ยกที่ 12 : วันของเรา ผมยืนมองแหล่งท่องเที่ยวริมคลองเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจไม่นึกว่าจะมีตลาดโบราณแบบนี้ให้ได้ยล ยิ่งเห็นผู้คนพลุกพล่านไปมายิ่งชวนให้ตื่นตัวอย่างปรี่เข้าไปสัมผัสบรรยากาศในทันที ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของตัวเองเป็นยังไงแต่เสียงหัวเราะร่วนของสารภีซึ่งมีตำแหน่งเป็นเดือนคณะดังขึ้นขัดจนปลายเท้าที่เตรียมจะถลาไปเบื้องหน้าหยุดชะงักลง
“ มึงนี่เหมือนเด็กเนอะ”
“ ก็ แหม...” ผมเกาหัวยิกๆ “...ก็ผมไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้นี่ครับ”
“ หึ เด็กน้อยเอ้ย”
“ โห ไม่เด็กแล้วพี่”
ผมเบ้หน้าใส่พี่รหัสตัวเองจนถูกคนตัวโตนั่นเหนี่ยวคอให้ลงมาใกล้ๆ พร้อมกับอาศัยพาดแขนที่ยาวเหยียดที่ไหล่ผมทันที ผมจึงได้แต่เหล่ตามองพร้อมกับยิ้มขำๆ
“ ไป กูมีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ”
“ พี่มาบ่อยเหรอครับ”
“ ก็ อืม บ่อยอยู่นะ” พี่ทีทำหน้าคิดๆ “.. ก็มาทุกครั้งที่มาบ้านต่างจังหวัดนั่นหล่ะ”
“ มากับใครเหรอพี่”
ผมถามแซวเพราะเห็นพี่ทีแกนิ่งคิดไปนาน ทำเอาพี่เขาหน้าเหวอก่อนจะพูดเสียงนิ่ง
“..กูมากับผู้หญิง” “ โห ไม่เบาๆ”
“ หึ ผู้หญิงที่ว่าที่แม่กับย่ากู”
“ อ้าวเหรอ” กลายเป็นผมที่ทำหน้าเหวอแทนจนพี่แกหัวเราะขำ
“ ทำไม..” พี่ทีพูดยิ้มๆ “...เกิดหวงกูขึ้นมารึไง”
มันเป็นประโยคที่คนพูดไม่ได้จงใจจะให้ได้ยินด้วยซ้ำ เพราะพอพูดเสร็จพี่แกก็มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบ แต่คนฟังอย่างผมนึกสะดุดในใจ หวงเหรอ หวงงั้นเหรอ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นรึเปล่า วันที่ผมตัดสินใจกลับกรุงเทพฯหลังจากหลบไปตั้งหลักให้กับหัวใจไกลถึงบ้านเกิด คนแรกที่ผมนึกถึงก็คือพี่รหัสที่พอผมโทรไปหาพี่แกก็มารับผมที่ท่ารถทันที ตลอดทางเราไม่ได้คุยอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะด้วยซ้ำไป แต่บทสนทนาก่อนที่จะถึงหอในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในห้องผม
“ เต้ย”
“.....”
“ มึงโอเคขึ้นบ้างรึเปล่า”
“ คงงั้นมั้งพี่”
“ เรื่องของหัวใจมันต้องใช้เวลา”
“ พี่ที ทำไมถึงดีกับผมนัก”
“ กูบอกเหตุผลมึงไปแล้ว..” พี่แกหันมามองผมตรงๆ “...ก็เพราะชอบไง”
“......”
