Chapter 11ร่างสูงทยอยเอาข้าวของขึ้นวางบนหลังอูฐ แล้วจึงเก็บกระโจมเป็นอย่างสุดท้าย โดยทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพรมขนสัตว์ที่ปูไว้ เมื่อทุกอย่างพร้อมสำหรับการออกเดินทางอีกครั้ง เขาก็เดินมาหาศตคุณ
“ฉันจะพาเธอไปขึ้นหลังอูฐนะ” แล้วช้อนร่างโปร่งให้ลอยหวือ
“เฮ้ย! ทาริค! ผมลุกได้ ไม่ถึงกับต้องอุ้มแบบนี้ก็ได้” คนที่ถูกอุ้มตั้งตัวไม่ทัน เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มไม่ฟังเสียง เขาพาศตคุณไปนั่งบนแคร่ที่อยู่บนหลังอูฐ ก่อนจะกลับมาเก็บพรมขนสัตว์เอาไปวางบนหลังอูฐอีกตัว แล้วจึงค่อยกลับไปขึ้นหลังอูฐตัวเดียวกันกับเด็กหนุ่ม
“เอนหลังพิงฉันไว้แล้วนอนซะ”
“ผมยังไม่ง่วงเลยครับ” ร่างโปร่งเถียงทันควัน
“ฉันบอกให้นอนก็นอน อย่าดื้อสิ ไว้ไปถึงเฟอร์โดสเสียก่อน...” ทาริคพูดเสียงเข้ม จนคนที่นั่งอยู่หน้าเขาพ่นลมหายใจออกแรงๆ อย่างไม่พอใจนัก
...ทำไมต้องรอให้ถึงเฟอร์โดสก่อนค่อยดื้อด้วยเล่า... หากเพราะไม่อยากทำให้ร่างสูงโกรธ เด็กหนุ่มจึงปิดตาลง แล้วเอียงศีรษะซบกับซอกคอใหญ่
...แต่เอาเถอะ อยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นแบบนี้ ก็ยังดีล่ะนะ
เวลาบนผืนทรายผ่านไปเชื่องช้าราวกับกาลเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง คนดื้อที่บอกว่าไม่ง่วงกลับสัปหงกเป็นระยะๆ เพราะฤทธิ์ยาที่รับประทานเข้าไป ประกอบกับการเคลื่อนไหวโอนเอนน้อยๆ บนหลังอูฐที่เหมือนกับอยู่ในเปล
ศตคุณไม่แน่ใจว่าตนเองฝันไปหรือเปล่า หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าริมฝีปากหยักแนบจูบแก้ม พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รดผิวหน้า สลับกับปลายนิ้วหยาบที่ลูบไล้กลีบปากอวบอิ่มของตน ก่อนจะถูกแต้มด้วยจุมพิตแผ่วเบา “อือ... ทาริค”
“หืม? ปวดหัวหรือเปล่า” เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบตอบ
เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้อยู่ชิดติดกับใบหน้าของตนอย่างที่คิดไว้ อีกทั้งศีรษะก็มีผ้าคลุมพันปิดหน้าปิดปากไว้อย่างมิดชิด สงสัยเขาจะฝันไปจริงๆ “เปล่าครับ แต่มึนๆ นิดหน่อย”
“เดี๋ยวฟ้าสางค่อยกินยาอีกครั้ง ตอนนี้อดทนไปก่อนนะ”
เจ้าอูฐทั้งห้าตัวก้าวเท้าไปเอื่อยเฉื่อย ฝากรอยกีบเท้าเป็นทางไว้บนพื้นทรายนุ่ม พวกมันรับหน้าที่เป็นพาหนะให้เจ้านายและแบกหามสัมภาระเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตกาล จนได้ชื่อว่าเป็นสัตว์และเพื่อนที่สำคัญสำหรับชาวทะเลทราย หลังจากสองหนุ่มเดินทางต่อไปอีกพักใหญ่ ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างขึ้นเล็กน้อย พอให้มองเห็นทิวทัศน์ได้ง่ายขึ้น เช้าตรู่ของวันนี้สายลมเย็นกระหน่ำพัดรุนแรงกว่าทุกที เม็ดทรายถูกพัดพาให้ลอยล่อง มือใหญ่จึงช่วยจับผ้าคลุมศีรษะปิดปากและจมูกของเด็กหนุ่มไว้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและทอดสายตามองออกไปไกล ก็สังเกตเห็นหมอกสีเทากลุ่มใหญ่แผ่กว้างราวกับกำแพงตรงปลายฟ้า บดบังภูเขาหินจนมิดชิด มองดูเหมือนมีม่านผืนหนาปกคลุม แรงลมกระชากรุนแรงจนเขาเกือบเสียหลัก ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติกำลังนำภัยมาสู่พวกเขา
ทาริคสั่งให้พวกอูฐหยุดเดิน เขากระโดดลงจากหลังอูฐแล้วรีบอุ้มศตคุณลงมาด้วย “คุณ! ตื่นเร็ว พายุทรายกำลังมาทางนี้แล้ว!”
