Not Fat
{CH 27เพื่อนกันปังไม่ทิ้ง}
ตัวเล็กหัวเสียมากตอนที่ผมบอกห้ามบอกพี่ใหญ่จนเดินไปซื้อน้ำมาดับอารมณ์โกรธตัวเอง ทิ้งผมให้นั่งทำใจกับผลงานชิ้นแรกที่เฝ้าทำมาจนเกือบเสร็จ … เฮ้อโมอายเกาะอีสเตอร์ของผมกลายเป็นซากซะแล้ว แย่จัง เฮ้อ จะส่งแล้วด้วย ผมควรทำยังไงดี งานส่งประกวดก็ยังไม่ถึงไหนเลย …
ผมอาจจะดูเหมือนคิดมากเดินไปแต่ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ ผมรู้ว่าพี่ใหญ่ก็ไม่ยอมเหมือนกันและมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วมันเหตุผลอะไรล่ะที่ผมจะไปใส่ร้ายใครเค้า ไปงอแงว่าเค้าทำของผมพัง เด็กน้อยมากเลยนะแบบนั้น ผมไม่ทำตัวเหมือนคนที่แกล้งผมหรอก … เฮ้อ แต่อาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้นะ อาจจะมีใครมาเดินชนของผมโดนบังเอิญ และมันก็ตกแตกโดนบังเอิญ … เรื่องบังเอิญมาอยู่ให้เห็นบ่อยจะตาย
“มานั่งตรงนี้ทำอะไรคนเดียว” ผมสะดุ้งรีบเก็บเศษที่หล่นลงมาหักแอบไว้ด้านหลังแอบพี่ใหญ่ ฮื่ออออออ โผล่มาจากไหนอ่ะ
“ว่าไง ทำอะไร ดูท่ามีพิรุธนะ” ผมเลิกลั่กมองซ้ายมองขวาก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามองพี่ใหญ่ ยิ้มแห้งๆ ผมเปล่านะ เปล่ามีพิรุธเลย นะ
“ซ่อนอะไรอยู่ด้านหลังไหนมาดูสิ” พี่ใหญ่เดินอ้อมมาด้านหลัง ผมเลยเอาเศษปูนมาซ่อนไว้ด้านหน้า จากนั้นเค้าก็ล็อกคอผมเลย ฮื่อออออออออ โหดร้ายยยยยยยยยยยยยยยย
“พี่ใหญ่ ไม่เอาอย่าดู” พี่ใหญ่คว้าเอาเศษปูนไปเดาะๆในมือเล่นเดินอ้อมมานั่งจ้องหน้าผม จนผมต้องก้มหน้าลงมองมือตัวเอง …
“ไปเอาอะไรมาเล่นเนี้ย เศษปูนเป็นเด็กหรือไง”
“…”
“ไปทำอะไรซุ่มซ่ามรึเปล่า เอาความจริงด้วย”
“ผมไม่เคยโกหก” ผมตอบแบบไม่กล้าสบตาเค้า … ผมไม่เคยนะ ไม่เคยโกหกพี่ใหญ่เลย …
“เงียบกันโกหกมันก็อันเดียวกันนั้นแหละ ไหนบอกมาสิ มีปัญหาอะไรมานั่งนอยส์น่าเป็นตูดแบบนี้”
“ผมหิว” ผมตอบส่งๆไป ก็เค้าไม่ให้ผมเงียบ แต่ผมจะไม่บอกว่าผมเป็นอะไร ผมไม่อยากบอก ฮืออออ ไม่โกรธผมนะ ไม่โกรธนะ T^T
“แหม บังเอิญ ว่างพอดี”
“ผมต้องทำงาน”
“หึ แค่ชั่วโมงเดียว”
