Once again ถ้าครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน
Chapter 15 : Watched it pour as I touched your face
..ต่างคน ต่างความคิด บางทีผมก็อยากรู้ว่าในใจของคีย์คิดอะไรอยู่ เพราะหากเขาคิดถึงผมสักนิด..เขาคงไม่ทำแบบนี้ ทำราวกับผมเป็นสิ่งของที่จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเมื่อก่อนเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่เจ็บเท่าตอนที่เขาเปลี่ยนไป
อะไรที่ทำให้เขาต้องเห็นแก่ตัว ?
อะไรที่ทำให้เขาเป็นคนที่ไม่หลงเหลือเหตุผลอะไรเลย ?
แน่นอนว่าผมอยากรู้ แต่คงไม่ถึงขั้นไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา ตอนนี้ผมคงทำได้แค่ต่างคนต่างอยู่ ตราบใดที่เขาไม่มายุ่งกับผมมากเกินไปนัก ผมก็คงไม่ยุ่งเรื่องของเขาอีก
ถ้าผมไม่รู้ ผมก็ไม่เจ็บ
แกล้งปิดหูปิดตา รอวันที่เขาเบื่อผมและทิ้งผมสักที ..มันอาจจะดีกว่าผมดิ้นรนหาทางออกเอง และผมอาจไม่ต้องเจ็บมากไปกว่านี้
ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง สองสามชั่วโมงที่ผมอยู่ภายในห้องนี้มันทำให้ผมเบื่อ มันรู้สึกเหมือนอยู่ในกรง .. ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน เขาก็เหมือนจะรู้ทุกอย่าง
ความน่าอึดอัด ความสับสน ความเบื่อ
นั่นคงเป็นคำที่อธิบายความรู้สึกของผมได้ดีที่สุดในตอนนี้ ผมค่อยๆปิดตาลง อยากลืมช่วงเวลานี้ไปสักพัก ไม่อยากคิดถึงภาพคีย์อีก
......
ช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ผมนอนหลับไป ผมแทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าคีย์กลับมาตอนไหน ..นี่ถ้าโจรเข้ามาปล้น ผมคงโดนฆ่าตายไปแล้ว
มีบางอย่างที่ผิดปกติไป.. ถ้าแค่เรานอนเตียงเดียวกันผมคงไม่รู้สึกอะไรมากมาย แต่มือที่กอดเอวผมเอาไว้หลวมๆนี่ .. มันทำให้ผมรู้สึกแย่จริงๆนะ
ตอนนี้ทุกการกระทำของเขามันทำให้ผมสะอิดสะเอียนไปหมด .. จนผมคิดว่าผมอาจเป็นโรคจิตไปแล้วก็ได้ ผมค่อยๆลุกขึ้นและเอามือเขาออกไปจากเอวผมอย่างเบามือ ทันทีที่หลุดจากการเกาะกุมของคีย์ ผมก็รีบเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำ และออกมานั่งอยู่ในห้องรับแขก ..บางทีผมก็คิดว่าผมให้ชีวิตอยู่หน้าจอทีวีมากกว่าการออกไปสูดอากาศข้างนอกซะอีก
“เหนื่อยเหรอ” ไม่คิดว่าเขาจะตื่นเร็วขนาดนี้ ไม่กี่นาทีที่ผมลุกจากเตียง เขาก็คงตื่นแทบจะทันที
“เปล่า”
“เหรอ ดูมึงเหนื่อยๆนะ”
ไร้คำพูดใดๆออกกจากปากของผม .. ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป ผมไม่อยากจะคุยกับเขาแล้ว ไม่ใช่เพราะโกรธหรือโมโห เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะโมโหและลงที่ผมอีกเมื่อไหร่ ผมเบื่อที่จะเจ็บตัวกับเขาแล้ว
คีย์เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งผมให้อยู่คนเดียวในห้องแคบๆนี่อีกครั้ง ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน มันก็วนมาจบที่วันรุ่งขึ้นเขาก็ทำเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับเมื่อวานเราไม่ได้ทะเลาะกัน แปลกนะทั้งๆที่เป็นคนๆเดียวกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงเป็นคนที่ตามเขามาคุยให้รู้เรื่อง เพราะไม่ชอบที่จะทะเลาะกันนานๆ แต่ตอนนี้ผมอยากให้เราทะเลาะกันไปนานๆ จนไม่ต้องคุยกันอีกเลยก็ได้ ..