“ กูไม่ได้คาดหวังว่ามึงจะตอบตกลงในทันทีหรอก กูรู้ว่ากว่าสองคนสองจะมาพบกัน รักกัน และมีความรู้สึกดีๆให้กัน มันต้องอาศัยเวลา ยิ่งถ้าความรักนั้นมันไม่ใช่รักแรก”
“ ความรักครั้งแรกเป็นรักที่ลืมยากที่สุด มันจะฝังติดอยู่ในใจมึงไปตลอด ถ้ามึงไม่เรียนรู้ที่จะให้โอกาสตัวเอง การให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่เรื่องสิ่งที่ผิดหรอกเพราะมึงไม่ได้ตอบตกลงและกระโจนหาคนใหม่เพื่อทดแทนคนเดิมทันที แต่มึงใช้โอกาสเพื่อให้คนอื่น ใครก็ได้ที่อาจไม่ใช่กูได้ก้าวเข้ามาเรียนรู้กันและกัน”
“......”
“ ให้โอกาสตัวเองบ้างเต้ย ให้มึงได้ลองทบทวนหัวใจตัวเองอีกครั้งว่ามันจะเสี่ยงกลับไปเส้นทางเดิมเพื่อรอรักแรกที่อาจจะเจ็บปวดแต่มึงยังเลือกที่อยู่กับมัน หรือไปในเส้นทางใหม่ที่มึงก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เป็นเส้นทางที่รอให้มึงค้นหา”
“ กูห่วงมึงนะ ไม่ใช่แค่ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง แต่ในฐานะของพี่ชาย พี่ชายที่อยากให้น้องตัวเองเลิกทำหน้าอมทุกข์สักที กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่ารอยยิ้มของมึงทำให้คนๆนึงสุขใจได้เสมอ”
“ ไม่ต้องรักกูหรอกเต้ย แต่รักตัวเอง ให้โอกาสตัวเองซะบ้าง”
“ พี่คิดว่าผมทำได้เหรอ”
“ ไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้หรอกถ้าจะทำ”
“ พี่ที...” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ ผมจะขอให้โอกาสพี่...จะได้มั้ย”
“ โอกาสอะไร”
“ พี่เคยขอคบผม ถ้าผมตกลง”
“ ชูว์” พี่ทีลูบหัวผมเบาๆ “ ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก กูไม่อยากให้มึงคบคนนึงเพื่อลืมอีกคน”
“ ไม่ใช่นะพี่”
“ กูรู้ดีว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น และกูก็จะไม่มีทางให้มึงทำแบบนั้น กูแฟร์พอที่จะไม่ใช้โอกาสที่มึงกำลังอ่อนแอเข้ามาทำให้มึงไขว้เขว้ กูอยากให้มึงรักคนใหม่อย่างเต็มหัวใจและลืมรักครั้งแรกให้หมดไปจากใจจริงๆ”
“ พี่ที”
ไม่มีครั้งไหนที่ผมคุยกับพี่รหัสตัวเองแล้วไม่ได้แง่คิดดีๆและทำให้ผมสบายใจ เราจบบทสนทนาในคืนนั้นก่อนที่รถจะหยุดอยู่หน้าหอใน ผมรู้ว่าผมได้ให้โอกาสนั้นกับพี่ทีไปแล้ว โอกาสที่เราจะได้เรียนรู้กัน โอกาสที่จะทำให้รักครั้งแรกที่ติดอยู่ในใจผมได้ชัดเจนขึ้น
...ผมกับพี่ทีเราไม่ได้เป็นแฟนกัน...
...ผมกับไอ้จ็อบเรายังคงเป็นเพื่อนกัน...
...เราสามคนมาเริ่มต้นที่จุดเดียว...
...จุดเริ่มต้นที่ผมพร้อมจะนับหนึ่งอีกครั้งกับใครสักคนที่จะเริ่มเรียนรู้กันไปพร้อมๆกัน... ............
............
