(ต่อ) ครึ่งหลัง ผมรู้สึกว่าตอนที่เราเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วคนทั้งโต๊ะเหลือบตามองพวกเราแล้วยิ้มแปลกๆ มันดูเฉยๆไม่ทุกข์ร้อนแต่ผมนี่สิแทบจะสะบัดมือจากการเกาะกุมของมันแต่ฝ่ายนั้นรวบไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมอีก สุดท้ายผมเลยข่มความอายยอมให้มันจับมืออยู่อย่างนั้นแล้วเสมองอาหารที่เต็มโต๊ะเบื้องหน้า ส่วนใหญ่มันเป็นอาหารทะเลและกับข้าวน่ากินทั้งนั้นพวกพี่รีบเชิญชวนผมให้กินเพราะตอนนี้ทั้งโต๊ะเริ่มลงมือรับประทานกันแล้ว
“ ขอบใจนะ”
ผมพึมพำขอบคุณมันที่ตักอาหารให้พอดีกับที่เสียงโห่แซวรอบทิศดังขึ้น
“ อิจฉาโว้ย” พี่ต๋องแกล้งแซว “...ไอ้จ๊อบแม่งโครตเอาใจแฟนเลยหว่ะ”
ที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย
“ ยังพี่”
“ หืม”
“ ยังหรอกพี่”
“ อะไรวะ”
มันสบสายตากับผมตรงๆจนผมต้องเบือนหน้าหลบ แววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คนที่เหลือทำหน้าสงสัยกันน่าดูกับอาการของผม
“ หึ นี่โครตใจแข็งเลยพี่ ผมขอเป็นแฟนแม่งไม่ยอมตกลงสักที”
...เอ่อ..
ผมอ้าปากค้างไม่คิดว่ามันจะกล้าเปิดเผยขนาดนี้ ทุกสายตามุ่งตรงมาทางผมล้วนเต็มไปด้วยความเอ็นดูระคนแปลกใจ จริงอย่างที่มันว่าวันนั้นที่เราปรับความเข้าใจกันแล้วขากลับจากต่างจังหวัดนั่นแหละที่มันขอผมเป็นแฟน แต่ แต่แม่ง คนมันเอ่อ เขิน นี่หว่า ผมเลยแค่ยิ้มๆแต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธมันหรอก
...ถ้ามันขอคบอีกครั้งหล่ะก็...
แหะ
ไม่แน่หรอก
“ คือ”
“ เอาน่า” พี่ต๋องลูบบ่าผมก่อนจะหันไปด่าน้องรหัสตัวเอง “...มึงมันเคยเจ้าชู้ไง คนเค้าจะลงหลักปักฐานกับมึงเขาก็ต้องคิดหน่อยสิวะ”
“ จริง” พี่เบียร์พูดยิ้มๆ
“ เอาหน่อยโว้ยน้องกู”
พี่ภัทรพี่ทิมให้กำลังใจมันก่อนจะหันมายกนิ้วโป้งให้ผมคล้ายกับจะบอกว่าผมกล้าจริงที่ทำให้มันทุรนทุรายแบบนี้ได้ ส่วนพวกเพื่อนผมตาโตแอบปิดปากหัวเราะกันใหญ่ ผมเลยเบ้หน้าจนมันอดหมั่นเขี้ยวไม่ไหวมั้งถึงขยี้หัวผมเบาๆ
“ อะไรเล่า”
“.......”
มันไม่ตอบหรอกแต่หัวเราะขำผมอยู่ได้ เหอะ ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย
มันยิ้มมุมปากก่อนจะหันไปแกะกุ้งตรงหน้าให้ผม ผมพึมพำขอบคุณมันครันจะยกกุ้งที่มันแกะแบ่งครึ่งกันเป็นการตอบแทนมันก็กินไม่ได้เพราะมันแพ้กุ้ง คงจะจำกันได้จริงๆแล้วมันไม่ได้แพ้น่ากลัวอะไรนักหรอกแต่ทุกครั้งที่กินมันจะคันและผื่นขึ้นเต็มตัวจนแดงไปหมด เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ฉะนั้นผมถึงไม่ค่อยอยากให้มันกินนัก พอมันแกะเนื้อกุ้งสีสวยมาวางใส่จานให้เรื่อยๆผมเลยลงมือทานอย่างสบายอารมณ์ให้สมกับความปรารถนาดีของมันซะเลย
..ยิก ยิก...
