ตอนพิเศษ
ความทรงจำในวันวาน (ครึ่งแรก)
เซอิจิกลับเข้าห้องพักส่วนตัวของตน ด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ...ดีใจที่เห็นลูกชายมีความสุข...ตกใจ เมื่อได้รับข่าวเพื่อนรักที่หายสาบสูญไปนาน และสุดท้าย เศร้าใจ...ที่ได้รู้ว่า คนที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ลาลับจากโลกนี้ไปเมื่อนานหลายปีมาแล้ว
"เรียว...ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า ในวาระสุดท้ายของชีวิต...นายจะอภัยให้ฉันได้หรือยัง"
เซอิจิหยิบรูปถ่ายของเพื่อนขึ้นมาดู พลางหวนคิดถึงความทรงจำในอดีตที่ผ่านมา ...ความทรงจำที่เขาพยายามผนึกมันไว้เพื่อที่จะได้ลืมว่า เขาเคยทำให้เพื่อนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ต้องเจ็บปวดเพราะตนเองมาก่อน
วันถัดมา เซอิจิได้แวะมายังบ้านพักส่วนตัวของลูกชาย เขานั่งรออยู่สักพัก ริวยะก็ออกมาพบเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
"คุณพ่อมาแต่เช้าเลยนะครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ"
"เช้าของแกนี่คือเกือบเที่ยงเลยสินะ...อ้อ! แล้วฉันก็ไม่ได้มีธุระกับแก แต่มีธุระกับคนรักแกต่างหาก ...แล้วเจ้าหนูล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน"
ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังตอบคำถามนั้นไปตามตรง
"ยูคิพอได้ยินว่าคุณพ่อมา ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้จัดเตรียมตู้บูชา ก็เลยแยกไปวุ่นวายกับทางนั้นแทนแล้วครับ"
ริวยะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เพราะเขากับคนรักเพิ่งจะได้พักผ่อนกันเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง เนื่องจากเมื่อคืนนี้เกือบทั้งคืน ทั้งคู่ได้พรอดรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างลืมตัวเกินไปสักหน่อยนั่นเอง
"อืม...ดี งั้นเดี๋ยวฉันจะได้ไปเคารพป้ายวิญญาณหมอนั่นเสียหน่อย"
ริวยะพอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากถามบิดาออกไปอย่างนึกสงสัย
"ตกลงว่าคุณพ่อกับคุณตาของยูคิเคยรู้จักกันหรือครับ"
เซอิจิเหลือบมองลูกชาย แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากให้เห็น
"แน่นอน...และถ้าไม่มีเขา บางทีแกกับริวจิ คงไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลกนี้แล้วก็ได้"
จากนั้นชายชราก็เดินนำหน้าไป โดยมีริวยะบอกว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ตรงไหนของบ้านพัก
เมื่อมาถึงห้องพักผ่อนอีกห้องของบ้าน เซอิจิก็เห็นว่ายูคิจัดวางป้ายบูชาของครอบครัวเสร็จเรียบร้อยพอดี ป้ายในตู้บูชานั้น มีป้ายของโคบายาชิ เรียว ผู้เป็นตาและ โคบายาชิ มาซาโกะ ผู้เป็นยาย แถวถัดมาเป็น ทานากะ มาซายะ และทานากะ เซรินะ ผู้เป็นมารดาและบิดาของเด็กหนุ่ม
"ลำบากน่าดูเลยนะ ที่ชีวิตต้องพบแต่ความสูญเสียมาตลอดแบบนี้"
เซอิจิเอ่ยขึ้นอย่างนึกเวทนาต่อตัวหลานชายของเพื่อนรัก หากแต่ยูคินั้นหันกลับมามองชายชรา พลางโค้งทำความเคารพทักทายน้อย ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มให้
"มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่ครับ...เสียใจก็คงเสียใจ แต่ไม่มีใครในโลกนี้ที่หลีกหนีความตายได้พ้นหรอกครับ"
เซอิจิรับฟัง แล้วจึงเหลือบไปมองป้ายวิญญาณของเพื่อนก่อนจะพึมพำขึ้นมา
"นั่นสินะ..."
