บบที่ 13 ในคืนฟ้าครึ้ม
ตัดภาพมาปัจจุบันเวลานี้โพล้เพล้เต็มทีแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้เกือบจะกลายเป็นสีดำสนิท ยามตะวันใกล้ชิงพลบมีสายลมเอื่อยๆพัดพาเอาความเย็นของอากาศเข้ามาทำให้ผมห่อไหล่ ผมนั่งอยู่ตรงศาลาไม้กลางสวน ดอกไม้หลากหลายชนิดส่งกลิ่นหอมรวยริน หากกรุ่นหอมละมุนของดอกไม้ไม่สามารถคลายปมที่คิ้วผมออกได้ ผมยังคงขมวดคิ้วหงุดหงิด ในมือมีก้านมะยมที่เด็ดจากสวนหลังบ้าน ผมรูดใบออกเหลือแต่ก้านสีเขียวอ่อนเรียวยาว หวดมันไปกลางอากาศ เสียงก้านมะยมเสียดสีกับอากาศดังเข้าหูผมรอบแล้วรอบเล่า ซ้อมไว้ก่อนครับ เจอหน้าเมื่อไหร่ละน่าดู
เด็กดื้อมันต้องโดนตีซะบ้าง พรุ่งนี้จะตามไปตีถึงคณะเลย
เพราะคนป่วยอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย
พลันคิ้วของผมคลายปม ลู่ตก ถ้าได้ส่องกระจกผมคงเห็นสีหน้าหมาหงอยของตัวเอง ใช่สิ หมาตัวนี้มันโดนเจ้าของทิ้ง ทิ้งไปกินไอศกรีมกับคนอื่น ทั้งๆที่กำลังโมโหเขาอยู่แท้ๆแต่ผมกลับเป็นห่วงเขา ตอนนี้ไอ้เตี้ยจะอยู่ไหน ทำอะไร ทานข้าวเย็นหรือยัง นาวาจะถึงบ้านปลอดภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ อกผมเต้นเป็นจังหวะเบาหวิวแปลกประหลาด คล้ายว่าใจดวงนี้มันคิดถึงนาวาจนไม่เป็นอันทำอะไร
ศาลาไม้ตั้งอยู่ใกล้แปลงดอกสายหยุดที่อาม่าเพิ่งให้คนสวนลงปลูกเมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่รู้หรอกว่าดอกสายหยุดจะมีกลิ่นแบบไหน เพราะไม่เคยตื่นเช้ามาดมกลิ่นมันได้สักครั้ง ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า
๏ สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง ยามสายพอสายแล้วกลิ่นดอกไม้คงอันตรธานจางหาย คนตื่นเที่ยงแบบผมเลยไม่โอกาสได้ดอมดม กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ประเดี๋ยวเดียวก็ขจายหายไป ต่างจากใจโหยหาคิดถึงของผมที่
สายบ่หยุดเสน่ห์หาย ห่างเศร้า
กี่คืนกี่วันวาย วางเทวษ ราแม่
ถวิลทุกขวบค่ำเช้า หยุดได้ฉันใดฯ
(ลิลิตตะเลงพ่าย น.๓๒)เหมือนตอนนี้ที่ผมมัวแต่คิดถึงนาวา พอไม่ได้อยู่ด้วยแล้วมันอยากเจอเหลือเกิน ไม่รู้เพราะอะไร ตอนนี้ผมอยากเห็นดวงตาสีเฮเซิลคู่นั้น อยากได้ยินเสียงนุ่มของคนตัวเล็กเรียกผมว่าไอ้ตี๋ อยากจับไอ้เตี้ยมางับคอเล่นโทษฐานที่ทิ้งผมไป ไปกินไอติมกับไอ้จอม หึ กินกันจนอิ่มล่ะสิ! ป่านนี้ยังไม่เห็นโทรมา ผมเหลือบตามองโทรศัพท์มือถือที่ตั้งไว้ข้างตัว แอบหวังลึกๆว่านาวาจะโทรหา
ตะวันลับเหลี่ยมฟ้าไปพักใหญ่แล้ว ท้องฟ้าราตรีเวลานี้ถูกคลี่คลุมด้วยเมฆฝน ผมห่อไหล่อีกครั้งเมื่อสายลมพัดเอาความชื้นที่ลอยล่องอยู่ในอณูอากาศมาโดนตัว ใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงนอนเนื้อบางขายาวเลยไม่ค่อยจะให้ความอบอุ่นมากนัก อะไรนะครับ เดี๋ยวไข้ขึ้นเหรอ? หึ ช่างสิ ใครบางคนยังไม่สนเลย ผมจะป่วยตายมันคงไม่สนใจ!