“ นี่”
“ หืม”
มันทำหน้ามุ่ยเหล่ตามองผม “ป้อนหน่อยดิ”
“ อะไรเล่า”
“ ป้อนหน่อย” มันทำหน้าอ้อนๆจนผมแอบขำ
“ จะกินยังไงหล่ะ มึงแพ้กุ้ง” ผมทำทีเป็นไม่สนใจว่านอกจากกุ้งแล้วยังมีอาหารทะเลอย่างอื่นๆด้วย ผมพ่นลมหายใจก่อนจะหรี่ตามองผมแบบตรงๆ
“ ป้อนหน่อยสิครับ”
“ นิสัยไม่ดี” ผมแอบทำปากขมุบขมิบด่ามันซึ่งจงใจกระซิบเบาๆข้างหูผมแล้วแกล้งเป่าลมเบาๆเข้าหูชวนสยิวแปลกๆ ผมรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองหน้าแดงแค่ไหนถึงกับรีบวางช้อนลงอย่างดังเพื่อยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองข้างที่ถูกมันหยอกเอินเรียกความสนใจจากคนทั้งโต๊ะให้หันมามอง
ผมยิ้มแหยส่วนมันหัวเราะในลำคอ
และคนทั้งโต๊ะเพียงแค่หันมามองก่อนจะหันไปสนใจอาหารและบทสนทนาที่คุยค้างกันไว้ ผมแกล้งทำหน้าบึ้งสะบัดหน้าใส่มันแล้วลงมือแกะหอยจากฝาแล้วเอาไปวางไว้ใจจานมันเป็นการแลกเปลี่ยนที่มันแกะกุ้งให้ผม
“ นี่”
“ ปล่อย”
“ อะไร” มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กระชับข้อมือผมไม่ยอมปล่อย
“ ปล่อยมือกู” ผมกระซิบกระซาบบอกมันพร้อมกับทำท่าสะบัดข้อมือแรงๆแต่มันก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี “ ก็แกะหอยให้แล้วไง กินสิ”
“ เมื่อกี้บอกว่าไง”
“......”
...ป้อน...
มันไม่ได้พูดออกเสียงหรอกแต่แค่อ่านปากที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นชัดๆผมก็เข้าใจแล้ว แต่ยังนิ่งไม่ยอมทำตามที่มันร้องขอ ก็จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไงขนาดแค่คุยกันเงียบๆยังเป็นที่จับตามองของคนทั้งโต๊ะขืนป้อนอาหารไม่โดนล้อจนผมอายเลยเหรอ
...ไม่มีทางหรอก...
ผมเม้มปากแน่นพยายามทำหน้าทำตาให้ดูนิ่งเฉยเข้าไว้แต่มันรู้ดีว่าผมกำลังกลบเกลื่อนอาการประหลาดมันจึงแกล้งคืนด้วยการคลึงหลังมือผมอย่างสนุกมือ โดยไม่สนใจสายตาขอร้องแกมบังคับไม่ให้มันทำแบบนี้
“ ป้อน”
“ หึ้ย”
สุดท้ายผมยอมละทิ้งความอายเอื้อมมือไปตักหอยที่แกะเรียบร้อยแล้วในจานมันมายื่นเข้าปากที่กำลังอ้ารอรับ
“ โอ๊ะ”
แหะ ผมมือหนักไปหน่อยเลยกระแทกช้อนโดนเหงือกอีกฝ่ายซึ่งมันแค่อุทานแล้วตวัดลิ้นกวาดอาหารในช้อนเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา
“ อร่อย”
“อยากกินปลาหมึก”
“ มีมือทำไมไม่ตักกินเอง” ผมชักรู้สึกว่าหลังๆมานี่มันไม่ใช่แค่อยากให้ป้อนแล้วมันจงใจแกล้งผมต่างหาก หึ กลับมาแล้วไอ้จ๊อบคนเจ้าเล่ห์ซึ่งห่างหายไปนานกลับมาแล้ว
และการกลับมาครั้งนี้มันมาเอาหัวใจผมติดมือไปด้วย
แม่ง นิสัยไม่ดี
ผมพึมพำบ่นไปตามเรื่องขณะที่มือก็ค่อยๆแกะหอยและป้อนมันบ้างเป็นครั้งคราว เหมือนว่าผมทำทุกอย่างไปโดยอัตโนมัติลืมไปว่าในตอนแรกผมไม่เต็มใจด้วยซ้ำที่จะทำให้มัน
