ตอนที่ ๖๒ ของดีมีในป่า
“พี่บอมบ์ ต้มมาม่ากินไหมพี่ ผมโคตรหิว”ไอ้แม็ควางเป้สนามลงแล้วรีบถามความเห็นผมทันที
“เดี๋ยวก่อนดิ รอผู้กองอนุญาตก่อน ถ้าหิวก็กินดิบไปก่อน ตอนเย็นค่อยกินน้ำร้อนตามทีหลัง”
“หิวมากเลยพี่ หมดแรง”มันเปิดเป้สนามของมันหยิบขนมมากิน
“อย่าเพิ่งถอดเป็นครึ่งท่อนนะทหาร รอคำสั่งผู้กองก่อน ตอนนี้ถอดสายเก่งได้ แต่อย่าเพิ่งครึ่งท่อน”จ่าสั่ง
“ครับจ่า”
“เอามากินบ้างดิแม็ค”ไอ้กรพลกระสุน ๒ แบมือขอขนม
“กินไหมพี่บอมบ์”ไอ้ด่าน คนนี้ตำแหน่งผู้ช่วยพลยิง ไอ้สุภาพบุรุษ ๔ ด. ด่าน เด็ดดวงเดือน ชื่อจริง นามสกุลจริงของมัน มันหยิบน้ำแดงซึ่งมีครึ่งขวดมาแล้วยื่นให้ผมก่อน เสียสละมาก
“เออ กินเหอะ พี่มีของพี่เหมือนกัน ไอ้นุ ไอ้สัส ทำเหี้ยอะไรของมึง”ผมถามไอ้นุตำแหน่งพลกระสุนลูกน้องไอ้ตวงซึ่งกำลังเอนตัวแบบไม่สนใจใคร
“ง่วงนอนอ่ะพี่”มันตอบแล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวค่อยนอน ไอ้สัส ช่วยดูคนอื่นหน่อยว่าเขาทำอะไรกัน กูไม่อยากมีเรื่องในป่ากับใครนะ”ผมสังเกตไอ้นุมาหลายครั้งแล้ว มันชอบเอาเปรียบคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง บางทีผมเองก็โมโหเหมือนกัน ถึงเวรให้ไปรับข้าวรับน้ำมากิน มันก็ชอบทำอิดออด วอนจะโดนผมตบหลายครั้งแล้ว ผมไม่อยากจะเตะ ตบ ต่อย ใครสักเท่าไหร่ ไม่อยากมีปัญหาบาดหมางใจกัน แต่บางทีมันก็เกินไป
“ก็เขาไม่ได้ฝึกแล้วนี่พี่บอมบ์ ก็นอนดิ จะสนใจใคร”ตอบได้กวนตีนมากเลยครับ
“มานี่ดิ”ผมกวักมือ มันเดินเอื่อยเฉื่อยแบบกวนตีน ผมเหยียดหมัดขึ้นจะต่อยหน้าแล้ว ถ้าไอ้มหาไม่มาจับแขนผมไว้ก่อน
“เฮ้ยมึง ใจเย็น”
“กูบอกให้ดูคนอื่นบ้าง เข้าใจคำพูดกูป่ะ กวนตีนนะมึงไอ้เหี้ย มาฝึกเป็นหมู่เป็นคณะ คนอื่นเขาทำอะไรมึงก็ทำตามเขาดิ”
“เฮ้ย ไอ้บอมบ์ มีค่อยๆพูดค่อยๆจาดิวะ ทำไมไม่บอกจ่า จ่าจะได้แดกมัน”จ่ารีบมาดึงตัวผมอีกคน กลัวผมจะพุ่งหมัดใส่หน้าไอ้นุ มึงรอดตัวไปนะ
“แก้ไขครับจ่า มึงจำกูไว้นะไอ้นุ นี่มันแค่วันที่ ๓ อีก ๙ วันที่มึงต้องอยู่กับกูในป่า แล้วอีกปีกว่าที่มึงต้องอยู่กับกูในกองร้อย ถ้ามึงคิดว่ามึงเก๋าพอ ก็ลองดีกับกูได้”ผมชี้หน้ามันแล้วเดินไปพัก ทุกคนในหมู่ปืนกลต่างอึ้งไม่มีใครกล้าพูดอะไร ส่วนไอ้นุซึมไปเลย ครู่หนึ่งหลังจากที่ผู้กองอนุญาตให้ถอดเป็นชุดครึ่งท่อนแล้ว จ่าก็เรียกประชุมหมู่ปืนกล ทั้งปืน ๑ และปืน ๒
