Once again ถ้าครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน
Chapter 23 : Nothing gets better
ช่วงสองสามวันมานี้ มีเรื่องที่ผมคิดหนักอยู่หลายเรื่อง จนกระทั่งตัดสินใจได้ว่าจะกลับไทย แต่ผมจองไฟลท์บินแค่วันเดียว เรียกได้ว่าไปเหยียบประเทศไทยไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
ถ้าถามว่าทำไมผมทำแบบนั้น ..มันก็คงเป็นเพราะความกลัวของผมเอง กลัวที่จะกลับไปเป็นแบบเดิม ก็เลยคิดแค่ว่าจะไปเพราะเรื่องงานเพียงอย่างเดียว
ผมคิดว่าการกลับไปครั้งนี้ผมคงโดนด่าเละแน่นอน เพราะบริษัทที่ไทยแทบจะวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงตอนรับแบบฉับพลัน ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ต้องจัดให้ผมก็ได้ แต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะจัดให้ทัน ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยไป
ครั้งนี้ผมอยากกลับไปเยี่ยมอาในคุกด้วย ไม่ได้ไปเจอเขาเลยตลอดสามปี เขาคงเกลียดผมเข้ากระดูกดำไปแล้วมั้ง และเพราะชาติหน้าผมไม่อยากเกิดมาเจอคนอย่างเขาอีก ผมถึงอยากอโหสิกรรมให้กับเขา จะชาติหน้าหรือชาติไหนผมก็ไม่อยากเจอเขาอีกแล้วละ
“บอสคะ ได้เวลาไปเช็คอินแล้วละคะ เดี๋ยวจะตกเครื่องเอานะคะ ถ้าไปช้ากว่านี้” พี่เหมียวลากกระเป๋าใบใหญ่มาหาผม ..ใบใหญ่แบบที่ใหญ่มาก เธอคิดจะไปพักที่นู้นสักอาทิตย์นึง ซึ่งผมก็ม่ได้ว่าอะไร ยังไงงานที่นี่ก็ไม่ได้วุ่นวายเท่าไหร่อยู่แล้ว
“อ่า ..ครับ”
11 ชั่วโมงเต็ม ผมแทบจะเสียเวลาครึ่งวันไปกับการนั่งนิ่งๆบนเครื่องบินโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย พี่เหมียวเธอดูดีใจกว่าผมซะอีกที่ได้กลับไทย เธอก็คงคิดถึงครอบครัวจริงๆ น่าอิจฉานะ ที่เธอยังมีครอบครัวให้คิดถึง
ไฟลท์ขากลับของผมคือตอนประมาณเที่ยงคืนของพรุ่งนี้ ตอนนี้ก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ผมเก็บของเข้าที่พัก รู้สึกมึนๆเพราะอาการแจ็ทแล๊กจากตอนที่ลงเครื่องบินมานิดหน่อย
“บอสไปงานที่โรงแรม CCV ไหวรึเปล่า สีหน้าบอสดูไม่ค่อยดีเลยนะ ถ้าไม่ไหวยังไงก็ยกเลิกไปก่อนก็ได้นะคะ งานต้อนรับเนี้ยมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกคะ คนเขาคงเข้าใจกันนะว่าบอสเหนื่อย”
“..ผมคงโดนด่าจนเละแน่ๆ ..อาจจะโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักกว่านี้ด้วยนะ ผมไม่เป็นไรหรอก แค่เมาเครื่องเอง ไปให้คนเห็นหน้าสักพักค่อยกลับมาพักก็ได้”
“เฮ้อ ..ตามใจนะคะ ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่นะ”
21.05 น.
กว่าผมจะมาโผล่ในงานได้ ก็ทำเอาหลายคนไม่พอใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาของพวกเขานี่ .. ทำเอาผมอธิบายไม่ถูกไปเลย
พิธีกรพูดตามไปตามหน้าที่ของเขา ผมขึ้นไปพูดแนะนำตัวและอวยพรแก่ทุกคน จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ ผมเดินทักทายผู้บริหารบางคน และบางคนก็เข้ามาทักผมทั้งที่เราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่ก็นะ.. สังคมแบบนี้ ทุกคนก็ต้องยิ้มให้กันอยู่แล้ว ถึงผมรู้ว่าพวกเขากำลังเลื้อยขาเก้าอี้ของผมอย่างเงียบๆก็เถอะ
เฮ้อ.. น่าเบื่อชะมัด เพราะมันน่าเบื่ออย่างนี้ไง ผมถึงไม่ค่อยชอบมางานแบบนี้กับพ่อสักเท่าไหร่นัก ในระหว่างที่ผมยืนเบื่อๆอยู่มุมนึงของงาน จู่ๆก็มีเด็กหญิงคนนึงวิ่งเข้ามาหาผมอย่างเร็ว เธอวิ่งมากอดผมอย่างแรงจนผมแทบเซ
“พี่โรม !!”