ว่าแต่เมื่อกี้ผมเพลินมือไปรึเปล่า ทำไมกุ้งในจานที่มันแกะให้หายไปตั้งเยอะในเมื่อผมไม่ได้กินเพราะมัวแต่แกะหอย มันจะหายไปไหนถ้าไม่มีใครกิน ผมทำหน้างุนงงก่อนจะหันไปหามันที่เคี้ยวอะไรไม่รู้ตุ้ยๆอยู่ในปาก ผมขมวดคิ้วนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ผมแกะหอยแล้ววางไว้ใกล้ๆกับกุ้งในจานหวังว่าผมคงไม่เพลินมือตักทั้งหอยทั้งกุ้งใส่ปากมันหรอกนะ
“ ทำไมหอยมันสีเหมือนกุ้งวะ” มันบ่นพึมพำเสียงเบาๆ
หะ
...เชี่ยแล้ว...
ผมหันขวับมองไปที่คอมันซึ่งมีผื่นขึ้นเล็กน้อยโดยที่มันขยับตัวเกายิกๆ มันเป็นคนที่มีความรู้สึกไวมากกินกุ้งไปได้ไม่นานอาการแพ้ก็แสดงออกทันที
“ จ๊อบ”
ผมรีบคว้าใบหน้ามันแล้วบีบริมฝีปากให้เปิดออกทันที “ คายออกมาเร็ว คายออกมา”
“ หืม”
มันทำหน้างงๆไม่เข้าใจผมจึงรีบเขย่าใบหน้ามันแรงๆอีกครั้ง “ มึงกินกุ้งเข้าไปเมื่อกี้ คายออกมาเดี๋ยวนี้จ๊อบ คายออกมา เร็ว” แทนที่มันจะทำหน้าตกใจดันอมยิ้มมองมือทั้งสองข้างของผมที่แบติดกันเพื่อรองเศษอาหารจากปากมัน
“ ยังจะยิ้มอีก คายออกมาเร็วๆ”
“ เร็วๆ”
สุดท้ายผมทุบต้นคอมันแรงๆจนอีกฝ่ายยอมคายเศษอาหารในปากลงมือผมทันทีบอกตรงๆว่าผมห่วงมันมากกว่าจะคิดรังเกียจและด้วยความตกใจผมเลยไม่ได้หยิบทิชชู่มารองมือก่อน ทั้งโต๊ะเห็นอาการประหลาดของพวกเราสองคนก็หันมาสนใจทันทีแต่ผมไม่มีเวลาได้อธิบายรีบคว้าทิชชู่มาซับเศษอาหารอย่างลวกๆออกจากมือแล้วยื้อมันให้ลุกขึ้น
“ ไปบ้วนปากเดี๋ยวนี้จ๊อบ”
“ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ ไม่ได้..” น้ำเสียงผมคงร้อนรนมันจึงพยักหน้ายอมแล้วจึงเดินตามผมมาติดๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะผมก็หันไปบอกคนในโต๊ะว่าไอ้จ๊อบมันเผลอกินกุ้งเข้าไปเลยจะพามันไปบ้วนปาก ทุกคนพยักหน้าเข้าใจโดยเฉพาะสายรหัสมันซึ่งเหมือนจะรู้ว่ามันแพ้กุ้ง ส่วนเพื่อนๆผมถึงจะทำหน้างงแต่ก็พยักหน้ารับรู้
“ บ้วนปากเร็ว”
เมื่อมาถึงห้องน้ำผมจึงยืนสั่งมันให้บ้วนปากอยู่หลายครั้งจนพอใจ และสังเกตว่าสีหน้ามันที่เริ่มแดงและผื่นตามลำคอดูจะหยุดขึ้นแล้วถึงได้หันมาสนใจล้างไม้ล้างมือของตัวเอง ตอนที่ล้างหน้าเสร็จแล้วเงยขึ้นมาจึงเห็นมันยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่เบื้องหลังท่าทางยิ้มกริ่มดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชวนระทึก
“ ยังจะยิ้มอีก” ผมอดแหวใส่ไม่ได้
“ อ้าว คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ”
ยังมีหน้ามาแซวผม ผมส่ายหน้าก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ “ จ๊อบ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ กูรู้ว่ามึงไม่ได้แพ้อะไรมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าเกิด ถ้าเกิดมึงแพ้มากกว่าปกติแล้ว แล้วกูจะทำยังไง”
