี
“เล่นต่อก็ได้นะ มึงจะไปแข่งโอลิมปิคไม่ใช่หรือไง”
พิพัฒน์ไม่ตอบ แต่วิ่งตามบารมีที่เดินนำหน้าบารมีด่าพิพัฒน์ไปตลอดทางแต่พิพัฒน์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“นี่มึงมาเตะตะกร้อ จนกลายเป็นฟุตซอลตั้งแต่เมื่อไหร่ กูถามจริงเถอะ มึงมาทำงานทุกวันเนี่ยใจมึงอยู่ที่งานหรือใจมึงมาอยู่ที่สนามแล้ว วันหลังมึงหอบเสื้อผ้าเอาเต็นท์มากางนอนข้างสนามเลย”
บารมียังคงด่าไม่เลิกแต่พิพัฒน์วิ่งเหยาะ ๆ อยู่ข้าง ๆ บารมีและตั้งใจฟังบารมีด่าเป็นอย่างดี
“มึงจะวิ่งหาพระแสงอะไรของมึงเนี่ยไอ้พัฒน์
กวนตีนกูอยู่ใช่มั้ย”
ตะคอกคนที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ และพิพัฒน์ก็เลยวิ่งเลยบารมีไป
“แวะเก็บหญ้าให้กระต่ายก่อน”
หันกลับมาบอกคนที่เดินหน้าเครียดและบารมีก็ได้แต่อ้าปากค้างหลังได้ฟังคำพูดนั้นของพิพัฒน์
สนใจกูบ้าง กูอุตส่าห์ถ่อมาตามมึงเลยนะ สนใจกูพูดบ้างสิโว้ยยยยยยยยยยย
“ไอ้พัฒน์ มึงนี่......... แม่ง....โว้ยยยยย”
ได้แต่ด่า ได้แต่หัวเสีย ได้แต่หงุดหงิด ได้แต่โวยวายได้แต่โมโห ได้แต่ประสาทไปคนเดียว ส่วนไอ้ตัวก่อเหตุ มึงนั่งถอนหญ้าขนเฉ้ยยยย
บารมีโมโหจนเกินจะพูดอะไรได้อีก กระฟัดกระเฟียดเดินกลับอู่ และไม่ถึงห้านาทีพิพัฒน์ก็วิ่งตามมาพร้อมกับหญ้าขน
“พี่บัส”
เรียกหาพ่อง เหรอ
“อะไร” น้ำเสียงที่แข็งกร้าวของบารมีทำให้พิพัฒน์ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ และบารมีก็มองหน้าของพิพัฒน์ด้วยความหงุดหงิดใจ
“.....................”
พิพัฒน์ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ทำหน้าหงอย ๆ และเดินเลี่ยงไปข้างอู่ ไปนั่งอยู่หน้ากรงกระต่ายและบารมีก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ กับพฤติกรรมที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็น
มันงอนหรือมันอะไรของมันวะ ท่าทางแบบนั้นคืออะไร
บารมีเดินเข้าไปในออฟฟิศและทิ้งกายลงนั่งอยู่บนเก้าอี้
เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว และบารมีก็รอให้คนที่ไปเฝ้ากระต่ายรีบ ๆกลับมาซะที แต่พิพัฒน์ก็ยังไม่ยอมกลับมา
“นี่ตกลงกูต้องไปตามอีกรอบใช่มั้ย นานไปแล้วไอ้ห่านี่ แม่ง”
บารมีลุกขึ้นและเดินไปหาพิพัฒน์ที่นั่งอยู่ข้างกรงกระต่าย
“ไอ้พัฒน์”
พิพัฒน์หันไปมองตามเสียงเรียก และเมื่อเห็นว่าเป็นบารมีที่ออกมาตาม ก็เลยต้องรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“กลับบ้าน”
“.....................”
พิพัฒน์ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เดินตามหลังบารมีไปขึ้นรถ
“......................”
