ตอนที่ ๑๖Phakin Side
"เรามาคุยกันดีๆนะคิน ในฐานะผู้จัดการกับนักร้อง"พี่มิวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยขึ้น ผมเหลือบสายตาจากตารางงานในมือไปมองหน้าเคร่งเครียดนั้น
"ว่ามาครับ"ผมวางตารางงานลง ผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีเป็นทางการจนดูป่วนประสาท ตอนนี้ในห้องเหลือแค่ผมกับผจก.เท่านั้น
"เอาล่ะ เรื่องแรกที่พี่อยากจะพูดคือเรื่องที่คินประชดประชันทางค่าย หาเรื่องเสียๆหายๆเข้าตัวเอง พี่อยากให้เธอหยุดเสียที"
"ผมก็หยุดแล้วนี่ครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเองก็เริ่มเหนื่อยกับการโดนโจมตีแล้วเหมือนกัน"ผมยกยิ้มให้อีกฝ่าย ผมคิดว่าผมก็ทำให้ค่ายเสียหายไปมากแล้วเหมือนกันและอีกอย่างคือผมจะไม่ต่อสัญญาแล้วแน่นอน ค่ายก็เป็นอันจบ เหลือแต่เจเจให้พึ่ง ที่ไม่รู้จะพึ่งได้ไหม พี่มิวหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อได้ยินคำพูดของผมและเหมือนจะเดาอะไรได้ลางๆ
"แล้วเรื่องสัญญา...พี่อยากให้คินต่อ ทางค่ายตอนนี้กำลังแย่ เธอก็รู้ นึกถึงช่วงที่เธอลำบาก เฮียเปรมเป็นที่พึ่งให้เธอเสมอนะ"ว่าแล้วเชียวต้องพูดแบบนี้
"ผมบอกกับครอบครัวไว้แล้วว่าจะไม่ต่อ ผมไม่อยากผิดสัญญากับพวกท่านเหมือนคราวก่อน"ผมเอาพ่อกับแม่มาอ้างทั้งๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับสองคนนั้นเลย เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว
"แค่อีกสามปี รอให้ค่ายมั่นคงกว่านี้ได้ไหมคิน"
"แล้วผมจะได้อะไรล่ะ ตอนนี้ผมไม่มีความสุขในการทำงานอีกแล้ว เปอร์เซ็นส่วนแบ่งที่ผมได้ก็ไม่คุ้มกับการทำงานที่ผ่านมาเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่เคยโวยวายเลยแม้แต่น้อย"ช่วงที่ผมเข้าวงการใหม่ๆไม่รู้ว่าค่ายกินเงินไปเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว
"เรื่องเงินเดี๋ยวพี่บอก--"
"ตอนนี้ผมไม่ซีเรียสเรื่องเงินแล้วครับ ผมจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไม่ต่อสัญญา และขอร้องนะครับ อย่าลากเมฆหรือคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยเลย โอเคนะครับ ผมถือว่าพี่เป็นผู้ใหญ่แล้วคงฟังคำพูดของผมออก"ผมหยิบตารางงานยาวเหยียดแทบไม่ได้พักออกมาดูอีกครั้ง พี่มิวหน้าตึงขึ้น พลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเหมือนกำลังพยายามทำใจเย็น
"คิน ...เรื่องที่ผ่านมาทำให้เธอเป็นแบบนี้เหรอ"
"แล้วมันจริงรึเปล่าล่ะ"ไม่ต้องพูดอะไรมากก็รู้ว่าผมถามถึงเรื่องไหน พี่มิวกุมมือเข้าหากันสีหน้าเหมือนไม่อยากจะพูดถึง
"ก็...ตอนนี้ไม่แล้ว"เสียงนั้นเบาลงอย่างนึกละอาย ก็สมควรอาย ส่วนลึกผมเจ็บจี๊ดเล็กน้อย แต่เมื่อผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งความรู้สึกนั้นก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
"พี่ขอโทษที่โกหกเธอมาตลอด แต่พี่หวังดีกับเธอนะ พี่อยากเห็นเธอไปได้ไกลกว่านี้"