คิดแล้วก็อดน้ำตาซึมไม่ได้เป็นความสับเพร่าของผมเองที่ทำอะไรไม่ระวังทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ค่อยห่วงตัวเองแบบนี้
ผมประมาทเอง
“ เต้ย”
มันโอบบ่าผมแล้วลูบอย่างแผ่วเบา ผมจึงปล่อยมือจากขอบอ่างซึ่งยึดจับอยู่แล้วปล่อยให้มันกอดรัด อ้อมแขนของมันให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเช่นเดิม เหมือนทุกๆครั้งที่ได้กอดกันแล้วถ้าหากว่าวันหนึ่งไม่มีอ้อมกอดนี้แล้วผมจะอยู่ยังไงกันนะ
“ กูไม่เป็นไรแล้ว”
“ ฮึก ขอโทษนะ..” ผมน้ำตาซึมตอนที่มันลูบแผ่นหลังผมอย่างแผ่วเบา “...ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ”
ขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้
ผมจับชายเสื้อมันแน่นทั้งเนื้อทั้งตัวโถมใส่ให้มันโอบกอด
“ ชูว์ ไม่ร้องนะ...” มันกระซิบเสียงแผ่วแล้วกดจูบที่ขมับผมอย่างแผ่วเบา “...ไม่เป็นไรแล้ว กูไม่เป็นไรแล้วเห็นมั้ย” มันค่อยๆดันตัวผมออกแล้วใช้สายตาสำรวจตัวเองเป็นการยืนยันกับผมว่ามันปลอดภัยแล้ว เสร็จแล้วมือหนาก็เกลี่ยน้ำตาให้ผมอย่างนุ่มนวล
“ ผื่นขึ้นเลย”
เสียงผมแหบพร่าตอนที่ไล้มือไปตามรอยผื่นตรงต้นคอ มันไม่พูดอะไรแค่อมยิ้มก่อนจะคว้ามือข้างนั้นของผมขึ้นมาจูบเบาๆ
“ กินยาแก้แพ้วันสองวันก็หายแล้ว”
“ จริงเหรอ”
“ อื้ม”
ผมเหมือนเด็กน้อยซึ่งกำลังถูกมันต้อนให้จนมุมด้วยถ้อยคำหวานหูที่ยืนยันอาการตัวเองว่าไม่เป็นอะไรแล้ว
“ ห่วงกูมากเหรอ”
“.....” ผมก้มหน้านิ่งและเป็นครั้งแรกที่ผมสวมกอดมัน และซบใบหน้าที่อกมันอยู่นาน
เรากอดกันแน่นมากจนผมเองรู้สึกได้ว่างช่องว่างระหว่างเราไม่มีเหลือแล้ว
“ ห่วงมาก” ผมกระซิบเสียงเบาเพราะใบหน้าซุกอกมันอยู่ หูผมจึงอยู่ใกล้กับหน้าอกตรงหัวใจของมันและผมก็ได้ยินเสียงหัวใจมันสั่นระรัวเต้น
“ กูไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก...” มันยิ้มแล้วเกลี่ยปอยผมทัดหูให้ผม
“...ตอนนี้หัวใจของกูมีเจ้าของแล้ว ถ้าเจ้าของเค้าไม่อนุญาตให้กูหายไปไหน กูก็ไม่มีทางไปไหนหรอก” “ สัญญานะ”
“ สัญญา...” มันจรดริมฝีปากที่หน้าผากผมแล้วหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
“...สัญญาว่าจะไม่หนีมึงไปไหน ต่อให้ความตายมาพรากกูไป กูก็จะโกงความตายกลับมาหามึงให้ได้” ความตาย งั้นเหรอ
แค่ได้ยินคำนี้หัวใจผมก็เย็นวาบราบกับจะขาดใจ
ผมส่ายหน้าอยู่กับอกมันแล้วเลื่อนมือไปปิดปากคู่คมเอาไว้ “ ไม่เอาอย่าพูดแบบนี้”
“ คิดมาก”
มันจูบหัวคิ้วผมเบาๆ “...อย่าคิดมากแค่ทำทุกวันของเราให้ดีก็พอ”
จะไม่ให้คิดมาได้ยังไงกว่าที่เราจะยอมรับหัวใจของตัวเองได้ก็ผ่านเรื่องราวและน้ำตามากมายอย่าให้มีเรื่องอะไรมาพรากพวกเราจากกันเลย
“ อย่าพูดแบบนี้”
“......”
