บทที่ 14 : เซ็กส์กับข่มขืน ก็ยังมีไอ้โง่บางตัวแยกไม่ออก
“พระเจ้า ลืมตาสักที นึกว่าจะตายไปแล้ว”
สิ่งแรกที่เห็นคือพีนั่งเหงื่อซึมอยู่เบื้องหน้า ผมพูดไม่ผิดหรอก หมายถึงคำว่าเบื้องหน้าน่ะนะ ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ แม้พีจะดูไม่โง่แต่เขาคงวิชาสุขศึกษา คนเป็นลมใครให้มานั่งเบียดแย่งอากาศแบบนี้กันวะ
“กี่โมงแล้ว”
เสียงผมแหบแห้ง แม้ผมอยากจะให้ความสำคัญกับท่าทีพีมากกว่านี้ แต่เวลานี้คงไม่สะดวก
“อะไรนะ อ่า หกโมงครึ่ง เฮ้ยเดี๋ยว ค่อยๆลุก”
ผมจดจ้องตอบเขา พีรีบละตัวออกให้ผมได้ลุกขึ้นนั่งดีๆ
เกิดมาผมก็เพิ่งจะเคยชักดิ้นชักงอขนาดนี้ ผมไม่มีประวัติการป่วยทางกายพวกโรคประจำตัวบ้าบอ ซึ่งดีแล้วสำหรับครอบครัวปอนๆที่เงินซื้อข้าวแทบไม่มี แต่ซื้อเหล้าแดกได้เป็นประจำไม่บกพร่อง ผมหมายถึงพ่อ ใช่ ผมกำลังด่าพ่อตัวเอง คุณรู้คุณคิดได้ ถูกต้อง คุณเก่งมาก
“พวกไอ้แบงค์หนีกลับไปนานแล้ว”
ผมเห็นแค่พี แค่นั้น ในบ้านของเขา ผมไม่อยากเสียเวลาหรือเรี่ยวแรงในการถามหาพวกขยะ ไม่ว่ามันจะไปตายที่ไหนก็ตาม ผมหยิบกระเป๋านักเรียนโดยมีจุดมุ่งหมายรีบๆไสหัวตัวเองออกจากที่นี้ซะเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไร”
ผมก้าวออกมา ใช้คำว่าเดินฉับๆก็ยังได้ ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว หรือเรียกว่ามืดไปเลยดีกว่า หากไม่มีเสาไฟของหมู่บ้านอยู่คงเหมือนหลับตาเดิน
“จะกลับไง เดินออกยังงี้อะนะ เดี๋ยวไปส่ง” พีจับแขนผมไว้มั่น เขาคาดแน่นอนว่าผมสะบัดไม่หลุด อีกฝ่ายพยักหน้าไปทางรถที่จอดในบ้าน ผมลืมไปว่าเพื่อนรักคนนี้รวย รถคันไม่กี่ล้านพ่อแม่มันทำไมจะให้ไม่ได้
แต่ผัวใหม่แม่ผมเขาก็รวยใช่ย่อยนะ
ผมยังเวียนหัวและรู้สึกแย่ มันเป็นความรู้สึกแย่ที่ไม่อาจจางหายง่ายดาย นับวันยิ่งสะสมเหมือนก้อนมะเร็งที่พรากคุณยายของแม่ผมไปตั้งแต่สมัยสาวๆ ผมรู้เพราะตอนยังเดียงสาเคยคาดคั้นให้แม่เล่าเรื่องครอบครัวของเธอให้ฟัง สมัยที่ผมยังมองไม่ออกว่าครอบครัวเรามันช่างอบอุ่นแค่ไหน จากนั้นพอโตมาหน่อยผมเริ่มโง่มากขึ้น แค่คำทักทายสามัญอย่างเช่น สวัสดีครับแม่ ผมยังแทบไม่ทำเลย
“โกรธป้ะวะ?”