“คินรดา ?” ใบหน้าเล็กๆนั่นเปื้อนรอยน้ำตาไปหมด จนผมตกใจ
ผมทรุดตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเธอ ก่อนที่จะปาดน้ำตาบนแก้มเนียนนั่นออกไป ..สังเกตได้เลยว่าแก้มเธอยังมีรอยแผลเป็นจางๆอยู่ ..เพราะความโง่ของผมคนเดียวเลย
“น้องดามากับใครเหรอครับ”
“หนู..ฮึก..ฮืออออ คิดถึงพี่โรมมากเลย..”
“พี่ก็คิดถึงน้องครับ ..แล้วตกลงน้องดามากับใครครับ” ผมพยายามปลอบเธอให้หยุดร้องซะก่อน คินรดาโตขึ้นมาก ตอนนี้เธอคง 6 ขวบแล้วสินะ ผมดีใจที่เธอยังจำผมได้ เธอโตเป็นเด็กที่น่ารักมากขึ้นกว่าเดิม และมีโครงหน้าที่คล้ายคลึงกับรินดาพอสมควร
“..มากับพ่อคะ..อึก..”
“น้องดารู้ไหมครับว่าเวลาร้องไห้น่ะ ..ผู้หญิงจะดูไม่สวยเลยนะ” คินรดาส่งยิ้มให้ผม ..เธอเป็นเด็กที่ไม่ว่าใครเห็นก็หลงเอาได้ง่ายๆ
“คะ..” เธอปาดคราบน้ำตาออกไป พลางพูดกับผมเสียงเครือ
“พี่โรมจะกลับมาถึงเมื่อไหร่เหรอคะ..”
“คงจะแค่พรุ่งนี้ครับ ..แต่พี่จะกลับมาเยี่ยมน้องดาบ่อยๆนะ”
“สัญญาแล้วนะคะ”
“..ครับ..”
เธอพูดถามผมหลายอย่าง สักพักก็มีคนมารับเธอกลับไปเพราะดึกมากแล้ว .. ส่วนผมก็ยังคงวนเวียนอยู่ในงานสักพักนึง ก่อนที่จะปลีกตัวออกมานอกงาน เพราะรู้สึกมึนหัวกับจำนวนคนในงาน
ผมยกบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ..ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ดีกับร่างกายของผมเลย แต่ในเวลาเครียดๆและน่าเบื่อแบบนี้มันช่วยผมได้เยอะเลยทีเดียว
เมื่อไหร่จะจบสักทีนะ .. ผมรู้สึกเหมือนมีคนเดินมายืนอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้สนใจใยดีเข้าสักเท่าไหร่นัก ก็อาจจะเป็นแขกสักคนในงาน
“เฮ้ย..” ผมร้องออกมา เมื่อจู่ๆใครก็ไม่รู้มาแย่งบุหรี่ที่ผมกำลังจะสูบไปจากมือผม มันเป็นการกระทำที่เสียมารยาทมากนะ
“มันเสียมารยาทนะ สูบบุหรี่ในที่ปลอดบุหรี่แบบนี้”
“เฮ้อ...แล้วคุณเกี่ยวอะไร..”
ผมหันไปจะด่าเขา แต่ก็ต้องชะงักไป .. ผมนึกว่าเขาจะกลับไปพร้อมกับคินรดาแล้วซะอีกนะ ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่ออีกทำไม
“ยังสูบบุหรี่อยู่อีกเหรอ”
“...”