“อื้อ! เกิดอะไรขึ้นครับ” เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างงุนงง รอบๆ ตัวเขามืดไปหมด ลมกระโชกแรงจนเหมือนจะพัดพาตนให้ปลิวไปด้วย
ร่างสูงสั่งให้พวกอูฐนั่งลงรวมกันไว้ แล้วดึงศตคุณให้ไปนั่งลงปะปนกับพวกมันเพื่อจะได้ใช้เป็นที่กำบัง เขาโอบร่างโปร่งบางเข้ามาแนบกาย เอาผ้าคลุมปิดหน้าตาแล้วหมอบลงกับพื้นทราย ลมพายุพัดโหมเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว จนแทบจะหอบเอาทั้งคนและอูฐให้ลอยลิ่วไปกับมันด้วย แขนแกร่งยิ่งกอดรัดร่างโปร่งบางกระชับแน่นจนแทบจะจมหายเข้าไปในกาย ราวกับกลัวว่าส่วนหนึ่งของร่างกายตนจะหลุดลอยไป
ดวงตากลมปิดสนิท เขาได้ยินแต่เสียงดังหวีดหวิว ราวกับคนนับร้อยกรีดร้องกันด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานแนบอยู่กับแผ่นอกกว้างภายใต้เสื้อคลุมตัวหนา จนเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของก้อนเนื้อในอกแกร่ง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนคนที่เกร็งตัวอยู่ในท่าเดิมปวดเมื่อยไปหมด หากก็ไม่อาจขยับตัวได้ เม็ดทรายละเอียดที่แทรกผ่านผ้าคลุมเข้ามาได้บ้างส่งผลให้รู้สึกระคายเคือง ศตคุณจึงไอแคกๆ อยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ชายหนุ่มก็จะจรดปลายจมูกที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเช่นกันลงบนศีรษะเล็ก พลางช่วยลูบแผ่นหลังให้อย่างต้องการปลอบประโลมคนในอ้อมแขน แทนคำกระซิบบอกให้อดทน
แรงลมอ่อนกำลังลงทีละน้อย แต่ก็ยังมีพัดกระโชกมาบ้างเป็นระยะๆ
ทาริคคลายอ้อมแขนออก พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผ่านผ้าคลุมศีรษะออกไป ดวงสุริยันเจิดจ้าลอยเคว้งอยู่บนท้องฟ้าสว่างไสว เขาต้องรีบตั้งกระโจมแล้ว ก่อนที่ศตคุณจะไม่สบายหนักกว่าเดิม
ร่างสูงลุกขึ้นพรวด แล้วรีบไปปลดสัมภาระออกจากพวกอูฐ “คุณ นั่งอยู่ตรงนี้นะ อย่าขยับ!”
เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากพายุทรายผ่านพ้นไป อากาศบริเวณนั้นก็กลับมาร้อนอบอ้าวแบบในเวลากลางวันทันที ศตคุณลืมตาขึ้นมองแล้วกะพริบตาปริบๆ ให้เข้ากับแสงสว่างจ้า เมื่อมองไปรอบๆ ก็ถึงกับชะงัก ดวงตากลมเบิกโพลง เพราะพื้นทรายรอบๆ ตัวแบนราบราวกับถนนที่ปูไว้เป็นอย่างดี อย่างกับว่าพวกเขาโดนลมหอบมาทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งอย่างนั้นล่ะ เจ้าอูฐทั้งห้ายังคงนั่งนิ่ง เนื้อตัวพวกมันเต็มไปด้วยเม็ดทรายละเอียดเช่นเดียวกับเขา
มือขาวเอื้อมไปช่วยชายหนุ่มปลดสัมภาระออกจากหลังอูฐ แต่ก็โดนอีกฝ่ายดุเอาจนต้องรีบชักมือกลับ
“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับเขยื้อน รอให้ฉันตั้งกระโจมก่อน” ทาริคจัดการตั้งกระโจมอย่างคล่องแคล่ว เขาหอบหนักๆ เพราะอากาศที่ร้อนเจียนตาย เสร็จแล้วก็รีบพาศตคุณเข้าไปนั่งด้านใน
“ทาริค คุณหอบหนักมากเลย” ดวงตากลมโตจ้องมองชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไรหรอก ชินแล้ว เธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง หายใจได้รึเปล่า ตัวร้อนๆ นะ ต้องกินยาก่อน” ร่างสูงหันไปควานหาถุงเก็บยา ก่อนจะส่งถุงน้ำในมือให้คนป่วยดื่ม จากนั้นจึงประคองร่างโปร่งบางให้นอนลง
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันไปเอาข้าวของเข้ามาข้างในก่อน” ร่างสูงผลุนผลันออกจากกระโจมไปอีกครั้ง เขาผลุบเข้าออกนำสัมภาระบางชิ้นเท่านั้นเข้ามาไว้ภายใน ก่อนจะทรุดตัวลงนอนข้างร่างโปร่งอย่างอ่อนแรง
“ทาริค ดื่มน้ำก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มรีบหยิบถุงน้ำส่งให้
“ขอบใจ” ชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่พักใหญ่จนลมหายใจของเขาเป็นปกติ จึงพลิกตัวไปทางคนที่นอนตาแป๋วอยู่ข้างๆ นิ้วหยาบช่วยเกลี่ยเศษทรายตามเส้นผมและกรอบหน้าสวยออกให้ “กลัวรึเปล่าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”
ศตคุณยิ้มบาง “กลัวครับ... แต่เพราะมีทาริคอยู่ด้วย”
ดูเหมือนคำพูดของเด็กหนุ่มจะถูกใจอีกฝ่ายมากพอตัว ทาริคยิ้มมุมปาก แล้วจูบบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา“นอนพักซะ จะได้มีแรงเดินทางต่อเย็นนี้ เราใกล้เฟอร์โดสเข้าไปทุกทีแล้ว”
“ครับ” ...ราวกับว่าใจของร่างสูงจะลอยไปอยู่ที่เมืองเฟอร์โดสก่อนแล้ว ศตคุณแอบคิดเข้าข้างตัวเอง คงเพราะชายหนุ่มกำลังรอคำตอบของเขา เมื่อไปถึงที่นั่น เขาจะบอกความรู้สึกของตัวเองให้ทาริคได้รู้ และหวังว่าอีกฝ่ายก็คงคิดเช่นเดียวกัน หัวใจของเด็กหนุ่มอิ่มเอม เมื่อนึกถึงชีวิตใหม่ของเขาที่จะเริ่มต้นในทะเลทรายแห่งนี้ เคียงข้างคนที่ตนรัก