พีค่อยๆถาม หน้าตาเขาเหมือนลูกหมาที่ต้องการอาหารสักมื้อตอนหิวโหย
“ก็ไม่ได้โง่นี่”
ไม่ดีหรอก แต่ผมอดส่งเสียงประชดประชันในลำคอไม่ได้จริงๆ
โกรธเรื่องอะไร ก็เปล่า พีแค่สั่งให้เพื่อนของเขา จับผมอัดยา ส่วนตัวเองยืนเฉยๆเป็นพ่อพระราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง แค่นั้นแหละ ไม่ได้ใหญ่โต อย่าไปคิดมาก สันดานหยวนๆควรนำมาใช้ ทุกวันนี้ไม่ต้องแปลกใจทำไมทุกๆอย่างถึงได้ช่างเป็นระบบระเบียบ
ผมสะบัดมือจากพี เขาตื้อ ผมรู้ว่าทั้งเขาและตัวเองต่างดื้อดึงพอกัน ซึ่งมันก็ดี เพราะนั่นทำให้เห็นว่าเขายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง จะว่าสะดีดสะดิ้งก็แล้วแต่จะไตร่ตรอง ผมไม่ซัดแม่งให้คว่ำตั้งแต่เมื่อกี้ดีแค่ไหนแล้ว พีรู้ตัวและรู้ว่าผมกำลังโกรธเขาจึงไม่คิดเย้าแหย่เหมือนเมื่อก่อน
ผมเปิดโทรศัพท์ มีข้อความฝากไว้เยอะแยะอย่างน่าปวดหัว ไม่ถึงนาที มีสายเข้าอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเบอร์เดิมกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้
ผมลังเลที่จะกดรับ พีหยุดลงอย่างรู้มารยาท
ผมห้ามมือไม่ให้สั่น โอ้ อย่า อย่าสมเพชผมนะ ถึงจะห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ก็เถอะ แต่ถือเสียว่ามันเป็นคำวิงวอน ทุกวันนี้ผมยังแยกไม่ออกเลยว่าสมเพชกับสงสารอย่างไหนน่าดีใจกว่ากัน ซึ่งประเด็นนี้ผมกำลังพูดถึงในมุมมองผู้รับน่ะนะ ไม่ใช่ตามพจนานุกรม
สมองผมมีขยะหลายชิ้นบินว่อน จับหลักไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรหรือเริ่มทิ้งชิ้นไหนออกจากหัวของตัวเอง
“ไปที่โรงเรียน”
ผมหันหลังกลับ ช่างหัวโทรศัพท์ ตรงไปที่รถของพีโดยไม่แม้แต่จะมองเจ้าของมัน
“ได้ ได้เลย”
พีรีบตอบรับ บ้านพีอยู่ไม่ใกล้จากโรงเรียนนัก เห็นอย่างนั้นแต่เวลาเข้าเรียนเขามักอยู่ในกลุ่มพวกมาสาย หรือเปล่านะ คุ้นๆเหมือนผมได้ยินมันผ่านๆจากการขานเรียกชื่อของคุณครูท่านหนึ่งที่ผมไม่แม้แต่จะจำชื่อเธอได้
“ให้เราไปส่งบ้านดีกว่ามั้ย? หรือกานต์ลืมของ”
พีไม่ถือสาและเขาไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นอกจากพยายามหาเรื่องทำให้ความรู้สึกผิดน้อยลงน้อยลง แล้วก็น้อยลง
“พวกไอ้แบงค์ มันเลว เดี๋ยวจัดการให้ เราสัญญา กานต์คงไม่”
ไม่ฟ้องครูใช่ไหม?
โอ้ ไม่ๆ ไม่เลย ไม่หรอก ไม่ทำแน่ เหลวไหลจริงๆ
แล้วพีก็พูดค้างไว้ก่อนจะเงียบ สายตารู้สึกผิดอย่างสุดๆ
ผมไอออกมา ลำคอแห้งผาก น่าหงุดหงิด ดวงตาแดงก่ำ ปวดหัวและภาวนาให้มันระเบิดออกมาซะ ถ้าสามารถทำให้อาการเหล่านั้นหายๆไป ปลายจมูกผมยังติดกลิ่นพวกนั้นจนเหมือนมันกำลังสิงร่าง
“ขอถามอะไรอย่างสิกานต์”
พีพูดแย่งพื้นที่ความเงียบ เขามักทำแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
“แขนไปโดนอะไรมา?”