“ ห้ามพูดแบบนี้อีก ห้ามพูดว่ามึงจะจากกูไป ห้ามพูดอีก”
“ ครับ ไม่พูดแล้ว”
ผมค่อยๆยิ้มออกตอนที่มันชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์แทนคำสัญญา ตอนนั้นแหละที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังนั่งบนตักและพิงอกมันอย่างสบายใจ และยังปล่อยให้มันโอบเอวแล้วคว้ามือข้างหนึ่งของผมมาทั้งสูดดม
“ คิกๆ”
ผมหัวเราะจนตัวโยนรู้สึกจั๊กจี้มันเห็นแบบนี้จึงแกล้งผมใหญ่เพราะไม่ใช่แค่หอมมือตอนนี้มันกำลังฟัดหัวไหล่กับต้นแขนผมอย่างหมั่นเขี้ยว
“ อ่ะ พอแล้ว”
ผมอมยิ้มก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาของมัน “ เป็นแฟนกูนะ”
หัวสมองผมสว่างวาบรู้สึกว่าแก้มคงแดงก่ำ ผมก้มหน้าหลบแต่มันใช้ปลายนิ้วดันปลายคางผมให้เงยขึ้น “ ตกลงว่าไง”
“ ไม่รู้”
“ อะไรไม่รู้”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะขบริมฝีปากตัวเองเบาๆแล้วค่อยๆเอ่ยคำตอบที่คิดมาตลอด “...เคยดูหนังเรื่องสุดเขตฯ ** ” มันทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้ารับรู้ก็จะไม่เคยดูได้ยังไงในเมื่อผมกับมันไปดูด้วยกัน
“ ถ้ามึงจำได้...” ผมก้มหน้าอายๆ “...กูเป็นผู้ชายนับสามนะ”
“....”
มันทำหน้าอึ้งก่อนหัวเราะร่วนแล้วแกล้งกดจมูกใส่แก้มผมเต็มๆ “...รับรองว่าถ้าขอครั้งที่สาม มึงไม่มีทางหลุดมือกูแน่”
...ผมก็เชื่ออย่างนั้นถ้าคำเป็นแฟนครั้งสามเกิดขึ้นจริง การปฏิเสธมันก็เป็นเรื่องที่โง่สิ้นดี... “ มากไปแล้ว”
มันตีมือมันที่เนียนลูบเอวผมซะเพลิน
“ เก็บเกี่ยวไว้ก่อนเผื่ออาทิตย์หน้า”
จริงอย่างที่มันว่าเพราะอาทิตย์หน้าทางมหาวิทยาลัยผมมีการจัดงานลอยกระทงดังนั้นปีหนึ่งคณะต่างๆจึงหัวหมุนเพราะต้องจัดเตรียมงานทั้งการประกวดกระทงและขบวนการแสดงซึ่งเท่าที่ได้ยินมามันก็เป็นหนึ่งในตัวแสดงของคณะวิศวะฯเช่นกัน เห็นว่าพี่ๆมะรุมมะตุ้มมันกันใหญ่แต่เจ้าตัวนี่สิบ่นให้ผมฟังว่ามันไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยแต่คร้านเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้
“ เอาน่าสู้ๆ”
ผมยิ้มตาหยีชูสองนิ้วเป็นกำลังใจให้มัน ส่วนมันยิ้มกริ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เสียแต่ว่ายังไม่ทันที่ริมฝีปากมันจะแตะโดนแก้มผมเสียงกระแอมกระไอจากใครบางคนก็ดังขึ้น ผมแทบจะกระโจนลงจากตักมันตอนที่เห็นพี่เบียร์ยืนยิ้มเผล่มองพวกเราอยู่
........
