Not Fat
{CH 36 เสือใหญ่พาเที่ยว}
“ลงไปสิ”
“เอ่อ ไม่มีทางอื่นไปให้ถึงบ้านเหรอครับ”
“เร็วๆ อยากพักผ่อน”
“แต่ผมพายไม่เป็น”
“ลงไปเถอะน๊า เร็วๆ หัวทิ่มลงไปไม่ช่วยนะ ลืมไปมีชูชีพส่วนตัวแล้วนี้” และมือหนาๆก็ตะปบเอาก้อนไขมันที่พุงผม หัวเราะใหญ่เหมือนเป็นเรื่องตลก ผมไม่ตลกด้วยนะ
ขับรถมาอีกสักพัก พี่ใหญ่ก็ไปจอดที่ลานจอดรถของ รีสอร์ทที่อยู่กลางน้ำเป็นเวลาเย็นมากแล้วอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เป็นบรรยากาศที่สวยงามมากครับ ไม่ใช่น้ำตก ไม่ใช่เกาะ ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นเขื่อนที่มีน้ำสีเขียวมรกต มองจากตรงนี้แถวๆบ้านพักที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งที่เรายืนมากนัก มีปลาตะเพียนหางแดงว่ายอยู่ลิบๆ คิดดูสิครับว่าน้ำใสขนาดไหน รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่เบื้องหลัง ถ้าไม่ติดว่ามีเสือร้ายคอยขู่เข็ญให้ผมลงเรือเมื่อกี้ บรรยากาศจะโนแมนติกมาก ฮื่อออออ ผมว่ายน้ำไม่เป็น พายเรือไม่เป็น ทำไมไม่มีทางอื่นเหรอที่ไม่ต้องพายเรือข้ามฟากไป
ผมว่าพี่ใหญ่ต้องแกล้งผมแน่ๆเลย มันต้องมีทางเดินข้ามไปสิ ถึงผมจะโง่ไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้ซื่อบื้อไปซะหมดนะ ทางรีสอร์ทน่าจะอำนวยความสะดวกให้คนพักบ้างสิ ไม่ใช่จะเข้าจะออกก็ต้องพายเรือข้างฝั่งแบบนี้ ถึงจะมีไขมัน แต่มันก็เป็นแบบลงน้ำแล้วจมปุ๋มนะ ไม่ใช่ลอยป่อง มีเสื้อชูชีพ แต่ถ้าตกไปขาไม่ถึงผมก็กลัวนะ
“เหล่มองอะไร ลงไปสักทีสิลุงครับเรือนี้ลำใหญ่สุดแล้วใช่ไหมครับ”
“ใหญ่สุดแล้วไอ้หนู รับรองเมียเอ็งลงไปไม่ล่มหรอก” ผมหันขวับไปมองหน้าลุงที่ยืนสูบยาเส้น
หน้าตาแก่แห้งตอบแต่ดูรู้ทุกอย่างไปหมดแถมยังยิ้มอย่างรู้ทันพี่ใหญ่ที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันอยู่อีกต่างหาก อยากจะเถียงใจแทบขาดว่าไม่ใช่เมีย เป็นแค่แฟน แค่แฟน!!!! ถึงจะเป็นแฟนแต่ผมก็เป็นผู้ชาย ไม่น่าพูดแทงใจดำแบบนี้! เข้ากับคนง่ายจริงๆเลยนะทีแบบเนี้ย คนอะไรใจร้ายอย่างกับเสือ!
“พี่ใหญ่ …” แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจหันไปมองพี่ใหญ่และพูดเสียงอ่อย … ผมกลัวไม่สงสารกันเลยจริงๆเหรอ ถึงผมจะตัวใหญ่เป็นหมีแต่ผมก็ใจปลาซิวเหลือแค่หมีน้อยนะ … จริงๆนะ ผมไม่กล้าลงเรือ
“ถ้าไม่ลงก็นอนฝั่งนี้เนี้ยแหละ อีกครึ่งชั่วโมงเรือจะหยุดให้บริการ มีฉันอยู่จะกลัวอะไร” มีพี่ใหญ่อยู่นั้นแหละน่ากลัว!!!! … ผมไม่เข้าใจแต่กลั้นใจจะก้าวลงเรือไปเหยียบที่ขอบ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อลุงคนเฝ้าเรือร้องเสียงหลงขึ้น
“ไอ้หนู! เดี๋ยวหัวก็ทิ่มลงไป” ผมตกใจรีบก้าวถอยหลังมาอย่างตกใจ ได้ยินพี่ใหญ่หัวเราะในลำคอ … ผมเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วนะจะแกล้งผมไปถึงไหน!!!!
