หลังจากท้องอิ่มแล้ว สองหนุ่มก็ไปเดินเล่นต่อในตลาด เมื่อถึงร้านขายกริชขนาดเล็ก ร่างสูงจึงสะกิดให้เด็กหนุ่มเดินตามเข้าไป กริชที่จัดวางโชว์ไว้บนผ้าขนสัตว์ทำจากโลหะธรรมดาๆ ที่หาได้ทั่วไป ไม่ได้แข็งแรงทนทานและคมกริบ หากก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มในทะเลทรายจำเป็นต้องมีเหน็บไว้กับเข็มขัดหนัง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายพื้นเมือง ส่วนราคาและความหรูหราของกริช หรือที่เรียกอีกชื่อว่าคันจาร์ (Khanjar) นั้นขึ้นอยู่กับฐานะของผู้เป็นเจ้าของ
“ทาริคจะซื้อมีดใหม่เหรอครับ แล้วอันเก่าล่ะ หรือว่าที่ทิ่มหัวงูไปเมื่อตอนนั้นทื่อซะแล้วครับ” ศตคุณถามขึ้น เขาเคยเห็นกริชของชายหนุ่มชัดๆ เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะปกติแล้วอีกฝ่ายจะใส่เสื้อคลุมสีดำปกปิดไว้อยู่เสมอ
ร่างสูงไม่ตอบ มือหยาบเลือกหยิบคันจาร์อยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกคันจาร์ในปลอกโลหะสีเงินกับเข็มขัดหนัง ขณะที่กำลังเจรจาต่อรองและจ่ายเงิน เด็กหนุ่มก็เดินออกไปยืนรออยู่แถวด้านหน้าร้าน ดวงตาสีอ่อนทอดมองมองไปยังร้านขายเสื้อและพรมจากขนแกะ มีเครื่องประดับทำจากเงินและหินสี ผ้าสีดำมีลวดลายถักทอด้วยมือสวยงาม ซึ่งน่าจะเป็นร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง
“อ๊ะ...” ศตคุณชะงัก เมื่อเห็นเด็กตัวน้อยที่มีมือเหลือเพียงข้างเดียวเอื้อมไปกระตุกสร้อยเงินจากแผงที่วางขาย แล้ววิ่งหนีออกไปทันที
“$§&§“§#+“§%!!” พ่อค้าที่เป็นเจ้าของร้านตะโกนลั่น พร้อมกับคว้ามีดเล่มยาววิ่งตามหลังเด็กคนนั้นไปด้วย โดยมีทหารวิ่งตามหลังไปอีกสองสามนาย
ผู้คนในตลาดต่างแตกตื่น ทั้งเบียดทั้งผลักกันไปมาจนร่างโปร่งบางโดนกระแสคนเบียดให้ออกห่างจากหน้าร้านขายกริชไปทุกที
“ทาริค!!!” ศตคุณร้องเรียกด้วยความตกใจ พอจะเดินสวนผู้คนกลับไป เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ทำให้เขาหยุดชะงัก
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างขณะที่มองผ่านผู้คนไปยังลานโล่งท้ายตลาด ซึ่งที่ตรงนั้นมีร่างไร้วิญญาณของใครบางคนที่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าเป็นชายหรือหญิงถูกมัดติดไว้กับเสา ผิวเนื้อเป็นสีดำแห้งติดกระดูก เด็กคนที่เขาเห็นกำลังวิ่งตรงไปที่นั่น โดยมีพ่อค้าคนเดิมวิ่งตามไปติดๆ ก่อนจะเงื้อมีดฟันลงไปบนแผ่นหลังของเด็กน้อยคนนั้นเต็มแรง
“อย่า!” ศตคุณร้องห้าม ทว่าไม่ทันเสียแล้ว
เด็กน้อยที่มีมือเพียงข้างเดียวถูกปลายมีดกรีดผ่านเข้าตรงกลางหลังเป็นรอยลึก เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมาจากบาดแผล ร่างเล็กทรุดลงตรงปลายเท้าศพที่ถูกมัดไว้กับเสา รอบๆ กายมีก้อนหินใหญ่เล็กวางอยู่ประปราย มือน้อยที่เปรอะคราบสีดำสกปรกเอื้อมไปกอดขาของร่างไร้วิญญาณ ก่อนจะแน่นิ่งไป