........
ผมกำลังกลั้นหัวเราะมองมันซึ่งทำท่าตลกก่อนจะผุดลุกขึ้นจากตักผมแล้วผละเดินจากไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ดูก็รู้ว่ามันอายไม่น้อยที่บังเอิญว่าพี่เบียร์เข้ามาเห็นภาพความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างผมกับมัน
“ ร้ายนะมึง”
พี่เบียร์แซวผมแต่ตามองตามแผ่นหลังมันไปแววตาพี่แกดูเอ็นดูมันไม่น้อยทีเดียว
“ ก็ใครหล่ะที่บอกผมว่าถ้าจะสู้ต้องทุ่มสุดตัว”
“เออดี”
“......”
“ จำวันนี้ของมึงให้ดีนะจ๊อบ..” พี่เบียร์ตบบ่าผม
“กว่าจะได้เขามามันเหนื่อยยากแค่ไหน และจำเอาไว้อีกอย่างว่าการรักษาเขาเอาไว้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า” “ ครับพี่ ผมพลาดโอกาสมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมจะไม่ยอมเสียมันไปอีกเด็ดขาด”
“ กูดีใจที่เห็นมีมึงความสุข”
“ ผมก็อยากเห็นพี่มีความสุข...” พี่เบียร์นัยน์ตาไหววูบก่อนจะยิ้มอ่อนๆมองไปเบื้องหน้า “...ขอให้พี่โชคดีกับเส้นทางที่พี่เลือกนะ พี่จำไว้นะ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงพี่ยังมีผมนะ พี่ยังมีน้องชายคนนี้อยู่นะ”
“ กูรู้”
พี่เบียร์โอบบ่าผมแล้วเขย่าไปมาเป็นเชิงขอบคุณ
ลุงรหัสผมเหม่อมองไปเบื้องหน้าไร้บทสนทนาใดๆแต่ผมรู้ดีว่าพี่ผมกำลังใช้ความคิดและผมก็เชื่อว่าเส้นทางที่เขากำลังเลือกเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด
ผมเชื่อว่าถ้าโชคชะตาบวกกับความพยายามที่แท้จริงสักครั้งความฝันต้องเป็นของเรา
ผมเชื่อ
เหมือนที่เต้ยมันเชื่อนั่นแหละ
........
........
ผมกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งแล้วถึงกับตกใจเมื่อเห็นมันนั่งตาปิดซุกอยู่กับอกว่านท่าทางอย่างกับคนเมา มองไปรอบๆก็เห็นไอ้แท็ค ไอ้เต็ปยักคิ้วให้ สุดท้ายหันไปถามพี่ภัทรกับพี่ทิมก็ได้ความว่าพี่รหัสผมมอมเหล้ามัน
ผมถอนหายใจนึกเข่นเขี้ยวพี่ต๋องขึ้นมาทันที
ก็ปกติมันเป็นคนคออ่อนซะขนาดนั้นนี่สังเกตจากปริมาณน้ำสีอำพันที่หายไป ก่อนที่ผมจะลุกจากโต๊ะมันน่าจะมากกว่านี่หายไปตั้งขวด หวังว่าทั้งขวดคงไม่ลงไปอยู่ในท้องมันหรอกนะ
“ กูหวังดีนะโว้ย..” พี่ต๋องยักไหล่ “...เห็นว่าไม่ยอมตกลงปลงใจกับมึงสักทีกูเลยจัดให้ รับรองคืนนี้สมหวังชัวร์” พี่ต๋องพูดจบทั้งโต๊ะก็ฮาครืนแต่ผมแค่ส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะไปงัดมันจากว่าน
“ ฮือ”
เมาจริงๆ