คิดได้ดังนั้นคิ้วพลันกลับมาขมวดมุ่นดังเดิม มือหวดก้านมะยมในอากาศระบายอารมณ์ เจอเมื่อไหร่ล่ะน่าดู
๏ สายหยุดก็อยุดกลิ่น เพราะถวิลลอายใจ
เกรงกลิ่นพระทรามไวย วรรัตนะกานดา
๏ สายหยุดจะอยุดไย อรไทยบ่ได้มา
จักหอมพนอมกา- นนบ้างก็ช่างมัน
(พระนลคำฉันท์ น. ๒๒๕)“ตาเพชร มาอยู่นี่เอง น้ำค้างลงแล้วนะเข้าบ้านเถอะ อาม่ารอทานข้าว” สิ้นเสียงของเจ้พลอยผมก็ลุกเข้าบ้านไปโดยไม่ลืมหยิบก้านมะยมติดมือไปด้วย
ผมวางก้านมะยมไว้ข้างถ้วยโจ๊กหมูที่มีไอน้ำลอยหมุนจนเป็นเกลียวแล้วจางหายไปในอากาศ โจ๊กร้อนๆวางอยู่ตรงที่นั่งประจำของผม ผมเบ้หน้าไม่พอใจ
“เอาก้านมะยมมาทำไมโซ้ยตี๋” อาม่าถาม
“เอามาตีเด็กดื้อ” ผมมุ่ยหน้าตอบ เอาช้อนเขี่ยของตรงหน้าแล้วหันไปบ่นสาวใช้ที่กำลังรินน้ำอุ่นให้ผม “เอาโจ๊กไปเปลี่ยน ใส่ขิงเยอะแบบนี้จะให้กินเข้าไปได้ยังไง ต้องให้บอกกี่ทีว่าฉันไม่ชอบขิง” แล้วผมก็กลับมาปั้นหน้าหงุดหงิดต่อเมื่อเมดคนนั้นยกโจ๊กของผมออกไปแล้ว
“เป็นอะไรเพชร หงุดหงิดอะไร” เจ้พลอยกอดอกนั่งมองผมด้วยสายตาสำรวจ
“เปล่า ผมสบายดี” ผมโกหกนิดหน่อยเพื่อตัดปัญหาไม่อยากให้พี่สาวเซ้าซี้ “ก็แค่ไม่อยากกินของที่ไม่ชอบ”
“สบายดี?” เจ้พลอยทวนคำ “แล้วที่ไอ้หน้าซีดๆ ตาแดงๆนี่เค้าเรียกว่าสบายเหรอ อ๋อ คงจะสบายมากสินะ สบายจนไม่ต้องดูแลตัวเอง น้องวาโทรมาบอกเจ้ว่าเพชรป่วยแล้วไม่ยอมทานยา”
“นาวาโทรหาเจ้?”
“อื้ม โทรมาเมื่อตอนเย็น บอกว่าเราน่ะมีไข้สูงแถมยังลืมทานยา ให้ช่วยดูให้หน่อย เขาไม่ว่าง”
“หึ ไม่ว่าง! หรือกำลังกระหนุงกระหนิงกับใคร แถมยังโทรหาเจ้อีก ไอ้คนที่นั่งตบยุงรอสายอยู่ไม่คิดจะโทรหาเลยใช่ไหม” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง จังหวะเดียวกับโจ๊กหมูถ้วยใหม่กลิ่นหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้า
“ใส่ต้นหอมมาทำไมเยอะแยะ ใส่มาขนาดนี้ไม่เอามาทั้งสวนเลยล่ะ? ฉันไม่กินต้นหอมกลิ่นมันฉุน ไปเปลี่ยนเร็วๆเข้า ทำอะไรไม่ได้เรื่องตลอดเลย” ผมเหวี่ยงโน่นเหวี่ยงนี้ รู้หรอกว่ามันไม่ดี แต่อารมณ์ตอนนี้มันเหมือนเลือดขึ้นหน้า โมโหต้องหาที่ระบาย ใครต่อใครในบ้านต่างรู้กันดีว่าถ้าผมโมโหจะเหวี่ยงแค่ไหน ยิ่งตอนนี้ผมป่วยอยู่ด้วย ความเอาแต่ใจวีนเหวี่ยงเลยมากกว่าปกตินิดหน่อย
สาวใช้ทำหน้าสลดอาม่าเลยจัดการตัดบท “ไปเอามาใหม่ไป แล้วไม่ต้องใส่อะไรเลย แค่หมูกับโจ๊กก็พอ” อาม่าที่มองยังไงก็ยังไม่แก่หันมาพูดกับผม “เป็นอะไรตาเพชรโกรธอะไรใครมา?”