หากพ่อค้าใจโหดยังไม่หนำใจ เขาก้มหยิบก้อนหินใหญ่ปาใส่ทั้งสองร่างก้อนแล้วก้อนเล่าพร้อมสบถเสียงลั่น จนตัวเองหอบตัวโยนก็ยังไม่ยอมหยุด
ศตคุณอ้าปากค้าง ในยุโรปนั้นถือว่าการทำร้ายผู้เยาว์เป็นเรื่องที่เลวร้ายและมีความผิดฉกรรจ์ เขาเติบโตมาในดินแดนที่มีกฎหมายปกป้องสิทธิให้กับผู้เยาว์ แต่พอมาเห็นภาพการทำร้ายเด็กแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนหรืออย่างไรกัน
“พอได้แล้ว! ทำไปขนาดนี้ยังไม่พออีกรึไง!” เด็กหนุ่มตะโกนลั่น
พ่อค้าคนนั้นหยุดชะงัก ใบหน้าสีคร้ามแดดเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาที่จ้องมองมาทางศตคุณดูราวกับเกลียดชังกันเสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ เขาชี้มือไปทางที่ร่างโปร่งยืนอยู่ แล้วหันไปตะโกนเรียกพวกทหารด้วยเสียงกร้าว
ผู้คนรอบๆ ตัวเด็กหนุ่มแหวกออกเป็นวง ก่อนทหารหลายนายจะตรงเข้ามาพร้อมกับปืนกระบอกยาวในมือ
“ไอ้เด็กนี่มันบังอาจคัดค้านกฎหมายของเมืองเรา!!”
“มาจากไหน เป็นคนต่างชาตินี่! รึจะเป็นพวกเดียวกันกับไอ้โจรพวกนี้” ศตคุณใจหายวูบ ใบหน้าสวยซีดเผือดด้วยความตกใจกลัว เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหตุการณ์ถึงพลิกผัน ทุกคนมองมาราวกับว่าเขาเป็นคนร้ายไปด้วย แล้วยังพวกทหารที่ก้าวฉับๆ ตรงเข้ามาทางตน ท่าทางไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“แกมาจากไหน!!”หนึ่งในทหารตะคอกถามคำถามเสียงดังลั่น พลางเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม หากพอไม่ได้รับคำตอบและเห็นว่าร่างโปร่งถอยหนี พวกเขาก็ปราดเข้ามารุมล้อม พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าแขนเรียวไว้
ผัวะ!!!
“อย่าแตะต้อง!! เขาเป็นคนของฉัน!!” ทาริคใช้กริชทั้งฝักที่อยู่ในมือฟาดไปบนลำแขนของทหาร แล้วดึงศตคุณให้มาหลบอยู่ข้างหลัง “คุณ! มานี่”
เด็กหนุ่มตัวสั่นสะท้าน พอเห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่คุ้นเคยก็แทบจะร้องไห้ออกมาทันที “...ทาริค”
“มีธุระอะไรก็คุยกับฉันนี่” ชายหนุ่มหันไปบอกกับพวกทหารด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ดวงตาคมเปล่งประกายเฉกเช่นราชสีห์หนุ่มผู้นำฝูง
พวกทหารถอยกรูด เพราะใบหน้าซึ่งเป็นที่รู้จัก พร้อมทั้งดวงตรากุหลาบสีขาวบนฝักกริชซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันให้แน่ชัดว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาควรจะต่อกรด้วย ต่างคนต่างค้อมศีรษะลงต่ำ ก่อนจะละล่ำละลักตอบ
“ไม่มีครับ ขออภัยครับท่าน”พ่อค้าใจโหดยิ่งฉุนหนัก เขาเต้นผางเมื่อไม่ได้อย่างใจ
“ไม่มีได้ยังไง จัดการไอ้เด็กหน้าขาวนั่นซี่ มันเป็นพวกของนางโจรนี่!!” เมื่อเห็นว่าพวกทหารพากันล่าถอย เจ้าตัวก็แกว่งมีดเล่มยาวเดินเข้าไปหาร่างสูงเสียเอง
“ฉันจะจัดการแกเอง!!” ฉัวะ!!