ผมกำลังรู้สึกเหมือนมันเหนื่อยเกินไป ทำไมผมต้องมาทนอะไรแบบนี้ด้วย ผมคิดถึงบริษัทของพ่อผมเหรอ ? ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้คิดถึงผมเลยสักนิด แต่กลับโยนปัญหามาให้ผมได้ นี่เหรอ..สิ่งที่คนเป็นผู้นำเขาทำกัน ผมรู้ว่าผมพาล แต่หากผมเอาแต่โทษตัวเอง สักวันผมคงได้บ้าตายกันพอดี
สักพักใหญ่ๆกว่าคีย์จะออกมาจากห้องน้ำ ผมสะดุดตากับรอยแผลเป็นที่แขนของเขา ..ผมคงเป็นสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นมา ปกติเขามักใส่เสื้อแขนยาว มันทำให้ผมไม่เห็นอะไร แผลนั่นทำให้ผมรู้สึกผิด แต่เพราะไม่อยากจมอยู่กับการรู้สึกผิดมากเกินไป ผมเลยเลือกที่จะเมินมันซะ
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกริ่งที่หน้าห้องดังขึ้น เรียกความสนใจของผมและคีย์ได้เป็นอย่างดี คีย์เป็นฝ่ายเดินไปเดินประตู ผมเห็นเขาถอนหายใจตอนที่เขาเปิดกล้องดูว่าเป็นใคร ก่อนที่เขาจะเปิดประตูด้วยความไม่เต็มใจนัก
“ไง ! ผมคิดถึงพี่แทบตาย ไม่เจอกันตั้งวันนึง” ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคีย์ถึงถอนหายใจแบบนั้น เป็นผม ผมก็คงรำคาญแบบเขาที่มีน้องชายนิสัยแบบนี้ แถมข้างๆเคย์ยังมีสีครามยืนอยู่ นี่พวกเขาจะเล่นบ้าอะไรกันแน่
“มีอะไร” คีย์ถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อ้าว ก็วันนี้ผมต้องเข้าบริษัทไง”
“แล้ว ?”
“แล้วผมจะเข้าบริษัทได้ไง ถ้าไม่มีเลขา ผมยังทำอะไรไม่เป็นเลยนะ”
“เหอะ .. บริษัทนี้รับคนเข้ามาทำงานด้วยความชอบส่วนตัว ไม่ใช่ความสามารถหรอกเหรอ ?”
“อืม.. แล้วสีคครามละครับ ? เขาเข้ามาทำงานง่ายอย่างนี้เพราะอะไรเหรอครับ”
“...”
“พี่ไม่ต้องตอบผมก็ได้ครับ แต่ผมพาเลขาพี่มาให้แล้ว ผมก็ขอเลขาผมไปทำงานเลยละกันนะครับ”
ไม่รู้อะไรทำให้ผมรู้สึกขนลุกกับคำที่เขาใช้เรียกว่าเลขา ไม่รู้สินะ ..ในจินตนาการของผม เลขาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่นี่นอกจากเลขาของประธานบริษัทเป็นผู้ชายแล้ว รองประธานก็ยังมีเลขาเป็นผู้ชายอีก ผมค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆพอสมควร และไม่อยากจะจินตนาการเลยจริงๆ ว่าหากผมกลับไปทำงานอีก พนักงานจะมองผมยังไง .. เป็นคนที่มีสิทธิ์อะไรที่จะเข้าทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ และมีคนที่ต้องพลาดงานดีๆแบบนี้ไปเพราะผมกี่คน คนที่เขามีความสามารถมากกว่าผมไม่ได้ทำงานในบริษัทที่ดีๆ แต่คนที่ไม่มีแทบประสบการณ์อะไรเลยอย่างผมกลับได้ทำ
“ผมขอปฏิเสธงานนี้ละกันนะครับ ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลามาถึงที่นี่ และขอโทษที่ปากไวรับงานคุณ” ส่วนนึงเพราะผมไม่อยากมีปัญหากับคีย์อีก ถ้าหากเขาเกิดบ้าจนทำร้ายร่างกายผมอีก ผมคงรู้สึกแย่กว่าเดิมมากขึ้นไปอีก
“ทำงี้ได้ไงครับ แล้วผมจะไปหาคนที่ไหนมาทำงานแทนทันละครับ เพิ่งยกเลิกการรับสมัครไปด้วย”
“อย่าทำตัวให้เป็นปัญหามากนักเลยครับ ..เดี๋ยวคนเขาจะหาว่าเรียกร้องความสนใจ” นั่นเป็นประโยคของสีคราม มันทำให้ผมต้องมองหน้าเขาตรงๆ ..ดูเหมือนเขาอยากจะมีปัญหากับผมมาก แต่ถ้าผมยิ่งตอบโต้เขา มันอาจทำให้ตัวผมเองมีปัญหามากขึ้นไปอีก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะเงียบซะ ..ผมเบื่อที่จะทะเลาะกับใครหลายๆคนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดคนนึง
“แล้วแต่มึงละกัน อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
“เฮ้อ... ผมไปก็ได้ครับ แค่ทำงานมันไม่ได้หนักหนาอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ผมไปเป็นที่รองรับอารมณ์ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะทำงานนี้ได้”
สรุปว่าวันนี้ผมนั่งรถไปทำงานกับเคย์ ส่วนคีย์ก็ไปกับสีคราม แน่นอนว่าคีย์ไม่ค่อยพอใจ ..ผมคิดว่าเขาคงเห็นผมเป็นแค่สิ่งของ และคนอย่างเขาคงรู้สึกเหมือนมีคนกำลังแย่งของเล่น แต่ความรู้สึกเด็กๆแบบนั้น ผมไม่ได้คิดจะใส่ใจหรอก
“วันนี้รถติดจังเลยนะครับ”
... ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เคย์พูดไปคนเดียว ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ..และเขาก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม
“แปลกนะครับ ดูเหมือนคีย์จะชอบคุณมากเลยนะ ”
“เหอะ..อย่าทำเป็นตาบอดไปหน่อยเลย” สาบานเถอะว่าเขาไม่เห็นว่าคีย์แทบจะฆ่าผมให้ตายได้แล้วมั้ง ไหนจะคำพูดประชดประชันนั่นอีก
“อ้าว ทำไมละครับ”
“..”
“อืม ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาผมได้นะ ผมพร้อมที่จะรับฟัง ถึงคุณจะไม่ค่อยอยากคบผมเป็นเพื่อนเท่าไหร่ก็เถอะ”
ความนิ่งเงียบวนเวียนอยู่รอบตัวเราจนกระทั่งเคย์ขับรถมาถึงบริษัท เขาดูเป็นพวกมือใหม่ที่ไม่น่าจะบริหารงานอะไรรอด นั่นคงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาต้องหาเลขามาช่วย แต่มันน่าเศร้าสำหรับเขานะ ที่ได้คนอย่างผมเป็นเลขา เพราะผมกับเขาเรามันก็มือใหม่พอๆกัน
และเป็นไปอย่างที่ผมคาดเดา พนักงานที่นี่มองผมเป็นตาเดียวกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาคงสงสัยว่าทำไม รองประธานคนใหม่ ถึงมากับเลขาเก่าของประธาน เป็นผม ผมก็คงสงสัยไม่ต่างจากพวกเขา มันดีตรงที่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้เดินเข้ามาถามหรือพูดอะไรตรงๆ มีบ้างที่หันไปพูดซุบซิบกัน แต่ผมเผื่อใจมาแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไรมากมาย
ผมเดินตามเคย์มาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ห้องๆหนึ่ง ซึ่งเดินห่างจากห้องของคีย์มาไม่มาก ความจริงผมคิดว่าห้องนี้มันเป็นห้องประชุม มันเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เล็กกว่าห้องของคีย์แค่นิดหน่อย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆก็เรียบหรูสมกับระดับของเจ้าของห้อง
“ความจริงวันนี้ มันไม่มีอะไรมากมายหรอกครับ ผมเพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่ต้องทำอะไรมากมาย ..ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราไปกินข้าวกันเถอะครับ”
“ห้ะ ?” ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เขาประสาทกลับรึเปล่า เพิ่งขับรถออกมา เขาก็จะออกไปอีกแล้ว แถมยังออกไปทำอะไรที่มันโคตรจะไร้สาระเลยสำหรับผม