“เอาละ พวกเอ็งฟังจ่านะ จ่าในฐานะผบ.หมู่ปืนกล จ่าไม่อยากจะเห็นทหารผิดใจกันหรอก ก่อนมาจ่าก็บอกกับทุกคนแล้วว่าให้ทำตามหน้าที่ ฟังผู้บังคับบัญชา ฟังรุ่นพี่ รุ่นพี่เอ็งว่าอะไรก็ให้เชื่อฟัง อย่าดื้อ เอ็งยังไม่เคยโดนมือโดนตีนไอ้บอมบ์เอ็งไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แต่จ่าจะบอกให้ฟังว่า มันกระทืบนายสิบเข้าโรงบาลมาแล้ว ๓ คน พร้อมกันทีเดียว ฟังไอ้บอมบ์มันบ้าง จ่าไว้ไอ้บอมบ์นะ ไอ้มหาก็ด้วย จ่าว่าทั้ง ๒ คนเป็นคนรับผิดชอบ กล้าได้ กล้าเสีย ใจถึง แล้วรู้หน้าที่ รู้เกมส์ ที่จ่าไม่พูดอะไรไม่ใช่พวกเอ็งไม่ฟังรุ่นพี่ เพราะจ่าไว้ใจไอ้บอมบ์กับไอ้มหา จ่าไม่อยากจะพูดมาก ให้พี่ๆน้องๆดูแลกันเอง มันซอฟต์กว่าที่จ่าจะดูแลพวกเอ็ง แล้วเอ็ง จ่าหมั่นไส้เอ็งนะไอ้นุ เอ็งเอาเปรียบคนอื่นเกินไป จ่าพูดตามตรงเลยนะ ไม่อ้อมค้อม เอ็งชอบเอาเปรียบ ชอบทำตัวไม่สนใจโลก อยากให้โลกสนใจก็ลองดูนะ มือตีนไอ้มหาใช้ว่าจะน้อยๆ ของไอ้บอมบ์เอ็งดูหุ่นมันดิ มีปัญญาสู้เขาไหวหรือเปล่า อย่าให้ต้องผิดใจกันในป่า เดี๋ยวจะไปกันไม่รอด ต่อไปนี้ถ้าใครไม่ฟังไอ้บอมบ์กับไอ้มหา จ่าอนุญาตให้จัดการได้เลย เข้าใจตามนี้นะ”
“ครับจ่า”
“เออ แล้วก็มีอะไรให้รีบมาบอกมาปรึกษาจ่า ปรึกษาไอ้บอมบ์กับไอ้มหาก็ได้ จ่ากับพวกมัน ๒ คน รู้ใจกันดี ฝึกครั้งที่แล้วมันให้ใจจ่าเต็มที่ จ่าชอบคนแบบนี้ คนจริง ทำจริง แล้วสุดท้าย เก็บเอาไปคิดใคร่ครวญให้ดีกับเหตุการณ์ที่ผ่านมานแต่ละวัน เราทำอะไรเพื่อนใครบ้าง ใครทำอะไรเพื่อเราบ้าง ช่วยเหลือเจือจานกัน อีกไม่กี่วันจะฝึกเสร็จแล้ว อดทนเอาหน่อย อย่าท้อ ไป แยกย้ายกันพักผ่อน”
“ตรง”ผมสั่งเสียงเข้ม ทุกคนลุกขึ้นยืนตรงทำความเคารพจ่าแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนผมกับไอ้มหายังอยู่นั่งคุยกับจ่า
“จ่าคิดว่าไอ้นุจะโดนซะแล้ว ดีนะไอ้มหาห้ามทัน ไม่งั้นล่ะก็ พังทั้งหมู่แน่ ไอ้บอมบ์ มึงอย่าใจร้อนดิวะ เตือนมันก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยว่ากันทีหลัง”จ่าตำหนิ ผมรู้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไปในบางครั้ง แต่ทำไงได้ เห็นแล้วมันอดไม่ไหว
“แก้ไขครับจ่า”
“เออ แต่คิดไปจ่าว่ามันน่าจะโดนบ้างก็ดี พวกนี้คุยภาษาคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ อ้าว พีเอ็กซ์มาขายของแล้ว ไปซื้อน้ำซื้อขนมมากินสิ อ่ะจ่าเลี้ยง”จ่ายื่นแบงค์ให้ ๒๐๐ บาท ผมรับมาแล้วบอกรุ่นน้องให้ตามผมไปคนหนึ่ง ไอ้นุรีบลุกมาทันทีเลย ผมเดินนำเงียบๆไปที่พีเอ็กซ์เคลื่อนที่ ช่วงนี้ตะวันลับขอบฟ้า บรรยากาศมือสนิทไปแล้ว คณะกรรมการไม่มายุ่งหรอกครับ ถ้าเป็นครั้งที่แล้วนะ ต้องระแวงกรรมการเพราะจะสุ่มตรวจ ถ้าใครโดนจับได้ว่าซื้อของนี่โดนหักคะแนนและโดนลงโทษ เอาชื่อไปประจานที่กรมให้อายกันไปเลยทีเดียว แต่ครั้งนี้ชิวกว่าครั้งที่แล้วไปครึ่งหนึ่ง