จากนั้นชายชราจึงเหลือบมองป้ายวิญญาณผู้เป็นยายของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันมาถามคนที่ยืนมองเขาอยู่
"ตาของเธอกับยายของเธอรักกันมากไหม"
ยูคิแปลกใจต่อคำถามนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงบอกเล่าในสิ่งที่ตนเองรู้ออกไปตามตรง
"...คุณยายท่านเสียก่อนผมจะเกิดอีกครับ แต่ผมเคยได้ยินคุณตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคุณยายมากมาย และผมมั่นใจว่า พวกท่านนั้นรักกันมากครับ เพราะคุณตามักจะมีสีหน้ามีความสุขทุกครั้งที่เล่าถึงเรื่องของคุณยายให้ฟัง"
เซอิจิเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมพึมพำด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอย่างอ่อนโยน
"ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...ฉันจะได้สบายใจและรู้สึกผิดน้อยลง"
จากนั้นชายชราจึงไปนั่งทำความเคารพป้ายวิญญาณของครอบครัวเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันกลับมา ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจระคนสงสัยแกมอยากรู้ของทั้งลูกชายและคนรักของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน
"พวกเธอพอจะมีเวลาว่างฟังเรื่องเล่าของคนแก่ไหมล่ะ..."
คำถามนั้นทำให้ยูคิชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตามมาอย่างลืมตัว แล้วจึงหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเผลอแสดงอาการอยากรู้ออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย
"หึ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็นั่งตามสบายเถอะ ไม่จำเป็นต้องนั่งคุกเข่าแบบนั้นก็ได้...เรื่องเล่าของคนแก่มันยาวนะ"
ยูคิฟังแล้วก็ชะงักก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ พร้อมคำขอบคุณแผ่วเบา ก่อนจะเลือกนั่งขัดสมาธิบนเบาะนั่งเช่นเดียวกับริวยะ จากนั้นเซอิจิก็หันไปทางชิโนะที่มาคอยรอรับใช้อยู่แถวนั้น
"ไม่ได้ชิมฝีมือขนมหวานของเธอมานาน เดี๋ยวช่วยจัดให้ฉันซักชุดนะชิโนะ"
"ได้สิคะ...แต่เกรงว่าฝีมือของดิฉันคงจะยังสู้ฝีมือคุณพี่ซานะไม่ได้หรอกนะคะ"
ชิโนะเอ่ยถึงพี่สาวของเธอซึ่งเป็นผู้ดูแลประจำบ้านพักของเซอิจิด้วยรอยยิ้ม พลางขอตัวไปเตรียมของว่างให้กับบรรดานาย ๆ ของตนต่อไป
"บรรยากาศดีจังนะ ห้องนี้...ริวยะจัดเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะเลยล่ะสิ"
เซอิจิมองไปทางสวนด้านนอก ซึ่งริวยะที่ถูกพูดแทงใจดำก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ส่วนยูคิก็หน้าแดงน้อย ๆ อย่างนึกเขินอาย
"อืม...ฉันจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดีนะ"
ชายชราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน สมัยเขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายในช่วงปีสุดท้าย อันเป็นระยะหัวเรี่ยวหัวต่อของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย...