ทาริคกระตุกยิ้มให้กับคนที่พุ่งเข้าใส่ แขนแกร่งตวัดอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่คันจาร์ด้ามสั้นปาดเข้าตรงคอหอยของพ่อค้านิสัยเสีย แต่ไม่ลึกพอที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ก่อนจรดปลายกริชแหลมลงบนจมูกเหนือหนวดเคราสีเทารกรุงรัง
“โทษของขโมยคือตัดมือ... แล้วโทษของคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คืออะไร”พ่อค้าถึงกับหน้าซีด เขาเพิ่งสังเกตเห็นดวงตราบนฝักคันจาร์ในมือของคนตรงหน้า แล้วก็ถึงกับเข่าอ่อน... เพราะโทษของคนที่อาจเอื้อมนั้นคือการประหาร!
มือหยาบกร้านกุมลำคอตรงที่เลือดไหลทะลัก ทรุดกายลงกับพื้นแล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างลำบาก
“กระผมขออภัยครับท่าน”
“ในทะเลทรายแห่งนี้ ชีวิตพวกแกเป็นของฉัน จำเอาไว้ให้ดี”เมื่อทาริคเก็บกริชเข้าฝัก พวกทหารก็ปราดเข้ามาประคองพ่อค้าออกไปจากบริเวณนั้น ส่วนพวกคนที่หยุดมุงดูก็พากันก้มหน้าก้มตาเดินออกไปราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นัยน์ตาคมกริบเหลือบมองศพของหญิงสาวกับเด็ก แล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปหาคนที่ยืนนิ่งราวกับถูกสาป ใบหน้าสวยหวานซีดไร้สีเลือด
“คุณ เราไปจากตรงนี้กันเถอะ”
ทันทีที่เสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท น้ำตาก็เอ่อล้นออกมามากมาย ไหล่เล็กสั่นเทา สองมือขาวประสานกันไว้แน่น “ผม... ผม...” เนื่องจากศตคุณยังคงช็อก สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่าตนเองนั้น เข้าใจ คำพูดของชายหนุ่ม
“กลัวใช่มั้ย ไปเถอะ ไปจากตรงนี้ก่อน” มือใหญ่คว้าแขนเรียวแล้วกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินไปพร้อมกันกับเขา เพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องทนเห็นภาพแม่ลูกอันน่าสลดนานต่อไปกว่านี้อีก
“ทาริค... ฮือ...” เจ้าของท่อนขาเรียวก้าวออกไป พลางร้องไห้ไปด้วยราวกับเด็กเล็กๆ
“เดินไหวมั้ย หรือจะให้อุ้ม” ร่างสูงหันกลับมาถาม
ศตคุณส่ายหน้า ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “ผม... อยากอาเจียน... ครับ” พูดจบเขาก็ทำท่าพะอืดพะอม รีบยกมือขึ้นปิดปาก “ไม่ไหว... แล้วครับ” ร่างโปร่งสลัดแขนให้หลุดจากมือใหญ่ จากนั้นก็ก้าวไปหลบตรงมุมตึก แล้วโก่งคออาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งรับประทานไปออกมาจนหมด
ทาริคเข้าไปช่วยลูบหลังบางให้อย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มในเวลานี้ดูบอบบางและอ่อนแอมากเหลือเกิน “ค่อยยังชั่วขึ้นรึยัง”
มือขาวยกขึ้นปาดคราบน้ำตา เขารู้สึกขมในลำคอจนแสบไปหมด “...ทาริคครับ... ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮึก... เราออกไปจากที่นี่กันเถอะครับ”
“ใจเย็นๆ กลับที่พักกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
“ผมกลัว... คนที่นี่ป่าเถื่อน... โหดร้าย... ฮือ...”