“ไปกับพี่บอมบ์ไม่มีอดว่ะ แม่ค้านมใจใหญ่ถึงแถมขนมซะหมดร้าน”ไอ้นุพูดอวดคนอื่นๆ ผมว่ามันเวอร์เกินไป เขาแถมมาแค่ไม่กี่ชิ้นเอง
“กูว่าแม่ค้าหลงเสน่ห์ไอ้บอมบ์ชัวร์เลยว่ะ เฮ้ย คาถาเขาว่าอะไรบ้างวะ บอกกูหน่อย”ไอ้มหากระแซะเข้ามาหา
“คาถาอะไรล่ะ กูไม่ได้ท่อง กูเลิกใช่คาถาถาเถออะไรนานแล้วโว้ย กินๆไปพวกมึง เขาแถมให้ก็ดีมากเท่าไหร่แล้ว คนอื่นแม่งอิจฉากูเป็นแถว ยุกูอยู่นั่นแหละว่าให้จัดการแม่ค้า สัสเอ๊ย ไอ้พวกไม่มีเมียมันก็พูดได้ดิ”
“หึหึ ไอ้คนกลัวเมียก็กลัวต่อไป”จ่าแกขำกับท่าทีของผม
กินอิ่มก็แยกย้ายกันกลับที่ของตัวเอง เรานอนกันเป็นกระจุกนะครับ หมู่ใครหมู่มัน ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ผมกับไอ้มหานอนเปลขนาบกัน คือมันจะมีคนไม้ผูกเปลใกล้ๆกัน ตรงหัวนอนเราผูกที่ต้นไม้ต้นเดียวกัน แต่ปลายเท้าคนละต้น วางปืนไว้ตรงกลางแล้วนอน ผมยังไม่ทันได้หลับสนิทเลย ไอ้มหาก็สะกิดเรียกผมเบาๆ
“ใครมาขี่ม้าอะไรแถวนี้วะดึกๆดื่นๆ”ไอ้มหาบ่นเบาๆ ผมเองทีแรกก็ไม่ได้ยิน แต่พอเงี่ยหูฟังไปสักพักได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินดังตุบตับ กึกๆกักๆ แล้วเสียงร้องของม้าดัง ฮี่ๆ
“เขาแสดงหนังหรือเปล่าวะ”ผมถามด้วยความสงสัย เออ เขาคงแสดงหนังใกล้ๆแถวนี้มั้ง
“แสดงหนังอะไรวะมืดๆค่ำๆ แล้วตรงนี้มันที่ฝึก ถ้าเขาแสดงเราก็ต้องเห็นกองถ่ายแต่หัววันแล้วสิ”
“เออว่ะ แล้วใครเอาม้ามาขี่เล่นวะ”ผมนึกสงสัย สักครู่หนึ่งเสียงม้าหลายตัววิ่งกุบกับอีกรอบหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงดาบกระทบกันดังเป๊งๆ “ถ้าเขาไม่แสดงหนังแล้วเขาทำอะไรวะมหา”
“กูว่ามันเป็นเสียงรบกัน มึงได้ยินเสียงดาบป่ะ เฮ้ย บอมบ์ กูว่าเราเจอของดีแล้วล่ะ”ไอ้มหาพูดเสียงตื่นเต้น ผมเองเงยหน้าขึ้นมองไปหายังต้นเสียงซึ่งผมว่าไม่น่าจะอยู่ไกลเกินร้อยเมตร แต่ทุกอย่างมีแต่ความมืดสนิท
“อาจจะใช่ของมึงว่ะมหา ทำไงดีล่ะมึง”ผมเองก็ชักจะกลัวๆเหมือนกัน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอกมั้ง เขาคงอยากบอกให้เรารู้ว่าตรงนี้น่าจะเป็นสนามรบเก่า”