“ก็ผมหิว ตอนที่ออกมาก็รีบจนไม่ได้กินอะไร ..ถ้าคุณไม่สบายใจ จะชวนสีครามกับคีย์ไปด้วยก็ได้นะครับ”
ความหนักใจมันอัดอั้นอยู่เต็มไปหมด ถ้าหากผมออกไปกับเขาสองคน มันก็คงมีปัญหากับคีย์อยู่แล้ว และผมยังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวตอนนี้สักเท่าไหร่
“ลองไปชวนคีย์กับคุณสีครามดูสิครับ ผมรออยู่ที่นี่ก็ได้”
“ได้ไงละครับ ปกติเจ้านายไปไหน เลขาก็ไปด้วยไม่ใช่เหรอ”
“เลขานะครับ ..ไม่ใช่ทาส”
“..ผมขอโทษครับ..” ให้ตาย..สีหน้าที่สลดลงไปนั่นมันอะไร คนที่มีนิสัยอย่างเขาจะมารู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของผมเนี้ยนะ นั่นมันทำให้ผมเกิดความรู้สึกผิดเล็กๆ
อืม.. กลับกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเรา 4 คน มาอยู่ในภัตตาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก คีย์เขาดูหงุดหงิดอีกแล้ว เขาคงหงุดหงิดกับทุกเรื่องเลยสินะ ทั้งสามคนสั่งอาหารไม่กี่อย่าง ส่วนผมไม่ได้สั่งอะไร ช่วงเวลาแบบนี้ผมกินไม่ค่อยลงนักหรอก
พออาหารมาเสิร์ฟต่างคนก็ต่างกิน ผมก็นั่งดื่มน้ำเปล่าไปเรื่อยๆ จนจู่ๆเคย์ก็เลื่อนจานอาหารของเขามาหยุดอยู่ระหว่างผมและเขา ผมรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเขาตักอาหารและยื่นช้อนมาจ่อที่ปากผม .. บางทีผมก็นึกสงสัยว่าเขาไม่อายที่จะทำอะไรแบบนี้บ้างรึไง ผมว่าเขาจะหน้าด้านเกินไปหน่อยแล้วนะ
“จะไม่กินจริงๆเหรอครับ ..ผมคงเสียหน้าแย่เลยนะ”
“...”
เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอาหารแบบฉับพลัน ผมเองนิ่งค้างกับคำพูดของเคย์ จนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนรอบข้าง ..ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนแบบนี้อยู่ด้วยบนโลก ผมมองหน้าเคย์ สลับกับอาหารในมือเขา ก่อนจะยื่นมือไปจับช้อนมากินเอง เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนี้เขาคงถืออย่างนี้ไปตลอดแน่
แกร๊ง !
เสียงของช้อนกระทบจานอย่างดัง ทำให้ผมต้องหันไปมองเจ้าของจานใบนั้น ...เฮ้อ คิดอยู่แล้วว่าเขาคงไม่พอใจอีก แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ เขายังโมโหซะได้
เคย์จ้องผมซะจนผมต้องหลบสายตาไปทางอื่น นี่ตกลงผมมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาจริงๆใช่ไหม ..ทำไมผมรู้สึกเหนื่อยอย่างนี้นะ
“...”
แทบไม่ต้องเดาเลย.. อาหารมื้อนี้แทบจะไม่อร่อยเลยสักนิด และสีครามก็มองเหมือนผมเป็นตัวปัญหา ทั้งๆที่ผมไม่ได้เต็มใจจะมาเลยด้วยซ้ำ
“ทำไมต้องพาคนที่เป็นปัญหามาด้วยทุกทีเลยนะ”
“ถ้าที่คุณพูด มันหมายถึงผม ต่อไปก็บอกคุณเคย์ว่าอย่าชวนผมมาด้วยอีกเลยนะครับ”
.............
พอกลับมาถึงบริษัท ผมและเคย์ก็แยกตัวออกมาทำงาน สารพัดงานที่กองอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด ..นี่เหรอ ที่เรียกว่าไม่มีงานของเขา มันกองอยู่จนแทบจะล้นโต๊ะเขาอยู่แล้ว และคนที่ต้องช่วยเขาจัดการตารางงานพวกนี้ก็คงไม่พ้นผม
ทั้งวันผมวุ่นวายอยู่กับการจัดงานเขาให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนเขาก็นั่งเซ็นต์ไปเรื่อยๆโดยได้เดือดร้อนอะไร แล้วไหนละ คำพูดที่ว่าทำอะไรไม่เป็นของเขา ..
10.49 น.