เค้าก็เป็นคนแบบนี้แหละ อยากทำอะไรก็ไม่สนใจใคร แต่ … บางทีก็โอเคนะ สำหรับคนที่ขี้ลังเลอย่างผม … ผมยังไม่เคยกินแบบจริงจังเลย เคยแค่ชิ้นล่ะ 5 บาทตามตลาดนัดเอง รสชาติจะเหมือนในร้านดังๆที่ชอบโฆษณาใน TV ไหมน๋อ
“กินเข้าไปสิ” ผมนั่งมองรางอาหารที่เลื่อนไปมาอยู่ตรงหน้า ชั่วโมงเดียวของพี่ใหญ่นี้ลากผมมานั่งในห่างเนี้ยนะ โอ้ยยยยยยย จะทันปะ ดีนะวันนี้ผมไม่มีเยน แต่กะจะกลับไปทำงานปั้นให้เสร็จสัก 30 เปอร์เซนก็ยังดี จะทันไหมอ่ะ
“กินเข้าปายยยยยยยยยยยย” หมูชิ้นโตถูกยัดใส่ปากผม ร้อนอ่ะ ฟู่ๆ เบาก่อนสิพีใหญ่บ้า
ผมเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะยิ้มเพราะมันอร่อยมาก พี่ใหญ่ยิ้มบางๆให้ผมก่อนจะลุกหายไปสักพัก ในระหว่างนั้นผมก็หยิบทุกอย่างที่เลื่อนมาตามลางเซใส่หม้อ ฮิฮิ อร่อยยยยย อยากจะอยู่ที่นี้ทั้งวันเลยได้ไหม ผมจะกินให้เรียบร้านเลยยยยยยยย
แก๊ง ผมเงยหน้ามองพี่ใหญ่ที่เดินมาพร้อมกับจานซูชิเบอเริ้มที่เค้าตั้งให้ตักไว้ที่อีกมุมของร้ายพร้อมน้ำแก้วใหญ่ ฮิฮิ น่ารักที่สุด
“มีใครเคยบอกไหม เวลานายอยู่กับอาหารและดูมีความสุขแค่ไหน” ผมเงยหน้าจากเตาตะเกียบที่คาปากอยู่ทำให้พี่ใหญ่หัวเราะและหยิบกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายผมขวับ ง่ะ เมื่อกี้พี่ใหญ่ว่าอะไรนะ ผมไม่สนใจก้มลงกินต่อ โออิชิ ม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ไอเลิฟยูนะ อาหารรรรรร
“นี้ กินอยู่นั้นแหละ เงยหน้าขึ้นมาคุยกันบ้างก็ได้ ไอ้หมู” แหงะ … ว่าเค้าทำไม T^T
“พี่ใหญ่ก็กินสิจะมาคุยอะไร” ผมย่นปากก่อนจะจิ้มเอาซูชิเข้าปากอีกก้อนใหญ่ๆ ฮิฮิ
“หึหึ ไอ้หมู” ผมไม่สนใจพี่ใหญ่
นานๆทีผมจะหนีตัวเล็กมากินได้ กลับไปค่อยมอบตัวทีเดียว ดูท่าพรุ่งนี้ผมคงต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างหนักเริ่มจากเย็นนี้ก่อนที่ผมต้องเตรียมตัวอดข้าว ฉะนั้นกลางวันนี้ผมจะเต็มที่ เพราะเดี๋ยวเข้าห้องปั้นแล้ว ผมต้องใช้พลังงานอย่างหนักเหมือนกัน เล็กไม่โกรธผมแน่นอน ถ้าผมบอกว่าพี่ใหญ่พามา