ผมชักสีหน้า เก็บไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรหรอกนะ แต่การถามซ้ำๆซากๆไม่ใช่เรื่องที่คิดว่ามันอภิรมย์หรอก
“ไม่ ก็ได้ แค่เห็นช่วงนี้กานต์ดูเพลียมาก แล้วก็คิดว่าคงไม่ใช่เพราะเล่นกีฬา”
พี่พูดเรียบเรื่อยทว่าระวังคำพูด ไม่ให้ผมรู้สึกว่าเขาเสือกจนเกินไป
“มีปัญหาอะไร คุยได้นะ”
ผมขำ นี่ขนาดระวังแล้วนะ แต่ผมไม่ได้รู้สึกน้อยลงเลย
“ขอโทษ”
ผมแทบไม่ศรัทธาในหูของตัวเองว่าเพิ่งได้รับถ้อยคำกำลังใจจากคนที่เพิ่งถีบหัวผมกดดินไปอยู่หมาดๆ ยังไม่ข้ามวันด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ ใจมนุษย์มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยใช่ไหม
ผมอยากจะบอกเขา พี คุณยอดเยี่ยม น้ำใจไมตรีที่แสดงออกมานั้นเหมือนจริงยิ่งกว่าสิ่งใด จากนั้นก็ตบบ่าเขา สวมเข้ากอดยอมรับในมิตรภาพของเขา แล้วสบถด้วยคำหยาบคายอย่างไอ้ระยำ ผมกำมือแน่นอย่างหยุดไม่ได้ มันตื้นตันน่ะ อารมณ์จึงเอ่อขึ้นมาจนไม่สามารถขจัด เลือดออกไหม น่าจะนิดหน่อย คงเป็นแค่รอยจิกเล็กน้อย แต่ผมยังไม่ว่างก้มลงไปดู
รู้สึกผิด ใช่ ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น จะดียิ่งกว่าหากคิดได้ก่อนกระทำ แต่ก็นั่นแหละ ส่วนใหญ่ใครจะสนถ้าหากยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์หรือความฉิบหาย
ผมกำลังคิด ว่าพีอาจมีประโยชน์กับผมมากกว่าการฆ่าเวลาหรือหาเรื่องเหี้ยๆใส่กัน
หรือมันจะดีจริงๆนะ?
ความจริงแล้วคือผมเงียบ ให้เสียงอากาศเป็นฝ่ายตอบ ถ้าพีฟังรู้เรื่องเขาคือยอดคนที่ควรรักษาไว้
ถึงโรงเรียน รวดเร็วแต่ยังไม่ทันใจ ผมหยิบกระเป๋าและลงจากรถ บริเวณนั้นเหลือไฟสว่างอยู่ไม่กี่ดวง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจุดๆตามอาคาร
“เดี๋ยว แล้วจะกลับยังไง?”
“เดี๋ยวมีคนมารับ”
“งั้นเดี๋ยวนั่งรอเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไร”
แล้วผมก็รู้สึก ถึงฝีเท้าที่เดินเข้ามา
เขาอยู่ตรงนั้น เดินดุ่มด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ผมถอยหลัง พีแปลกใจและมองตาม ผมไม่แน่ใจ แต่ว่า การก้าวเดินควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ
เขาถึงผมโดยเร็ว ชุดสูทราคาแพงยังคงเนี้ยบทุกระเบียบนิ้ว ดังนั้น พีจึงแน่ใจแล้วว่าผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นผู้ปกครองของผม พียกมือไหว้ เขายกมือรับนิ่งๆแต่ไม่คลายท่าทีกรุ่นโกรธ พีดูงุนงง แต่ผมไม่