“พี่ใหญ่รู้ใช่ไหม ว่าเมื่อกี้ถ้าผมก้าวไปผมจะตกลงไปตาย”
“แค่นี้ไม่ตายหรอก”
“หึ” ผมร้องแค่นั้นและหันไปหาลุงที่ยืนสูบบุหรี่ปล่อยควันฉุย แกหันมาส่ายหน้าและพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ
“ดูข้าเดี๋ยวข้าจะลงให้ดู” ลุงลงให้ผมดูเป็นตัวอย่าง โดยลงไปเหยียบที่กลางลำเรือ เดินไปนั่งด้านหลังสุดของเรือโบกมือยิ้มๆให้ผมลงตามแกไป ก่อนจะหันไปสูบบุหรี่ต่อไม่สนใจพวกเรา
ลืมบอกไปเรือเป็นเรือแบบไม้เก่าๆ ที่ดูค่อนข้างแข็งแรง พี่ใหญ่ดันหลังผมนิดๆ และโอบกอดด้านหลังหอมกกหูผมไปหนึ่งที จนผมขนลุกซู่ย่นคอ รีบลงตามลุงแกไป ขยันแกล้ง ขยับปลอบใจ รู้สินะว่าถ้าปล่อยไว้ผมอาจจะโกรธและไม่คุยด้วย ต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่แกล้งตั้งแต่ทีแรก ผมจะโกรธไหม ถ้าพูดให้ผมเข้าใจ อธิบายให้คนโง่ๆอย่างผมรู้ว่าต้องทำยังไง ผมก็จะไม่เป็นแบบนี้หรอก แค่ลงเรือเอง ทำไมต้องทำให้เป็นปัญหาด้วยนะ เฮ้อ
พอลงมาได้ มือหนาของพี่ที่คอยจับอยู่บนฝั่งก็ปล่อยผม ผมเซตัวไปมาเล็กน้อย ก่อนจะรีบนั่งลงที่นั่งที่ใกล้ๆสุด ซึ่งมันตรงกลางพอดี เอาน๊า อย่างน้องเรือมันก็สมดุลละนะ พี่ใหญ่บอกให้ผมเขยิบไปหน่อย ผมเลยเขยิบไปอีกทาง เขาก็ยกของลงโดยมีผมช่วยประคอง พอเสร็จก็ กระโดดตามลงมาอย่างง่ายดายนั่งลงที่นั่งถัดไปจากผมแต่หันหน้าเข้าหากัน ผมมองพี่ใหญ่ย่นปากหนึ่งทีและหันหน้าไปอีกทาง คิดว่าหอมกันเมื่อกี้จะอภัยให้ที่แกล้งกันหรือไง ถ้าผมตกเรือไปอยากรู้นักจะยืนขำอยู่ได้ไหม ผมมองหาไม้พายเพื่อจะเอามาพายเรือไปฝั่งโน้น พายไม่เป็นหรอกแต่ไม่อยากมองหน้าคนบ้านานๆ เบื่อแล้ว ชิ!
“พร้อมนะไอ้หนุ่ม” ลุงแกตกโกนมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองเห็นแกยกไม้พายขึ้นมา … อ้าว ผมไม่ต้องพายหรอกเหรอ
“ไปเลยครับลุง” พี่ใหญ่ตะโกนบอกลุงก่อนจะหันไปหยิบหมากฝรั่งในกระเป๋าขึ้นมาเคี้ยวยับๆทำเป็นไม่สนใจผมที่หน้างออยู่
ลุงพายเรือออกมาจากฝั่งไม่นานเท่าไหร่ ก็มาหยุดที่กลางน้ำ บรรยากาศตอนนี้ดีมาก … ดีสุดๆ ปลาตะเพียนหางแดงอยู่เต็มรอบๆเรือไปหมด ทำให้ดูเหมือนเราอยู่กลางฝูงพวกมัน ดวงอาทิตย์ที่ท่อแสงผีตากผ้าอ้อมกำลังจะลับขอบฟ้า ประกายส่องกระทบกันน้ำทำให้เป็นสีส้มนวลสวย อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งวันเริ่มที่จะเย็นเพราะลมจากเขาพัดเป่าออกมาเป็นเสียงหวืดๆ เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังดังเป็นจังหวะๆ … เฮ้อ … อากาศดีจังเลย คนก็ไม่มีเลยด้วยเพราะเป็นช่วง low season ทำให้ไม่มีคนมาเที่ยวมากนัก แถวเป็นสถานที่เชิงอนุรักษ์เลยไม่ได้รับความสนใจมากนักแต่มันสวย สงบ มากจริงๆ ผมชอบแบบนี้ … ชอบมากเลย
“ผมให้อาหารปลาได้ไหม”
“หึหึ เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ ตอนนี้เอาหมูไปให้อาหารก่อน ”
“หมู ?”