“ไอ้หมูฟิน” ผมเงยหน้ามองพี่ใหญ่ก่อนจะจ้วงเอาสาหร่ายเย็นปิดปากเค้าไปหนึ่งคำ ชอบล้อผมดีนัก นิสัยไม่ดีจริงๆ แต่วันนี้อภัยให้เพราะเห็นว่าใจดีหรอกนะ ฮิฮิ
หลังจากกินบุฟเฟ่เสร็จ พี่ใหญ่พาผมเข้าร้านขนมหวานทั้งๆที่ผมอิ่มจากร้านมาแล้วแต่ก็ยังพาผมมา ขานก็ไม่ได้ เสือร้ายอย่างพี่ใหญ่ก็บังคับผมมาอยู่ดี แต่พาขนมมาเต็มโต๊ะ ผมก็ฟาดเรียบ โดยมีจอมบงการนั่งจิบชาสบายใจเชิ๊บ โอ้ยยยยย พุงจะแตก ร้ายกาจนักนะ ปิศาจจอมขุน
“อืดเลย” ผมย่นหน้าใส่พี่ใหญ่ที่ขับรถอยู่ข้างๆ หึ
เพราะใครล่ะที่ทำให้ผมอิ่มขนาดนี้ แต่นานแค่ไหนแล้วล่ะที่ไม่ได้เต็มคราบขนาดนี้ ช่างเถอะ กินแค่นี้น้ำหนักคงไม่ขึ้นเท่าไหร่ นี้ก็ลกมาตั้งเยอะแล้ว เล็กคงไม่ทันสังเกตเห็นไขมันที่เพิ่งขึ้นจากไขมันก้อนเก่าๆสักเท่าไหร่หรอกม้างงงงงงง
“เสาร์นี้เตรียมตัวด้วยนะ” บรรยากาศหมองลงทันที … ไม่อยากไปเลยบ้านพี่ใหญ่
“… ไม่มีอะไรหรอก ” ขอให้ไม่มีจริงๆ
“พี่ใหญ่ ถ้าแม่พี่ใหญ่สั่งห้ามเราล่ะ” ผมกัดฟันถามเค้า ก้มมองกล่องขนมที่ซื้อมาฝากตัวเล็ก ด้านในมีชาเขียวกับช็อกโกแล็ตที่เล็กชอบ … เล็กคงไม่โกรธผมมาก
“ฮึ เห็นฉันเป็นคนยังไง” ผมกัดปากเข้าไปอีก … ผมยังไม่ค่อยจะรู้เลย … บอกกันหน่อยไม่ได้หรือไง
เอี๊ยก รถจอดเข้าข้างทางผมเงยหน้ามองรอบตัว ยังไม่ถึงมหาลัยสักหน่อยหรือพี่ใหญ่อยากจะซื้ออะไร แต่พอหันไปมองก็เจอ
สายตาพิฆาตกำลังจับจ้องมาที่ผมเหมือนจะเคืองๆนิดๆ ตามภาษาเค้าที่เป็นอยู่ปกติในสายตาของเสือดุ น่ากลัวจัง …
“มองหน้ากันสิ” มือใหญ่จับแก้มผมและขยุ้มจนเจ็บดึงให้มองหน้าดุๆของเค้า อื้ออออ ทำไมต้องขยุ้มแก้ม!!!! ปกติเค้าต้องเชยคางขึ้นอย่างอ่อนโยนและจูบอย่างเบาบางและอบอุ่นไม่ใช่หรือไง!!! พี่ใหญ่บ้าๆ!!!
“นอยส์อะไรเยอะแยะ ?”
“เปล่าสักหน่อย อ่ะ ทำไมต้องบีบแก้ม เจ็บอ่ะ”
“หึหึ ก็น่าหมั่นเขี้ยว เลิกคิดมากสักที โตเป็นหมูและ” พี่ใหญ่พูดและตีจมูกผมเบาๆหนึ่งที หันไปขับรถต่อ แต่เหมือนไม่สะใจ หันมาบีบจมูกผมจนแดงอีกทีแรงๆ ถึงจะสตาร์ท เครื่องกลับมหาลัยได้ ฮึ ทำไมชอบแกล้งผมนัก โลกนี้ไม่ยุติธรรมที่สร้างให้ผมมีทั้งพุงทั้งแก้มเยอะขนาดนี้ …
“หนีเล็กไปอีกแล้ว งอนนนนนนน!”