“...เดินไหวมั้ย...” ร่างสูงพยายามพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่พอดึงศตคุณให้ยืนขึ้นมาได้ แวบเดียวอีกฝ่ายก็ทรุดลงไปนั่งอีก จนชายหนุ่มอ่อนใจ เขาจึงอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นพาดบ่า แล้วก้าวยาวๆ กลับไปยังที่พักที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก
ทาริคค่อยๆ วางร่างโปร่งบางลงบนผ้าปูขนแกะภายในห้องพักที่ปิดทึบ มีเพียงช่องอากาศขนาดเล็ก หากก็ถูกปิดไว้ด้วยผ้าม่านไม่ให้แสงส่องเข้ามาได้ ขณะนั้นเสียงผู้คนจากตลาดทางด้านนอกเงียบหายไป เพราะพวกชาวเมืองต่างพากันกลับเข้าไปอยู่ในบ้านกันหมด เนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงช่วงเวลากลางวันที่กระไอแดดร้อนจนแทบจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้ไหม้เป็นจุณ
“เป็นยังไงบ้าง”
เด็กหนุ่มสงบใจลงได้มากแล้ว ทว่าภาพอันน่าสลดและสยดสยองที่เพิ่งเห็นมาหมาดๆ ยังคงตราตรึง มันไม่ใช่ภาพที่ใครจะลืมไปได้ง่ายๆ แน่ “รู้สึกแย่... มากเลยครับ”
“รอเดี๋ยวนะ” ร่างสูงลุกออกไปทางหลังบ้าน สักพักก็กลับมาพร้อมกับขันน้ำดื่มและผ้าชุบน้ำหมาดในมือ เขาส่งขันให้ศตคุณได้ดื่มน้ำ แล้วใช้ผ้าช่วยซับใบหน้าให้ “ดีขึ้นรึยัง”
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั้นตามมาทำร้าย”
“เขาไม่มายุ่งกับเราหรอก”
“แน่ใจเหรอครับ ขนาดเด็กตัวเล็กๆ พวกเขายังฆ่าได้หน้าตาเฉย” ยิ่งพอนึกถึงดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มเม้มปากอย่างพยายามข่มใจ อดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาได้
“กฎของคนที่นี่คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน... ที่เธอว่าป่าเถื่อน ก็คงใช่... สองคนที่ตาย ฉันคิดว่าคงจะเป็นแม่ลูกกัน เพราะความยากจน ไม่มีสามีเลี้ยงดู ทำให้ผู้หญิงคนนั้นต้องกลายเป็นโสเภณี หรือไม่ก็ไปเป็นชู้กับคนที่มีภรรยาแล้ว พอถูกจับได้เธอจึงถูกลงโทษ ส่วนเด็กคนนั้น มือที่กุดไปข้างนึงนั่นก็แสดงว่าเคยลักขโมยแล้วถูกจับได้ และนี่ก็คงจะเคยขโมยมาหลายครั้งแล้ว”
“แต่นั่นก็เป็นผู้หญิงกับเด็กนะครับ ทำไมต้องลงโทษกันขนาดนี้ด้วย... โหดร้ายเหลือเกิน...”