“หมูแดงด้วย”
“เดี๋ยวโดนหมูกัดหรอก”
“กล้าก็กัดไปสิ แต่คืนนี้จะกัดคืนให้เต็มคำเลย” ผมเงียบทันทีที่พี่ใหญ่เริ่มเข้าเรื่องลามก เห็นเงียบๆแบบเนี้ย ไอ้เรื่องเจ้าเล่ห์ๆ น่ะขอให้บอกเสือใหญ่ได้เลย
“มุมนี้ในรีวิวบอกว่ามองอาทิตย์ตกได้สวยมากๆ ดูและจำเอาไว้ให้ดีๆนะไอ้หมู” ผมพยักหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองพระอาทิตย์ที่ทอแสงอ่อนนั้นอีก ตอนนี้มันเหลืออีกครึ่งดวงก็ลงไปหมดแล้ว มันสวยจริงๆเลยนะ สวยจนผมลืมไปเลยว่าตัวเองมีกล้องถ่ายรูปของพี่ใหญ่ติดมาด้วย
แชะ!
ผมตกใจมองพี่ใหญ่ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในมือมีกล้อง DSLR หลักฐานสำคัญอยู่ … แอบถ่ายมุมตลกอีกแล้วใช่ไหมน่ะ
.
.
.
พอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินกันจนหนำใจแล้ว ลุงก็พายเรือมาจนถึงฝั่งที่เป็นทางเดินยาวที่สร้างจากไม้ยาวมีบ้านบังกะโลที่สร้างด้วยไม้สักเช่นเดียวกับทางเดินลาดยาวตลอดเส้นทาง อยู่ประมาน 5 หลัง ในเวลาแค่แปปเดียวเจ้าของรีสอร์ทออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ก่อนจะพาเราไปที่บ้านพัก ริมสุด มีหน้าต่างตกแต่งด้วยผ้าม่านสีขาวลายลูกไม้อยู่รอบทิศ ทำให้ลมโกกสุดๆ ในบ้านนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีเตียงแต่เป็นฟูกหนามีมุ้งถูกมัดขึงอยู่ทั้งสี่ด้านเหลือแค่ตอนนอนก็กางแบบปกติ อันนี้ผมถนัด ที่บ้านเก่าผมกางบ่อย ที่สำคัญในห้องหอมกลิ่นดอกไม้ที่ตกแต่งห้อยต่องแต่งอยู่ตรงชานบ้านที่ยื่นออกไปในน้ำมาก ชื่นใจสุดๆ มีเฟอร์นิเจอร์ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ห้องน้ำในตัว แต่ไม่มี TV ไม่มีอินเตอร์เน็ต และก็แทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย แต่ผมมีพี่ใหญ่อยู่ด้วย ผมเลยไม่กลัวเหงา เรื่องผีก็ไม่ต้องกลัวเพราะแค่ผีเห็นหน้าพี่ใหญ่ ผีก็วิ่งหนีกระจายแล้ว คิก ๆ ไม่รู้คนหรือของขลังกันแน่
ผมหัวเราะคนเดียว เกาะรั้วเล็กๆระดับเอวที่ชานบ้าน มีโต๊ะทานอาหารเล็กๆวางอยู่ด้วย มีเตาปิ้งย่างอีกต่างหาก แค่คิดก็หิวแล้ว แต่ตอนนี้อากาศตรงนี้ดีมาก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่ เพราะผมเองก็ไม่ชอบพกโทรศัพท์ นาฬิกาก็ไม่มีแต่ผมกลับคิดว่ามันดีตรงที่เราลืมความวุ่นวายไปเสียบ้าง … ผมชอบแบบนี้มันสงบ
“ไปอาบน้ำ เดี๋ยวข้าวมาส่งจะได้กินข้าวกัน” เสียงกระซิบของพี่ใหญ่