พอเดินเข้าไปในห้องปั้นที่ทุกคนทำงานกันอยู่ใกล้จะเสร็จ คนงอนก็วิ่งมาหาผมและเชิดหน้าใส่ 180 องศาเหมือนเดิม เอ่อ … คนงอนเค้ามีท่าทางแบบนี้หรอตัวเล็ก น่ารักเกินไปนะ ผมยิ้มก่อนจะยกถุงขนมให้ตัวเล็กดู รายนั้นตาวาวเป็นไข่ห่านและหยิบถุงขนมไปกอดเอาไว้ ปากน้อยๆเม้มขึ้นสูงและแว๊ดขึ้นเสียงดังใส่ผม
“อย่าคิดว่าเล็กจะหายโกรธนะ เช้อออออออออออออ” ตัวเล็กเชิดหน้าและวิ่งไปหาเสาร์ที่กำลังยืนเอียงคอมองอยู่ขำๆ โดยมีชินโดที่กำลังแอบๆมองผมอยู่ใกล้ๆ … ชินโดแปลกๆนะ มีอะไรกับผมรึเปล่า … ช่างเต๊อะ
“เพื่อนๆ ปังซื้อขนมมาฝากนะ วางตรงนี้น๊า” ผมว่าและวางถุงขนมอีกถุงไว้ตรงโต๊ะวางของ และเหมือนฝูงแร้งลงไม่กี่นาทีขนมที่ผมเลือกซื้อมาอย่างใช้ศิลปะชั้นสูงก็หายวับไปกับตา … เห๊ ไวแท้หนอ !
แต่นั้นก็ทำให้เพื่อนทุกคนมีความสุขและมีกำลังใจในการทำงาน แถมยังขอบคุณผมเป็นการใหญ่ ตอนนี้มีแต่คนรักผม … ไม่แน่ใจนะว่าทุกคนรึเปล่า
.
.
.
บรรยากาศภายในคณะศิลปกรรมศาสตร์ในเวลา3ทุ่มโดยประมาน เงียบเหงาไม่ต่างจากห้องปั้นที่มักครึกครื้นตลอดเวลา แต่กลับมีเด็กชายปังปังที่กำลังเครียดเคร่งกับการทำงานปั้นที่ค้างคา หลังจากที่บอกลาเพื่อนสนิทตัวเล็กที่ต้องกลับไปซื้อของเพื่อเอามาเป็นวัสดุในงานต่อไปที่ต้องใช้และไม่ลืมที่จะสัญญาว่าจะซื้อมาฝากปังปังด้วย ส่วนเจ้าเสือจอมดุที่มักจะอยู่เฝ้ามาร์ชเมลโล่ตัวอ้วนๆอย่างปังปัง ก็ถูกไล่กลับไปเพราะตัวเองงานก็ยังไม่เสร็จเหมือนกัน แต่ถึงอย่างงั้นพี่ใหญ่ก็ยังกำชับอยู่ดีว่าให้รีบกลับและขู่ด้วยว่าในห้องนั้นอาจมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้
“เฮ้อ … แค่นี้ก็เสร็จไปนิดนึงแล้ว เดี๋ยวปังมาทำต่อนะ” ปังปังพูดกับตัวเอง
ก่อนจะยกมาเก็บในที่ที่เคยเก็บเจ้าหุ่นที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ปังปังไม่ใช่คนเก่งศิลปะและทำไวเหมือนคนอื่นๆ จึงต้องใช้ความพยายามและละเมียดละไมที่มากกว่าหลายเท่า แต่ความพยายามนั้นก็ทำให้งานออกมาดีได้แทบทุกงาน ถึงจะใช้เวลาหน่อย ก็ตามที
ปังปังเดินไปมาในห้องปั้นก่อนจะมองเจ้าหุ่นที่อุตส่าปั้นมาตลอดทั้งวันด้วยความภูมิใจ เหมือนเวลาอีก 2 วัน อีกทั้ง 48 ชั่วโงที่จะทำให้สมบูรณ์ และถ้าเป็นแบบนี้ เค้าเองก็คิดว่าคงไม่เกินความพยายามที่จะส่งได้ตามกำหมดและเวลาเหมือนคนอื่นๆ