“ กูบอกแล้วว่าร้านนี้อร่อย”
พี่ทีแกจงใจพรีเซ็นต์ก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่น่าทาน สีสรรและรสชาติสมคำร่ำลือ ไข่ต้มยางมะตูมผ่าครึ่งลูกแบ่งเป็นสองส่วนสีสวย หน้าตาของก๋วยเตี๋ยวเส้นน้ำคลุกคลิกถูกจัดวางอย่างสวยงาม ท่าทางมันน่ากินจนแทบกลืนน้ำลายไม่ไหว เห็นแบบนี้ผมจึงอดไม่ได้ที่จะควักมือถือมาถ่ายรูปและอัพลงสื่อทางโซเชียลทันที
“ แดกเถอะ ถ่ายรูปอยู่นั่น”
“ นิดนึงพี่” ผมถ่ายอีกสีห้าแชะก่อนจะลงมือปรุง แต่มือพี่แกแตะข้อมือผมไว้ “ ไม่ต้องปรุงหรอกอร่อยแล้ว”
ผมยิ้มนิดๆมองใบหน้าขาวของพี่ทีที่แดงเริ่ม ขมับและจอนแถวใบหูเริ่มมีเหงื่อซึมดูก็รู้ว่ารสชาติเผ็ดซี๊ดซ๊าดจนต้องสูดปาก ท่าทางแบบเด็กๆของคนตรงหน้าทำเอาหัวเราะขำก่อนจะหยิบทิชชู่ส่งให้ฝ่ายตรงข้าม
“ พี่ก็เด็กเหมือนผมนั่นแหละ” ผมได้ทีเกทับคืน
“ นี่มึงกล้าแซวกูเหรอ”
“ ...” ผมไม่ตอบแต่ยืดอกพร้อมยักคิ้ว เห็นแบบนี้พี่รหัสผมจึงกดยิ้มมุมปากก่อนจะเทน้ำใส่มือตัวเองแล้วได้ทีสะบัดละอองน้ำให้กระเซ็นโดนบริเวณใบหน้าผม
“ พี่แม่ง”
“ ทำไม” พี่ทีเล่นไม่เลิกจนผมต้องหลบเป็นพลันวัน โดยแกล้งแบบนี้ใครจะไปยอมผมเลยเอาคืนด้วยวิธีการเดียวกัน เล่นกันไปมาจนโต๊ะข้างๆซึ่งมาเป็นกลุ่มถึงกับชี้ชวนกันดูพร้อมหัวเราะคิกคัก นั่นแหล่ะที่ทำให้ผมเกิดหน้าบางขึ้นมา
“ ไงหล่ะมึง”
“........” ผมอึ้งเมื่อมือทั้งสองข้างตอนนี้ถูกพี่ทียึดกุมเอาไว้ ตอนนี้เองที่เราได้มีโอกาสสบตากันแววตาคนตรงหน้าดูอ่อนโยนจนผมอดยิ้มตามได้
“ พอๆ แดกต่อ เส้นอืดจนเต็มชามแล้ว” พี่ทีปล่อยมือก่อนจะหยิบทิชชู่ใส่มือให้แล้วชี้ไปที่ใบหน้าเป็นการบอกใบ้ว่าให้เช็ดหน้าที่มีละอองน้ำเกาะอยู่
หลังจากที่อิ่มท้องแล้วเราก็เดินเรียบริมคลองที่มีชาวบ้านพายเรือมาขายของกันเต็ม ทั้งยังมีแพบริเวณกว้างสำหรับให้อาหารปลาในแม่น้ำ ที่ทำให้ตื่นตะลึงคือบรรดาพวกของกินต่างๆดูละลานตาเต็มไปหมด ทั้งขนมไทยหาทานยาก อาหารไทย และขนมขบเขี้ยวแบบโบราณ เพิ่งจะออกเดินกันได้ไม่นานผมก็รู้สึกได้ว่าถุงหิ้วเต็มมือไปหมดทั้งยังพวกขนมไทยที่ถูกจัดวางใส่ใบตองที่ถืออยู่ทั้งสองข้าง หึ ผมอมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในดงอาหารมากมายถึงเพียงนี้ หลายคนคงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วผมเป็นพวกชอบกินขนาดไหน แต่กินให้ตายยังไงก็ไม่อ้วนสักทีไม่รู้เป็นไง
“ เกิดมาไม่เคยซื้อของรึไง”
พี่ทีซึ่งเดินตีคู่เอาไหล่มากระแทกผมเบาๆพูดยิ้มๆ ผมจึงแอบทำหน้ายู่ใส่จนพี่แกดีดหน้าผมทีนึง ว่าแต่คนอื่นครับแต่ในมือแกก็มีถุงหิ้วเต็มมือไม่น้อยหน้าเหมือนกัน