มือหยาบลูบศีรษะเล็กเบาๆ “มันโหดร้าย แต่ก็เป็นวิถีของคนที่นี่น่ะ”
“น่ากลัว”
“...แล้วกลัวฉันด้วยรึเปล่า”
“ทาริคไม่เหมือนคนพวกนั้นนี่ครับ” ศตคุณตอบทันควัน แล้วคว้าท่อนแขนแกร่งหมับ “เราไปจากที่นี่กันนะครับ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“...ตอนนี้เรายังไปไหนไม่ได้หรอก อาทิตย์ขึ้นแล้ว... นอนเอาแรงสักหน่อยดีกว่า” ทาริคตอบอย่างใจเย็น
เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพักเมื่อนึกถึงความร้อนที่แทบจะฆ่าคนได้ในเวลากลางวัน “จริงด้วยสินะ... ตอนกลางวันแบบนี้ ข้างนอกคงจะร้อนมากแน่ๆ”
“อยู่ในบ้านปลอดภัยที่สุดแล้ว ถ้าขืนออกไปตอนนี้ เธออาจจะเป็นอันตรายได้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอนตัวลงนอนช้าๆ พร้อมกับยกมือประกบใบหน้า “แย่ชะมัดเลย ทำไมผมถึงต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแบบนี้ด้วยนะ ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
“...แย่มากขนาดนั้นเลยหรือ”
น้ำเสียงเจือความเศร้าที่ได้ยินทำให้ศตคุณลดมือลงเพื่อประสานสายตากับชายหนุ่ม “...ผม...” ...ที่จริงก็ไม่ได้ถึงกับแย่หรอก... ร่างโปร่งยังไม่ทันตอบ หากจู่ๆ ก็รู้สึกสะกิดใจแบบแปลกๆ แล้วพอนึกได้ มือขาวก็ยันตัวลุกขึ้นพรวด “ทาริค! คุณเข้าใจที่ผมพูดนี่!! เอ๊ย!! ไม่ใช่สิ คุณพูดภาษาเดียวกับผมก็ได้นี่!!”
ร่างสูงตีหน้าซื่อ “ฉันก็ไม่เคยบอกว่าไม่เข้าใจหรือพูดไม่ได้สักหน่อย”
ใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นัยน์ตากลมเบิกกว้างพลางนึกย้อนไปว่าตนเคยพูดอะไรกับคนคนนี้ไปบ้าง เพียงเพราะเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจภาษาของตนแท้ๆ
“นี่ขนาดผมเป็นผู้ชาย... เวลาที่คุณมองมา บางครั้งยังอดใจเต้นไม่ได้เลย”
“ทาริค อย่าทิ้งผมนะครับ”“อ๊า!! ทาริค! คุณนี่มัน!” ศตคุณอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไร หัวใจเจ้ากรรมก็เอาแต่เต้นรุนแรงไม่เป็นจังหวะ เขาจึงเอนตัวลงนอนบนขนแกะแล้วหันหน้าหนีจากร่างสูงไปเสีย
ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบถาม “หิวมั้ย เมื่อกี้เธอคงอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาหมดแล้ว”
“...ไม่... ไม่ครับ” เสียงของเนื้อผ้าที่เสียดสีกันดังซอกแซกเรียกให้ร่างโปร่งรีบหันขวับกลับมาทางคนที่กำลังจะลุกออกไป มือขาวตะครุบเสื้อคลุมอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว “ทาริคจะไปไหนครับ!”
“จะไปอาบน้ำหลังบ้าน จะได้นอนได้สบายตัวหน่อย”
“......” ...กลัว... ไม่อยากอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่กล้ารบกวนชายหนุ่มกับเรื่องไร้สาระแบบนี้
มือหยาบลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่มีใครกล้าเข้ามาในนี้หรอกน่ะ”
“แน่ใจเหรอครับ”
“อื้อ”
ศตคุณยอมปล่อยมือออกจากเสื้อคลุมช้าๆ แล้วล้มตัวลงนอนกะพริบตาปริบๆ หากความกังวลมีมากเกินกว่าที่เขาจะข่มตาให้หลับลงได้ “....”