ก่อนที่สัมผัสอบอุ่นของพี่ใหญ่จะแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังของผม แขนใหญ่โอบรอบตัวผม กลิ่นตัวหอมกลิ่นสบู่อ่อนๆ ตัวเย็นเฉียบแสดงว่าพี่ใหญ่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมกัดริมฝีปากก่อนจะหันตัวไปมองตาเจ้าเล่ห์ของพี่ใหญ่ที่ตอนนี้มองมาที่ผมอย่างที่ผมเดาไม่ออก หน้านิ่งมาก ถึงอย่างงั้นแขนของเขาก็ยังโอบผมไม่ห่าง … ไม่รู้ว่ากลิ่นตัวของพี่ใหญ่กับกลิ่นดอกไม้ตอนนี้ อันไหนหอมกว่ากัน แต่ที่รู้ๆ พี่ใหญ่ดีกว่าอะไรทั้งโลกเลย ถึงจะชอบแกล้งผม แต่ผมก็ไม่อาจเอาความรักของผมคืนได้ ไม่เหมือนเลย ไม่เหมือนกับพี่กาจพล ความรู้สึกมันต่างกัน กับพี่กาจพล ผมต้องการแค่ชื่นชมและเห็นความมาดแมนแฮนซั่มของพี่เขาเหมือนเด็กน้อยคลั่งไอดอล และผมเข้าใจผิดไปเองว่านั้นคือความรัก ถึงอย่างงั้นก็เพราะพี่กาจพล
จึงทำให้ผมเจอกับพี่ใหญ่ … คนที่แสดงให้ผมรู้ว่า ยังมีคนที่รักผมด้วยใจจริง ทำให้ผมมั่นใจว่าเขารักผม ถึงแม้จุดเริ่มต้นมันจะแปลกๆ … แต่ตอนนี้ผมเองก็มั่นใจ มั่นใจว่าคนอย่างผมที่ไม่สมบูรณ์ ขาดทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ และความสามารถ แถมยังเป็นผู้ชายความจริงคือผมไม่มีอะไรที่คู่ควรกันเลยแต่ก็สามารถมีความรักที่มั่นคงได้เหมือนกัน และผมยังจะต้องการอะไรอีก …
แต่ถ้าวันไหน … พี่ใหญ่ไม่ต้องการผมแล้ว และผมได้ยินจากปากของพี่เขาเอง ผมก็พร้อมที่จะปล่อยให้พี่ใหญ่กลับไปสู่เส้นทางที่พี่ใหญ่คิดว่าดีที่สุด เพราะมันก็ไม่ผิด ที่จะไขว่หาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง …
“คิดอะไร” เสียงของพี่ใหญ่ดังทำลายความเงียบ ตามด้วยเสียงลมที่พัดออกมาจากซอกเขาทำให้เกิดเสียงประหลาด … ผมเหยียดยิ้มและเอียงคอมองหน้าพี่ใหญ่ที่ทอประกายมาทางผม ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ขอบคุณอะไร”พี่ใหญ่พูดเย้าแหย่ผม แต่ผมกลับไปถูกโดนแหย่ มีความสุขซะมากกว่า เพราะแววตาของพี่ใหญ่ตอนนี้ มันบอกว่าเค้าเองก็รู้สึก สงบ และมีความสุขมากแค่ไหนเหมือนกับผมที่รู้สึกเหมือนกัน
“หลายเรื่อง” พูดไปก็หัวเราะไป แอบเขินด้วยหน่อยๆ จะให้พูดยังไงละ ก็ถ้าพูดไปก็ต้องถูกหัวเราะแน่ๆ
“เรื่องอะไรไหนไล่มาสิ” แหนะยังไม่หยุดอีก
“เยอะอ่ะ กว่าจะหมดคงเช้า”
“จะรอฟัง” พี่ใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาเอาจมูกเขี่ยกับจมูกของผม จนรู้สึกจั๊กกะจี้น้อยๆ