“จะมีใครซะอีกละคะอาม่า อาการแบบนี้พลอยว่าต้องงอนว่าที่คู่หมั้นของเขานั่นแหละ”
“หึหึ โซ้ยตี๋งอนหนูวาทำไม” อาม่าถาม ดวงตายิ้มหยี
“ผมเปล่างอน” ต้องปฏิเสธท่าเดียว ยอมรับทำไมให้เสียภาพพจน์ “แต่หนูวาของอาม่าทำตัวน่าตีมาก มีอย่างที่ไหนนัดกับผมไว้แต่ดันไปกับคนอื่น”
“น้อยใจที่เขาไปกับคนอื่นใช่ไหมเพชร” เจ้พลอยลอยหน้าลอยตาถาม
“ไม่มีวันหรอกเจ้ อย่างผมเนี่ยนะ ผมแค่หงุดหงิดเท่านั้นแหละ เด็กนิสัยไม่ดีนัดไม่เป็นนัด คอยดูเถอะถ้าเจอจะตีให้ช้ำ”
“ด้วยก้านมะยม?” เจ้ผมฉลาดดี แต่ชอบทำหน้ารู้ทัน แถมยังกลั้นหัวเราะ อะไรของเขานะ พอจะหันไปโน้มน้าวเอาอาม่ามาเป็น
แนวร่วมก็เห็นสีหน้าของคนที่มากไปด้วยวัยและประสบการณ์มองอยู่ก่อนแล้ว อาม่ายิ้มราวกับจะหัวเราะออกมา ผมเลยอมลมจนแก้มป่อง ชักจะงอนสองคนนี้ด้วยแล้วนะ “ขำอะไรกันนักหนา ไม่เห็นมีอะไรตลก”
“เหมือนป๊าแกไม่มีผิด” อาม่าส่ายหน้ายิ้มๆ
“เหมือนยังไงคะอาม่า” เจ้พลอยเป็นคนเอ่ยปากถามในสิ่งที่ผมสงสัย
“ก็เวลางอนม๊าลื้อทีไรนะ จะมานั่งบ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างนี้แหละ แต่พอเอาเข้าจริงไม่เห็นจะทำอะไรได้ มีแต่ตามใจม๊าลื้อกว่าเก่า ผู้ชายบ้านนี้เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ มันเป็นโรคประจำตระกูล”
“โรคอะไรคะม่า?”
“โรคกลัวเมียไง” แล้วเสียงหัวเราะของอาม่ากับเจ้พลอยก็ดังกลบเสียงโวยวายของผม
เสียงรถจอดหน้าบ้านเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาเยือน ผมพยักหน้าให้หลิวออกไปดู พลางปั้นหน้าเคืองเรื่องโรคกลัวเมียของอาม่า จริงที่อาม่าบอก ในความทรงจำสีจืดจางของผม พ่อผมเป็นคนที่เกรงใจคุณแม่มาก เรียกได้ว่าแม่พูดคำไหนก็คำนั้น ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ พ่อไม่หือไม่อือกับแม่สักอย่าง แต่ถ้าลับหลังแม่ พ่อมักจะทำเป็นดุและคาดโทษแม่สารพัด แต่ก็ไม่เห็นจะทำโทษแม่ได้สักที ประโยคเด็ดของพ่อที่ผมจำติดหูก็คือ ‘เมียผู้ชายตระกูลนี้ดื้อทุกคน’ จริงดังคำที่พ่อบอก ว่าที่ลูกสะใภ้พ่อคนนี้โคตรดื้อเลยครับ ทั้งซนทั้งดื้อ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นโรคเดียวกับพ่อหรอก! กลัวมันทำไม กะอีแค่คนที่จะมาเป็นเมีย ต้องกำราบ อย่าให้เหิมเกริมออกคำสั่งกับเราได้ คิดแล้วแค้นในความดื้อดึงของนาวา นัดกับผมแล้วยังจะไปไหนมาไหนกับไอ้ชู้ คอยดูพ่อจะตีให้ก้นลาย! ว่าแล้วผมก็กำก้านมะยมแน่น
“คุณนาวามาค่ะ” หลิวรายงานหน้าตายิ้มแย้ม แต่ผมกลับปั้นหน้าบึ้งกว่าเก่า
“ไปเชิญคุณวามาทานข้าว” เจ้พลอยดูจะตื่นเต้นที่ได้เจอว่าที่น้องสะใภ้ ต่างกับผมที่เริ่มหายใจติดขัด เคืองจนออกนอกหน้า
“ฉันไม่ดื่มน้ำอุ่น ไปเอาน้ำเย็นมา” เมื่อคนมาใหม่ได้รับความสนจากกว่าผม ผมก็ต้องเรียกร้องความสนใจจากทุกคนในแบบของผมเอง “ไม่ได้ยินหรือไง เปลี่ยนน้ำด้วย อยากดื่มน้ำเย็น แก้วนี้ร้อนลวกปากขึ้นมาทำไง”