“กลับมาก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้างนะ”
“แล้วไงอ่ะ จะโทรหรือไม่โทรมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่ป่ะ”
“ใช่ ..มันไม่เกี่ยว..” น้ำเสียงของเขาสลดลงจนผมรู้สึกผิดเอง และเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย
“รินดาเป็นไงบ้าง”
“เธอสบายดี ..แล้วโรมละเป็นไงบ้าง”
“ก็ปกติดี ชีวิตมันก็เรื่อยๆอ่ะ พี่อ่ะ..ชีวิตหลังแต่งงานเป็นไงบ้าง”
“ห้ะ ? โรมว่าใครแต่งงานนะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเขาปะปนไปด้วยความตกใจ
“ก็พี่ไง พี่แต่งงานกับรินดาไม่ใช่เหรอ”
“โรมจะบ้าเหรอ พี่ไม่ได้แต่งงานกับรินดา”
“อ้าว ก็ไหนสีครามบอกว่าพี่จะแต่งงาน ?”
ให้ตาย.. ผมรู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดหน้าเลย ทั้งมึนและงงผสมปนเปกันไปหมด คีย์เองก็ดูสับสนเหมือนกัน ผมกำลังคิดในใจว่า มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีกรึเปล่า ? ทำไมผมเหมือนคนหน้าโง่เข้าไปทุกที
“สีครามบอกโรมงั้นเหรอ ? ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ซึ่งนั่นก็ทำให้คีย์ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
“มันบ้าจริงๆนะ พี่คิดว่าเขาจะป่วนพี่คนเดียวซะอีก นี่เขาป่วนโรมด้วยเหรอ”
“อืม ..และผมก็โง่ไปเชื่อเขาด้วยนะ ไม่รู้ว่าผมจะเสียเวลาที่เครียดไปทำไม”
“..โรมเครียดที่พี่จะแต่งงานเหรอ ?” แวบนึงนะ..ผมเห็นดวงตาของเขามันเปล่งประกายราวกับมีความหวัง จนผมรู้สึกขำ
“ยิ้มทำไมอ่ะ”
“เปล่า ..ผมไม่ได้ยิ้ม” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้นะว่าผมกำลังยิ้มอยู่จริงๆ ก็ผมขำเขาอ่ะ
“อืม ไม่ได้ยิ้มเลยนะ”
“รู้สึกดีเหรอที่พี่ไม่ได้แต่งงาน” เขาถามผม นั่นทำให้ผมนิ่งคิด.. ตอนที่เขาบอกว่าไม่ได้แต่งผมก็รู้สึกโล่งจริงๆนะ เหมือนยกอะไรที่หนักๆออกจากหัวใจไป..
“ถ้าเขินอ่ะ ไม่ต้องให้คำตอบก็ได้นะ” พูดจบคีย์ก็หัวเราะ จนผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ เขามันหลงตัวเองเกินไปนะ
“พี่จะบ้าเหรอ ใครเขาจะเขินพี่ อย่าหลงตัวเองดิ”
“หึ .. เชื่อก็ได้ แล้วนี่โรมจะมากี่วันอ่ะ”
“ถึงเที่ยงคืนของวันพรุ่งนี้อ่ะ”
“ทำไมกลับเร็วจัง ไม่เหนื่อยเหรอ”
“ก็เหนื่อยนะ แต่จองไฟลท์ไปแล้ว ทำไงได้”
“งั้นพรุ่งนี้ไปเที่ยวกันป่ะ”
“..คงไม่ได้อ่ะ ผมต้องทำงานในบริษัทก่อน ที่ผมกลับมาก็เพราะมาเคลียร์งานนะ.. คงไปเที่ยวไม่ได้หรอก”
“ดีแล้ว... อย่าหักโหมทำงานมากนะ จะป่วยเอา” ถึงเขาจะพูดออกมาว่าดีแล้ว ..แต่แววตาของเขามันไม่ได้รู้สึกดีไปด้วยเลยนะ เขาไม่เคยเก็บอาการและความรู้สึกของเขาได้เลย
“แต่ตอนเย็นเราก็ไปหาไรกินด้วยกันก่อนผมกลับก็ได้นะ”
“เอางั้นก็ได้ ไว้พี่จะเข้าไปรับในบริษัทนะ”
คีย์ส่งยิ้มบางๆให้ผม ก่อนที่เขาจะก้มลงมองนาฬิกา ซึ่งบอกถึงเวลาที่ล่วงเลยมาจนดึกมากพอสมควร คนในงานก็เริ่มลดลงไปแล้ว ผมคิดว่าจะกลับก่อนเพราะรู้สึกเหนื่อยๆ คีย์เลยอาสาจะส่งแขกแทนผม เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนผมเหมือนกัน มันคงจะดูน่าเกลียดพอสมควรถ้าหากไม่มีใครสักคนอยู่ส่งแขกบ้าง
......