...ในตอนนั้น ฉันอายุได้ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ ม.ปลายปีสุดท้าย พ่อของฉันซึ่งเป็นปู่ของริวยะ เป็นคนเข้มงวดเจ้าระเบียบกว่าฉันหลายเท่านัก ทุกคนที่อยู่ใต้เงาปกครองของท่าน จะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบที่ท่านวางเอาไว้เสมอ แม้แต่แม่แท้ ๆ ของฉันเอง ยังทนการถูกบีบคั้นจากพ่อไม่ได้ ท่านหนีออกจากบ้านและทิ้งฉันไว้ที่นั่นตั้งแต่ฉันอายุเพียง 10 ปี หลังจากนั้นพ่อก็ยิ่งเข้มงวดกับชีวิตของฉันมากขึ้น ท่านบงการทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเรียน ในชีวิตวัยเรียนของฉันมีแต่การแข่งขัน ฉันต้องอยู่เหนือคนอื่นเสมอ หากเมื่อใดอันดับผลการเรียนของฉันตกต่ำลง ฉันก็จะถูกพ่อเกรี้ยวกราดและบันดาลโทสะใส่อย่างรุนแรงทุกครั้ง...
"ผลการสอบนี่มันอะไรกัน เซอิจิ! ทำไมถึงตกลงมามากขนาดนี้!"
พ่อตวาดใส่ฉันลั่น เมื่อเห็นผลการเรียนของฉัน จากที่เคยติด 1 ใน 5 ของชั้นปี ร่วงลงมาเป็นอันดับที่ 10 ของการสอบที่ผ่านมา
"ผม...เอ่อ...ผมพยายามเต็มที่แล้วนะครับ แต่การทดสอบครั้งนี้มันค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย"
ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าจู่ ๆ พ่อก็หันไปทางกล่องกระดาษใบใหญ่ด้านหลัง แล้วล้วงหยิบอุปกรณ์วาดรูปที่ฉันเก็บซ่อนไว้ในห้อง ปาใส่หน้าฉัน พร้อมกับตวาดลั่น
"พยายามอย่างนั้นหรือ! ไม่ใช่เพราะแกมัวแต่สนใจงานอดิเรกไร้สาระของแกอยู่แทนหรอกรึ! ผลการเรียนมันถึงได้ตกต่ำลงถึงขนาดนี้!"
"...แต่ผมวาดรูปเฉพาะหลังทบทวนบทเรียนเท่านั้นเองนะครับ"
ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าพ่อของฉันก็ไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
"ฉันไม่สนใจคำแก้ตัวของสุนัขขี้แพ้หรอกนะเซอิจิ! แกต้องเลิกงานอดิเรกบ้าบอของแกพวกนี้ให้หมด แล้วตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิม และห้ามทำให้ฉันและตระกูลของเราเสียชื่อแบบนี้อีก เข้าใจไหม!"
พ่อตวาดใส่แล้วทิ้งให้ฉันนั่งอยู่กับอุปกรณ์วาดภาพที่ถูกกว้างกระจัดกระจายเหล่านั้นเพียงลำพัง ฉันเก็บพวกมันมาถือไว้ในมือทีละชิ้น ก่อนจะหลุดสะอื้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจอย่างสุดแสน
ในความคิดของฉันตอนนั้น สำหรับพ่อแล้ว ฉันมันไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็นเพียงเครื่องมือเชิดหน้าชูตาของตระกูลและพ่อเท่านั้น... ทั้งที่ฉันพยายามทำทุกอย่างที่พ่อสั่ง แต่พ่อก็ไม่เคยแม้แต่จะยิ้มให้ฉันยามฉันประสบความสำเร็จ ไม่เคยเลยที่จะคอยปลอบโยนยามฉันท้อแท้ผิดหวัง ...และแม้แต่กระทั่งความสุขทางใจเพียงหนึ่งเดียวอย่างการวาดรูป พ่อก็ยังจะมาพรากมันจากฉันไปอีก...
ฉันในตอนนั้นคงจะถึงขีดความจำกัดความอดทนขึ้นมาเสียแล้ว ฉันตรงออกจากบ้าน เดินสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าแม่น้ำสายใหญ่ ฉันเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า และตัดสินใจเดินลงไปในลำน้ำนั้นเพื่อจบชีวิตที่ฉันคิดว่ามันไร้ค่านั้นลงเสีย ทว่า...