"ไม่หรอก พี่ทำเพื่อตัวเอง พี่ดึงผมเข้าวงการเพราะอยากได้ตำแหน่งนี้ พี่ไม่ได้ทำเพื่อผม แต่เพื่อเงิน ความจริงมันก็ง่ายออกถ้าพี่บอกทุกอย่างมาตั้งแต่แรก พี่เองจะได้ไม่ต้องเหนื่อยที่ต้องแกล้งคบกับผมตั้งหลายปี"
"ภาคิน..."ผมโยนปึกกระดาษในมือลงบนโต๊ะเสียงดังเป็นสัญญาณว่าผมไม่อยากฟังคำพูดพวกนั้นอีกแล้ว
"พี่ขอโทษจริงๆ"นี่ก็เป็นหนึ่งในคำพูดที่ผมเบื่อ พี่มิวเม้มปากเข้าหากัน ผมพยายามควบคุมอารมณ์อย่างอดทน แต่ก็หมดเวลาสำหรับการคุยแล้ว เมื่อเสียงแว่วๆของพี่แต้วดังเข้าใกล้ห้องเรื่อยๆ พี่มิวถอนหายใจก่อนจะลุกไปนั่งที่มุมห้องเหมือนเดิม
"สวัสดีค่าา น้องคิน คุณมิว"พี่แต้วส่งเสียงทักตามปกติ ผมระบายยิ้มก่อนจะทักกลับไป
"หวัดดีครับ คนสวย วันนี้ไม่มีขนมมาฝากผมเหรอ"ผมมองพี่แต้วที่หอบหิ้วกล่องประจำตัวและกระเป๋าใบใหญ่มาปกติพี่เขาจะซื้อขนมมาฝากผมเสมอเพราะรู้ว่าผมไม่ค่อยได้ทานอาหารในช่วงที่ต้องทำงาน
"พี่งบหมดค่ะ ถูกหวยกิน"ผมกับพี่แต้วประสานเสียงหัวเราะกัน อารมณ์ที่ขุ่นมัวเริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง คิวงานต่อไปคือขึ้นโชว์ร้องเพลงในรายการสด และมีสัมภาษณ์พูดคุยในรายการอีกเกือบๆหนึ่งชั่วโมง พี่ๆในวงที่ผมทำงานด้วยค่อยๆทยอยกันเข้ามาในห้องแต่งตัวทีล่ะคนสองคน
ผมยกมือทักทายขณะที่เซ็ตผมแต่งหน้า ผมกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเมฆ
‘อย่าลืมดูนะ ช่อง11’
ผมส่งข้อความไปได้ไม่นาน พี่ทีมงานก็เข้ามาบอกให้เตรียมสแตนด์บายรอที่เวทีในห้องส่งได้เลย เมื่อเข้าไปในห้องส่งมีแฟนคลับกลุ่มเดิมที่คอยมาเชียร์ให้กำลังใจผมเสมอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ทีมงานจัดให้ ผมยกนิ้วโป้งส่งไปให้น้องสาวหัวหน้าแฟนคลับผู้น่ารักที่ชูป้ายสู้ๆตอบกลับมาให้ผม
เพลงที่จะขึ้นโชว์นี้ไม่ได้ตัดเป็นซิงเกิล แต่ผมเอามาร้องที่รายการนี้เป็นรายการแรกเพราะมีคนบางคนรอชมอยู่ที่หน้าจอทีวี เนื่องจากตารางงานแน่น ผมเลยบอกให้เมฆรอดูช่องนี้ ผมรอให้พิธีกรพูดเปิดรายการ ก่อนที่พี่ทีมงานจะส่งสัญญาณมาให้เตรียมพร้อม ทีมงานชูมือโอเค เมื่อพิธีกรทั้งสองพูดชื่อเพลงพิเศษจบ'เพลงท้องฟ้าสวยกว่าเมื่อวาน'
☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉
"เหนื่อยจังโว้ย..."ผมบ่นพลางบิดหัวไหล่พร้อมกับโยนเสื้อคลุมลงบนเก้าอี้กว่าจะสัมภาษณ์เสร็จเล่นเอาเกินเวลาไปตั้งเกือบๆสิบนาที พี่แต้วที่นั่งกินมะม่วงอยู่ในห้องแต่งตัวมองผมพร้อมกับชี้มาที่กระปุกที่บรรจุมะม่วงสีน่ากินไว้
"ทานด้วยกันไหม น้องคิน"
"เปรี้ยวไหมครับ ผมกลัวท้องเสีย"ผมมองอย่างชั่งใจ เพราะมีคิวงานต่อกลัวจะมาท้องเสียเข้าแล้วเสียงานเสียการหมด
"ไม่เปรี้ยวค่ะ มาชิมๆ"พี่แต้วกวักมือเรียก ผมก็เลยไปร่วมวงกับพี่แต้วด้วย
"เดี๋ยวนะคะ ถ่ายรูปก่อน หนึ่ง สอง สาม แชะ"ผมแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กล้อง พลางมองพี่แต้วอัพไอจี พี่สาวคนนี้มักจะอัพความเคลื่อนไหวของผมให้แฟนคลับรู้เสมอ แต่ความจริงแล้วก็อัพให้เมฆมันรู้นั่นแหละ เพราะผมเองเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ค่อยได้โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเมฆ อึดอัดใช่เล่น