“เออว่ะ”ผมนอนต่อและฟังเสียงร้ององม้า เสียงดาบที่ฟันดังฉ้งเฉ้ง จนร่างกายเริ่มเข้าสู่นิทรา ผมหลับไปแต่ก็ยังฝัน ผมฝันว่ามีชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดูคมเข้ม จะว่าเป็นคนโหดร้ายก็ไม่เชิง เป็นคนใจดีก็ไม่ใช่ เขาขี่ม้าสีขาว ในมือถือดาบยาวและคมกริบ คล้ายดาบของพ่อผมซึ่งอยู่ที่บ้าน ที่หลังสะพายดาบอีกเล่มหนึ่งขนาดใกล้เคียงกัน ชายฉกรรจ์คนนั้นแต่งกายชุดนักรบ ผมไม่แน่ใจว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือสมัยอยุธยากันแน่ เขานั่งอยู่บนหลังม้าแล้วมองมาที่ผม ไม่ได้พูดอะไร สายตาเขาดูมีอำนาจมาก แต่ทำไมผมไม่กลัวเขา ผมกลับรู้สึกชื่นชมและรู้สึกว่าตัวเองได้ขี่ม้าตัวนั้น นอกจากม้าสีขาวตัวนี้ที่นักรบคนนี้ขี่หลังมันอยู่แล้ว ยังมีม้าอีกตัวเป็นม้าสีน้ำตาลเข้ม นักรบอีกคนเป็นคนรูปร่างขาว ดวงหน้าคมเข้มและอ่อนโยน กิริยาท่าทางดูซอฟต์กว่าคนขี้ม้าตัวสีขาว ในมือเขาถือดาบเหมือนกัน แต่ที่หลังสะพายคันธนูและลูกธนู หน้าของนักรบคนนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นใครสักคนที่ผมสนิทด้วย ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันคล้ายๆไอ้มหานะผมว่า ผมยืนมองนักรบทั้งคู่ด้วยใจฮึกเหิมเหมือนกำลังเข้าไปสู่สนามรบเอง แล้วครู่หนึ่งเจ้าของม้าตัวสีขาวก็พูดเสียงดัง
“เลือดเนื้อที่พวกข้ายอมพลี เพื่อชีวีของอนุชนรุ่นหลัง ต่อให้ข้าม้วยมรณาในสนามรบสักพันครั้งเพื่อปกปักษ์แผ่นดินนี้ให้ลูกหลาน ข้าก็จักยอมตาย”เสียงดังกังวานเข้าที่โสตประสาททำให้ผมขนพองสยองเกล้า มีความรู้สึกตัวพอง ใจฟูฟ่อง เหมือนตัวเองได้เข้าไปรบในสนามรบจริงๆ ผมมองนักรบทั้ง ๒ คนอีกครั้ง ก่อนที่นักรบคนนั้นจะขี่ม้าแล้วฝ่าความมืดออกไป
“ห่าเอ๊ย ฝันบ้าบออะไรของกูวะ”ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา หยิบนาฬิกาข้อมือมาดูปรากฏว่าตอนนี้ใกล้จะตี ๕ แล้ว ผมนั่งห้อยขาลงแล้วมองไปเบื้องหน้า ตอนนี้มีแต่ความมืดกับสียงร้องของจิ้งหรีดและนกที่กำลังจะออกหากินรับอรุณ เสียงซุกซักดังขึ้นเพราะไอ้มหามันตื่นตามผมนั่นเอง
“รีบตื่นนะ นอนไม่หลับหรือไง”
“หลับเป็นตายจนฝันเป็นตุเป็นตะอะดิ”
“ฝันว่าอะไรวะ”
“กูฝันเห็นนักรบขี่ม้าว่ะ”
“เฮ้ย จริงดิ กูก็ฝัน”จากนั้นไอ้มหาสาธยายนักรบที่มันเห็นในฝัน เฮ้ย ตกลงมันเป็นฝันหรือเกิดหลอนอะไรกันแน่ ฝันของผมกับฝันของไอ้มหาเหมือนกันมาก ประโยคที่พูดก่อนขี่ม้าไปก็อันเดียวกัน “มันใช่ฝันเหรอวะไอ้บอมบ์ ทำไมมันเหมือนกันแบบนี้วะ”
“นั่นน่ะสิ ตกลงมึงมาลอกฝันกูหรือกูไปลอกฝันมึงวะ เหมือนกันมาก”