ตาของเราประสานกัน ลมหายใจแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียว ผมละสายตาจากแววตาที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้จ้องต้องหลงรักนั้นมามองที่ริมฝีปากหนาของเขาที่เหยียดยิ้มเป็นเส้นโค้งขึ้นน้อยสวยได้รูป มันค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำให้จิตใจของผมสงบและไม่ตื่นตูมเหมือนเช่นเคย น่าแปลกจัง ที่ตอนนี้ในใจของผมมันพูดออกมาได้เพียงคำเดียว… รัก …
“อาหารมาแล้วครับ”
ผลั๊ก! “อ่ะ พี่ใหญ่ผมขอโทษ” ผมรีบวิ่งเข้าไปดูพี่ใหญ่ที่ผมเผลอตกใจผลักจนเขาเซไปโดนเก้าอี้
ฮือออออ ขอโทษ ผมตกใจและปฏิกิริยาร่างกายมันไปเองง่ะ พี่ใหญ่โบกมือให้ผมหยุดโวยวายและไล่ผมเข้ามาอาบน้ำ คะ คือ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมตกใจ แต่ไม่รอให้พี่ใหญ่ดุผม ผมเดินคอตกเข้ามาในบ้านซะก่อน แอบเหลือบมองพี่ใหญ่ที่กำลังคุยอะไรไม่รู้กับคนที่ยกอาหารทะเลสดมาเสริฟสองสาม แต่ผมกลับสะดุดตาอยู่คนนึงไม่ใช่อะไรนะแต่เขาเป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่มากแถมหน้าตาน่ากลัวมากด้วย รอยสักที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อก็โหดร้าย … และกำลังมองมาที่ผม อ่ะ เขายิ้มด้วย! ผมรีบวิ่งเข้ามาในห้องทันที … ทำไมเขายิ้มแบบนั้นละ น่ากลัวชะมัดเลย
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าสบายๆ เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมดา ออกไปกินข้าวต้องเจอกันควันปิ้งย่างแน่ๆ ผมเลยรวบผมมัดจุกหน้าขึ้นไป ทาครีมอีกเล็กน้อยเดี๋ยวก่อนนอนอาบอีกรอบค่อยทาเหมือนปกติ พอเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปที่ชานบ้านทีพี่ใหญ่กำลังยืนปิ้งกุ้ง ปิ้งปลาอยู่ กลิ่นหอมสุดๆ บนโต๊ะมีกับข้าวสองสามอย่างกับสำรับอาหารครบครัน หิวเลยอะ อ่ะ ! ผมลืมกินยาบล็อกไขมันก่อนอาหารนี้หน่า
“ออกมาแล้วก็มาช่วยกันปิ้งสิ”
“แปปนึงนะครับ”
ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องค้นหาอยู่สักพักก็ไม่เจอ อันนี้ผมแปลกใจมาก ผมจำได้มาหยิบใส่กระเป๋าเป้มาแล้วนี้หนา … ตกอยู่ที่รถหรือเปล่านะ จะกลับไปเอาตอนนี้ก็ไม่ได้แล้วด้วยสิ เอาน่ะ ไม่กินสักสามวันคงไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก่อนนอเล่นโยคะ คงพอถูไถไปได้
พอเห็นว่าหาไม่เจอแล้วผมเลยถอดใจเดินออกไปช่วยพี่ใหญ่ปิ้งอาหารด้านนอก พี่ใหญ่ดูเป็นมืออาชีพด้านปิ้งย่างพอๆกับบาบีก้อนมังกรสีเขียวมาก แต่อันนี้ เสือใหญ่สีขาว ฮิฮิ ดูเหมือนพี่ใหญ่จะไม่โกรธผมด้วยที่ทำให้เขาเจ็บตัว เรายืนปิ้งอาหารกันเงียบๆ จนเสร็จ และผมก็มานั่งมองพี่ใหญ่ทำหอยเชลล์อบชีสที่เอาหอยเชลล์มาวางและป้ายชีสลงไปในเปลือก เสียงดังฟู่ๆ กลิ่นหอมน่ากินมาก อ้วน ผมอ้วนตัวแตกกว่าเดิมแน่ๆ