พอถึงถึงโรงแรม ผมก็อาบน้ำและเข้านอนแทบจะทันที เพราะความเหนื่อยอ่อนทำให้ผมหลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงของอีกวันแล้ว และนี่เป็นความซวยของผม เพราะมันไม่มีบริษัทไหนที่เขาเข้าทำงานกันตอนเที่ยงหรอกนะ
มันก็เป็นอีกวันที่ผ่านไปด้วยความน่าเบื่อพอสมควร ก็แค่ทำงานและนั่งอยู่บนเก้าอี้เฉยๆให้ปวดหลังเล่นๆ จากนั้นก็นั่งฟังประชุมงานต่างๆที่ทุกคนตั้งใจเสนอกันเต็มที่ แต่ต่อให้ทุกคนพยายามกันขนาดไหน มันก็น่าเบื่อสำหรับผมอยู่ดี
ราวๆสี่ห้าชั่วโมงมาแล้วที่ผมนั่งเซ็นต์เอกสารอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับไปไหนเลย จะบ้าตายจริงๆกับไอ้ตัวอักษรที่วิ่งเป็นพันๆคำในหัวผม เฮ้อ..
ก๊อก ก๊อก
“ใครครับ ?”
“เหมียวเองคะ”
“อ้อ เข้ามาได้เลยครับ”
“บอสคะ มีหุ้นส่วนมาขอพบค่ะ จะให้รออยู่ก่อนหรือเข้ามาเลยคะ ?”
“ใครเหรอครับ ?” เธอทำหน้าอึกอักเล็กน้อย จนผมต้องถามซ้ำ
“ใครมาครับ ?”
“คุณคีย์คะ..” เสียงเบาหวิวดังออกมาจากปากของเธอ นี่เธอกลัวอะไรรึเปล่า
“ให้เขาเข้ามาเลยก็ได้ครับ”
“เอ่อ..คะ”
“..วันนี้พี่จะกลับก่อนก็ได้นะ ผมมีนัดกับเขา ..ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้พาเที่ยวกรุงเทพ”
“..คือ.. โรมดีกับเขาแล้วเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ”
“โห ! ไม่เชิงอะไรกันคะ มีนัดกันแบบนี้อ่ะ คงชัดเจนได้แล้วมั้งคะ”
“ได้ข่าวว่ามีหุ้นส่วนรออยู่รึเปล่าครับ พี่ไม่ควรจะปล่อยให้เขารอนานนะ” ผมพูดกับเธอยิ้มๆ ซึ่งเธอก็หน้าเจื่อนๆไปและยิ้มกลบเกลื่อนไป ก่อนที่จะไปตามคีย์ให้เข้ามารอด้านใน
“ยังทำงานไม่เสร็จเหรอ ?”
“อือ” ผมพูดทั้งที่กำลังก้มหน้าเซ็นต์เอกสารอยู่ แค่เสียงก็คงไม่ต้องเดาหรอกว่าคนที่เข้ามาใหม่เป็นใคร
“ความจริงก็เสร็จแล้วแหละ เอากลับไปทำที่นู้นก็ได้ แต่อยากทำให้พนักงานเห็นว่าขยันแค่นั้นแหละ ” ผมพูดความจริงนะ งานพวกนี้มันไม่ได้สำคัญถึงขนาดที่จะต้องรีบทำวันนี้ให้เสร็จหรอก
“หืม.. แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จละ” คีย์ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารับแขก
“ไม่รู้ดิ จนกว่าผมจะเหนื่อยมั้ง” ไม่รู้ทำไมจู่ๆผมก็อยากกวนประสาทเขาขึ้นมา
“งั้น...”
“งั้นอะไร ?”
“เรามาหากิจกรรมที่ทำให้เหนื่อยเร็วๆกันดีไหม ?”
“พี่จะบ้าเหรอ ! ” เขานี่มัน.. เป็นพวกที่กวนประสาทด้วยไม่ได้เลยสินะ
“ก็กิจกรรมประมาณแบบวิ่ง หรือไม่ก็ออกกำลังกาย แล้วคิดอะไรอยู่เหรอ ? คิดว่ามันควรจะเป็นกิจกรรมแบบไหนเหรอ ?”
“แล้วพี่จะวิ่งในบริษัทรึไงเล่า !”