เมื่อดวงตะวันคล้อยลงต่ำ สายลมพัดพาอากาศเย็นสบายไปมอบให้แด่ทุกสรรพสิ่งบนผืนทราย พวกอูฐลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายและหาหญ้าแห้งๆ กินเป็นอาหาร เสียงฝีเท้าของพวกมันดังซอกแซก ปลุกร่างโปร่งบางให้ตื่นขึ้นช้าๆ
แกว๊ก... เสียงฟาร์ฮาร้องอยู่ใกล้ๆ แม้มันบินล่วงหน้าไปไกลลิบ แต่ก็ยังย้อนกลับมาวนเวียนเป็นครั้งคราว และจะบินถลาลงมาทันทีที่เจ้านายส่งสัญญาณเรียก
“อื้ม ลมเย็นแบบนี้ ค่อยยังชั่วหน่อย” ศตคุณรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ยาที่ทาริคให้เป็นยาที่ดีมากจริงๆ มือขาวแหวกผ้ากระโจมออก ให้ลมเย็นๆ ผ่านเข้ามาภายในได้ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองดูร่างสูง พร้อมกับแตะหน้าผากเพื่อตรวจดูอุณหภูมิร่างกาย
“อืม... ไม่มีไข้ แต่นอนหลับแบบนี้ ทาริคคงจะเหนื่อยมากแน่ๆ เลย” แต่พอดึงมือกลับ มือใหญ่ก็คว้าข้อมือขาวเอาไว้อย่างรวดเร็ว “หือ ทาริค อ๊ะ!”
คนที่เพิ่งตื่นดึงร่างโปร่งบางไปทางตนอย่างแรง แล้วโอบกอดเอาไว้แน่น “อืม...” ก่อนจะพลิกให้อีกฝ่ายกลับไปอยู่ใต้ร่าง พร้อมกับพึมพำเบาๆ เป็นภาษาอาหรับที่ศตคุณไม่เข้าใจ
“ทาริค อื้อ...” นัยน์ตาสีอ่อนเบิกกว้าง เมื่อจู่ๆ คนบนร่างประกบปิดริมฝีปากตน บดเบียดรุนแรงอย่างกระหายหิว ลิ้นอุ่นรุกรานเข้าไปในโพรงปาก เร่งเร้ากอดรัดลิ้นเล็กราวกับจะกลืนกิน ศตคุณตกใจในตอนแรก หากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองนั้นต้องการรสสัมผัสจากอีกฝ่ายเช่นกัน เขาเงยหน้ารับจูบอันหนักหน่วง ริมฝีปากกระชับแน่นเนิ่นนานจนลมหายใจเริ่มติดขัด
“อือ...” ใบหน้าหวานเบี่ยงออกเล็กน้อย มือขาวขยุ้มเสื้อของชายหนุ่ม แล้วทุบลงไปเบาๆ เพราะหายใจไม่ทัน “ทาริค!”
“อ๊ะ...” เสียงที่ได้ยินเรียกสติให้กลับคืนสู่ร่าง เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าตนเองทำอะไรลงไป ก็ถึงกับผงะ รีบผละออกจากร่างโปร่ง “แย่จริง... ฉันขอโทษ”
ศตคุณหอบหนักๆ แต่ใบหน้าหวานก็มีรอยยิ้มระบาย “ขอโทษทำไมกันครับ”
ทว่าทาริคยังคงตกใจกับการกระทำของตนเองอยู่ไม่น้อย เขายกมือขึ้นปิดริมฝีปาก “ฉันไม่ควรทำแบบนี้เลย ขอโทษนะ” ก่อนจะลุกออกจากกระโจมไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองตามไปอย่างงุนงง
...ทำไม? จูบคนที่ตัวเองขอให้เป็นเจ้าสาว มันแปลกนักหรือ? ทำไมต้องขอโทษขอโพย? ...คิดไปพลางเจ็บหนึบอยู่ในอก... อาจจะแปลก ถ้าหาก... เขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ
“ทาริค คุณกำลังคิดอะไรอยู่? หรือมีอะไรที่คุณพยายามปิดบังอยู่กันแน่?”