ท่าทางอ้อแอ้คอพับคออ่อน ทั้งหัวตายังมีน้ำตาไหลเอื่อยๆคือมันเป็นประเภทถ้าเมามากจะชอบร้องไห้ไม่รู้เป็นยังไง แค่เห็นน้ำตาของมันก็ทำเอาผมแทบคลั่ง ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำตอนมันร้องไห้ขอโทษผมตกใจแทบสิ้นสติกับใบหน้ามันที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ตอนนั้นผมได้แค่คิดว่าทำไมใบหน้าขาวของมันถึงดูฉ่ำไปด้วยน้ำตามากมายขนาดนั้นทั้งๆที่เรื่องไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก แต่ผมก็รู้ว่าทุกการกระทำของมันคือความห่วงใยที่มีให้ผม
แต่สำหรับผมแค่เห็นมันร้องไห้ผมก็แทบใจสลายแล้ว
“ เต้ย”
“ อืม”
ว่านช่วยจับร่างของมันแล้วส่งมาให้ผม สุดท้ายมันจึงเมาซุกอกผมแต่ยังขยับตัวยุกยิกไปมา
“ ผมไปก่อนนะพี่ สงสัยเต้ยมันจะเมามาก”
ผมลุกขึ้นแล้วโอบเอวมันไว้ก่อนจะบอกลาคนอื่นๆซึ่งทุกคนก็ทำไม้ทำมือเป็นสัญญาณว่ารับรู้ ผมโอบพามันเดินมาได้สักพักแล้วเป็นอันต้องหยุดเพราะมันเล่นเดินเซซ้ายเซขวาจับไว้ก็ไม่อยู่ ปากก็พร่ำว่าจะกินอีก
“ เต้ย พอแล้ว”
“ ฮือ ม่าย”
ผมยิ้มขำกับเสียงยานคางของมัน
“ จา กีน อาว อีก” (จะกินเอาอีก)
“ พอแล้วเมาแล้วครับ”
“ ม่ายมาว”
ไม่เมาอะไรยืนแทบไม่ตรงทั้งยังตาปรือขนาดนี้
“ พอแล้วครับ ไปอาบน้ำนอนดีกว่าเนอะ”
“......”
มันเอียงคอทำหน้าครุ่นคิดแต่เป็นภาพที่น่ามองมากสำหรับผม สุดท้ายมันพยักหน้าหงึกๆผมเลยย่อตัวลงแล้วหันหลังให้มัน
“ ขี่หลังจ๊อบเร็วเต้ย”
“ เดินหวาย” (เดินไหว)
“ เร็วครับ”
มันทำหน้ายุ่งผมจึงกระตุกมือมันทั้งสองข้างมาคล้องคอผมไว้มันจึงโถมกายใส่หลังผมเต็มๆ พอทุกอย่างเรียบร้อยผมจึงอุ้มมันขึ้น มือสองข้างของผมสอดไปตามขาพับมันเพื่อยึดไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหงายหลัง จะบอกว่ามันไม่หนักคงเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนสูงเราต่างกันแค่สองเซนฯแต่ที่ทำให้ความรู้สึกหนักหายไปเพราะความรู้สึกอื่นบังเกิดขึ้นมาแทนที่
...เพราะรัก...
...ความหนักเลยถึงถูกละเลย...
ผมหัวเราะแผ่วๆกระชับมือที่รัดขาพับมันอยู่ ส่วนมันหลับตาพริ้มซุกใบหน้าที่หลังผมมือทั้งสองข้างคล้องคอผมแน่น ผมไม่รู้ว่าระยะทางมันไกลแค่ไหนผมรู้แค่ว่าผมสุขใจที่ได้อุ้มมันขี่หลังไปตลอดทาง
“ จุ๊บ”
แล้วก็อดไม่ไหวคว้ามือมันหอมเบาๆ “ หลับฝันดีนะครับ”
***** มีใครเคยดูเรื่อง **สุดเขต** (สุดเขตเสลตเป็ด) บ้างค่ะส่วนตัวชอบธีมเรื่องผู้ชายนับสาม มันดูเก๋ดี 555
ตามสัญญาไม่รู้ว่าตอนนี้มันฟินสมการรอคอยอ่ะป่าว เอาแบบน้ำจิ้มไปก่อนเนอะ อิอิ
มีใครคิดว่ามันหวานแบบแอบแฝงม่ะ (มีใครกลัวใจนักเขียนป่าว)
ปล. ผมนี่ยังกลัวใจตัวเองเลยฮะ

หัวเราะอย่างร้ายกาจ
สุดท้ายเจอกันตอนหน้าจ้า

(ตอนหน้าฟินกำลังสอง เค้)