“สวีสดีครับอาม่า พี่พลอย” นาวายกมือไหว้ผู้ใหญ่แถมยังถือวิสาสะจะนั่งลงข้างผม ผมเหลือบมองเขาด้วยหางตาตีก้านมะยมกับขอบโต๊ะบอกเป็นนัยให้รู้ว่าอีกเดี๋ยวแกจะโดน
“ไหนเล่าน้ำ จะดื่มน้ำเย็น” ผมกอดอก มือยังถือก้านมะยมไม่ยอมวาง
“นายจะดื่มน้ำเย็นทำไม” นาวานั่งลงแล้วถามผม คิ้วกระตุกสิครับงานนี้ เหอะ เชื่อเขาเลย ยุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ ผมทำเป็นไม่สนใจหันมาวีนระบายอารมณ์ต่อ
“แล้วเอาโจ๊กถ้วยนี้ไปเปลี่ยนอีกรอบ จืดแบบนี้ใครจะกินไหว รสชาติอย่างกับน้ำเปล่า ทำอะไรไม่ได้เรื่องตลอด ไล่ออกยกครัวเลยดีไหม”
นาวาหน้าเหวอ หึ ตกใจล่ะสิ กลัวแล้วใช่ไหม เห็นแบบนี้ก็โมโหเป็นนะขอบอก อย่าให้ผมต้องดุนะหนูวา ระวังตัวไว้เถอะ เดี๋ยวพี่จะจัดการคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลยคอยดู
“เขาเป็นอะไรไปครับพี่พลอย” นาวาหน้างง ถามเจ้พลอยที่นั่งอมยิ้มดูสถานการณ์
“เหวี่ยงแบบนี้มาตั้งแต่เย็นแล้วค่ะน้องวา คงจะงอน”
“ผม ไม่ ได้ งอน” ย้ำชัดเจนทุกคำพูด แถมอมลมแก้มป่องเข้าไปอีก เหอะไม่ได้งอนเล๊ย ใครเชื่อบ้าง? “ไหนล่ะ โจ๊กถ้วยใหม่กับนำเย็นๆ เห็นหัวกันมั่งไหม สั่งตั้งนานแล้ว” เมดสาวทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ
นาวาเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบรรดาสาวใช้เลยพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าจะจัดการเอง “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก แล้วน้ำก็ไม่ต้องเปลี่ยน ดื่มน้ำอุ่นแหละดีแล้ว” แน่ะ คิดจะลองของใช่ไหม ได้ เจอดีแน่ไอ้เตี้ย!
“ใครถามความเห็นนายไม่ทรา—”
หมับ
สัมผัสตรงแขนตรึงให้ผมนั่งหลังตรงนิ่งไม่ไหวติง มือข้างนั้นของนาวาวางอยู่บนแขนเปลือยเปล่าของผม อบอุ่น มือข้างนั้นอุ่นเหมือนอุ้มลูกแมวตัวเล็กๆในวันฝนตก แถมมือน้อยของเขามอบสัมผัสที่นิ่มเหมือนกำลังลูบขนแมวฟูฟ่อง
วินาทีที่ผมหันไปมอง ดวงตาสีทองคู่นั้นช้อนขึ้นมาสบกับตาผม ประกายระยับของนัยน์ตาสีสวยเหมือนแสงดาวในยามค่ำคืน สวยงามจนทำให้ใจแกว่งไหว คิ้วผมที่เคยขมวดอยู่กลับคลี่ออกโดยไม่รู้ตัว
“พี่เพชร” เสียงนุ่มทำให้ผมหูอื้อ “ทานข้าวเถอะ อย่าปรุงจัดกว่านี้เลยทานจืดๆจะได้หายไวๆ ดื่มน้ำอุ่นด้วยนะ อิ่มแล้วจะได้ทานยา” นาวาเลิกคิ้วสูง บุ้ยหน้ามาทางถ้วยโจ๊กของผม บอกเป็นนัยว่าให้ผมรีบทาน
หึ คิดว่าผมจะทำอะไรเหรอครับ
ใช่ คุณคิดถูกแล้ว
ผมก็ตักโจ๊กเข้าปากโดยไม่บ่นสักคำน่ะสิ
เสียงหัวเราะของอาม่ากับเจ้พลอยดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร บ้านเราไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็นะ จะมาหัวเราะผมทำไมเล่า! เคืองนะเนี่ย