หลังจากนั่งนิ่งอยู่สักพัก ศตคุณก็ตัดสินใจเดินออกจากกระโจมไป เขาคิดว่ากลุ้มใจไปก็เท่านั้น ออกไปถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่องกันไปเลยดีกว่า พอก้าวขาออกมานอกกระโจมแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นทาริคยืนอยู่ไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่ากำลังเรียกพวกอูฐให้กลับมายังกระโจมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง เด็กหนุ่มเดินผ่านพื้นทรายนุ่มออกไป การเดินบนทรายสำหรับคนที่ไม่เคยชินนั้นไม่ง่ายเลย แม้ระยะทางใกล้ๆ ก็รู้สึกเหมือนไกลได้
“ทาริค”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงเรียก เขาก็รีบเดินกลับมาหา “ฉันกำลังเรียกพวกอูฐน่ะ เดี๋ยวเราจะได้เดินทางกันต่อ”
ใบหน้าหวานเงยขึ้นสบสายตากับดวงตาคมกริบ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น เขาเอื้อมมือไปเพื่อเกาะกุมท่อนแขนแกร่ง หากต้องชะงัก เมื่อคนตรงหน้าเบี่ยงหลบอย่างจงใจ ศตคุณจึงรีบชักมือกลับ หัวใจหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วง “เอ่อ...”
“อูฐของเราเดินมากันแล้ว อ๊ะ นั่น”
ห่างออกไปจากบริเวณที่พวกเขาตั้งกระโจมอยู่ไม่ไกลนัก อูฐกับม้าอาหรับนับร้อยตัวซึ่งมากับกองคาราวานกำลังเคลื่อนเข้ามาตรงที่พวกเขายืนอยู่อย่างเชื่องช้า
“ดูเหมือนจะเป็นพวกกองคาราวานที่เพิ่งเดินทางออกมาจากเฟอร์โดส เธอไปรอในกระโจมก่อนไป” ทาริคหันไปบอกกับเด็กหนุ่ม พลางเดินออกไปจูงพวกอูฐกลับมา
ร่างโปร่งอ้ำอึ้ง แต่ก็ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอก เขารีบเดินกลับไปยังกระโจม แล้วเข้าไปนั่งรออยู่ภายใน
TBC~*อย่าเพิ่งปาเกือกใส่ทาริคค่าาา 5555 เก็บเกือกไว้ปาทีหลัง /ผิด
เค้าล้อเล่งงงง
การเดินทางเหมือนว่าจะยาวนาน(รึเปล่า) แต่จริงๆ ก็ไม่กี่วันเองนะคะ ฮาาา การเดินทางด้วยอูฐค่อนข้างจะกินเวลานานค่ะ ฮัสกี้ว่าโรแมนติกดีออกน้า ขี่อูฐเบียดๆ กัน มองท้องฟ้าดูดาว อยากเป็นอูฐเลยค่ะ (ขอเป็นตัวที่ทาริคกับน้องคุณนั่งอยู่นะคะ แฮกกก แฮกๆๆๆ)
ช่วงนี้ฮัสกี้คงจะลงตอนสั้นๆ ทุกเรื่อง เพราะว่า edit ไม่ทันค่ะ กร๊ากก ตอนนี้ที่ลงอยู่มีสามเรื่อง คือฮัสกี้อยากให้คนอ่านได้ลองอ่านนิยายหลายๆ แนวของฮัสกี้น่ะค่ะ (ตอนแรกบ้าพลัง ตอนนี้เริ่มจะหมดพลัง 5555) แล้วก็ต้องทำเล่มของ "ตะวันเคียงเดือน" กับ "แกนีมีด" ให้เรียบร้อยด้วยน่ะค่ะ แต่ก็ไม่อยากนานๆ ลงที เดี๋ยวคนอ่านจะลืมกันหมด เพราะงั้นฮัสกี้ขอลงสั้นหน่อย แต่ลงเป็นประจำแทนนะคะ อย่าว่ากันน้า 
ปล. ตอนหน้าจะลงยาวก่านี้ สัญญาาาา