ไฟในห้องปั้นถูกปิดลง พร้อมกับประตูบานเลื่อนที่มืออวบๆของปังปังค่อยๆลากลงมาจากเพดานและใช้กุญแจ ล็อกมันไว้อีกที ไม่ลืมที่จะหันมาตรวจสอบความแน่ใจ ก่อนจะคล้อยหลังเดินออกมาเงียบๆ ท่ามกลางแสงไฟอันน้อยนิด
ยังไม่ทันไรที่ปังปังจะคล้อยหลังไปได้ เงาของคนหนึ่งคนก็ค่อยๆเร้นกายออกมาจากด้านหลังห้องปั้น วิ่งมาที่ประตูบานเลื่อนก่อนจะก้มลงไขกุญแจอย่างง่ายดายและเดินเข้าไปในห้องท่ามกลางความมืดมิด ร่างนั้นเดินไปที่เก็บหุ่นปั้นของทุกคนในภาค
“ขอโทษนะปัง”
ปิ๊ง!
แสงไฟในห้องพร้อมใจกันดีดตัวเปิดขึ้น สร้างความตกใจให้แก่คนปริศนาเป็นอย่างมาก ร่างนั้นสะดุ้งโย่ง แววตาใสซื่อมองอย่างตื่นตระหนกไปที่ปังปังที่ยืนหน้าตาเหวออยู่ที่หน้าห้อง มืออวบค้างอยู่ที่สวิตซ์ไฟ
“… ชินโด” ปังปังพึมพำออกมาเหมือนเสียงกระซิบ ทั้งความไม่เข้าใจ ความสับสนทำให้ปังปังอยากจะร้องไห้ เพื่อนคนนึงที่เค้าไม่เคยคิดสงสัย … กลับเป็นคนที่ทำร้ายกันได้ลงคอ
“ปัง … ไม่ได้ตั้งใจ ชินขอโทษ” ร่างบางของชินโดถลาเข้ามาหาปังปังที่ยืนอยู่ ปังปังไม่หนียืนให้ชินโดจับแขนอยู่อย่างงั้น ตาละห้อยของปังปังหันไปมองชินโดที่กำลังก้มหน้ารู้สึกผิดอยู่ไม่ห่าง
“บอกปังปังได้ไหม … ว่าทำไม ? ปังไปทำอะไรให้ ผมไมต้องทำแบบนี้”
“ฮึก ไม่รู้ ชินโด ไม่รู้ใครสั่ง แต่เค้าบอกถ้าทำจะได้เงิน ฮึก ที่บ้านของเราต้องการใช้เงิน แต่เราไม่มี เรากลัวต้องเลิกเรียน เรากลัว เราเลยทำ เราขอโทษ เราขอโทษ” เสียงละลำลำลักนั้นทำให้ปังปังใจอ่อนฮวบ หันไปจับแขนของชินโดและพูดเบาๆแต่น้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่เป็นไร ปังไม่โกรธ เราเชื่อว่าชินโดมีเหตุผล แต่เราไม่อยากตกเป็นเหยื่อแบบนี้ บอกเราให้หมดได้ไหมว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง” ชินโดเงยหน้ามองปังปังด้วยสายตาที่หวาดละแวกไปทั่ว ก่อนจะก้มหน้าลงไม่ตอบอะไร
“ชินโด … ทุกคนมีปัญหานะ แต่วิธีแก้ปัญหาเราเลือกได้ไม่ใช่หรือไง … เชื่อเรานะ ทุกอย่างมันมีทางออก เราไม่ทิ้งชินโดไปไหนแน่ แต่ตอนนี้ เราแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่” เสียงที่นุ่มนวลและทุ้มต่ำของปังปังทำให้ชินโดคล้อยตามไม่ยาก ร่างบางนั้นเงยหน้าก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับปังปังทุกอย่าง