ช่วงนี้ผจก.เขาพยายามกู้ภาพลักษณ์ดีๆให้ผมเต็มที่ ห้ามผมรับงานที่เสี่ยงต่อการโดนวิจารณ์หรือโจมตี ทั้งเป็นตัวแทนต่อต้านยาเสพติด กิจกรรมอาสาอีกสารพัด ผมจำต้องไปลบรอยสักที่มีออก เหลือก็แค่ที่ข้อมือที่ผมสักไว้มานานแล้วแค่ที่เดียว ก็ดีเหมือนกันเพราะตอนนี้ผมก็มีแพลนว่าจะสักเพิ่มที่ตำแหน่งสำคัญที่ผมเคยบอกเมฆไปเมื่อตอนที่ผมซ้อมเพลงเมื่อนานมาแล้ว
มันอาจจะดูเร็วไปที่จะสักชื่อเขาไว้ตำแหน่งนี้ แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันเป็นของจริงที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับแฟนคนไหนที่ผมเคยคบมา เขาดูเข้าใจตัวผมมากกว่าตัวผมเองเสียอีก และในบางครั้งก็ดูเป็นผู้ใหญ่จนทำผมแปลกใจ เขาเป็นคนเรียบง่าย และเป็นคนเดียวที่ไม่เรียกร้องหรือทำตัวงี่เง่าใส่ผม
มีแต่ผมนี่ล่ะที่งี่เง่าซะเอง ผมทำตัวงี่เง่าบ้าบอ ไร้เหตุผลเมื่อสามวันก่อนเมื่อตอนที่ผมเห็นข่าวของเขากับไอ้เพชร เพื่อนสนิท ผมเชื่อใจเขามากพอๆกับที่เชื่อใจไอ้เพชร และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกแย่เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ผมแทบไม่กล้ามองหน้าเมฆเลยเมื่อตอนเจอกัน แล้วยังที่หงุดหงิดไร้สาระเมื่อตอนถ่ายแบบอีก ตลกจริงๆ ใกล้จะยี่สิบหกแล้วนะเว้ย ทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่หน่อย ผมคุยกับพ่อเรื่องนี้ด้วย พ่อก็หัวเราะยกใหญ่บอกว่าผมทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นผู้คลั่งรัก หึงหวงไปซะทุกเรื่อง จนผมต้องรีบจูนสติตัวเองไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ดีใจนะที่เขาไม่หนีผมไปไหน เขารออยู่ในที่ของเขาเสมอ เมฆก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่เป็น
'ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา' ผมนี่โชคดีจริงๆว่าไหม
เช้าวันถัดมาผมมีคิวว่างทั้งวันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ผจก.ของผมก็กำชับแล้วกำชับอีกว่าให้ผมอยู่แต่ในคอนโด เหอะ ถ้าเชื่อก็ไม่ใช่ภาคินจอมร้ายกาจน่ะสิ มีเวลาว่างทั้งวันแบบนี้ผมก็อยากอยู่กับแฟนบ้าง ผมแทบไม่ค่อยได้เจอหน้าเขาเลย แต่คนที่ผมอยากไปหากลับมาหาผมเองนี่สิ
“เซอร์ไพรส์เหรอ”ผมถามเสียงแปลกใจเมื่อเปิดประตูรับคนที่ถือถุงหิ้วเข้ามา เมฆใส่หมวกแก๊บใบสีน้ำเงินที่ผมซื้อให้
“เปล่าแค่อยากมาเห็นบอกว่าว่างนี้ จะให้กลับไหม”ผมแกล้งทำเป็นเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด
“เข้ามาแล้ว ไม่ได้ออกไปง่ายๆหรอก ว่าแต่นั่นอะไรน่ะ”ผมมองถุงในมืออีกฝ่ายอย่างสนใจ แต่เมฆไม่ได้ตอบแต่ดันตัวผมให้พ้นทางเดินก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ผมได้แต่เดินตามอย่างสงสัยว่าเขาจะทำอะไร
"ทำอะไร"ผมกอดอกพิงตู้เย็นมองคนที่กำลังรื้อข้าวของในถุงออกมาเสียวุ่นวายจนไม่ใส่ใจฟังที่ผมถาม ผมเคาะตู้เย็นอีกครั้งจนเมฆหันมามองจนได้
"จะทอดถุงทอง กินไหม"