“เออสิวะ”ผมงงมากกับความฝันที่เหมือนกัน ตกลงมันใช่ความฝันหรืออะไรกันแน่ นั่งงงอยู่ครู่หนึ่งทุกคนเริ่มตื่นขึ้น บิดขี้เกียจ ใครที่ขี้เซาหน่อยก็ยังนอน จนเสียงจ๊อกแจกจอแจเริ่มดังขึ้น และได้กลิ่นควันไฟ ผมเองลุกขึ้นจากเปล เก็บผ้าเต้นก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็เก็บเป้ยัดใส่เป้ ไอ้สุภาพบุรุษ ๔ ด. ด่าน เด็ดดวงเดือน มันลงจากเปลไม่ทำอะไร เบ่งตดเต็มที่แล้วหยิบเศษไม้มาก่อไฟ เอาหม้อสนามมาต้มน้ำ
“พี่บอมบ์หวัดดี พี่มหา หวัดดี”รุ่นน้องยกมือไหว้ทำความเคารพ มันไหว้มาผมก็ไหว้มันกลับ ให้เกียรติกันและกัน ผมไปทำความเคารพจ่า จากนั้นก็บอกน้องๆก่อนจะไปหามุมเหมาะวางระเบิด ขี้กลางป่ากลางเขาแบบนี้มันเย็นตูดดีนะครับ
“พี่บอมบ์ ผมไปขี้ก่อนนะพี่”พอผมเสร็จธุระรุ่นน้องก็เริ่มทยอยไปทำธุระ ไอ้มหามันกินกาแฟนเสร็จ ลุกขึ้น ตดทีหนึ่ง
“เฮ้อ กินกาแฟแล้วปวดขี้ทุกที”
“ไอ้ห่า ตดไกลหน้ากูหน่อยก็ไม่ได้นะมึง เดี๋ยวกูเตะตูดขี้หักในเลยไอ้เวร”ผมกับไอ้มหานั่งข้างกัน พอมันยืนความสูงระดับตูดมันในใกล้กับหน้าผมพอดี แล้วเสือกตดอีก กูไม่น่าขี้ก่อนเลย รู้งี้เก็บไว้ตดใส่หน้าไอ้มหาดีกว่า
ฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ทุกคนทำธุระเสร็จเรียบร้อย เก็บเป้เก็บข้าวของ ทำลายหลักฐานการเข้ามาอยู่อาศัยของคืนที่ผ่านมาจากนั้นก็รอกินข้าวเช้า เสียงรถข้าวดังมาแต่ไกลๆ ทุกคนเตรียมตัวเอาหม้อสนามมาวางไว้ในหมู่ของตัวเอง จนรถจอดสนิทรออยู่ครู่หนึ่งจึงแต่งตัวเต็มยศสะพายปืนเดินไปรับข้าว ผมไม่ได้ไปเองนะครับเพราะยังไม่ถึงเวรผม รุ่นน้องเป็นคนไป รอครู่หนึ่งข้าวมา ดีหน่อยที่เป็นข้าวถุงแกงถุง มันสะดวกดี มาถึงก็แจกข้าวแจกกับแล้วนั่งกินกันเป็นวง
“อิ่มไหมบอมบ์”จ่าถามผม
“ข้าวถุงเท่ากำปั้นไม่ถึงเสี้ยวกระเพาะผมเลยครับจ่า แต่ผมพร้อมเสมอครับ ต้มมาม่าไว้แล้ว”เมื่อกี้ผมต้มมาม่าไว้เรียบร้อยแล้วครับ กินเสริมแทบทุกมื้อไม่งั้นผมไม่อิ่มหรอก ฮ่าๆๆ
“เออดีๆ”
กินอิ่มพักครึ่งชั่วโมงจากนั้นจึงเดินทางกันต่อไปยังเขาอีกลูกหนึ่ง ผมเดินแบกปืนกลไปตลอดทาง รุ่นน้องมาช่วยผมแบ่งเบาภาระแต่ผมไม่ยอมครับ อะไรที่หนักเราจะไปโยนขี้ให้คนอื่นเขาทำไม ถึงแม้จ่าจะบอกว่าให้ช่วยกันแบกปืนกล สลับเปลี่ยนกันแต่ผมไม่ยอมให้รุ่นน้องมันลำบากหรอกครับ ผมยังชิวอยู่ เราเดินทางกันต่อ เดินไปคุยไป ชมธรรมชาติกลางเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักผ่านมาหลายวันแล้ว ปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก ไม่ได้ไปเดินบอกรักหมวดบูม หรือทำอะไร แค่ยิ้มให้กันแค่นั้นก็พอแล้ว ผมรักแฟนผมไม่ใช่แค่ ๑๔ กุมภาหรอกครับ ผมรักของผมทุกวัน