“เอ๊า เสร็จแล้ว กินได้” พอพี่ใหญ่พูดเป็นสัญญาณพร้อมหอยเชลล์อบชีสจานเด็ดมาวางบนโต๊ะได้
ผมก็จัดการตักข้าวใส่จานพี่ใหญ่ ส่วนของตัวเองก็เน้นกับมากกว่าข้าว และนอกจากกินข้าวกันแล้ว ผมยังต้องปกป้องจานข้าวไม่ให้พี่ใหญ่ตักข้าวมาเพิ่มอีก ผมยัดผักกับน้ำลงกระเพาะให้ได้มากกว่าเนื้อสัตว์ จนผักหมดตะกร้าใหญ่ อิ่มแปล้ตีพุงเลย อร่อยสุด ๆ มื้อใหญ่สมกับที่พี่ใหญ่บอกไว้เลย
“กินนี้อีกสิ” พี่ใหญ่จิ้มปลาหมึกยื่นมาตรงหน้าผม จะอ้วกแย้ววววววววววว
“ไม่ไหวแล้วครับ อิ่มมาก”
“อิ่มอะไร กินกับข้าวไปยังไม่ถึงครึ่งเลย” แต่ผักหมดตะกร้าเลยนะ พี่ใหญ่ไม่เห็นเหรอ T^T
“ผมอิ่มมากเลย ไม่ไหวแล้วเก็บไว้กินตอนเช้าได้ไหม”
“หึ ตามใจ” พี่ใหญ่ก้มลงไปที่กระติกน้ำแข็งขนาดกลางที่วางอยู่กับพื้น หยิบเบียร์ขึ้นมาเทใส่แก้วจิบเพลินๆ ผมเองก็นั่งดูวิวลมเย็นๆ กินผลไม้ไปพลางๆ เราสองคนเงียบ สงบ ต่างคนต่างดื่มด่ำกับธรรมชาติ ไม่มีความอึดอัดเลย มีแต่ความสบายใจ
“ปัง”
“ครับ …” ผมขานรับพี่ใหญ่และก็นึกตกใจที่อยู่ๆ ก็เรียกชื่อผม ปกตินี้หมูสารพัดเลย
“พรุ่งนี้อยากไปไหน”
“เอ่อ ผมไม่รู้ว่าที่นี้มีกิจกรรมอะไรบาง พี่ใหญ่เลือกเลยครับ” ผมว่า พี่ใหญ่เหยียดยิ้มและไม่พูดอะไรต่อจิบเบียร์ต่อไป แต่รอบนี้กลับมองมาที่ผมไม่วางตา … ตางี้เยิ้มเลย …
“มะ มองอะไรครับ”
“หึหึ” หัวเราะแบบนี้น่ากลัวเป็นบ้า
ผมนั่งย่อยอยู่สักพักก็เดินเข้ามาในบ้าน ส่วนพี่ใหญ่ก็นั่งกินเบียร์คนเดียวต่อไป ผมเปิดประตูทิ้งไว้ น่าแปลกที่ไม่มียุงเลย อาจจะเป็นเพราะมีลมโกกตลอด แถมรอบๆก็มีแต่ปลาเต็มไปหมด มียุงสงสัยจะโดนปลากระโดดผลุบๆกินหมด
เข้าไปล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก่อนจะเอาผ้าปูสำรองมาปู ก่อนจะเริ่มเล่นโยคะไปตามภาษา บางทีก็พลาดจะได้ยินเสียงหัวเราะของพี่ใหญ่ทันที ฮึ ผมพยายามไม่สนใจ แต่พอเห็นพี่ใหญ่เงียบไปก็ชะเง้อไปมอง ปรากฏว่าเห็นเหมือนภาพวาดอันวิจิตร พี่ใหญ่เอาแขนพาดไว้บนรั้วชานบ้าน เหม่อมองไปบนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทรงผมสกินเฮดกับหน้าตาคมเข้มออกแนวดุแต่อบอุ่นของเขาส่องประกาย ทำให้ผมเขินอยู่เหมือนกัน … แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆพี่ใหญ่ก็เหลือบตามามองผม