ทาริคเห็นว่าร่างโปร่งยังคงใจเสีย เขาจึงนั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม แล้วตบลงเบาๆ บนตัก “มานี่สิ”
ร่างโปร่งผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย สบตากับเจ้าของตัก ก่อนจะขยับศีรษะขึ้นไปวางบนตักอย่างเชื่อฟัง ศตคุณปล่อยให้อีกฝ่ายลูบเส้นผมสีน้ำตาลไปเรื่อยๆ ฝ่ามืออันอบอุ่นทำให้เขาใจสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“...นอนพักเถอะ”
ดวงตาคู่สวยปิดลงตามที่เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบบอก ไม่นานก็หลับไปอย่างง่ายดาย ร่างกายของคนที่เติบโตขึ้นมาในเมืองหนาวเฉกเช่นศตคุณยังคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้ชินกับอากาศร้อนแบบทะเลทรายเช่นนี้ พอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าทีไร เด็กหนุ่มก็อ่อนล้าหมดแรงไปได้ทุกที
ทาริคค่อยๆ ขยับตัวออก ก่อนจะลุกเดินไปยังบริเวณที่ใช้อาบน้ำหลังบ้าน เขาเหลือบมองเงาของตนเองในบานกระจกมัวๆ แล้วลูบหนวดเคราของตนเองไปมาพร้อมกับขมวดคิ้ว... เขาดูเหมือนอายุหกสิบเชียวรึนี่?? ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยมีเวลาว่าง จึงไม่ได้ใส่ใจกับหนวดเคราบนใบหน้ามากนัก เลยปล่อยให้ยาวจนโดนว่าเป็นลุงไปซะได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจ หยิบคันจาร์ของตนขึ้นมาล้างทำความสะอาด แล้วจัดการกับหนวดเคราของตน
สายน้ำอุ่นจากแหล่งน้ำใกล้ๆ ไหลเอื่อยมาตามรางที่ชาวบ้านสร้างขึ้น ชาวอาหรับในทะเลทรายแม้จะดูล้าหลังไปสักหน่อย หากบรรพบุรุษของพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ในทะเลทรายกันมานานนับพันปี จึงมีการคิดค้นระบบการจัดการน้ำเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันไว้เป็นอย่างดี
ร่างสูงถอดเสื้อคลุมออก ก่อนจะปลดเข็มขัดหนังที่เขาใช้เหน็บคันจาร์ กับสายหนังซึ่งพาดทับชุดโต๊ปเป็นรูปกากบาทบนแผ่นอกสำหรับไว้ใช้คล้องปืนพกกระบอกเล็กวางกองลงกับพื้น แล้วจึงถอดโต๊ปสีดำราวกับสีของปีกนกกาออกมาซัก เขาคิดว่าผึ่งไว้ไม่นานก็คงจะแห้งสนิท หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็หยิบผ้าคลุมสีดำมาพันร่างกายท่อนล่าง แล้วเดินกลับมาเอนหลังลงนอนบนขนแกะเคียงข้างเด็กหนุ่ม
ความร้อนระอุในเวลากลางวันทำให้ศตคุณกระสับกระส่าย พลิกไปพลิกมาอยู่หลายหน ชนเข้ากับกำแพงบ้าง คนที่นอนอยู่ข้างๆ บ้าง ทว่าเขาก็ยังคงข่มตาหลับต่อไปจนถึงเวลาเย็น ที่ตลาดด้านนอกเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
“อือ...” ร่างโปร่งสะดุ้งตื่นเพราะเสียงท้องร้องของตนเอง มือขาวยกขึ้นกุมท้อง ก่อนจะใช้ยันตัวลุกขึ้น
พอคนข้างๆ ขยับ ทาริคก็ลุกนั่งตาม เขาตื่นอยู่ก่อนสักพักแล้ว “หิวแล้วล่ะสิ”
ดวงตาสีอ่อนกะพริบปริบๆ พลางขมวดคิ้ว พอภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มร้องเสียงลั่น “เฮ้ย!” ...ใครมานอนแก้ผ้าอยู่ข้างๆ เขากันนี่!!