“กลับ”
เขาพูดแค่นั้น แล้วตรงไปที่รถ
ผมจำได้ว่าสมัยสักสิบขวบ คุณครูชื่นชมไม่หยุดปากสำหรับการเขียนของผม แน่นอน ผมคิดว่ามันสมควรแล้ว เพราะการที่จะปั้นแต่งสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่เป็นอะไรที่ยากยิ่ง ผมเคยเขียนเรียงความในหัวข้อความรักผูกพันชื่นมื่นในครอบครัวของผมเองอะไรเถือกนั่น
ซึ่งแม่งมัน
ตอแหลทั้งเพ
เขาเงียบมาตลอดทาง ดีแล้ว เพราะผมต้องการพักผ่อน น่าแปลกที่ร่างกายกลับเครียดเกร็งจนหลับตาแทบไม่ได้
พอถึงบ้าน เขาลงรถก่อนผมด้วยนะ
“วันนี้ไม่ต้องกินข้าว”
ผมเดินไป แต่ที่น่าตกตะลึงคือเขากลับพูดแบบเด็กๆ ผมคิดว่าตอนที่พ่อแม่เขายังไม่ตาย เวลาเขาโกรธก็คงประชดประชันด้วยการไม่กินข้าวเย็นอะไรประมาณนั้นแน่ๆ เลยฝืนดันให้คนอื่นทำตามตัวเองด้วย เป็นการสืบทอดเจตนารมณ์อะไรแบบนั้น
ผมไม่เห็นแม่
ถ้าจำไม่ผิดสงสัยว่าเธอตายห่าไปแล้วมั้ง
ผมขมวดคิ้ว คิดว่าสมควรเข้าโรงบำบัดจิต ผมไม่รู้ว่ามันต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยมันน่าจะมีที่กินที่นอนแล้วก็ยาฟรี
ผมเคยคิดจะถาม ว่าเธอหายไปไหน แต่คิดดูอีกที ผมก็ไม่ได้ถาม
ผมรักเธอ ใช่ ผมรักแม่ รักมาก รักน่ะนะ รักโดยไม่มีเงื่อนไข เหมือนไอ้ลูกไก่หน้าโง่เวลาโผล่จากเปลือกแวบแรกเห็นตัวเหี้ยไรก่อนก็นึกไว้ก่อนว่าเป็นแม่มันไปแล้ว
ผมขึ้นห้อง ไม่ได้รู้สึกรู้สากับการอดมื้อเย็นเท่าไหร่นัก ผมอยากตรงไปที่เตียง แต่คิดว่านอนสภาพนี้ไม่ได้แน่ กลิ่นบุหรี่กลิ่นยาเต็มตัวผมไปหมด ผมไม่อยากให้เตียงนอนสะอาดตรงหน้าต้องมาหม่นหมองไปด้วย
ไม่นาน หลังจากผมเปิดประตูห้องน้ำ ก็เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น ผมเดาว่าประตูห้องคงถูกล็อก ในมือเขาถือโทรศัพท์ผมอยู่ กดดูมันเหมือนไม่รีบร้อนอะไร ถึงแม้เขาจะเสียมารยาทไปหน่อยแต่ก็ดีแล้ว ดีแล้ว
“ทำไมโทรไปถึงไม่รับครับ”
เขากล่าวเสียงทุ้มๆ ซึ่งมันน่าฟังอยู่นะสำหรับคนอื่น
“ผมปิดเสียงไว้”
เขาเดินเข้ามา ท่าทีเหมือนจะไม่คุกคาม ใช่ ผมบอกว่าเหมือนจะไม่
“วันนี้กานต์ควรจะเลิกตอนสี่โมง”
“ทำงานเลทนิดหน่อยครับ” ผมให้เหตุผลที่สิ้นคิดอยู่พอสมควร
“พี่ไปรอกานต์ตั้งแต่สี่โมง”
ว่างมากหรือไงวะ
ผมอยากจะเหอะ เหอะแม่งทั้งวันให้สาแก่ใจไปซะ แต่คงคิดว่าทั้งชีวิตอาจไม่พอ
และผมก็ได้เห็น โทรศัพท์กระแทกกับพื้น เสียงระหว่างวัตถุกระทบกันดังมาก โว้ว สุดยอด ม่านตาผมขยายกว้างนิดนึง แค่นิดเดียว
