@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน ความทรงจำของบารมี
"รถซาลาเปามาแล้วพ่อ รถซาลาเปามาแล้ว" เด็กชายบารมีอายุ5 ขวบกระโดดโลดเต้นไปมาและวิ่งไปกอดคอพ่อที่กำลังเปลี่ยนยางมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าบ้าน
รถซาลาเปาขับมาขายในหมู่บ้าน ในเวลาหกโมงครึ่งตอนเช้าของทุกวัน เสียงเพลงที่แว่วมาแต่ไกล ทำให้คนที่รอคอยได้รู้ว่ารถซาลาเปามาขายแล้ว
"พ่อ เอาซาลาเปาไส้หวานสองลูก บัสเอาซาลาเปาไส้หวาน”
อ้อนขอให้พ่อซื้อซาลาเปาให้กิน และพ่อก็ผละจากการเปลี่ยนยางมอเตอร์ไซค์
และวิ่งไปรอที่หน้าบ้านเพื่อซื้อซาลาเปา
“ซาลาเปา ซาลาเปา”
โบกไม้โบกมือเรียกให้รถซาลาเปาจอดและเด็กชายบารมีก็ชะเง้อชะแง้มองไปที่ซึ้งนึ่งซาลาเปา
“ไอ้บัสเอ็งจะเอาอันไหน”
พ่ออุ้มเด็กชายบารมีขึ้นทั้งตัว เพื่อให้สามารถมองเห็นซาลาเปาที่อยากได้
“เอาอันไหนลูก เอาอันนี้เหรอ”
“เอาอันนี้ สองลูก บัสเอาอันนี้สองลูก เอาซาลาไส้หมูสับด้วยสองลูก”
เด็กชายบารมีชี้มือชี้ไม้ไปมา และพ่อก็ตามใจเด็กชายบารมีตลอดไม่ว่าเด็กชายบารมีจะอยากได้อะไรก็จะพยายามซื้อให้
“วันนี้มาแปลกจริงวะ เอาไส้หมูสับด้วย”
พ่อยิ้ม แต่ไม่ได้ขัดใจลูกชายตัวเล็ก และยื่นมือไปรับถุงซาลาเปาจากแม่ค้ามาถือให้
เด็กชายบารมีกอดคอพ่อเอาไว้แน่นและพ่อก็หัวเราะออกมาและควักธนบัตรใบละสิบบาทออกมายื่นส่งให้แม่ค้าขายซาลาเปา
เด็กชายบารมีได้กินซาลาเปาสมใจอยาก และเมื่อพ่อปล่อยเด็กชายบารมีลงจากอ้อมแขน เด็กชายบารมีก็หยิบซาลาเปาไส้หมูสับส่งให้พ่อ
“ไส้หมูของพ่อ”
แบ่งซาลาเปาไส้หมูให้พ่อ และพ่อก็เช็ดมือที่เปื้อนคราบน้ำมันที่ขากางเกงและรับมาถือเอาไว้
“แล้วของแม่เอ็งล่ะไส้หมูอีกลูกนี่เหรอ”
เด็กชายบารมีพยักหน้าและยิ้มยิงฟันโชว์ฟันหลอให้พ่อเห็นและพ่อก็หัวเราะชอบใจ เด็กชายบารมีวิ่งเล่นที่ลานบ้านที่แบ่งเป็นอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์เล็กๆ อย่างมีความสุข
เด็กชายบารมีอายุ 5 ขวบเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก
ทั้งที่เคยมีความสุขขนาดนั้น แท้ ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป..........ความสุขของเด็กชายบารมีก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ เมื่อโตขึ้น
“ไอ้บัส มึงจะสู้กูเหรอ กูเป็นพ่อมึงนะ ไอ้ลูกเหี้ย ไอ้ลูกทรพี”
พ่อตบหน้านายบารมีเต็มแรงจนเลือดกลบปาก และแม่ก็ห้ามพ่อเอาไว้
“พี่ไปทำมันทำไม พี่ทำลูกทำไม ไอ้บัสออกไปลูก ไม่ต้องเข้ามา ไปลูก”
บารมีกลั้นน้ำตาเอาไว้ เจ็บที่กายไม่เท่าเจ็บที่ใจ แม่โดนพ่อตบ และเมื่อเข้าไปห้าม พ่อก็ตบตีบารมีด้วยและยังด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย
“ออกไปให้พ้นหน้ากูทั้งหมดนั่นแหละ ออกไป ออกไป๊”
พ่อไล่แม่ออกจากบ้าน
แม่ยังร้องไห้ไม่หยุด และบารมีก็ทำได้แค่กอดแม่เอาไว้
พ่อโมโหร้าย พ่อเกรี้ยวกราด พ่อที่บารมีเคยรู้จักหายไปตั้งนานแล้ว
“แม่.......ผม เกลียด .......เขา”
ไม่ยอมเรียกว่า “พ่อ” บารมีเสียใจเกินกว่าจะพูดคำ ๆ นั้นออกมาได้
“อย่าเกลียดพ่อบัส อย่าเกลียด ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บัสอย่าเกลียดพ่อ แม่ขอนะบัส ห้ามเกลียดพ่อเด็ดขาด รับปากแม่นะลูก ไม่ว่ายังไงบัสก็ต้องอยู่กับพ่อ บัสต้องดูแลพ่อให้ดีที่สุด”
บารมีจำได้ขึ้นใจ แม้ไม่อยากรับปาก แต่บารมีก็จำใจรับปากแม่
ห้ามเกลียดพ่อ
ไม่ว่ายังไงก็อย่าเกลียด
เช้าวันถัดมาแม่หายตัวไป
แม่หนีไปเงียบ ๆ และทิ้งจดหมายไว้เพียงหนึ่งฉบับ
บางคนลือว่าแม่หนีตามผู้ชายไป
บางคนก็ว่าแม่มีชู้
บางคนก็ว่าแม่ไม่อยากอยู่อย่างลำบากอีก
เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตบางทีมันก็นานเกินไป จนคล้าย ๆจะเป็นแค่ความฝัน
..............เนิ่นนานเกินไป................เจ็บปวด เกินไป.............ทุกข์ทรมานมากเกินไป............จนชินชา
บารมีไม่เคยคิด
ตัวเองถอดแบบพ่อมาหมดทุกอย่าง ทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ....