อ่า..เวรเหอะ หน้าผมมันร้อนไปเลยตอนนี้ แล้วยิ่งสายตาที่เขาจ้องมาจนแทบจะมองความคิดผมออกทุกอย่างนั้น... มันบ้าจริงๆเลยนะ
พวกเราเสียเวลากับการเถียงที่ไร้สาระไปนานพอสมควร กว่าจะเก็บของและออกมาจากบริษัทได้ ผมเอากระเป๋าเดินทางมาด้วยเพราะเที่ยงคืนนี้ผมก็คงต้องกลับแล้ว บอกตรงๆนะ..บางทีผมก็รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ไม่ได้กลับบ้านเลย แถมยังไม่ได้ไปเยี่ยมอาอย่างที่หวังไว้อีก ตารางงานมันแน่นจนผมไม่มีเวลาที่จะหายใจเลยด้วยซ้ำ
“แล้วเราจะไปไหนกันอ่ะ” ผมถามเขา เมื่อเห็นเขาขับรถมาสักพัก
“แล้วโรมอยากไปไหนอ่ะ” ถามผมกลับแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบว่าไงอ่ะ ไม่กลับมาสามปี กรุงเทพเจริญขึ้นจนผมสับสนเส้นทางไปหมดแล้ว
“ที่ไหนก็ได้ ผมจำไม่ได้หรอกว่ามีที่ไหนบ้างที่น่าเที่ยวในกรุงเทพ” รอยยิ้มบางๆปรากฏบนใบหน้าของคีย์
เฮ้อ...บางทีถ้าผมทำได้นะ ผมอยากจะเก็บช่วงเวลาแบบนี้ใส่ขวดเอาไว้แล้วเอาไปทุกที่ด้วยจัง ถ้าเกิดว่าวันไหนที่ผมรู้สึกแย่ๆ ผมจะได้รู้ว่าช่วงเวลาที่มีความสุขมันมีค่ามากแค่ไหน
“แล้วอาการพี่เป็นไงบ้างอ่ะ หมอพฤษว่าไงบ้าง” เมื่อบรรยากาศมันเริ่มเงียบๆ ผมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อยากตอกย้ำเขาหรอกนะ แต่ผมอยากรู้ว่าเขาก้าวออกมาจากความทุกข์นั่นรึยัง ผมหวังว่าสามปีที่ผ่านมา เขาจะคิดและตระหนักหลายๆอย่างได้มากขึ้น
“ก็เรียกได้ว่าหายแล้วนะ อาการไม่กำเริบ ไม่มีภาวะซึมเศร้า ก็ปกติในระดับนึงแล้วแหละ แค่ต้องไปเช็คที่โรงพยาบาลบ่อยๆ” ความโล่งใจเกิดขึ้นกับผม เมื่อเขาเล่ามันโดยที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาแปลกๆ เล่าเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องนึงที่จะพูดกับใครๆก็ได้
ทั้งหมดมันส่งผลดีกับตัวเขาทั้งนั้น ถ้าเขาเลิกมองมันเป็นสิ่งเลวร้าย และพยายามปรับตัวที่จะอยู่กับมันให้ได้ สำหรับผมเขาก็คือคนปกติที่ไม่ได้เป็นอะไรมากมายไปกว่าผู้ชายอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง
“เดี๋ยวนะ ..พี่พาผมมาเที่ยวนี่หมายถึงที่นี่เหรอ” คีย์พยักหน้าแทนคำตอบ ผมเลยต้องลงจากรถตามเขาไป
“เอ่อ.. พาผมมาที่แน่น้ำเจ้าพระยาเนี้ยนะ ?”
“อืม..ใช่”
“โห..โคตรจะโรแมนติกเลยพี่” ผมได้ยินเขาหลุดหัวเราะออกมา ถึงผมจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ได้คิดอย่างงั้นหรอก
แม่น้ำเจ้าพระยาก็สวยดีนะ
ยิ่งเวลามีแสงสีทองจากไฟมากระทบแม่น้ำก็สวยไปอีกแบบ
“เวลาพี่เครียดๆ พี่ชอบมาอยู่ที่นี่นะ..มันทำให้พี่สบายใจมากขึ้น”
“..”
“พี่อยากพูดขอโทษโรมอีกนะ และพี่พูดมันเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับจากตอนนี้พี่จะไม่ทำโรมเสียใจอีก และไม่ว่าโรมจะตัดสินใจยังไง พี่ก็จะอยู่ข้างโรมเสมอนะ โรมจะเกลียดพี่ไปก็ได้..พี่ไม่ว่าหรอก และถ้าโรมจะมีคนใหม่..”