“เอ้า เป็นอะไรไป”
น้ำเสียงทุ้มๆ แบบนี้เขารู้จักดี ศตคุณอ้าปากค้าง “ทาริค... เหรอครับ”
มือหยาบปาดไปมาบริเวณคางของเขาซึ่งมีรอยแผลจากคมของกริชบ้างเล็กน้อย “ทำไม แก่กว่าที่คิดไว้มากรึไง”
“เปล่านะครับ ผมแค่แปลกใจ คุณดูเป็นคนละคนไปเลย” ร่างโปร่งรีบตอบปฏิเสธ ทว่าฉุกคิดขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “แต่ว่า... ที่คุณโกนหนวดเคราออกไปนี่ อย่าบอกนะครับว่า... ฮ่าๆๆๆ” ยังพูดไม่ทันจบเด็กหนุ่มก็หัวเราะจนตัวงอ หอบฮั่กๆ แล้วพูดต่อ “...ว่าเป็นเพราะผมบอกไว้ว่าคุณดูแก่ ฮ่าๆๆๆ”
ร่างสูงยิ้มตามไปด้วย เขาเพิ่งเคยเห็นศตคุณยิ้มกว้างและหัวเราะได้แบบนี้ ทาริคขยับตัวเข้าไปหาเด็กหนุ่มช้าๆ แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ “หยุดหัวเราะได้แล้ว”
สายตาที่สบประสานกันส่งผลให้ใบหน้าหวานร้อนวาบ พวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในทันที หากอีกฝ่ายก็ยังเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกเรื่อยๆ จนปลายจมูกชนทั้งสองกัน “ทะ... ทาริค...” เขาเพิ่งเคยได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา คมเข้มแบบชาวอาหรับใกล้ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก ดวงตาสีเข้มที่คมกริบราวกับตาของเหยี่ยวดูลึกลับ หากจับจ้องมายังตัวเขาด้วยแววตาที่ฉายแววอ่อนโยน เรียวปากหยักบางได้รูป จมูกโด่งสวย ชายหนุ่มจัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีมากเลยทีเดียว
ทาริควางมือลงบนแผ่นอกด้านซ้ายของศตคุณ เขารู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงราวกับกลองที่ถูกตีรัว “นี่เป็นเพราะกลัวฉัน หรือว่าเพราะถูกฉันจ้องกันแน่”
ใครจะยอมรับกันล่ะ ว่าถูกผู้ชายด้วยกันจ้องแล้วใจเต้น... มือขาวดุนดันแผ่นอกกว้างที่เปลือยเปล่าให้ออกห่าง พร้อมกับเสตาหลบ “กลัว... กลัวสิครับ... จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้แบบนี้”
“กลัว? กลัวอะไรฉัน?”
เด็กหนุ่มรีบคิดหาข้อแก้ตัวพัลวัน “ก็... ก็... คุณ... คุณไม่ได้ใส่เสื้อผ้า...”
“อ้อ... ฉันเอาเสื้อผ้าตากไว้ข้างนอกน่ะ”
“อะ... เอ่อ... งั้น... ผมไปอาบน้ำบ้างดีกว่า” ...อยากจะหลบไปจากทาริคสักครู่ ทำไมตัวเขาถึงได้รู้สึกแปลกๆ ขนาดนี้ก็ไม่รู้ คนตรงหน้านี่ก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น แต่กลับทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“มาสิ ฉันจะออกไปเอาเสื้อผ้าเหมือนกัน” ทาริคลุกยืน แล้วฉุดแขนเด็กหนุ่มขึ้นมาด้วย
สถานที่อาบน้ำเป็นที่โล่งๆ มีรางน้ำไหลผ่านให้ตักขึ้นมาอาบได้โดยง่าย ในขณะที่ศตคุณถอดเสื้อผ้าออกวางกองไว้ อีกฝ่ายก็เก็บเสื้อผ้าที่ตนตากไว้มาใส่ ปิดท้ายด้วยเข็มขัดหนังสำหรับอาวุธของเขา
“...ทาริค... จะยืนมองผมอยู่อย่างนี้เหรอครับ” เด็กหนุ่มอดถามไม่ได้ เขาถอดเสื้อผ้าออกหมดจนเหลือแต่ชั้นในแล้ว ชายหนุ่มเองก็ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว แต่ทำไมยังยืนมองมาทางเขาอยู่อีก