โทรศัพท์ผมเละไม่เป็นชิ้นดี แต่เขาคงลืมคิดไปว่าเมื่อผมไม่มีมัน เขาจะเอาอะไรตามติดผมได้ ก็นั่นแหละ เดี๋ยวพอเขากลับมามีหัวคิด ก็คงคิดได้เอง จากนั้นผมก็จะได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ในเร็ววัน ถ้างั้นก็ช่างหัวมันเถอะ ไม่ใช่เงินผมอยู่แล้วนี่
ผมเกลียดสายตาที่เขามองผม มันน่ารังเกียจ ผมเกลียดเวลาเขาเรียกชื่อผมด้วยปากเขา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แม้แต่ที่ที่คุ้มหัวผมอยู่ ผมเกลียดกลิ่นของเขา ผมเกลียดการกระทำอันหยิ่งผยองนั่น ผมเกลียดท่าทางเสแสร้งตบตาราวกับคนดีหนักหนา ผมเกลียดหลายอย่างเชียวแหละ ถ้าจะให้เขียน น้ำหมึกในมหาสมุทรอาจไม่พอ
หยดน้ำไหลจากปอยผมผ่านคางแก้ม
ตัวผมเริ่มแห้ง แค่บางส่วน
เขาถอดเสื้ออย่างใจเย็น ปลดกระดุมตัวเองทีละเม็ด เนคไทคลายออกช้าๆ ก่อนที่กระดุมข้อมือจะถูกปลดตามไปและย่นแขนเสื้อขึ้นอย่างเบามือ
จากนั้นผมก็ถูกตบ
ดังเพี้ยะ ดังมาก ผมฟุบลงไปเลยคุณเชื่อไหม ปฏิกิริยาตอบสนองแบบช็อตต่อช็อต ตอนแรกก็เจ็บนะ แต่ต่อมารู้สึกชาๆมากกว่า ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า อย่างน้อยก็บอกก่อนสิวะ เหี้ยเอ๊ย
“ลุกขึ้นมา”
เขาไม่มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อน พูดนิ่งๆแต่ต้องยอมรับว่าก็ยังดูดีนะถึงพฤติกรรมจะเลวไปหน่อยแต่ผมยอมรับเลยว่าเขาดูดี
ผมอดนำไปเปรียบเทียบกับครั้งที่ผมตบเมียน้อยพ่อไม่ได้จริงๆ แม้ตอนนั้นผมจะเจ็บมืออยู่เหมือนกันแต่เทียบกันแล้วต้องบอกว่าครั้งนี้เจ็บหน้ามากกว่า
ผมลุกขึ้นตามคำสั่งเจ้าของบ้าน ดีที่ผ้าเช็ดตัวยังไม่หลุด แต่ค่อนข้างหมิ่นเหม่
มือเขาใหญ่พอที่จะทาบหน้าผมไปทั้งหน้าจนมิดเลยหัว เขาตัวใหญ่ ผมจึงไม่คิดจะเสี่ยงอย่างเช่นตบคืนอะไรแบบนั้น
“กานต์สูบบุหรี่มาใช่มั้ยครับ”
สักห้าวิ เขาถามต่อ เหมือนไม่ได้เพิ่งตบผมไปหมาดๆ
“เปล่าครับ”
ทันทีที่ผมตอบ ครั้งก่อนซีกไหนนะ อ๋อ ขวา ครั้งนี้ซีกซ้าย ผมถูกฝ่ามืออีกฝ่ายกระทบอย่างรุนแรงเป็นรอบที่สอง
เกิดความเท่าเทียม ข้างละแก้ม
ใครว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมวะ บ้าไปแล้ว ผมขอชูนิ้วกลางเลย พวกเขามันโลกไม่สวย
ผมยังไม่ทันได้ยืนดีๆก็ต้องล้มลงไปอีกรอบ ผมบอกได้คำเดียวว่าเหี้ย
บุหรี่ระยำอะไรล่ะ อย่างไรก็ตาม คงเป็นความโง่เขลาของผมเองที่เสือกไปนั่งใกล้พีตอนมันกำลังอัดควันเหม็นๆนั่นเข้าปอดแล้วไม่ลืมที่จะพ้นออกมาเผื่อแผ่คนอื่น ผมคิดว่าเขาคงได้กลิ่นมันตอนอยู่บนรถ แต่ผมไม่นึกโกรธพีหรอกนะ ไม่นึกโกรธเขาด้วย แต่โกรธตัวเองที่เป็นเด็กไม่ดี ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่น่ะ จริงๆนะ ผมรู้สึกเสียใจอย่างมาก