“แล้วไม้นี้เอามาทำไม” นาวาดึงก้านมะยมหลุดจากมือผม
“เอ่อ… เอามา…” ผมพูดตะกุกตะกัก เหมือนแผ่นเสียงสะดุด จะให้ตอบความจริงก็เกรงว่าจะไม่ดีนัก
“เล่น?” สีหน้าฉงนของนาวามองผมสลับกับก้านมะยม
“อะ… อื้ม” ผมพยักหน้าเบาๆอย่างเกรงใจ
“สงสัยจะเป็นกรรมพันธุ์อย่างที่อาม่าว่า” เจ้พลอยยิ้มสนุก อาม่าก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย
“กรรมพันธุ์อะไรเหรอครับ” นาวาทำหน้างง แล้วอาหารค่ำมื้อนี้ก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะ
ภายใต้หยาดน้ำค้างพร่างพราว ผมนั่งบนชิงช้าในสนามเด็กเล่น เท้าสองข้างดันพื้นเพื่อไกวชิงช้าให้เคลื่อนไหว โซ่คล้องชิงช้าเสียดสีกับที่ยึดส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ลมหนาวพัดมาจนผมต้องห่อไหล่ เสื้อกล้ามตัวบางไม่ช่วยให้อบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย เยื้องไปหน่อยเป็นลานบาส เห็นกลุ่มวัยรุ่นห้าหกคนกำลังผลัดกันชู้ตเข้าห่วง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเกทับของพวกเขาขับกล่อมสนามเด็กเล่นแห่งนี้ให้ไม่เงียบเหงานัก
ฟ้าคืนนี้มืดจนมองไม่เห็นแสงดาว อันที่จริงในกรุงเทพฯ เราไม่เคยเห็นดาวเกลื่อนฟ้าอยู่แล้ว ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งล่าสุดที่เห็นดวงดาวทอแสงระยับอยู่บนฟากฟ้าคือตอนไหน ยิ่งคืนนี้เมฆฝนปกคลุมทั่วฟ้า ยิ่งยากที่จะมองเห็นแสงจันทร์และแสงดาว
ผมถอนหายใจเบาๆและแกว่งชิงช้าด้วยขาทั้งสอง หลังทานข้าวเสร็จผมแอบหนีมานั่งทำใจอยู่ในสนามเด็กเล่นแถวๆบ้านเพราะผมยังไม่พร้อมเจอนาวาตอนนี้ ผมยังงอนเค้าอยู่และยังไม่พร้อมจะยกโทษให้ แต่ลองให้ผมอยู่ต่อหน้าเขาสิ กรรมพันธุ์ฝ่ายพ่อได้กำเริบให้เห็น ใจอ่อนยวบยาบ จากที่โกรธที่งอนกลับหายเป็นปลิดทิ้ง จะขู่จะว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจกัน หรือพูดง่ายๆว่าผมไม่กล้าด่านาวานั่นเอง ผมเลยหลบมาทำใจที่นี่
“กว่าจะเจอ ปั่นวนตั้งสองรอบ” เสียงหอบเหนื่อยกับเสียงจอดจักรยานดึงผมให้ตื่นจากภวังค์ นาวายิ้มให้ผมแล้วถือวิสาสะนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ
“อย่านั่งตรงนี้ ไปนั่งตัวอื่นเลย”
“อ้าวทำไมล่ะ” หน้านวลฉายแววงุนงง
“ไม่อยากเห็นหน้าตอนนี้”
นาวาหัวเราะเบาๆในลำคอแต่ก็ยอมลุกจากไปแต่โดยดี เจ้าเด็กดื้อนั่งตรงสไลด์เดอร์ที่หันหน้ามาทางผมในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ผมยังได้ยินเสียงหอบหายใจของเขา ผมทำแก้มป่องมองฟ้ามองดินไปเรื่อย ทำเหมือนเขาไม่อยู่ตรงนี้ แต่กระนั้นก็ยังแอบเหลือบมองนาวานั่นแหละ ไอ้เตี้ยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงปลายสไลด์เดอร์ ตาสีสวยมองมาทางผม