ในวินาทีนั้น ปังปังไม่อยากที่จะบอกปัญหากับใครทั้งสิน แต่อยากจะแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเองสักตั้ง ความหวาดกลัวสอนให้ปังปังรู้ว่า ไม่ใช่ทางออกเดียวที่จะวิ่งหนีและยอมรับชะตากรรม ในบางครั้งเราก็ต้องสู้เพื่อสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของเราเหมือนกัน …
ปังปังพาชินโดมานั่งที่ม้าหินข้างๆตึกที่เดิมที่เมื่อเช้าเค้านั่งให้พี่ใหญ่แกล้ง ร่างของชินโดดูกระสับกระส่ายและไม่ค่อยจะไว้ใจรอบด้านนัก แต่ปังปังก็จับมือที่เล็กแต่แข็งแรงนั้นมาวางไว้บนมือของตัวเอง เพื่อให้คนตรงหน้าพร้อมที่จะเปิดใจให้กับเค้า
“บอกปังนะ”
“เช้าวันก่อนมีคนโทรมาหาเรา เค้ายื่นขอเสนอประหลาดให้เรา โดยให้เราแกล้งปัง เราปฎิเสธไป … ตะ แต่ เค้าโทรมาทุกวัน และเงินหนาขึ้นเรื่อยๆ … ระ เราเลย ฮึก เราขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ๆ ไม่ร้องนะ ปังขอเบอร์นั้นได้ไหม”ชินโดพยักหน้าก่อนจะยื่นโทรศัพท์ของตัวเองที่ขึ้นหน้าจอเป็นเบอร์ประหลาดที่เหมือนเป็นของสำนักงานอะไรสักอย่าง ปังไม่ได้สนใจแต่เมมเบอร์นั้นลงโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ชินโดที่นั่งก้มหน้าอยู่
“เล่าให้ปังปังฟังได้นะ”
“ฮึก เล่าได้เหรอ ?”
“ได้สิ ถ้านายอยากจะเล่านะ ปังปังพร้อมฟังเสมอ ปังไม่โกรธนะ ไม่โกรธเลย ไม่ต้องร้องนะ” ปังปังปลอบประโลมเพื่อน พร้อมกับเอามือปัดยุ่งที่บินว่อนไปมาใกล้ๆตัวชินโดให้ทั้งๆที่ตัวเองก็โดนกัดไม่ต่างกัน
“บ้านของเรา เคยมีเงินเยอะมากเลย แต่ตอนนี้กลับลำบากมาก หนี้เยอะไปหมด เรามีน้องอีกสามคน พ่อแม่ก็ตกงาน เราเลยไม่มีทางเลือกจริงๆ ขอโทษนะปัง เราขอโทษ” ปังปังยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้นอีกรอบ
“ปังพอมีเงินเก็บอยู่เดี๋ยวให้ยืมก้อนนึงก่อนไหม และถ้ามีค่อยเอามาคืน ปังมีงานดีๆนะที่หอสมุดตอนนี้เปิดรับคนอยู่ แถมพี่แต้วเค้าก็ต้องการคนไปดูร้านกาแฟหน้ามหาลัยด้วย เดี๋ยวปังพาไปนะ ไม่ต้องร้องแล้ว”
“ฮึก ขอบใจมากนะ ขอบใจมากจริงๆ” ชินโดโหมเข้ากอดปังปังที่ยิ้มล้า เหมือนได้ปลดอะไรในใจออกไป หนึ่งเปลาะเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน คราวหลังมีอะไรก็บอกปังกับเล็กได้นะ เรามาช่วยกันแก้ไขเนอะ” ปังพูดก่อนจะกอดตอบชินโดอย่างอ่อนโยน เหมือนพี่น้องที่คอยปลอบประโลมซึ่งกันและกัน …
.