“อายรึ” ทาริคถามซื่อๆ
รู้สึกเหมือนโดนตบหน้ากลางตลาดนัดบาซาร์ เขาไม่ได้อายนะ แค่ไม่ชอบสายตาที่มองมา แต่แก้ตัวอะไรออกไปอีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจถอดชั้นในตัวสุดท้ายออก... อยากมองก็มองไป ของของเขา ยังไงก็เอาไปไม่ได้ก็แล้วกัน “ว่าแต่... เราจะไม่ค้างคืนกันในเมืองนี้ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวเราจะออกเดินทางกันใช่มั้ย”
“...ยังหรอก เราจะอยู่แถวนี้อีกสักวัน เพราะเมื่อออกเดินทาง ต่อไปก็จะไม่มีที่ร่มให้หยุดพักแล้ว”
มือขาวที่หยิบขันตักน้ำรดตัวหลายๆ ครั้งหยุดกึก แล้วหันกลับมาถาม “...เดินทางต่อไป... เราจะไปไหนกันเหรอครับ”
“...เดี๋ยวก็รู้เอง”
ศตคุณอ้ำอึ้ง เขาวางขันในมือลงแล้วก้าวเข้ามาหาชายหนุ่ม “...คุณคงจะไม่เอาผมไปขายให้ใครใช่มั้ยครับ”
เพียงชั่วพริบตาที่นัยน์ตาสีเข้มฉายแววไม่พอใจ แต่แล้วก็เสหลบ “อาบเสร็จแล้วก็ใส่เสื้อผ้าซะ เดี๋ยวเข้าตลาดไปหาอะไรกิน จะได้ซื้ออาหารตุนไว้สักหน่อย”
“ทาริค...”
“ถ้าไม่ไว้ใจฉันละก็ เธอจะแยกออกไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ” ร่างสูงตอบเพียงแค่นั้น แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน
หัวใจเจ็บแปลบราวกับถูกของมีคมทิ่มแทง ที่ทาริคเลี่ยงไม่ตอบคำถามเขาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน
ดวงตากลมใสจ้องมองน้ำในรางไหลเอื่อย ก่อนจะตักขึ้นมารดตัวและศีรษะอีกหลายๆ ครั้งอย่างต้องการให้ความกังวลหลุดลอยตามสายน้ำไปด้วย สักพักก็ตัดสินใจหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้กลับมาใส่ แล้วเดินตามชายหนุ่มเข้าไปภายในบ้าน
...ถึงแม้เขาจะมีทางเลือกอื่น หากส่วนลึกของหัวใจบอกกับตัวเองว่าให้เชื่อ และติดตามผู้ชายแห่งทะเลทรายคนนี้ต่อไป แต่จะเป็นด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน
TBC~*555555 ในที่สุดทาริคก็เผยไต๋ซะแล้ววว เดาถูกกันหลายคนเลยค่ะ ทาริคจอมเก๊ก ทำเป็นไม่เข้าใจไปอย่างนั้น แกล้งน้องคุณนี่นาาาา มันน่าจับดีดนัก!!!
และตอนนี้ทาริคของเราก็เผยโฉมหล่อล่ำให้น้องคุณได้ใจสั่นแล้วนะคะ ^^ แบบนี้ สงสัยว่าทาริคจะเป็นพระเอกแน่แล้วละม้างงง 
สำหรับฉากในตอนนี้ หลายคนอาจจะมองว่าโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ฮัสกี้ขอให้มองว่า เพราะบ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมของคนเรานั้นต่างกัน กฎระเบียบต่างๆ จึงต้องปรับให้เข้ากับสภาพ เพื่อที่จะได้ควบคุมชาวเมืองให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบได้ค่ะ
การเดินทางของทั้งสองยังคงจะดำเนินต่อไป ทาริคเป็นใคร มาได้อย่างไร และจะพาศตคุณไปไหนนั้น อันนี้ถ้าฮัสกี้บอกก็คงจะเป็นการสปอยล์ เดี๋ยวจะไม่มันส์นะคะ ขอให้ติดตามอ่านกันต่อไปน้า ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ *แจกจูบรัวๆ*
แวะมาพูดคุยกับฮัสกี้ได้เสมอนะคะ >.< husky's page