เราเดินวนตลาดเลียบริมคลองอยู่สองสามรอบก่อนที่จะตัดสินใจกลับเอาตอนบ่ายแก่ๆ เพราะเมื่อยขาและแดดเริ่มร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย พอเข้ามาในรถเจอแอร์เย็นๆทำเอาเผลอหลับไปแต่ตั้งเมื่อไหร่ไม่รู้มารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้ค่ำที่บ้านเรือนไทยหลังเดิมซึ่งครั้งหนึ่งสารถีหน้าหล่อเคยพามาดูดาว ผมกำลังจะขยับตัวก็พอดีกับที่พี่แกเปิดประตูฝั่งผมออก
“ ตื่นแล้วเหรอ”
“ ครับ” ผมทำหน้างัวเงีย
“ ตื่นแล้วก็ลงไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวกินข้าวเย็นก่อนแล้วกูจะไปส่งหอ” พี่ทีแตะศอกผมให้ออกเดินโดยที่ในมือแกเต็มไปด้วยข้าวของสำหรับอาหารเย็นมื้อนี้
“ ผมช่วยถือมั้ยพี่”
“ ไม่เป็นไร มึงไปล้างหน้าให้สดชื่นก่อนแล้วค่อยไปช่วยกูในครัว”
“ ครับ”
ผมยิ้มรับพยักหน้าก่อนจะหันไปสวัสดีแม่อ่อนคนสนิทของครอบครัวพี่เค้าที่ดูแลบ้านเรือนไทยตรงหน้านี้
“ สวัสดีค่ะ คุณเต้ย..” แม่อ่อนรับไหว้ก่อนจะกุมมือที่ประนมไหว้ของผมเขย่าด้วยความยินดี “ กำลังนึกถึงอยู่เชียว ว่าจะบอกให้คุณทีพาคุณเต้ยมาเที่ยวบ่อยๆ”
“ ก็พามานี่แล้วไงครับ” พี่ทีพูดขึ้น “ ถ้าอยากให้พามาบ่อยๆก็ถามเจ้าตัวเขาสิครับว่าอยากมารึเปล่า”
“ เอ่อ”
“.....”
“ ผมเกรงใจนะครับที่มารบกวน..” ผมยิ้มเกรงใจ
“ มาบ่อยๆเถอะค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับ ตั้งแต่คุณเต้ยมาคุณทียิ้มง่ายขึ้นนะคะ” ผมหน้างงๆมองตามแผ่นหลังของพี่รหัสที่เดินลับไปในครัวเรียบร้อยแล้ว
“ ยังไงเหรอครับ”
“ คุณทีเคยไม่มาที่นี่อีกเลยตั้งปีกว่า เอ่อ..” แม่อ่อนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ
“...ตั้งแต่เลิกกับแฟนคนเก่า” เรื่องที่ได้ยินนี่ทำให้ผมงงยิ่งกว่าเดิม
“ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
แม่อ่อนมองซ้ายมองขวาก่อนจะพูดเสียงเบา “ คุณทีเคยพาแฟนมาที่นี่ค่ะ แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่มาอีกเลย รู้อีกทีก็เลิกกันแล้ว คุณทีซึมเป็นปีกว่าจะดีขึ้น น่าสงสารนะคะรักกันมาตั้งนาน บทจะเลิกก็ช่างง่ายดาย”
...น่าสงสารงั้นเหรอ... ผมยืนกอดอกมองแผ่นหลังกว้างของพี่ทีซึ่งหยิบจับเครื่องครัวอย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงราวกับคนที่เข้าครัวเป็นประจำ ผมมองอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมกับทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติอย่างพี่รหัสผมจะมีปัญหาเรื่องหัวใจกับเขาเหมือนกัน และดูท่าว่าคงจะหนักหนาพอควร