ผมรีบหันมาอีกด้านและลนลานเล่นโยคะของตัวเองต่อ แต่แล้วก่อนที่จะรู้ตัวอะไร พี่ใหญ่ก็รวบผมเข้าไปกอดจับทุ้มลงเตียงซะก่อน อ๊ากกกกกกกก หลังจะหลังแย้ว เสียงหัวเราะของพี่ใหญ่ดังขึ้นข้างๆหูผม เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองถูกพี่ใหญ่นอนทับอยู่ซะแล้ว หนักอ่ะ …
“รู้ไหมเมื่อกี้พี่คิดอะไร”
“เมาแล้วเหรอครับ” ผมถาม ถ้าไม่ปกติพี่ใหญ่จะแทนตัวเองว่าพี่ และตอนนี้พี่ใหญ่ก็ไม่ปกติอย่างแรง งื้อออออ
“หึหึ ไม่เมาสักหน่อย ไหนตอบคำถามพี่ก่อน เมื่อกี้รู้ว่าพี่คิดอะไร” ผมกัดริมฝีปากอย่างคิดหนัก ก่อนจะวางมือบนหลังของพี่ใหญ่ และตบเบาๆกล่อมเหมือนเด็กเล็กๆ ถามว่า หนักไหม ผมหนักเหมือนจะแบนเลย แต่ผมกลับมองข้ามและเห็นว่าพี่ใหญ่น่ารักมากในตอนนี้ … เสือใหญ่ในมุมโรแมนติก ทำให้ผมจะละลาย …
“ไม่รู้ครับ”
“พี่คิดว่า เราสองคนจะอยู่กันได้นานแค่ไหน จะมีวันที่เราสองคนต้องแยกจากกันไหม และถ้าเป็นแบบนั้น ความทรงจำ ณ ช่วงเวลานี้ยังคงจะมีความหมายต่อไปไหม” คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมสะอึก
พี่ใหญ่ไม่ได้เมาเลย แต่เป็นเพราะบรรยากาศมันเหงาหงอยเกินไป อาจจะทำให้เขาคิดมาก ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าพี่ใหญ่จะมีโมเม้นแบบนี้เลย ปกติเค้าจะเป็นพวกเผด็จการ หัวชนฝา ได้คือได้ จะเอาก็จะเอา แต่ตอนนี้เขายอมเผยมุมที่แตกต่างออกไปให้ผมได้รับรู้ … ซึ่งทำให้ผมดีใจมาก แต่ ณ ตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็ก เด็กที่ต้องการความมั่นคง อบอุ่น เชื่อใจ และความรักที่อ่อนโยน
“มีสิครับ มันจะมีความหมายอยู่ตลอดไป แต่สำหรับผมถ้าหากต้องแยกจากกัน คงจะไม่ใช่ผมที่เป็นคนเริ่ม เพราะความรู้สึก ณ ตอนนี้มันมีค่ามากกว่า”
“หึหึ ทำเป็นพูดดี ตอนนั้นใครโวยวายว่าโกรธว่าเกลียดกันก็ไม่รู้” ผมเอียงคอมองพี่ใหญ่ที่ยันตัวเอาแขนเท้าที่นอนไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับแก้มผมบิดไปมา โอ้ยยยยยยยยยยยยย เจ็บ นี้ไงดียังไม่ถึงเท่าไหร่เลย ใจร้ายตลอดเลย!!!!
“อื้อออออออออออ!” ความเจ็บที่แก้มเริ่มเยอะขึ้นจึงทำให้ผมร้องออกมาลั่น แต่พี่ใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ขนาดใช้มือทั้งสองข้างพยายามแกะออกก็ไม่ยอม จนสุดท้ายผมก็ยอมให้เขาบิดแก้มอย่างงั้น เอาสิ แกล้งเลย น้ำตาไหลแล้วนะ อยากแกล้งก็แกล้งเลย ฮือออออออ มันเจ็บ ใจร้าย ๆๆๆๆ ทำไมชอบแกล้งกันนัก!!!!!