เดินทางมาถึงสถานีฝึก สถานีนี้เป็นการฝึกการเข้าตีในเวลากลางคืนครับ เมื่อวานเข้าตีในเวลากลางวัน การฝึกเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่าย ภารกิจเราต้องมีอะไรบ้าง การเข้าไปวางตัวหรือการรบในเวลากลางคืนเราต้องทำอย่างไร ผู้หมวดผู้กองต้องอยู่ตรงไหน การเดินสายโทรศัพท์ทีเอวันต้องทำยังไง ทุกคนทำตามหน้าที่ ฝึกกันประมาณ ๔ ชั่วโมงจนตะวันบ่ายคล้อย เรามานั่งพัก ผู้กองเรียกผู้หมวดไปรับบงการ บงการนี่คือคำสั่งนะครับ ภาษาทหารหลายคนอาจจะไม่คุ้นสักเท่าไหร่ มันจะมีภาษาของคนรุ่นเก่าเยอะเลยครับ ผู้หมวดไปรับคำสั่งจากผู้กองแล้วเรียกแต่ละหัวหน้าหมู่มารับคำสั่งต่ออีกทอดหนึ่ง จากนั้นหัวหน้าหมู่ก็มาถ่ายทอดคำสั่งให้กับลูกน้องอีกทอด แบบนี้แหละครับสายการบังคับบัญชาแบบปิรามิด ต้องทำตามตำแหน่งตามขั้น
จ่าอธิบายการเข้าตีในเวลากลางคืนของเราไว้ว่าเราจะไปตีที่เขาลูกไหน ข้าศึกอยู่ตำแหน่งไหน เราจะตีข้าศึกอย่างไร หมวดไหนจะเข้าตีก่อนหลัง จ่าก็ชี้แจงรายละเอียดมาเต็มที่ ผมฟังแล้วพยักหน้าตามไปด้วย พอไม่เข้าใจตรงไหนก็รีบถามจ่าทันทีเพื่อทำให้ถูกต้อง นั่งฟังแผนกันประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน หมู่ปืนกลจะอยู่ใกล้กับบก.หมวด ซึ่งหมวดบูมจะนั่งใกล้ๆ พี่แกว่างเลยเดินมาหาผม อีหนูตามมาสมทบ ไอ้ซัน ไอ้ศักดิ์อีกคน ช่วงนี้ว่างครับใครจะทำอะไรก็ได้ เพราะเราจะเข้าตีข้าศึกในเวลา ๔ ทุ่ม แต่ต้องออกเดินทางตั้งแต่ ๑ ทุ่ม
“พี่มหา หนูถามอะไรได้ไหม”อีหนูทำสีหน้าลังเลใจเหมือนกับกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
“อะไรเหรอ ถ้าถามเรื่องจวยกูกับไอ้บอมบ์ มันก็ยังแข็งทุกเช้านะ ไม่ต้องกังวล มันยังใช้งานได้”ไอ้มหายิ้มตาหยี
“นี่คนบ้า เป็นการเป็นงานหน่อย ทะลึ่งตึงตังเสียจริง คนอะไรไม่รู้ นี่ หนูพูดได้ไหมกลางป่ากลางเขาแบบนี้”
“พูดอะไรวะหนู”ไอ้ศักดิ์ถามด้วยความใคร่รู้อีกคน
“เออดิหนู แกอย่าทำให้พี่อยากรู้อยากเห็นดิวะ”หมวดเต้ยถามอีกคน ทหารคนอื่นๆมักจะแปลกใจเสมอเวลาที่หมวดเต้ยหรือหมวดบูมแทนตัวเองว่าพี่กับอีหนู คือปกติ ๒ หมวดแกไม่นิยมแทนตัวเองว่าพี่กับทหารคนอื่นนะครับ แต่กับอีหนูนี่ ๒ หมวดแกสนิทล่ะมั้งเลยแทนตัวเองว่าพี่
“คืองี้อ่ะผู้หมวดคนหล่อ เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงม้าอ่ะ”อีหนูพูดเสียงเบา
“หาใครดูดม้านะ กูจะแดก”หมวดบูมหันขวับมาทันที