“พี่เพชร น้ำค้างลงแล้วกลับบ้านกันเถอะ ปั่นจักรยานมารับแล้วเนี่ย ไม่น่าเชื่อจักรยานพี่พลอยจะสีชมพูหวานขนาดนี้ น่ารักชะมัด” นาวาชวนผมกลับและชวนผมคุย ผมยังคงเงียบ ความน้อยใจไม่รู้หลั่งไหลมาจากไหน แต่ตอนนี้… แค่อยากให้เขาอยู่ตรงนี้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร
“หนาวไหม” เขาคงเห็นผมห่อไหล่ เลยลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าผม เมื่อผมเงยหน้ามองก็เห็นนาวากำลังถอดเสื้อ ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ก่อนจะร้องอะไรออกมา สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเข้มที่นาวาสวม เจ้าตัวบรรจงคลุมไล่ให้ผม ทำอย่างกะตัวเองเป็นพระเอกละครห่มเสื้อให้นางเอก ชิไม่หายงอนหรอก แล้วพี่ไม่ได้เป็นนางเอกด้วย อย่างนี้พระเอกเท่านั้นขอบอก
“เสร็จแล้วก็ถอยกลับไปที่เดิม” ผมพยายามทำเสียงเย็นชา ไม่กล้าสบตาใสสวยคู่นั้นเพราะกลัวใจอ่อน
“ยังไปไม่ได้ เอานี่ไปก่อน” นาวายื่นกิ่งมะยมที่เสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงมาให้ผม “เอานี่มาให้ ไม่ยึดไว้นานหรอก” เขาจับมือผมแล้วยัดก้านมะยมอันที่ผมเด็ดมาจากท้ายสวนคืนให้ ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากสนใจ ขอทำใจให้สงบคนเดียวลำพัง
“อื้อ” นาวาแบมือยื่นมาทางผม “เอาสิ”
ผมมองมือเปล่าๆของเขาแล้วเลิกคิ้วถาม “อะไร”
“ก็จะตีวาไม่ใช่เหรอ ตีสิ”
“รู้ด้วย?”
“ทำไมจะรู้ หน้างอซะขนาดนี้ ตีสิจะได้หายงอน ง้อไม่เป็นนะ” ผมเผลอสบตานาวาเข้า เงาสะท้อนของตัวเองบนแววตานั่นทำเอาผมไปไม่เป็น นาวากำลังจ้องตาผมอยู่ พลันใจเต้นรัวเร็วจับจังหวะไม่ถูก กาก ผมด่าตัวเองในใจ งอนให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้
“ไม่ตีหรอก เดี๋ยววาเจ็บ” ผมหักก้านมะยมทิ้ง แล้วถอนหายใจเยือกยาว
“พี่เพชร” นาวาจับหน้าผมที่นั่งอยู่ให้เงยมองเขา “วันนี้วาไปวัดตัวมาแล้วนะ ให้พี่จอมพาไป”
“หลังจากไปกินไอติมกับมันเสร็จละสิ”
“เปล่า” นาวาส่ายหน้า “ไม่ได้ไปไหนกัน ไปแค่ร้านพี่วิทย์ที่เดียว ตามใจก็ไปด้วยพอดีเจอน้องตามที่ลานจอดรถในมหาลัย”
“ไปวัดตัวชุดงานหมั้น ทำไมไม่ให้คู่หมั้นพาไป” ผมจับได้ว่าหางเสียงตัวเองเบาหวิว ความน้อยใจคงจะทะลักออกมาทางสายตาให้นาวาได้เห็น
“พี่เพชร” นาวาวางมือข้างหนึ่งไว้บนไหล่ผม “อย่าน้อยใจ วาไปกับพี่จอมเพราะเห็นว่าพี่ป่วย อยากให้พักผ่อนบ้าง”
“วันนี้วาผิด รู้ตัวไหม”
“รู้ แล้วพี่ล่ะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองผิดอะไร”
“พี่ทำไรผิด?”
“หึ” นาวาดึงมือตัวเองกลับไป “เชื่อเขาเลย ตีหน้ามึนได้อีก”
“เดี๋ยววา” ผมคว้ามือของเด็กแว่นที่เริ่มทำหน้างอใส่ผม “พี่ทำอะไรผิด บอกสิ”
“เรื่องมิกกี้ กับผู้หญิงคนนั้นที่ใต้คณะ” นาวาตอบฉะฉาน
“วาหึง?”