“พี่บัส”
เรียกคนที่เงียบจนผิดปกติ และบารมีก็เหลือบสายตามองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นสนใจอยู่กับการมองถนนและพิพัฒน์ก็เลยไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ
“เพิ่งหายไข้ ก็เอาเลยใช่มั้ยไอ้พัฒน์ หยุดเล่นไม่ได้เลยเหรอตะกร้อเนี่ย ไม่คิดจะสนใจห่วงตัวเองเลยเนอะ.......คนที่ห่วงมึงก็ห่วงไปเนอะ......กูพูดนี่ไม่ต้องฟังหรอก เพราะคำพูดกูมันไม่มีความหมายให้ต้องสนใจ”
บารมีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีวี่แววของความหงุดหงิดโมโหให้เห็นอีก และพิพัฒน์ก็นิ่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ได้ปริปาก
คนสองคนไม่ได้คุยกันอีก นิ่งเงียบแบบนั้นทั้งคู่ไปตลอดทาง และเมื่อถึงบ้าน พิพัฒน์ก็หิ้วปิ่นโตเข้าบ้านเหมือนทุกวันแต่บารมีเดินหนีขึ้นห้องไปแล้ว โดยมีพิพัฒน์มองตามและถอนหายใจ
วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะอาหาร และไม่แน่ใจว่าควรเตรียมอาหารเย็นหรือเปล่า
ปกติบารมีเป็นคนโกรธง่าย โมโหง่ายไม่พอใจก็แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ
แต่วันนี้บารมีโกรธและแสดงออกด้วยการเงียบ พิพัฒน์เลยไม่รู้จะทำตัวยังไง
เดินขึ้นบันไดไปที่ห้องบารมีและทำใจอยู่นานก่อนจะตะโกนบอกบางอย่างกับคนในห้อง
“พี่บัส กินข้าวเลยมั้ย”
ถามแล้ว แต่ได้รับเพียงความเงียบเป็นคำตอบ พิพัฒน์ก็เลยได้แต่ยืนหน้าจ๋อยอยู่หน้าห้อง
โดนโกรธจริง ๆ แล้ว
พิพัฒน์ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่เดินคอตกเข้าห้องตัวเอง ถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไว้บนเตียงและเดินไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาบ้าง
ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงถึงจะดี
ไม่รู้ว่าควรทำยังไงถึงจะทำให้บารมีหายโกรธ
ไม่รู้ว่าควรทำยังไง.......
พิพัฒน์ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++
“พัฒน์”
เสียงเรียกจากหน้าห้องทำให้พิพัฒน์รีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูทันทีและบารมีก็ยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าห้อง
“ทำไมมึงไม่เตรียมข้าว”
ได้ฟังแค่นั้นพิพัฒน์ก็รีบวิ่งลงบันไดไปที่ครัว โดยมีบารมีเดินตาม
อาหารในปิ่นโตถูกเตรียมอยู่บนโต๊ะอาหาร และพิพัฒน์ก็รินน้ำใส่แก้วให้คนที่ยังโกรธ
บารมีนั่งลงบนเก้าอี้ และตักข้าวกินเงียบ ๆโดยมีพิพัฒน์ลอบมองอยู่ตลอดเวลา
“มองทำไม หน้ากูไม่ใช่กับข้าวมองอยู่ได้”
โดนด่าเพราะมัวแต่จ้องหน้าของบารมีไม่เลิกและพิพัฒน์ก็เลยหลบตาตั้งหน้าตั้งตากินข้าวไปโดยไม่กล้ามองบารมีอีก
และเมื่อกินข้าวเสร็จ บารมีก็ลุกจากเก้าอี้ไปเปิดรายการข่าวและนั่งดูเหมือนทุกวัน
พิพัฒน์เก็บจานอาหารทำความสะอาดเรียบร้อยและเดินมานั่งอยู่ข้าง ๆคนที่ไม่ยอมคุยด้วย
“พี่บัส”
หันไปมองหน้าของคนเรียก และบารมีก็มองหน้าของพิพัฒน์นิ่ง ๆ
“มึงจะต้องให้กูชี้แจงมั้ยว่ากูโกรธมึงเรื่องอะไร บ้าง แต่อย่าเลยดีกว่าพัฒน์ กูเหนื่อย กูไม่อยากจะด่ามึงแล้ว มึงอยากทำอะไรมึงทำเลยพัฒน์ แล้วแต่มึงเลยตามสบาย”
พิพัฒน์ก้มหน้าลง และไม่กล้าถามอะไรบารมีอีก ได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆบารมีและเหลือบสายตามองคนที่ยังโกรธไม่หาย
ก็รู้ว่าผิด ก็รู้ว่าโอ้เอ้เฉื่อยชา ก็รู้ว่า....