โชคดีที่ผมเป็นคนร้องไห้ไม่เก่ง ผมเชื่อว่าถ้าพ่อตาย ผมยังสามารถหัวเราะได้ทั้งวัน ดังนั้น จึงส่งผลดีไม่น้อยไม่ให้ผมมีสภาพทุเรศไปมากกว่านี้
เขา เรียกว่าไงดี จะว่าลากก็ไม่เชิงจะว่าอุ้มก็ใกล้เคียง
ไอ้เหี้ยนั่น ไม่สิ ขออภัย โอ้ ให้ตาย ผมพูดจาไม่ดีอีกแล้ว ผมนอนขดอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บ ตัวสั่นน่าสมเพช แถมยังรู้สึกอยากจะอ้วกเข้าอีกรอบ เขาอยู่ตรงนั้นที่ปลายเตียง ผมเห็นเชือกเส้นหนึ่งที่มืออีกฝ่าย
ด้วยความเคารพนะ ผมกำลังถูกละเมิดความปลอดภัยและชีวิต เขาก็เรียนหนังสือใช่ไหม อีกอย่างมันควรจะเป็นพื้นฐานทางจิตสำนึกที่ทุกคนพึงมีด้วยซ้ำ ผมโกรธมาก และอาการห่วยๆก่อนหน้านั้นก็ยังไม่หนีหายไปไหน มีเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือมันกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ทำงานกับใคร เพื่อนคนไหน ไอ้เด็กนั้นน่ะเหรอ”
ถ้าเทียบกันอีก เขาอาจพูดมากกว่าผม แต่รอบนี้เขาเงียบกว่าปกติ แต่เลือกที่จะถามคำถามอย่างตรงจุด ในห้องทึบๆ มีแค่แสงไฟลอดมาจากประตูห้องน้ำ
อำนาจ มันอยู่ที่ว่าในมือกุมอะไรไว้
ผมคิดว่าพระเจ้าไม่น่าจะว่าง ก็เลยตัดออกจากตัวเลือก ผมคิดต่อไปว่าพอจะมีอะไรให้คุยด้วยอีกได้บ้างไหม แต่ยากกว่าข้อสอบตอนมิดเทอมอีกว่ะ
ผมหัวเราะ
เป็นอีกโจ๊กที่ไหลเข้าหัวผมในเวลาอันเหมาะอันควรที่สุด
ยังไม่ทันได้คลานเกินคืบ ข้อเท้าผมถูกลาก ผมได้ยินเสียงกระดูกดังกึก แต่ไม่หักหรอก ตัวผมไถลลง เขาขึ้นทับจนผมจุกไปหมด ยังไงต่อล่ะ ผมแทบจะไม่มีสติแล้วหลังจากถูกชกเข้าที่หน้าท้อง ถ้าจำไม่ผิดข้อมือทั้งสองโดนกำรอบไม่นานจึงถูกมัดไว้ด้วยเชือกสักเส้น ผมเกร็งไปทั้งตัว
แก้มถูกบีบรุนแรง เขาล้วงนิ้วมือเข้ามา สัมผัสชื้นแฉะคล้ายผมที่กำลังเปียก
มีอะไรบางอย่างห่างหายไปจนคุณลืม มันอาจจะสำคัญ แต่บางทีก็ไม่ ทว่าพอนึกขึ้นมาได้ก็ดันนึกไม่ออก ติดอยู่ในหัว รู้แค่ว่าสิ่งนั้น สิ่งนั้นนั่นแหละ แต่มันคืออะไรวะ อะไรกันนะ แทบไม่หลับไม่นอน มันทำให้คุณหงุดหงิดอยากจะบ้าตาย ไม่สมาธิทำสิ่งอื่น
ฝ่ามือทาบบนผิวเนื้อ
ริมฝีปากถูกบดเบียด
อ๋อ ใช่
ก็อย่างที่บอก
จู่ๆผมก็นึกขึ้นมาได้
ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร
ผมกลัว
TBC
[04/05/2558]