จากที่ฟังแล้วดูเหมือนภายนอกพี่ทีจะเป็นคนยิ้มง่าย ร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นเดือนคณะ เป็นที่สนใจและน่าจับตามอง แต่ใครจะรู้ว่าลึกลงไปก็มีเรื่องให้ทุกข์ใจได้เหมือนกัน ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคน ใครคนที่ผมไม่ควรระลึกถึงในเวลาที่กำลังจะให้โอกาสตัวเองแบบนี้
ใช่แล้ว ผมนึกถึงมัน ผมกำลังนึกถึงไอ้จ๊อบ
ผมไม่รู้ว่าระยะสัปดาห์หนึ่งที่กลับบ้านมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมาย ตั้งแต่มันเลิกกับแฟน มันมาเฝ้าผมทุกวันที่โรงอาหารซึ่งข่าวนี้ว่านเป็นคนบอกผมเอง และที่น่ามึนงงไปกว่านั้นคือมันดันมาสารภาพว่าชอบผมเข้าให้แล้ว
“ กูชอบมึงแล้วเต้ย” คำๆนี้ไงที่ผมเฝ้ารอคอยมานาน แต่พอได้ยินจากปากมันจริงๆ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกดีใจอย่างที่คิด ผมยอมรับว่าแวบนึงมันเกิดความรู้สึกปิติยินดี แต่มองให้ลึกลงไปมันเกิดอะไรถึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่มันไม่เคยคิดจะข้ามเส้นต้องมีวันสิ้นสุด
มันอยากยื้อผมไว้ในวันที่ผมเหนื่อยและกำลังจะขอยอมแพ้ มันทำให้หัวใจที่แห้งแล้งราวกับอยู่ทะเลทรายได้รู้สึกเย็นชื่นเหมือนได้น้ำหล่อเลี้ยงอีกครั้ง และในทางตรงข้ามกันมันทำให้เส้นบางๆที่กำลังจะขาดต่อติดอีกครั้ง ผมยอมรับว่าสับสนไม่น้อย ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร ยิ่งเห็นแววตาตอนที่มันบอกว่าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดผมยิ่งนึกอะไรไม่ออก ผมรู้ว่ามันเป็นคนที่มันความพยายามขนาดไหน มันไม่เคยยอมแพ้กับเรื่องอะไร
ผมได้แต่บอกตัวเองว่าจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ผมจะให้โอกาสตัวเอง ผมจะมองเรื่องความรักให้รอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความรักที่แท้จริง ผมจะไม่รีบกระโจนตัวเข้าไปให้ตัวเองเจ็บอีกแล้ว ผมเป็นผู้ตามมานานแล้วต่อไปนี้ผมจะอยู่เฉยๆเฝ้ามองความรักของผมให้มันเติบโตและยั่งยืนอย่างแท้จริง
“ เต้ย”
“ ครับ”
“ เหม่ออะไร มาช่วยกูล้างผักเร็ว”
“ พี่ที...” พี่ผมหยุดมือที่ล้างกุ้งอยู่มองผมยิ้มๆ “..พี่ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอครับ”
“ ก็พอได้นะ กูเคยไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศตอนม.ปลายปีนึง”
“ โหจริงดิ อย่างงี้ภาษาพี่คงเป๊ะเนอะ”
“ มันก็ดี แต่พอไม่ได้ใช้นานๆมันก็ลืมไปบ้าง”
“ แต่ยังไงคงได้ประสบการณ์เยอะน่าดู ว่าแต่พี่คงได้เที่ยวทั่วเมืองเลยดิ ไปตั้งปี”
“ อืม” พี่ผมส่ายหน้าน้อยๆ “...ได้อย่างเสียอย่างหว่ะ เพราะกูต้องกลับมาเรียนซ้ำชั้นอีกปี”