“...”
“..ต้องหาคนที่รักโรมให้ได้มากกว่าพี่นะ.. พี่ถึงจะยอมให้โรมมีคนใหม่ ..”
... คนโง่ .. ยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะมีคนใหม่ ทำไมต้องตัดสินใจคนเดียวด้วย..ไม่รู้เหรอว่าคนฟังก็เจ็บเป็นเหมือนกัน
“พี่นี่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“..ชอบตัดสินอะไรเองคนเดียวอยู่เรื่อยเลย ..ผมไม่เคยพูดสักคำว่าจะมีคนใหม่..”
“..”
“...ตั้งแต่คบกันมามีสิ่งนึงที่เรายังไม่เคยทำ..”
“..”
“เราไม่เคยบอกเลิกกันเลยนะ ...ต่อให้มันจะเลวร้ายแค่ไหน ..แต่ผมไม่เคยได้ยินพี่บอกเลิกผมเลย.. แล้วพี่จะให้ผมทิ้งพี่ไปมีคนใหม่ได้ไง..”
“..”
“พี่อย่าทำให้ผมต้องเป็นคนเลวดิ..ผมไม่ชอบเป็นคนเลวเลยนะ”
“..ขอบคุณนะ..” น้ำเสียงเขามันกำลังสั่น.. ถึงเขาจะพยายามควบคุมมันแล้วผมก็ยังฟังออก
“ขอบคุณเหมือนกัน..”
ผมรู้ว่าพวกเราต่างก็รู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน ถึงแม้จะไม่มีสักคนที่พูดคำว่ารักออกมา ..สำหรับผมแล้วการกระทำสำคัญกว่าการพูดทุกอย่าง เราต่างก็มีบาดแผลของตัวเองที่ต้องเจ็บปวดไปกับมัน เพียงแค่ผมโชคดีที่เรียนรู้จากบาดแผลนั้นได้ดี แต่คีย์เขาต่างจากผม..และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ ในวันที่เขาล้ม ..ผมไม่ใช่คนที่จะล้มไปกับเขา ผมอยากจะเป็นคนที่ช่วยพยุงเขาขึ้นมา .. ต่อให้มันยากแค่ไหน..แต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน
นั่นเป็นสิ่งที่ความรักสอนเรา
.....
23.00 น.
คีย์กำลังเดินมาเป็นเพื่อนผมขึ้นเครื่อง เขาดูเศร้าลงไปอย่างชัดเจน..ที่ผมรู้ก็เพราะเขาไม่เคยเก็บความรู้สึกได้เลย ทุกอย่างมันฉายออกมาในแววตาของเขา
“พี่เคยเขียนในโปสการ์ดไว้ว่ามีของอยากให้ผมถ้าผมกลับมาไทย” ผมพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ถึงข้อความที่เขียนอยู่ในโปสการ์ดแผ่นนึง
“อ้อ..” พูดจบเขาก็หยุดเดินจนผมต้องหยุดเดินด้วย
“ทำไมเหรอ พี่ลืมรึเปล่า ?”
“เปล่า..โรมหลับตาก่อนดิ”
“ไม่เล่นนะ เดี๋ยวตกเครื่องขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบผม”
“อืม..ไม่เล่นก็ไม่เล่น” เขาเดินต่อโดยไม่สนใจผม และผมต้องเป็นฝ่ายรั้งเขาเอาไว้
“เฮ้ยย... อย่างอนดิ เล่นก็ได้” ผมหลับตาลงตามที่เขาบอก
คีย์จับมือผมไว้ ก่อนที่จะสวมสร้อยบางอย่างให้กับผม .. เฮ้อ.. หัวใจผมมันเต้นแรงจนเจ็บไปหมดเลย
“เปิดตาดิ”
ทันที่เปิดตาผมก็สัมผัสสร้อยที่กำลังสวมอยู่ทันที .. มันเป็นสร้อยสีเงินสะอาด แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงไม่ใช่แค่สร้อยหรอก มันเป็นแหวนที่แขวนอยู่กับสร้อยต่างหาก
“นี่พี่ไปได้มันมาจากไหนเนี้ย ?”