มันชัดเจนขึ้น ในวันที่พ่อจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์และทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้พร้อมกับอู่ซ่อมรถที่พ่อเป็นคนสร้างมาเองกับมือ และบารมีก็เห็นทุกความพยายามของพ่อ แต่ทุกสิ่งที่พ่อสร้างมากำลังจะหายไป
“บัสไม่ทิ้งอู่นะพ่อ.......... พ่อไม่ต้องห่วง บัสจะรักษาเอาไว้ให้ได้”
บารมีกุมมือพ่อเอาไว้ในแน่น และกระซิบบอกที่ข้างหูพ่อ และพ่อก็เหมือนรับรู้ได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
บารมีเพิ่งรู้ ว่าเพราะอะไรพ่อถึงได้โมโหร้ายและเกรี้ยวกราดได้ถึงขนาดนั้น
พ่อเครียด พ่อกดดัน พ่อมีหนี้ก้อนใหญ่ และหาทางออกไม่ได้ จนปัญหาเหล่านั้นสะสมและลามมาถึงครอบครัว
เราไม่ค่อยได้คุยกัน แต่พ่อสอนบารมีทุกอย่าง ทะเลาะกันหนักบ้าง เบาบ้าง แต่บารมีก็ไม่ทิ้งพ่อไปไหน
ในวินาทีสุดท้าย
พ่อเหมือนรู้สึกตัวและกำมือของบารมีเอาไว้
“บัสรักพ่อนะ........พ่อ...บัสรักพ่อนะ”
นายบารมีนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์อายุ 20 ปี ผู้ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าคงมีอนาคตที่สดใสยาวไกลกว่าเพื่อน ๆ ในรุ่น
กอดพ่อเอาไว้และน้ำตายังไม่หยุดไหล
มือของพ่อคลายออกแล้ว และบารมีก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ ว่าพ่อไม่อยู่แล้ว
บารมีกราบลงที่เท้าของพ่อ และร้องไห้ไม่หยุด
นับตั้งแต่วันนั้น แม้อยากจะเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาแบบคนอื่นทั่ว ๆ ไป ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะภาระที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้มันใหญ่มากเกินกว่าที่บารมีจะรับไหว
แต่เพราะรับปากพ่อเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ บารมีพยายามอย่างถึงที่สุด ประคับประคองมาตลอด
พยายามรักษาอู่เอาไว้ให้นานที่สุด เท่าที่แรงใจและแรงกายของตัวเองจะสามารถทำได้
“............................”
บารมีนั่งอยู่บนเก้าอี้และเอนหลังลงหลับตานิ่ง ๆ
เสียงวิทยุจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้านในเวลาหกโมงเย็นเปิดเพลงเก่าเพลงหนึ่งที่บารมีจำได้ไม่เคยลืม
“โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังเพลงนี้ก่อน................”
ภาพรถซาลาเปาที่ขับผ่านหน้าบ้านในเวลาเช้าตรู่ และภาพของเด็กชายบารมีอายุ 5 ขวบที่มีครอบครัวที่มีความสุขที่สุด ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย
บารมียิ้มให้ตัวเองเมื่อคิดถึงเรื่องเก่า ๆที่ไม่มีทางย้อนกลับมาได้
“................................”
พิพัฒน์ยืนชะงักนิ่งไปชั่วขณะที่เห็นบารมีนั่งหลับตานิ่ง ๆ อยู่บนเก้าอี้
บารมีลืมตาขึ้นและหันไปมองหน้าของพิพัฒน์และกำลังจะลุกขึ้นยืนแต่พิพัฒน์เดินเข้ามาหา
และ.......โน้มตัวลงไปหาและกอดบารมีเอาไว้ทั้งตัว
“ไอ้พัฒน์..........อะไรของมึงเนี่ย เหม็นเหงื่อ มึงทำอะไรของมึงวะ”
ด่าคนที่อยู่ ๆ ก็เดินเข้ามากอด แต่พิพัฒน์ก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ไอ้พัฒน์”
ไม่เข้าใจสิ่งที่พิพัฒน์ทำเลยสักนิด แต่ก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้พิพัฒน์กอด และพิพัฒน์ไม่ใช่แค่กอด แต่ยังลูบหลังของบารมีเบา ๆ
บารมีไม่ได้กอดตอบ
แต่ยกมือขึ้นลูบหัวของพิพัฒน์
“วันก่อนที่ด่ามึง กูโมโหไปหน่อยนะพัฒน์ กูมันแย่ อารมณ์เสียก็มาลงใส่มึงตลอด”
พิพัฒน์เข้าใจ
ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าเรื่องอะไรพิพัฒน์ก็เข้าใจ
“......................................”
พิพัฒน์ผละออกห่างแล้ว และเดินไปเก็บของใส่เป้ โดยมีบารมีหิ้วปิ่นโตยืนรออยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศ
“ป่ะ กลับบ้านกันพัฒน์”
กลับบ้าน
พิพัฒน์หันมามองหน้าบารมีก่อนจะส่งยิ้มให้และเดินตามบารมีไป
“ป่ะ.....กลับบ้าน...เรา...กัน”
TBC.