"นี่! หยุดนะ! แม่น้ำนั่นเชี่ยวมากนะ ลงไปไม่ได้รู้ไหม!"
เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันหยุดชะงักฝีเท้าชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองยังต้นเสียง อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มวัยพอ ๆ กับฉัน และกำลังวิ่งตรงจากเนินตลิ่งเข้ามาหา ฉันมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินหน้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ หากแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงย่ำน้ำ และแรงดึงจากมือของใครอีกคนก็ทำให้ฉันหยุดชะงัก ฉันรีบหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าพอหันไป อีกฝ่ายก็ทำหน้าตาขุ่นเคืองแล้วโวยวายใส่ฉันลั่น
"เจ้าบ้าเอ๊ย! นี่นายไม่ได้ยินฉันห้ามหรือไง ถ้าฉันไม่ผ่านมาแล้วห้ามไว้ ป่านนี้นายได้กลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้วรู้ไหม!"
ฉันชะงักเมื่อได้ยินคำต่อว่านั่น ความฉุนเฉียวก่อตัวขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เกิดมา นอกจากพ่อแล้ว แทบไม่เคยมีใครกล้ามาดุด่าสั่งสอนฉันแบบนี้มาก่อน
"หุบปาก! ฉันจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย! ปล่อยฉันนะ! ฉันน่ะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกเส็งเคร็งแบบนี้อีกต่อไปแล้ว! ฉันอยากตายไปให้มันพ้น ๆ ซะเดี๋ยวนี้..!"
ฉันตวาดสวนกลับไป ก่อนจะหน้าสะบัดไปตามแรงตบจากมือของอีกฝ่าย ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พอรู้สึกตัวฉันก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห เตรียมจะโต้ตอบกลับ ทว่าฉันก็ต้องชะงักมือของตนเอาไว้ เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาเจ็บปวดของคนที่ตบฉัน
"...อย่าพูดว่าจะไปตายง่าย ๆ แบบนี้สิ ...ตอนนี้นายเองก็ยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ ...ทำไมล่ะ...ทำไมถึงไม่รักชีวิตตัวเองบ้าง ...ทั้ง ๆ ยังมีคนที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้มีวันพรุ่งนี้ต่อไป แต่ก็ไม่อาจจะฝืนชะตากรรมนั้นได้...แต่นาย...นายที่ยังมีชีวิตที่แข็งแรงขนาดนี้ แต่กลับคิดละทิ้งชีวิตตัวเอง...นายไม่ละอายคนอื่นที่เขามีความพยายามเหล่านั้นบ้างหรือไงกัน!!"
ฉันนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ แต่พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบเถียงกลับไปทันที
"นายมันจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวฉันเล่า! ฉันน่ะมันเป็นคนไร้ค่า! ขนาดพ่อแท้ ๆ ยังไม่เห็นค่าของตัวฉันเลยด้วยซ้ำ! ..."