“ไอ้เหี้ย น้องมันได้ยินเสียงม้า ไม่ได้เห็นคนดูดม้า หูเหอะนี่ไปจูนใหม่ได้แล้วมั้ง สัส”หมวดเต้ยเอ็ดหมวดบูม ทำเอาพวกผมยิ้มขำ
“กูเล่นมุกไอ้เวร ได้ยินเสียงม้าอะไรวะหนู เมื่อคืนพี่ก็นอนหลับสนิท มึงได้ยินป่ะเต้ย”
“ไม่นี่”หมวดเต้ยส่ายหน้า
“เสียงคนขี่ม้า แล้วหนูได้ยินเสียงดาบด้วย เสียงเหมือนคนต่อสู้กัน ป๊งเป๊งๆ หนูก็ชะเง้อดู หนูคิดว่าเขาแสดงหนังพระนเรศวร แต่ไม่เห็นจะมีอะไร หนูเลยอยากรู้ว่าที่หนูได้ยินมันใช่อย่างที่หนูคิดไว้หรือเปล่า หนูเลยขอถามพี่มหาอ่ะ เพราะในป่าในเขาเขาห้ามพูดเรื่อง เสือ สาง นางไม้ไม่ใช่เหรอ อุ้ย เผลออีกแล้ว”อีหนูรีบเอามือปิดปาก
“หึ คิดว่าเรื่องอะไร เมื่อคืนกูก็ได้ยิน”ผมยิ้มบางๆ
“จริงเหรอวะบอมบ์ เล่าหน่อยดิ ไอ้มหาด้วย เล่าให้ฟังหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกูไม่ได้ยินวะ”หมวดเต้ยทำหน้าตื่นเต้น เรื่องผีสางนางไม้นี่พี่แกชอบนัก ผมกับไอ้มหาเล่าให้ทุกคนฟัง ทุกคนตั้งใจฟังกันมาก เงียบกริบกันทั้งวง
“คิดว่าเรื่องอะไร เรื่องนี้นี่เอง”จ่าที่เป็นผบ.หมู่ปืนกลยิ้มบางๆ ก่อนที่แกจะเริ่มเล่าเรื่องราว “แต่ก่อนตรงที่เราไปพักน่ะเป็นสนามรบเก่า ในสมัยปลายอยุธยา เมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วสมัยจ่าเป็นสิบตรีใหม่ๆ จ่าเป็นหัวหน้าชุดยิง มาฝึกที่ป่าแบบนี้แหละ สมัยนั้นป่ายังเป็นป่าอยู่มากไม่ค่อยเตียนแบบนี้ ตอนกลางคืนพอตะวันลับขอบฟ้าเท่านั้นแหละ ทั้งม้า ทั้งนักรบ ทั้งข้าศึก เสียงดังป๊งเป๊ง จ่าเห็นทั้งคนทั้งม้าที่รบพุ่งกันอย่างไม่ปรานี คืนนั้นแทบไม่ได้นอนเพราะเล่นรบตั้งแต่ทุ่มกว่าๆจนตีสามตีสี่มั้งจึงได้หยุด พอฟ้าสางจ่าเดินไปดูที่เขารบกันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“หูย น่ากลัวนะ”หมวดเต้ยลูบแขน
“ผมนอนตัวสั่นทั้งคืนเลยครับผู้หมวด ไม่กล้าจะลงจากเปล ตอนเช้าถามคนอื่น เขาเห็นกันเกือบทั้งหมวด”
“น่ากลัวอ่ะ คืนนี้มานอนข้างๆพี่บอมบ์พี่มหาดีกว่า”อีหนูกอดแขนผม
“กูกลัวมึงมากกว่ากลัวผีอีกนะหนู”ผมกอดคออีหนูโยกเล่นเบาๆ
“บ้าอ่ะพี่บอมบ์ หนูคิดว่าหนูหลอนคนเดียวซะอีกนะเนี่ย”อีหนูยิ้ม
“เมื่อคืนอาแค่ได้ยิน แต่ผมเห็นจะๆ”ไอ้ซันซึ่งนั่งกอดเข่าพูดขึ้น
“จริงเหรอซัน เล่าๆ ผู้หมวดอยากรู้”หมวดเต้ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็ไงอ่ะ ผมลุกไปขี้ครับผู้หมวด นั่งขี้ไปสบายๆ แล้วผมเห็นแสงอะไรแว็บๆก็ไม่รู้เหมือนประกายไฟ ผมมองไปดีๆดาบขาววับกำลังฟันกัน แล้วมีประกายไฟ ผมขี้หดตดหายรีบเช็ดตูดแล้ววิ่งมาเอาเปลคลุมโปง”ไอ้ซันเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“กูชักจะกลัวแล้วนะเนี่ย ไม่ได้เอาพระมาด้วย”ไอ้ศักดิ์ทำหน้าตระหนก