"กินสิ อะไรที่เป็นของนาย ฉันกินหมดนั่นแหละ"ได้ผล คำหยอกของผมทำให้เขาไปไม่เป็นเสมอ และผมก็ชอบมองริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันอย่างขัดใจที่ตอบโต้ผมไม่ได้
"ออกไปรอด้านนอกได้ไหมเกะกะ"เมฆทำหน้านิ่งใส่ผมที่ยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณยอมแพ้
"ก็ได้ๆ ไม่กวนก็ได้ แต่ขออยู่ดูนะ"
"ให้มันจริงเถอะ"ผมยกยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพึมพำ ก่อนจะไปลากเก้าอี้มานั่งมอง ผมมองมือที่หยิบจับนู่น นี่นั่นเป็นที่วุ่นวายอย่างสนใจ
"ทำเป็นด้วยเหรอ"ผมเอื้อมมือไปหยิบแผ่นเกี๊ยวมาดมและก็วางลงเมื่อเห็นสายตาเคืองๆมองมา
“ไหนว่าไม่กวน”
“อยู่เฉยๆแล้วก็ได้”
เมฆมองหน้าผมขณะที่ล้างมือ ก่อนจะใช้มือนวดกุ้ง หมูสับ เห็ดหอมและเครื่องอื่นๆให้เข้ากัน
“แม่สอนเหรอ”ผมถามขณะมองเมฆพยายามทำให้ไอ้แผ่นเกี๊ยวนั้นเป็นถุงๆ
“อืม ช่วยหยิบใบกุยช่ายมาให้หน่อย”เมฆสั่ง ผมกวาดตามองไปทั่ว
“ไหนล่ะ”
“นู่นน่ะ ที่เป็นเส้นๆไง”อ้อ ที่แท้ก็อยู่นี่เอง
“มัดให้หน่อยสิ”ผมก็เลยช่วยเมฆมัดปมแผ่เกี๊ยวที่ถูกห่อเป็นถุงๆพวกนั้นประมาณสักสิบอันได้
"ก็น่ากินดีนี่"ผมลองชมให้หน้าที่บึ้งตึงนั้นเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มแต่ผิดคาดเพราะดูเขาหงุดหงิดกว่าเดิมเสียอีก
"ไม่เห็นน่ากินเลย รู้งี้ซื้อสำเร็จรูปมาดีกว่า"
"ถ้านายทำก็น่ากินหมดนั่นแหละ แค่นี้ก็โอเคแล้ว"ผมตอบคนที่กำลังเทน้ำมันใส่กระทะ ส่วนผมก็ช่วยเมฆเก็บของที่รกบนเคาร์เตอร์ครัวทำตัวให้เป็นประโยชน์เอาใจซะหน่อย ผมมารออยู่ห่างๆเมื่อเมฆเอาถุงทอดใส่ลงไปในกระทะที่น้ำมันเดือดปุด ๆ ผมไม่ค่อยชอบให้หน้ามันเหนอะหนะสักเท่าไหร่ ผ่านไปสักพักพ่อครัวจำเป็นวางจานถุงทองที่กรอบเหลือง บางอันก็ไหม้หน่อยๆลงบนโต๊ะพร้อมกับน้ำบ๊วยหวาน
ผมถ่ายรูปถุงทองในจานก่อนจะอัพลงไอจีพร้อมข้อความที่ว่า 'ทำเองนะ' เอาเถอะถึงจะแค่ช่วยมัดก็ถือว่าทำแล้ว โม้นิดโม้หน่อยคงไม่เป็นไร ผมย้ายมานั่งรอที่โต๊ะ เช็คเรตติ้งรูปที่เพิ่งอัพไป โอย...คำชมเป็นร้อยๆพวกนั้นทำเอาผมรู้สึกบาปขึ้นมาเลย
"อ่ะ คนทำชิมก่อนเลย"
"อะไร ไม่กล้ากินเหรอ"
"เปล่า แค่เห็นนายตั้งใจทำก็เลยอยากให้กินก่อน อ้าปากสิ"ผมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำตาม ให้ตายเถอะ ทำไมเขาเหมือนแมวเชื่องแบบนี้ ผมเบนสายตากลับมามองจานถุงทองก่อนจะหยิบเข้าปากโดยมีสายตาคาดหวังของอีกคนมองอยู่
"เป็นไง"
"ก็อร่อยดี แต่ทอดไหม้ไปหน่อย"ผมตอบตามตรงเพราะกลัวจะเป็นเหมือนคราวที่แล้วที่ผมแกล้งชม เมฆพยักหน้าพอใจ
"ไว้วันหลังจะทำใหม่ อย่าเพิ่งเบื่อไปซะก่อนล่ะ"
"ไม่เบื่อหรอก กลัวจะไม่มาทำให้มากกว่า"
"ทำให้อยู่แล้วถ้านายไม่ทำตัวเหลวไหล"
หลังจากที่เคลียร์ครัวเสร็จแล้ว เมฆก็เดินถือกีต้าตัวโปรดของผมออกมาจากห้องของผม
"เล่นเป็นเหรอ"ผมถามอย่างแปลกใจเพราะดูๆแล้วเขาไม่น่าสันทัดอะไรพวกนี้ คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า
"เปล่า แค่อยากฟังเพลงนั้นอีกรอบ ร้องให้ฟังหน่อยดิ"เขาส่งกีต้าให้ผม
"เพลงไหน"แกล้งถามกลับเสียงซื่อ
"อย่ามาน่า..."