.
.
บนเตียงใหญ่ปังปังนอนหลับอยู่ในความมืดของห้องพักของเสือร้ายที่โทรมาขู่ว่าถ้ากลับไปไม่เจอ โดนตีหนักนั้น ประตูห้องค่อยๆบิดออกพร้อมร่างของพี่ใหญ่ที่สะบักสะบอมจากการทำงานจนเกือบเช้าแบบนี้ กลิ่นบุหรี่และเหล้าย้อมใจในระหว่างทำงานนั้นฟุ้งไปทั่วห้องถึงจะเป็นของพี่ใหญ่แต่ก็เป็นเพียงแค่น้อยนิด เค้าพยายามอดทนและละเลิกมันเพื่อจะได้ขยำมาสเมโลเนื้อหวานของเจ้าหมูที่นอนกายหมอนน้ำลายยืดอยู่ในห้องตอนนี้
เค้าเหยียดยิ้มท่ามกลางความมืดในห้องก่อนจะเดินไปนั่งที่ข้างๆของปังปังที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะหอมลงแก้มที่เนียนและหอมด้วยเนื้อแป้งชั้นดีที่เล็กเป็นคนจัดการซื้อมาทาให้ กลิ่นตัวหอมฟุ้งนั้นทำให้พี่ใหญ่แทบไม่อยากจะไปอาบน้ำ อยากที่จะนอนกอดให้ชื่นใจ แต่ก็ต้องตัดใจกลัวที่เจ้าหมูเนื้อแน่นจะลุกขึ้นมาโวยวาย เค้าจึงเดินออกมาเข้าห้องน้ำด้วยความไวแสงที่มนุษย์คนนึงจะสามารถทำได้
“พี่ใหญ่”
ร่างสูงสะดุ้งนิดๆเมื่ออกมาจากห้องน้ำเห็นเจ้าตัวดีกำลังปรือตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้นมองเค้าอยู่บนเตียง ด้วยฤทธิ์ความง่วงหรืออะไรไม่ทราบ แขนของเจ้าหมูชูขึ้นน้อยๆออกคล้ายเด็กน้อยที่ต้องการให้กอดด้วยความรักและอ่อนโยน เจ้าเสือร้ายเหยียดยิ้มก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวไปทางอื่น ร่างกายที่มีเพียงบ็อกเซอร์ห่มกายถาโถมเข้าไปกอดเจ้ามาร์ชเมลโล่เนื้ออวบไว้แน่น
“อื้อ เสือร้ายอย่าแกล้งปังนะ” ดูเหมือนเค้าจะรัดแรงไปหน่อยทำให้ร่างละเมอบ่นออกมาเบาๆ แก้มยุ้ยๆที่เจ้าตัวมองว่ามันน่าเกลียดกลับน่ารักซะเหลือเกินสำหรับคนอื่น
“ไอ้หมูตัวแสบ” พี่ใหญ่พึมพำเบาๆอย่างขำๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมองว่าตัวเองไม่น่ารักไปกว่าใครๆ ทั้งๆที่ในตัวตนที่แท้จริงออกจะน่าหม่ำซะขนาดนี้ เขาจ้องหน้าหมูขี้เซาในความมืดสักพัก ก่อนจะ หลับไปในเช้ามืดที่อบอุ่นหัวใจ …
================================
ให้ทายการสืบของปังปังคนเดียวจะรอดไหม ฮ่าๆๆๆ
ถ้าพี่ใหญ่รู้จะโกรธแค่ไหน ???
ขอโทษที่มาเกือบจะข้ามวัน ฮ่าๆๆๆ รีบสุดแล้วววว
เจอกันตอนหน้าค๊าาาา
ฝากเพจนะ ไปเม้าส์กันในเพจ ตอนนี้กำลังมันส์เลยยย 
ห้องเก็บนิยาย pa_pa