“เขาคงไม่ทำอะไรหรอกมั้ง เขาแค่อยากให้พวกเรารู้ว่าตรงนี้เคยเป็นสนามรบเก่า ที่ที่เขาเคยพลีเลือดเนื้อเพื่อให้เราได้มีแผ่นดินได้อยู่อาศัยจนทุกวันนี้”ไอ้มหาพูดเสียงเนิบเหมือนพระเทศน์
“เออว่ะ เขาเห็นเราเป็นลูกเป็นหลานที่มาสืบต่อเจตนารมณ์ของพวกเขามั้ง เขาเห็นเราเป็นทหารเป็นนักรบเหมือนกับเขา ถ้าเขาทำกูว่าเขาคงไม่มาแบบนี้แน่นอน”หมวดเต้ยออกความเห็น
“พ่อกูบอกว่า บรรพบุรุษของเรากำลังมองพวกเราอยู่ โดยเฉพาะทหารที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน เราต้องไม่ทำให้เลือดเนื้อของบรรพบุรุษเราต้องเสียเปล่า เราชายชาติทหารต้องทำเพื่อชาติ”หมวดบูมพูด
“ถูกต้องเลยครับหมวดบูม ไอ้บอมบ์ มึงเห็นเหมือนที่กูเห็นใช่ไหม”ไอ้มหาสะกิดผม
“เออ มึงได้ยินกูก็ได้ยิน มึงเห็นกูก็เห็น”ผมพยักหน้าก่อนที่ม้าจะหายไปในความมืดมิด
“เห็นอะไรวะมหา”จ่าชิงถามก่อนหมวดเต้ย
“ผมเห็นนักรบ ๒ คน อีกคนขี่ม้าสีขาวอีกคนขี่ม้าสีน้ำตาล เหมือนในฝันของผมกับไอ้บอมบ์เมื่อคืน เขากำลังยิ้มและน้ำตาไหลตอนที่หมวดบูมพูดว่า อย่าทำให้เลือดเนื้อของบรรพบุรุษเราเสียเปล่า เราต้องทำเพื่อชาติ เขายิ้มทั้งน้ำตาแล้วพยักหน้าให้พวกผมก่อนจะขี่ม้าไป”ไอ้มหาพูดไปน้ำตาซึม ส่วนผมนี่หยดติ๋งลงมาเลยครับ ทำไมกูรู้สึกซาบซึ้งถึงขนาดนี้ด้วยวะ ตอนที่หมวดบูมพูดว่าเราต้องทำเพื่อชาติผมเองก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว มันรู้สึกคับพองในหัวใจอย่างมาก มันรู้สึกเหมือนว่าเราไม่เสียแรงเปล่าอะไรประมาณนั้น
“เฮ้ย มึงเป็นไรวะบอมบ์”หมวดบูมถามด้วยความตกใจ
“ผมไม่รู้อ่ะผู้หมวด อยู่ดีๆน้ำตามันไหลมาเอง”ผมดึงทิชชูที่ติดกระเป๋าเสื้อไว้มาเช็ดน้ำตา
“ห่า มึงซึ้งเกินไปป่ะวะ”หมวดเต้ย
“พี่บอมบ์อ่ะ เลือดรักชาติพุ่งปรี๊ดเลยล่ะมั้ง”อีหนูบีบไหล่ผมเบาๆ
“กูไม่รู้ดิหนู กูอาจจะเคยเป็นนักรบมาก่อนก็ได้มั้ง กูเลยซึ้งขนาดนี้”
“เออ ใช่เลยบอมบ์ ตอนที่ไปบ้านมึงเมื่อตอนปีใหม่อ่ะหลวงพ่อบอก คนที่เป็นทหารน่ะ ล้วนแต่เคยเป็นนักรบมาก่อนทั้งสิ้น”หมวดบูมตบไหล่ผม
“คงงั้นมั้งครับผู้หมวด เฮ้อ ซึ้งจนหิวเลย ใครมีขนมเหลือบ้างเอามากินบ้างดิ”ผมหันซ้ายหันขวา ไอ้ ๔ ด. อีกแล้วครับ มันตุนของไว้เยอะ แต่คนอื่นๆก็ใช่ว่าจะไม่มีนะครับ เอามาแบ่งกันกินคนละชิ้นแล้วคุยกันสนุกสนานเฮฮาจนถึงเวลาใกล้จะ ๑ ทุ่มต่างคนต่างแยกย้ายเตรียมตัวที่จะทำการเข้าตีในเวลากลางคืน