พอพูดถึงพ่อ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาคลอเบ้าอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเจ็บใจ เด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งเงียบไป ทำให้ฉันต้องเงยหน้ามองเขาที่สูงกว่าฉันเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักเมื่อสบกับแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา
"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวนายเอง...เพราะฉะนั้น อย่าคิดสั้นแบบนี้อีกเลยนะ"
ฉันเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ทว่ากลับมีน้ำตานองหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ คงเพราะไม่เคยมีใครที่จะพยายามเข้าใจในตัวฉันเช่นนี้มาก่อน พอมาเจอความอ่อนโยนที่แฝงมากับแววตาอันแสนจริงใจที่ฉันไม่เคยเจอจากคนรอบตัว มันก็ทำให้ฉันอดที่จะเผลอแสดงความอ่อนแอออกไปเช่นนั้นไม่ได้
ฉันจำไม่ได้ว่าหลังจากที่ถูกพามาบนริมฝั่ง ตัวฉันเผลอหลุดปากเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเองให้อีกฝ่ายฟังบ้าง เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี มีบางครั้งที่ฉันพูดไม่ออกเพราะความคับแค้นใจ คนคนนั้นก็เลือกที่จะบีบไหล่ฉันเบา ๆ แทนการปลอบโยน กระทั่งฉันเริ่มสงบใจลงในที่สุด
"ขอบใจที่ช่วยรับฟัง...ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก...ฉันยินดีนะ ที่มีส่วนช่วยให้นายสบายใจได้ขึ้นบ้าง"
เด็กหนุ่มคนนั้นบอกกับฉัน จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็นั่งเงียบไปสักครู่ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งแขนยื่นมาฉุดให้ฉันลุกตาม
"ฉันชื่อ โคบายาชิ เรียว ...แล้วนายล่ะ"
ฉันมองคนที่แนะนำตัวเอง แล้วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะบอกชื่อของตัวเองไปบ้าง
"มุราคามิ เซอิจิ"
เด็กหนุ่มที่ชื่อเรียวยิ้มน้อย ๆ ให้ฉัน แล้วบอกให้ฉันกลับบ้าน เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันหันไปมองเขาที่ยืนยิ้มส่งฉัน แล้วก็เผลอหลุดปากในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะกล้าพูดออกไปได้
"ฉันจะมาเจอนายที่นี่อีกได้ไหม"
อีกฝ่ายเงียบไป ฉันคิดว่าเขาอาจจะไม่พอใจ จึงเอ่ยปากเตรียมขอโทษ ทว่าคนตรงหน้ากลับมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ฉันแทน
"ได้สิ ...แต่นายห้ามมาที่นี่แล้วทำเรื่องแบบวันนี้อีกนะ"
ฉันชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มตอบกลับไป วันนั้นฉันกลับไปบ้าน พ่อไม่ได้ถามสักคำว่าฉันหายไปไหนมา หากแต่ฉันไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือท้อแท้เหมือนเคย คงเป็นเพราะฉันได้ระบายความคับแค้นก่อนหน้านั้นไปให้ใครบางคนได้รับฟังหมดแล้วก็ได้
เย็นวันถัดมา ฉันมารอที่ริมน้ำที่เดิมอีกครั้ง หากแต่ก็ไร้เงาของคนเมื่อวาน ฉันรออยู่อีกพักใหญ่ ๆ แล้วจึงตัดสินใจกลับบ้าน ทว่าระหว่างจะเดินกลับฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนทักขึ้นมาจากด้านหลัง
"เซอิจิ! ฉันมาแล้ว!"
ฉันหันไปดูคนที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาที่ฉันหยุดรออยู่ อีกฝ่ายยืนหอบอยู่อีกสักพัก แล้วจึงเงยหน้าสบตาฉันพร้อมยกมือขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่
"ขอโทษทีที่มาช้านะ! พอดีฉันเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ!"
"ทำงาน?"
ฉันย้อนถามไปอย่างประหลาดใจ เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุพอ ๆ กับฉัน
"อืม! ฉันลาออกจากโรงเรียนมาได้เป็นปีแล้วน่ะ ก็นะ...พอแม่ฉันเสีย ฉันก็ไม่มีญาติคนไหนเหลืออีก เพราะพ่อฉันก็ตายตั้งแต่ฉันยังเด็ก เงินทองที่มีก็เอาไปรักษาแม่จนหมด ฉันก็เลยต้องลาออกมาทำงานเลี้ยงชีพนี่ล่ะ"
เรียวเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา ไร้ซึ่งความคับแค้นใจใดใดต่อโชคชะตาให้สัมผัสได้เลยสักนิด และนั่นจึงทำให้ฉันนิ่งอึ้งพร้อมกับเผลอตั้งคำถามที่คาใจบางอย่างออกไป
"แล้วทำไมนายถึงยังยิ้ม แล้วยังมีกำลังใจสู้ต่อไปได้อีกล่ะ"
เรียวหันมามองฉัน เขายิ้มให้ฉันอีกครั้ง ก่อนจะตอบข้อสงสัยของฉันอย่างว่าง่าย
"ก็เพราะฉันยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ...ขนาดแม่ของฉันป่วยเป็นโรคร้ายแท้ ๆ แต่ท่านก็ยังเข้มแข็ง คอยปลอบโยนให้กำลังใจฉันยามฉันท้อ และมีรอยยิ้มให้ฉันได้ทุกวันจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน ...ถ้าฉันซึ่งยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี กลับทำตัวท้อแท้หรือสิ้นหวังกับชีวิต แม่ก็คงมองฉันอย่างผิดหวังอยู่บนสวรรค์นั่นเป็นแน่"
ฉันรับฟังและรู้สึกชาวาบบริเวณใบหน้าขึ้นมากะทันหัน พอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนคนนี้ถึงได้ต่อว่าฉันซึ่งคิดสั้นแบบนั้นเมื่อวันก่อน
"ขอโทษนะ...สำหรับเรื่องเมื่อวานนี้..."