“ จริงดิ”
“ หึ มึงรู้มั้ยว่าที่จริงตอนนี้กูควรจะอยู่ปีสามแล้วด้วยซ้ำ”
“ โหแก่หว่ะ”
เพราะสนิทกันมากขึ้นเลยทำให้ผมกล้าต่อปากต่อคำกับพี่เขามากขึ้น ซึ่งพี่รหัสผมก็ไม่น้อยหน้าเอาคืนด้วยการปาเศษผักที่ไม่ใช้แล้วใส่หัวผมเต็มๆ ไม่เปียกก็คงต้องเปียกกันไปข้างหนึ่ง
“ ฮ่าๆๆๆ”
พี่ทีกุมท้องหัวเราะผมที่มีผักติดอยู่บนหัว ผมจึงแกล้งเบะปากใส่ พี่ทีเลยพึมพำอะไรไม่รู้ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆหยิบเศษผักออกจากศีรษะให้ หน้าเราใกล้กันมา ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย พี่ทียิ้มๆก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกระซิบเสียงแผ่ว
“ หน้ามึงโคตรตลกหว่ะ”
ผมค้อนขวับทันที ก็พอดีกับที่แม่อ่อนเข้ามาห้ามทัพทันไม่งั้นคงเกิดสงครามปาของย่อมๆ มื้อนั้นจึงจบด้วยฝีมือเชฟของพี่ทีโดยมีผมและแม่อ่อนเป็นลูกมือ รสชาติอาหารพี่ทีอร่อยมากทีเดียวถึงจะเป็นเมนูง่ายๆแต่อร่อยสมคำที่เจ้าตัวกล่าวอ้างจริงๆ
.
.
เกือบสามทุ่มที่รถยนต์คันหรูของพี่แกจอดเทียบฟุตบาทตรงป้ายรถป๊อบหน้าหอใน ผมหันไปขอบคุณพี่แกก่อนลงจากรถแต่มือหนาเหนี่ยวข้อมือผมเอาไว้ สร้อยข้อมือทำจากเชือกป่านพร้อมกับร้อยชื่อผมเป็นภาษาอังกฤษอยู่วางไว้บนมือ ผมทำหน้าไม่เข้าใจพี่ทีจึงบรรจงหยิบสร้อยข้อมือนั่นสวมใส่ให้ผม
“ กูให้”
“ พี่” ผมตื้นตันบอกไม่ถูกเมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของคนตรงหน้า “ คิดซะว่ามันเป็นเครื่องรางที่จะทำให้มึงโชคดี เป็นของขวัญในการรับน้อง”
“ ขอบคุณครับ ว่าแต่พี่ไปซื้อมาจากไหนเหรอ”
“ เห็นที่ตลาดน้ำมันสวยดี เลยซื้อให้”
“ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
“ เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นขอให้มึงรักตัวเองให้มากๆได้มั้ย”
“ ผมจะพยายามครับ”
“ ไม่ใช่แค่พยายามแต่ต้องทำให้ได้”
“ พี่ที..” ผมน้ำตาซึมโถมเข้าสวมกอดพี่แกเต็มแรง มือหนานั่นจึงลูบไล้แผ่นหลังผมอย่างปลอบประโลม
“ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง กูดีใจได้ชอบมึงนะ” พี่ทีพูดจบก่อนจะโน้มศีรษะลงมาใกล้ เหมือนหางตาแกจะเห็นอะไรบางอย่างจึงหยุดชะงักไปแวบนึงพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายยิ้มกว้าง ริมฝีปากของเราใกล้กันแค่คืบ ผมมองริมฝีปากไม่หนาไม่บางซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วหลับตานิ่งตอนที่ริมฝีปากเราแตะกัน
...แค่แตะกัน เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่พี่ทีจะเบี่ยงออกและกดจูบที่ขมับผมเบาๆ... ........
........