ผมปิดปากหาว ก่อนที่จะลุกขึ้นบิดไล่ความขบเมื่อยออกจากร่างกาย งานทุกอย่างถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ วันนี้มันเป็นวันที่ผมทั้งเหนื่อยกายและหนักใจ มันน่าอึดอัดนะที่มีคนจ้องตลอดเวลาที่ทำงาน งานของเคย์มีแค่ตรวจเอกสารและเซ็นต์นิดๆหน่อยๆ เขาก็มีเวลาว่างแทบจะทั้งวัน นั่งดูผมทำงานกองโต
“เสร็จแล้วเหรอครับ”
“ครับ” ตาผมแทบจะปิดแล้ว ..ทั้งง่วงทั้งเหนื่อย ผมอยากกลับไปอาบน้ำและเข้านอนเร็วๆ จะได้ผ่านๆวันแบบนี้ไปสักที
ก๊อก ก๊อก
คีย์เดินมึนตึงเข้ามาในห้อง ..ไม่รู้ทำไมแต่พอผมเห็นหน้าเขาแล้วผมถึงเหนื่อยมากขึ้น ..เขาดูจะโมโหทั้งวัน นั่นทำให้เขางี่เง่าและไร้เหตุผล
“ทำงานกันเสร็จแล้วใช่ป่ะ งั้นกูขอตัวโรมไปละกัน”
“ได้ไงอ่ะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งเขาเองก็ได้ พี่กลับไปส่งสีครามเหอะ”
“อย่ามาเสือก..”
ข้อมือของผมโดนคีย์ฉุดไปอย่างแรงจนหน้าแทบคว่ำ ความโมโหเล็กๆเริ่มเกิดขึ้นในใจของผม นี่เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก เมื่อไหร่จะหยุดบ้าสักที !
ผมสะบัดมือออกจากเขา จนคีย์หันมามองหน้าผม และครั้งนี้ผมจ้องเขากลับ อยากรู้ว่าภายในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“เหอะ..”
“อะไร พี่เป็นอะไรอีก แค่นี้ยังบ้าไม่พอเหรอ ?”
“รู้ไว้ซะด้วยนะ..คนอย่างกู บ้าได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า” เป็นอีกครั้งที่คีย์กระชากแขนผมอย่างแรง จนผมแทบจะเบ้หน้าเพราะความเจ็บ เขาเป็นพวกซาดิสม์รึไงกัน ถึงได้ทำแต่กิริยาทรามๆ
เขาผลักผมลงไปในรถสีดำ ก่อนจะเดินไปนั่งด้านคนขับและขับรถออกไปทันที .. เขาขับรถด้วยความเร็วที่ไม่กลัวจะไปชนใครตาย ฝ่าความมืดเวลากลางคืน มันทำให้ผมรู้สึกทั้งกลัวทั้งโกรธ กลัวว่าตัวเองจะไม่มีชีวิตไปถึงพรุ่งนี้ โกรธที่เขาทำตัวงี่เง่า ไร้การศึกษา เหมือนพวกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
รถสีดำมาหยุดอยู่หน้าผับแห่งหนึ่ง ..เป็นผับที่เรียกได้ว่าหรูติดอันดับต้นๆของเมืองไทย และน่าจะเป็นศูนย์รวมยาเสพติดแทบทุบชนิดสำหรับผม ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มาค่อนข้างเยอะ มันเป็นผับหรูที่เป็นแหล่งมั่วสุมชั้นดีของพวกไฮโซที่มีเงิน ...และทั้งชีวิตนี้ ผมไม่เคยคิดจะเข้าไป
คีย์กระชากผมไปตลอดทั้งทาง จนถึงต้องที่มีป้ายติดว่า VVIP .. พอเขาเปิดเข้าไป ด้านในมีผู้ชายอยู่ 3 คน ทุกคนค่อนข้างแต่งตัวดูดี ไม่เหมาะที่จะนั่งอยู่ที่ผับเวรๆนี่แม้แต่น้อย พวกเขาดูน่าจะเป็นนักธุรกิจที่ใสสะอาด ..แต่ก็นะ โลกมายาพวกนี้น่ะ ต่อให้เบื้องหลังพวกเขาเป็นฆาตกรก็ไม่มีใครรู้หรอก
ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคีย์ หนึ่งในสามคนนั้น ยื่นแก้วน้ำสีใสให้คีย์ ตอนแรกผมแค่คิดว่ามันเป็นน้ำเปล่า ..แต่กลิ่นของมันแรงจนฉุนจมูกไปหมด
“นี่เหรอวะ เลขาของน้องมึง ? ก็ดูดีนี่” ผมได้ยินเสียงคีย์หัวเราะในลำคอ.. ก่อนที่เขาจะพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกหน้าชา และเพิ่งรู้ตัวว่าผมไม่ควรมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
“หึ..
ก็แค่เด็กขายที่กูซื้อมา ถ้าพวกมึงอยากได้ก็ซื้อต่อไปดิ”
---------------------------------------------
อืม..อืมมม เป็นคนที่เเสนดีอะไรอย่างนี้นะ..
วันนี้ลงค่อนข้างดึกนะ 5555
ฝันดีนะคะ