ฉันพูดอะไรแทบไม่ออก แต่ดูเหมือนเรียวจะเข้าใจ เขายิ้มให้ฉัน แล้วเอื้อมมือมาแตะใบหน้าของฉันแผ่วเบา
"ฉันก็ต้องขอโทษที่เผลอไปตบนายเมื่อวาน ...นายจะชกฉันคืนก็ได้นะเซอิจิ"
ฉันสั่นศีรษะปฏิเสธข้อเสนอนั่นโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าไม่มีคนตรงหน้า ป่านนี้ฉันคงจะกลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำ โดยไร้คนแยแสไปแล้วก็เป็นได้
"แล้วตอนนี้นายเลิกคิดสั้น ๆ ทิ้งชีวิตตัวเองได้บ้างแล้วหรือยังล่ะ"
เรียวถามฉัน คำถามนั้นทำให้ฉันชะงัก พลางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตน ...ตัวฉันอาจจะถูกบังคับกำหนดเส้นทางชีวิตที่ต้องก้าวเดินตลอดเวลาก็จริง ทว่าฉันยังมีพ่อซึ่งเป็นญาติพี่น้องเหลืออยู่ มีบ้านหลังใหญ่โต มีบริวารข้ารับใช้คอยปรนนิบัติดูแล มีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนตรงหน้านี้มากมายนัก
"อืม...ฉันจะไม่คิดสั้นทิ้งชีวิตตัวเองง่าย ๆ แบบนั้นอีกแล้วล่ะ"
เรียวยิ้มกว้างให้กับฉัน เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์จริงใจไร้สิ่งใดแอบแฝงเคลือบแคลง ...พอฉันมองเขาแล้ว ฉันก็นึกอยากให้คนคนนั้นยิ้มให้ฉันหลังจากนี้ไปเรื่อย ๆ ขึ้นมา
"เรียว...เอ่อ...หลังจากวันนี้ไป ...ถ้าฉันจะมาขอพบนายที่นี่อีก ในเวลาประมาณนี้...เอ่อ...นายจะขัดข้องไหม"
เรียวชะงักเขาทำสีหน้าครุ่นคิดจนฉันใจเสีย และก่อนที่เขาจะตอบฉันจึงรีบโพล่งขัดไปก่อน
"เอ่อ...ขอโทษทีนะ ที่ถามในเรื่องที่ทำให้นายลำบากใจ...เอาเป็นว่า ที่ถามออกไปเมื่อครู่นี้ นายก็อย่าไปใส่ใจจำก็แล้วกัน!"