ผมมองยืนมองรถคันหรูของพี่รหัสที่กำลังจะหายลับไปในความมืด ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดมีเพียงแสงจากทางเดินสลัวๆพอให้เห็น ผมเดินอย่างอ้อยอิ่งไปตามทางเดินเรื่อยๆจนถึงหน้าตึกหอพักและผมต้องชะงักปลายเท้าเมื่อเห็นใครบางคนยืนรอผมอยู่
ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกขยับปลายเท้าไปอยู่ตรงหน้ามัน
“ กลับมาแล้วเหรอ”
เมื่อได้เห็นกันใกล้ๆผมจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันยังอยู่ในชุดเดิมเมื่อเช้านี้ แสดงว่าวันทั้งวันมันไม่ได้กลับคอนโดไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
...รอผมทั้งวันงั้นเหรอ... ผมเห็นมันยิ้มและเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มที่ทั้งน้ำเสียงที่ถามผมยังสั่นแปลกๆ
“ อืม”
“ สนุกมั้ย”
“ อืม”
คำตอบของผมยังคงสั้นห้วนคล้ายกับไม่พอใจทั้งๆที่ในความเป็นจริง ผมยืนอึ้งนึกคำไม่ออกต่างหาก ผมอึ้งเรื่องที่มันรอผมทั้งวัน มันฝืนยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่มีขวดยาคูลย์อยู่สามขวดให้
“ ขอบคุณนะมึง”
มันยืนนิ่งก่อนจะตรงเข้ามาสวมกอดผม ผมก็นิ่งไม่แพ้กันที่ไม่ผลักไสมันแต่กลับยืนนิ่งให้มันกอด “ ขอบคุณที่ยังรับของจากกู” เสียงของมันสั่นอีกครั้ง
“ มึง...” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ทำไมเนื้อตัวมันถึงสั่นขนาดนี้ และที่คาดไม่ถึงคืออยู่ๆมันแตะริมฝีปากกับผม คล้ายการแตะที่พี่รหัสผมทำก่อนหน้านี้ เพียงแต่ครั้งนี้มันนิ่งและนาน แค่สัมผัสผมก็รู้สึกว่าริมฝีปากมันสั่นระริกและเย็นชืดเหนือสิ่งอื่นใดผมสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำอะไรบางอย่างตอนที่แก้มเราสัมผัสกัน
...ไอ้จ๊อบมันร้องไห้... น้ำตาของมันไหลมาถึงริมฝีปากของเราที่กำลังแนบชิดกันอยู่
มันค่อยๆเบี่ยงหน้าออกพร้อมกับถอยห่างออกไป
“ จะเกลียดกูก็ได้แต่อย่าทิ้งยาคูลย์ที่กูอุตส่าห์ซื้อมาให้มึงเลยนะ” ผมยืนกำขวดยาคูลย์ในมือแน่น สายตามันมองข้อมืออีกข้างของผมที่มีสร้อยข้อมือเชือกป่านคล้องอยู่ แล้วน้ำจากหางตามันก็ไหลเอื่อยๆโดยที่มันไม่คิดจะปาดทิ้ง
*****มาแว้วๆๆๆ หายไปนานจ๊ะ มีเรื่องนิดหน่อยคือก่อนปีใหม่ก็เกิดอุบัติเหตุ
หลังปีใหม่ก็เป็นไข้เป็นอาทิตย์ ตอนนี้ยังไอและเจ็บคออยู่ ไม่หายซะที เฮ้ย

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ยังไงนักอ่านดูแลสุขภาพกันด้วยนะจ๊ะ
ตอนนี้เอาใจบรรดาแม่ยกพี่ทีกันซะหน่อย ฮิ้วๆๆๆ เลยพากันไปเที่ยวซะเลย
ส่วนตัวเค้าชอบเที่ยวลตาดน้ำเลยจัดให้เลย อิอิ ใครอยากเปลี่ยนจาก"เล่นเพื่อน"
เป็น "เล่นพี่"บ้างจ๊ะ

แม่ยกอิจ๊อบไปซับน้ำตาให้นางด่วนนะ ไม่รู้ป่านนี้ไปนั่งร้องไห้อยู่ไหน