“ก็ไม่รู้ใคร เอาแหวนไปจำนำไว้และไม่ยอมไถ่กลับมา ..” คำพูดของเขามันชวนขำก็จริง แต่ผมขำไม่ออกเลย มันเหมือนมีอะไรตื้นๆมาติดอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก ผมลืมแหวนนี่ไปแล้วนะ..ลืมไปด้วยซ้ำว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อแม่ผมให้ไว้
“..พี่...”
“ห้ะ ?”
“...”
“เรียกแล้วทำไมไม่พูด.. มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆได้เลยนะ”
“..ทำไมพี่ไม่รั้งผมไว้เลยละ”
“..ก็ถ้ารั้งแล้วโรมจะไม่ไปรึเปล่าละ ... พี่เคารพการตัดสินใจของโรมเสมอ ไม่ว่าโรมจะไปหรือไม่ไป ยังไงพี่ก็รักโรมอยู่ดี เวลามันไม่มีผลกับหัวใจพี่หรอก”
“อืม..” พอเดินด้วยกันสักพัก เขาก็หยุดเดินทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง
“โชคดีนะ ..เดินทางดีๆ ดูแลตัวเองด้วย ...พี่คงส่งแค่นี้แหละ..”
“พี่ด้วยนะ..ดูแลตัวเองด้วย”
“...รักโรมนะ..”
“...”
...ผมไม่ได้บอกรักเขากลับอีกแล้ว .. เลือกที่จะหันหลังและเดินออกมาห่างจากเขาพอสมควร..
.
.
.
….กึก..
เสียงกระเป๋าเดินทางที่ดังขึ้นเพราะผมหยุดเดิน.. ถ้าหากนี่เป็นการที่ผมตัดสินใจเอง.. ผมก็ขอให้มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมหันหลังกลับและวิ่งไปหาเขา ...มันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมอยากกอดเขาให้นานเท่ากับเวลาที่ผมเสียไป
“ผม..ฮึก...รักพี่นะ..”
“ ..ครั้งหน้า.. ถ้าผมกลับมา..พี่ต้องสัญญานะว่าจะรั้งผมไว้.. เพราะครั้งหน้า..ผมจะให้พี่ตัดสินใจ..”
“..โรมก็รู้อยู่แล้วนิ..ว่าพี่จะเลือกอะไร”
- THE END -
---------------------------------
ความรู้สึกตอนได้เขียนคำว่า the end นี่ก็ทั้งหน่วงทั้งดีนะคะ
เกือบๆ 2 เดือนที่อยู่กับตัวละครที่สับสนในตัวเอง
อ่านคอมเม้นท์จนคิดว่าจะเปลี่ยนพลอตจบอยู่หลายครั้ง แต่ทำไม่ลง
ถ้าจบเเบบที่นักอ่านต้องการ (Bad ending) ทำไม่ได้จริงๆคะ
รู้สึกว่าถึงพาร์ทในส่วนดีๆของคีย์จะน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวจริงๆนะ
มันใจร้ายเกินไปที่จะทิ้งตัวละครตัวนึงไปเลย (ที่ใจร้ายกับโรมนี่.. อีกเรื่องนะ 5555)
จบแบบนี้อาจมีหลายคนไม่ชอบเนอะ แต่ไม่เป็นไร 55555 นักเขียนยอมโดนด่าแทนคีย์เอง
นิยายเรื่องแรกที่เเต่งจบ ทั้งดีใจและเสียใจที่เเต่งจบ
ดีใจที่สามารถจบได้ เสียใจที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวของสองคนนี้อีก
เรื่องตอนพิเศษนี่..ยังไม่มั่นใจนะคะว่าจะเเต่งรึเปล่า
แต่เรื่องต่อไปที่จะเเต่งเป็เรื่องราวของ หมอพฤษ กับ โซ่ (ตัวละครที่ไม่มีบทบาทในเรื่องนี้) นะคะ
จะไม่ดราม่า าอจมีบ้าง แค่ไม่มากเท่าเรื่องนี้ ไม่หน่วง(มั้ง) 5555
สุดท้ายนี้ก็ดีใจนะคะ ที่มีคนคอยติดตามอยู่ตลอด ทั้งติชมและด่าตัวละครกันอย่างเมามัน 55555
ขอบคุณจากใจที่อินไปกับตัวละคร ขอบคุณมากๆนะคะที่ติดตามเสมอ
รอคนเขียนสอบไฟนอลเสร็จก่อนเนอะ ถึงจะได้เปิดเรื่องใหม่ รักนะคะ ฝันดี