"โอเคๆ มานั่งตรงนี้สิ"ผมตบที่ว่างตรงหน้าบนโซฟา เมฆยอมย้ายมานั่งแต่โดยดี ผมเล่นอินโทรเพลงพลางจ้องมองใบหน้าอีกคนไปด้วย เมฆกลอกตาเหมือนกำลังคิดว่าไม่น่ามานั่งตรงนี้เลย ผมยิ้มก่อนจะปล่อยเสียงนุ่มของตัวเองออกมาตามความรู้สึก ท้องฟ้าของผมสวยกว่าวันที่ผ่านมาจริงๆ เพราะเมฆก้อนนี้ที่ทำให้ท้องฟ้าน่ามอง
"เมฆ...ฉันว่าฉันจะสักชื่อนายลงบนนี้ล่ะ"ผมชี้ไปที่สันข้อมือตัวเอง เขาดูแปลกใจแล้วก็ระบายยิ้มออกมาบางๆ
"แน่ใจแล้วเหรอ"
"ยิ่งกว่าแน่ใจอีก"
"แล้วถ้าวันหนึ่งนายต้องลบมันออกเหมือนรอยสักอันอื่นของนายล่ะ"ผมวางกีต้าลงกับพื้นด้านล่างก่อนจะเปลี่ยนมานั่งกอดเข่ามองหน้าอีกคน
"ฉันไม่ลบมันหรอก"ถึงแม้ว่าวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าผมกับเขาอาจจะไม่ได้คบกันแล้วก็ตาม
"คิดอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น"เมฆขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะหัวเราะ ผมยกมือไปจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายให้คลายคิ้วที่ขมวดอยู่
"คิดว่าถ้าต้องห่างจากนายฉันจะเป็นยังไง"ผมเลี่ยงใช้คำว่าเลิก
"ฉันก็เห็นนายอยู่ได้นี่"เมฆยิ้มน้อยๆ เอื้อมมือมาลูบหน้าผากของผมก่อนจะเสยเส้นผมที่ปรกหน้าผากขึ้นไปด้านบน
"อย่าคิดเรื่องที่มันยังไม่เกิดสิ ภาคิน คิดแค่วันนี้ พรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ สัปดาห์นี้ แล้วก็สัปดาห์หน้า--"
"พอแล้วมั้ง"ผมขัดขึ้นเมื่อดูท่าอีกฝ่ายจะร่ายอีกยาว เมฆตบแปะๆที่หน้าผมเบาๆก่อนจะหัวเราะ
"อืม งั้นคิดแค่ตอนนี้ก็พอเนอะ"ผมกระซิบที่ข้างหูก่อนจะเลื่อนมือไปเชยคางอีกฝ่ายให้รับจูบของผม เมฆผ่อนลมหายใจช้าๆรั้งต้นคอของผมไว้ราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยว ริมฝีปากนุ่มหยุ่นขยับทาบทับตอบรับ ไล่มือเปะปะผ่านสาบเสื้อสัมผัสกับแผ่นหลังเนียนนุ่มที่คุ้นเคย ผมละจากริมฝีปากนั้นมากดจูบซ้ำๆลงบนต้นคอขาว
"ได้รึเปล่า"ผมถามอย่างไม่แน่ใจ อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่รอบคอบแต่คลื่นอารมณ์กำลังค่อยๆก่อขึ้น
"อือ"เมฆตอบรับมาเบาๆ
ผมมอบจูบซ้ำๆ กดทับริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างไม่นุ่มนวลนักตามแรงอารมณ์ เสียงครางแผ่วเบาในลำคอ ผมเกลี่ยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของอีกคน เหมือนเขาจะดูกังวลเล็กน้อย
"ไปในห้องไหม"ผมถามเบาๆและเขาก็พยักหน้าในทันที เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอนพร้อมกับถอดเสื้ออีกคนออกก่อนจะพรมจูบไปทั่วแผ่นอกเปลือยเปล่านั้น