“ไม่รู้ แต่ไม่ชอบ ไหนบอกว่าเป็นคู่หมั้นกันแล้วจะไม่วอแวกับคนอื่นไง วาไม่อยากให้คนอื่นเอานินทาเล่นว่าคู่หมั้นตัวเองควงสาวบริหารสลับกับสาวสองอกโต”
“หึหึ” แบบนี้เขาเรียกว่าหึง ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง ในใจผมตอนนี้พองโตจนความสุขมันเอ่อล้นคับอก ผมฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า
“พี่ขอโทษ กับมิกกี้พี่แค่มอง ก็.. มันสะดุดตา ส่วนโบว์คนที่วาเจอใต้คณะ ยอมรับว่าพี่แค่เคยเดตกับเขาสองครั้งละมั้ง แต่ไม่มีอะไรหรอกนะ ตอนนั้นแค่พาไปเดินห้างแก้เบื่อ”
นาวากอดอก มองไปทางอื่น หึหึ จากที่เขามาง้อผม กลายเป็นว่าผมต้องง้อเขาซะนั่น ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เชยคางคนตัวเล็กที่มีสีหน้าราบเรียบให้มองมาทางผม “นาวาครับ วันนี้พี่เองก็ผิด มัวแต่สนใจคนอื่น ไม่เชื่อฟังวา พี่ลืมทานยาเพราะมัวแต่ยุ่ง แต่รู้ไหม คนป่วยเค้าต้องการคนเอาใจใส่ วันนี้พี่อารมณ์ขึ้นๆลงๆเพราะทั้งป่วยทั้งน้อยใจ วาเองก็ดันทิ้งพี่ไปกับไอ้จอม พี่เสียใจนะที่วาทำแบบนั้น”
นาวาเงยหน้ามองผม “พี่เพชร ที่ตอนเย็นวาโกรธพี่ สาเหตุหลักมาจากที่พี่ไม่ดูแลตัวเอง เห็นแบบนี้ถึงวาไม่พูดก็ใช่ว่าวาไม่เป็นห่วง พี่ป่วยเพราะไปช่วยวา เสียเลือดมากจนไข้ขึ้น เวลาที่ได้พักผ่อนก็น้อย วารู้วาเป็นต้นเหตุทั้งนั้น ทั้งๆที่ห่วงแทบตาย ซื้อยาซื้อแผ่นลดไข้ไปให้ แต่ดูพี่ทำสิ ไม่เห็นน้ำใจกันบ้างเลย ตอนนั้นวาเองก็เสียใจมากนะ ห่วงคนที่เขาไม่ห่วงตัวเอง กลุ้มไปคนเดียวทั้งที่เขาไม่ใส่ใจดูแลตัวเองสักนิด”
ผมคลี่ยิ้มบางๆให้กับตัวเองและคนตรงหน้า วันนี้เราพูดในสิ่งที่เราต่างรู้สึก โดยไม่มีกำแพงใด ไม่มีข้อแม้อะไรมาขวางกั้น สิ่งที่ผมรู้สึกและสิ่งที่นาวาคิดได้ถ่ายทอดออกมา ต่างฝ่ายต่างรับฟัง และทำความเข้าใจ
“มานี่” ภายใต้ความมืดของค่ำคืน หยาดน้ำค้างประโปรย ผมดึงร่างแบบบางของนาวาเข้ามาในอ้อมกอด ผมสวมกอดแผ่วเบา ปล่อยให้ความอบอุ่นของร่างกายเราปลอบประโลมกันและกัน เรานิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ปล่อยให้เสียงหัวใจที่แนบใกล้พูดคุยกันเอง
“วาครับ พี่ดีใจ” ผมซุกหน้าลงบนซอกคอหอมละมุนของอีกฝ่าย “ที่เราสองคนเป็นแบบนี้เพราะเราแคร์กันนะรู้ไหม และเราก็อยากให้อีกฝ่ายแคร์เราเหมือนกัน ต่อไปนี้มีอะไรบอกกันตรงๆเถอะนะ พี่ไม่อยากงอนไปคนเดียวแบบนี้ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้วาน้อยใจพี่อย่างนั้น เราสองคนจะพูดกันทุกเรื่อง เปิดใจคุยกันและเปิดใจให้กันและกันได้ไหม”
ผมทิ้งหางเสียงนุ่มนวล ทุกคำกลั่นออกมาจากใจจริงๆ ไม่ได้พยายามปั้นคำพูดให้ดูสวยหรูแต่อย่างใด ผมใช้ใจพูดและรับรู้ได้ว่านาวาพยักหน้ากับอกของผม เปิดใจให้กันเถอะนะคนดี
“สิ่งที่พี่รักมีอยู่สามอย่าง พี่รักตัวเอง รถ และครอบครัว สำหรับคนไม่เอาไหนแบบพี่ นาวาเป็นคนในครอบครัวที่พี่ รัก และอยากปกป้อง ตอนนี้พี่ได้แค่รักแต่ยังไม่รู้ว่าจะรักนาวายังไง พี่หมายถึงพี่อยากรักนาวาเป็น อยากรู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกที่มันล้นอกนี่ยังไง ตอนนี้เราทั้งคู่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้กันอีกมาก อาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งเดินจากกันไปนะ”