“พี่บัส....”
เรียกคนที่นิ่งเฉย และพิพัฒน์ก็ขยับเข้ามานั่งข้าง ๆบารมีและดึงหน้าบารมีให้หันมามองกันตรง ๆ
“อะไรของมึงเนี่ยพัฒน์ มึงจะมาดึงหน้ากูทำไมวะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่บารมีก็ยอมหันมามอง
“ทำไม”
“.................”
“.................”
“.................”
“................”
พิพัฒน์เป็นฝ่ายมองตาของบารมี มองนิ่ง ๆ และบารมีก็จ้องตาของพิพัฒน์กลับโดยไม่มีการยอมแพ้
อยู่ด้วยกันทุกวัน ใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา ความรู้สึกที่มีให้กัน มันมากมายเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งนานแล้ว
พิพัฒน์รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากทุกวันของบารมี
“ไอ้พัฒน์”
บารมีคว้าแขนของพิพัฒน์เอาไว้ ก่อนที่พิพัฒน์จะออกห่างไปมากกว่านี้และพิพัฒน์ก็รีบดึงมือบารมีออก
“ทำไมพัฒน์”
พิพัฒน์ขบริมฝีปากแน่นและขืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้กันมากไปกว่านี้ แต่บารมีไม่ยอมปล่อย และยังรั้งเอวของพิพัฒน์ให้เข้ามาหาจนร่างกายแนบชิดกันมากขึ้น
“.................”
“พัฒน์”
บารมีจ้องหน้าของพิพัฒน์นิ่ง ๆ และพิพัฒน์ก็พยายามจะเมินมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตากับบารมีตรงๆ
“พัฒน์”
“......................”
“มึงมองหน้ากูตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ตอนนี้กูก็มองหน้ามึงกลับบ้างไง อยากให้มองไม่ใช่เหรอ ก็นี่ไงก็มองแล้ว อยากให้มองขนาดไหนก็มองแล้วนี่ไง”
บารมียังคงจ้องหน้าของพิพัฒน์นิ่ง ๆ และพิพัฒน์ก็ค่อยๆ หันหน้ามามองหน้าของบารมีตรง ๆ บ้าง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของบารมีเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง และประคองใบหน้าของบารมีเอาไว้
“......................”
“......................”
“......................”
“......................”
ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง และคล้ายมีแรงดึงดูดเข้าหากัน
พิพัฒน์ก้มหน้าลงมาหา และแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของบารมีเบา ๆก่อนจะผละออกห่าง และเห็นภาพของใครบางคนซ้อนทับกับใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า
“...ปา....”
พิพัฒน์เรียกชื่อคนอื่นที่บารมีไม่ต้องการได้ยิน ด้วยน้ำเสียงแผ่วโหยและกดปลายจมูกลงที่ข้างแก้มของบารมีแต่บารมีชะงักนิ่งค้าง และหยุดพิพัฒน์เอาไว้ ด้วยการยกมือขึ้นปิดตาของพิพัฒน์และพูดบางอย่างให้พิพัฒน์เข้าใจ
“ปามันไม่ได้อยู่กับมึงตั้งนานแล้วพัฒน์ คนที่อยู่กับมึงตอนนี้คือกู แล้วถ้าใจมึงยังเอาแต่โหยหาถึงแต่คนอื่นต่อหน้ากูอยู่แบบนี้........กูจะทำให้มึงลืมทุกอย่างให้หมดเอง”
TBC.