แต่แล้วก่อนที่ผมจะคิดน้อยใจไปมากกว่านี้ มือหนาๆของพี่ใหญ่ก็ปล่อยแก้มผมออก และก้มลงมาหอมเบาๆ ฮึก ไม่ต้องเลย แกล้งกันแล้วก็มาทำดีอีกแล้ว ผมผลักพี่ใหญ่ออกและลุกขึ้นมานั่งกุมแก้มตัวเองที่ผมเล่นโยคะนั่งหันหลังให้ อันนี้ผมเจ็บจริงๆ นะ บิดจนผมรู้สึกว่าแก้มจะหลุดเลย ไม่รู้โกรธอะไรผมนักหนา ถึงผมจะเคยบอกว่าเกลียดพี่ใหญ่ แต่ก็แค่อารมณ์ตอนนั้น ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดแล้ว ไม่เห็นต้องรังแกกันเลย ตอนในร้านสะดวกซื้อก็แกล้ง ตอนบนรถก็แกล้ง ตอนจะลงเรือก็แกล้ง แล้วตอนนี้ก็แกล้งอีก คนอะไรแกล้งผมได้ตลอดเวลาเลย! เหมือนไม่รักกันเลย ฮึก คนบ้า เขียวหรือเปล่าก็ไม่รู้
“เฮ้ย ร้องไห้เลยเหรอ” พี่ใหญ่คลานมานั่งข้างๆผม พยายามจะแกะมือผมที่แก้มออก
“…”ผมพลิกตัวหันไปอีกทาง ไม่ต้องมายุ่งเลย มันเจ็บมากเลยนะไม่รู้หรือไง!
“ไอ้หมู ขอดูหน่อย”
“…” ผมไม่สนใจพี่ใหญ่ เอาหลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองพยายามไม่ร้องไห้ให้มีเสียง เดี๋ยวจะโดนหัวเราะอีก
“หมูแดง ขอพี่ดูหน่อยครับ”
“ไม่ต้องเลย ฮึก ไม่ต้องมาพูดดีเลย” ผมหันไปพูดด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจหันหน้ากลับมาที่เดิม
ถ้าผมบิดแก้มพี่ใหญ่จนเหมือนจะหลุดออกมาแบบที่พี่ใหญ่ทำบ้าง และแค่ผมจุ๊บตรงนั้นพูดจาดีด้วยนิดๆหน่อยๆ พี่ใหญ่จะหายไหม และถ้าวันอื่นผมทำผิดมากกว่านี้ ฮึก พี่ใหญ่ต้องตีผมให้เจ็บตัวหนักกว่านี้แน่ๆ แค่ผมบอกว่าเกลียดยังลงโทษผมหนักขนาดนี้เลย หลงคิดว่าเป็นคนดีแล้วแท้ๆ
“ปังปัง … ขอพี่ดูหน่อยนะเด็กดี พี่ขอโทษ พี่แค่หมั้นเขี้ยวเฉยๆ ไม่คิดว่าจะงอนจริงจัง” แกล้งเพราะหมั้นเขี้ยว! ฮืออออออออ หมั้นเขี้ยวต้องบิดกันขนาดนี้เลยเหรอ มันเจ็บนะไม่รู้เหรอไง
“โอ๋ๆ งอแงเป็นเด็กเลยเว้ย ฮ่าๆๆๆ ขอโทษ ที่หลังใหญ่จะไม่ทำอีกแล้ว ก็อยากขุนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอ้วนขึ้นสักที พาตากแดดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมดำ ขนาดเอายาไปซ่อนยังจะมาเล่นโยคะไม่ลำบากอีก อย่างงี้ไม่ให้แกล้งยังไงไหว จริงไหมพี่ไม่ผิดนี้” พี่ใหญ่ทำแอ๊บแบ๊วเอาแขนมากอดผมจากด้านหลังกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน แถมแทนตัวเองว่าใหญ่อีก แสดงว่าสกิลการง้อเริ่มขึ้นอีกแล้ว … เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกว่าเอายาไปซ่อน …
“ยาผมอยู่ไหน” ผมถามพี่ใหญ่เสียงสั่น ถ้าไม่ให้จะร้องอีก
ฮึ! ผมไม่ได้เสพติดนะ ผมกินเฉพาะวันที่ผมรู้ตัวว่าต้องกินเยอะ หรือวันที่ผมกินเข้าไปเยอะมากจะต้องกินยาอีกตัวช่วยในการขับถ่ายสะดวกขึ้นมันช่วยผมได้เยอะเลยยาสองตัวนี้ไม่ใช่ยาลดน้ำหนัก แต่เป็นสมันไพรที่ซื้อจากเพื่อนหมอพี่ตัวเล็กรู้จัก แต่พี่ใหญ่มาทำแบบนี้มันเกินไปไหม ให้ผมทำอะไรผมก็ทำ แต่เล่นยึดของๆผมไปแบบนี้ได้ยังไง
“บนรถ” พี่ใหญ่ตอบทันที
.
.
.
ต่อด้านล่าง