"ภาคิน..."เสียงเรียกสั่นๆเหมือนทำให้ผมสะเทือนไปทั่วร่าง
"You Rock Me,You Know?"ผมแกล้งกระซิบสำเนียงอังกฤษแปลกๆของตัวเอง เมฆหน้าขึ้นสีน้อยๆ
"Shut up Boy"เขาเถียงกลับ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย ผมยกยิ้มก่อนจะดันขาเขาขึ้นดึงกางเกงสามส่วนของเขาออก ใช้เวลาไม่นานเราก็เปล่าเปลือยกันทั้งคู่ แผ่นอกขาวเนียนมีรอยแต้มสีแดงที่ผมเป็นคนสร้างสะท้อนขึ้นลงเมื่อผมค่อยๆดันสิ่งที่แข็งขื่นเข้าไป ความอึดอัดทำให้ผมสูดหายใจเข้าอย่างข่มอารมณ์ที่มีมากขึ้นของตัวเอง ผมก้มไปประทับจูบกับร่างที่เบียดตัวเข้าหามากขึ้นเมื่อผมเริ่มขยับตัวช้าๆ ลิ้นอุ่นค่อยๆลากสัมผัสผ่านซอกคออีกฝ่าย ฝามือของเมฆขยุ้มเส้นผมไว้แน่นเมื่อผมขยับตัวแรงขึ้น
"ฮื่ม"เสียงครางพอใจเมื่อผมกระตุ้นถูกจุด เมฆตวัดขากอดรัดผมแน่นมากขึ้น ริมฝีปากอุ่นของเขาพรมจูบที่ลาดไหล่ก่อนจะเลื่อนไปที่ลำคอ ผมแทรกตัวเข้าไปมากขึ้นเพื่อตอกย้ำความเป็นผมเข้าไปมากขึ้น มากขึ้น จนเมื่อร่างของอีกคนเกร็งและแรงรัดแน่นเพิ่มมากขึ้น เสียงร้องหลุดมาจากเมฆก่อนที่เขาจะดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้งเพื่อไม่ให้หลุดเสียงครางออกมา
ผมดึงตัวอีกคนเข้ามากอดเมื่อรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก เวลาผ่านไปเงียบๆ เมื่อลมหายใจกลับเข้าสู่โหมดปกติ เมฆปรือตามองผมก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาทาบทับ ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่เขาแค่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนพรมจูบทั่วใบหน้าของผม ขบเม้มติ่งหูแล้วกระซิบเสียงเบา
“แมวก็ข่วนเจ็บนะบอกไว้ก่อน”และจูบนั้นก็ไล่ไปถึงแผ่นอกก่อนจะลดระดับลงไปเรื่อยๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเมฆจัดการกับส่วนที่ไวต่อความรู้สึกและมันก็กำลังขยายตัวอีกครั้ง ผมปล่อยเสียงคราง หอบหายใจเมื่อลิ้นอุ่นนั้นสัมผัสอย่างรุกราน
“เมฆ”ผมเรียกชื่อเขาเบาๆเมื่อแรงอารมณ์พุ่งขึ้นสูง เขาเปลี่ยนมานั่งคร่อม ผมประคองตัวอีกฝ่ายไว้เมื่อเขาค่อยๆกดเอวลงมาช้าๆ ผมเลื่อนมือไปนวดเฟ้นบั้นท้ายของเมฆที่นิ่วหน้าน้อยๆแต่ก็ยอมปล่อยให้ผมทำรุ่มร่ามต่อไป เมฆดูจะพอใจที่เห็นผมเม้มปาก หอบหายใจอยู่ภายใต้การควบคุมของตน แต่ก็เอาเถอะ จะปล่อยให้แมวกางเล็บหนึ่งวันก็แล้วกัน
☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