“หึ พูดอย่างกับจะขอแต่งงาน” นาวาบ่นอู้อี้อยู่กับอกผม คิดว่าเขาคงหน้าแดง เพราะภายใต้แสงสลัวของหลอดไฟยามค่ำ ผมเห็นใบหูของเด็กตัวน้อยในอ้อมกอดระเรื่อเหมือนสีผลตำลึง
“ขอแต่งได้ก็ดี แต่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ รักพี่ขึ้นมาเมื่อไหร่คนที่จะมาขอพี่แต่งงานคงจะเป็นวานั่นแหละ”
“ฝันไปเถอะ”
“วาครับ” ผมผละออกจากซอกคอหอม เชยคางนาวาให้มองมาทางผม แต่ไม่ได้ปล่อยมือที่สวมกอดเอวเขาอยู่ “สำหรับเรื่องที่ผ่านมาวันนี้ พี่ขอโทษนะ” ผมส่งความจริงใจผ่านสายตาให้นาวารับรู้ ยอมลดทิฐิตัวเอง ยอมเพื่อคนนี้คนเดียว
ภายใต้ความมืด นาวาหน้าแดง “วาเองก็ขอโทษที่ทำตัวไม่ดี” พูดเสร็จก็ก้มงุดๆลงที่ไหล่ผม
“หึหึ” ผมหัวเราะอย่างมีความสุข หัวใจพองโตคับอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่ยกโทษให้” ผมแกล้งทำหน้างอ
“จะให้วาทำไงเล่า ง้อไม่เป็นนะ” นาวาผละจากตัวผมแล้วทำแก้มป่อง น่าจิ้มแก้มจัง
“เอาดาวบนฟ้ามากองตรงหน้า พี่ถึงจะหายละกัน ฮ่าๆ”
“จะเอาดาวใช่ไหม?”
“ช่าย” ผมพยักหน้ารับ
“งั้นรอเดี๋ยว ห้ามไปไหนนะ” นาวาพูดเร็ว และรีบคว้าจักรยานสีชมพูของเจ้พลอยปั่นออกไป
สักพักเขากลับมาพร้อมอาการหอบอย่างเห็นได้ชัด เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผม เห็นแล้วอยากเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้ แต่ตอนนี้ผมมีเพียงแขนเสื้อจากสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเข้ม ผมซับเหงื่อให้คนตัวเล็กแผ่วเบา
“หลับตาก่อน เอาดาวมาให้แล้ว”
ผมเลิกคิ้วสงสัย เอาดาวมาจากไหน แต่รอยยิ้มของอีกฝ่ายบอกให้ผมทำตาม ผมเลยต้องหลับตาแต่โดยดี ผมนั่งอยู่ตรงปลายสไลด์เดอร์ ก่อนหลับตาผมดึงนาวานั่งลงบนตัก
“ลืมตาได้แล้ว”
ทันทีที่ลืมตา ประกายสีทองของไฟเย็นสว่างสดในอยู่ในมือของคนที่นั่งบนตัก มองไปเหมือนดาวดาวงน้อยส่องแสงระยิบระยับ
Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are.
Up above the world so high,
Like a diamond in the sky.
ดาวดวงน้อยกะพริบระยิบตา
ฉันสงสัยเธอเป็นใครแต่ใดมา
ลอยเหนือโลกสูงเหนือนภา
งามระยับราวเพชรนิลจินดาผมเกยคางกับไหล่ของเจ้าตัวเล็ก มองดูไฟเย็นแล้วยิ้มเหมือนคนใกล้บ้า ความสุขเอ่อล้นจนไม่อาจหาคำพูดใดๆมาบรรยาย ผมเก็บเกี่ยวความสุขนี้เอาไว้ในใจ เก็บทุกวินาที เก็บทุกความรู้สึก ผมฝังวันนี้เอาไว้ในความทรงจำ ชัดเจนทุกชั่วขณะ โดยเฉพาะเวลานี้
“ถึงจะคว้าดาวบนฟ้ามาให้ไม่ได้ แต่เอาดาวบนดินไปดูก่อนแล้วกัน หายงอนได้แล้วนะตี๋”
As your bright and tiny spark,
Lights the traveler in the dark.
Though I know not what you are,
Twinkle, twinkle, little star.
แสงน้อยๆของเธอนั้นสำคัญมาก
ส่องนำทางคนหลงทิศไม่คิดจาก
หากฉันจะรู้แท้จริงแล้วเธอคือใคร
เจ้าดวงดาราระยับประจำใจ ผมสวมกอดนาวาแนบแน่น ความสุขความอบอุ่นวิ่งปลาบไปทั่วกาย
“ตัวเล็กครับ” ผมกระซิบเรียกนาวาให้หันมอง เขาเอียงหน้ามาทางผมเล็กน้อย ผมหอมแก้มนาวาแผ่วเบา สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆเข้าปอดเนิ่นนาน ก่อนจะถอนจมูกออกแล้วกระซิบข้างหูเจ้าของดวงใจผมว่า
“รัก”