ฉันฝืนยิ้มให้เขา ส่วนเรียวพอได้ยินก็ทำหน้ายุ่ง ๆ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ให้ฉันได้เห็น
"เฮ้อ! นายนี่เป็นคนชอบด่วนสรุปตัดบทเอาเองแบบนี้เสมออย่างนั้นหรือเซอิจิ...ฉันยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าลำบากใจ ...เพียงแต่ที่เงียบไป ก็เพราะกำลังนึกว่า ฉันมีเวลาว่างช่วงไหนวันไหน ให้นายมาพบกันสะดวก ๆ แทนต่างหาก... มาหากันเย็น ๆ แบบนี้ กว่านายจะกลับบ้านก็มืดค่ำพอดี เดี๋ยวทางบ้านนายเขาจะเป็นห่วงเอานะ"
ฉันรับฟังคำพูดนั้นด้วยใบหน้าร้อนวาบด้วยความอับอาย ที่ฉันเผลอคิดเองเออเองว่าเรียวรำคาญฉัน ทั้ง ๆ ที่เขานั้นคิดเผื่อถึงความสะดวกของฉัน และยังเป็นห่วงเผื่อครอบครัวของฉันอีกด้วยซ้ำ
"แสดงว่า ฉันมาหานายได้อีกอย่างนั้นหรือ..."
ฉันถามออกไปพร้อมกับรอคอยคำตอบ ต่อให้เรียวจะบอกก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของเขาอีกครั้ง
"ได้สิ! ก็ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือ!"
เรียวบอกพร้อมยิ้มกว้างให้ฉัน คำตอบนั้นมันทำให้ฉันนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ฉันคงเงียบไปนานจนเรียวต้องถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังลังเลปนเกรงใจ
"เอ่อ...เป็นอะไรไปเซอิจิ...หรือว่าฉันมัดมือชกนายจนเกินไป...เรื่องเพื่อนน่ะ"
ฉันสะดุ้งแล้วรีบสั่นศีรษะไปมาปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย
"ไม่เลย...ฉันดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย...เรียว"
พอได้ยินฉันบอกดังนั้น เรียวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจึงยื่นมือส่งมาให้ฉันพร้อมรอยยิ้ม
"งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะ เซอิจิ"
ฉันมองมือนั้น แล้วยิ้มตอบกลับไปอย่างนึกยินดีเป็นที่สุด
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ...เรียว"
จากนั้นเรียวก็บอกถึงเวลาทำงานและวันพักผ่อนของเขา ซึ่งฉันก็จดจำมันและเทียบดูกับตารางเวลาของฉัน บางทีหากฉันตัดเวลาเรียนด้วยตนเองในตอนเย็นที่ห้องสมุด ฉันก็จะมีเวลามาหาเรียวได้นานมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายชั่วโมง
"ไว้เจอกันครั้งหน้านะเรียว"
ฉันบอกลาเพื่อนใหม่ของฉัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวโบกมืออำลาส่งฉัน ขนาดฉันเดินไปแล้วหันกลับมามองอีก ฉันก็ยังเห็นเขายืนโบกมือให้ฉันต่อไม่เลิกจนฉันนึกขำ
วันนั้นฉันกลับบ้านไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานกว่าเดิม แม้ว่าจะถูกพ่อเมินเฉยใส่ตอนฉันทักทายท่านเมื่อถึงบ้านก็ตาม
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไปหาเรียวตอนที่เขาว่างจากงาน หรือมีบางครั้งฉันก็ไปช่วยเขาทำงานพิเศษในตอนเย็นด้วยก็มี แม้ว่าเรียวจะบ่นใส่ฉันบ้าง แต่นายจ้างที่ร้านซึ่งเรียวทำงานอยู่ก็แอบบอกฉันมาว่า เรียวนั้นดีใจที่ฉันแวะมาหาเขาเช่นนี้
"เพื่อน ๆ จากโรงเรียนเก่าของเรียวจัง ทีแรกก็มีแวะมาเยี่ยมบ้าง มาหาบ้าง แต่หลัง ๆ ก็ห่างเหินกันไป...เรียวเขาก็เข้าใจหรอกนะว่าช่วงนี้เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อของการเรียน ...แต่ฉันรู้ดีว่าเด็กนั่นคงแอบเหงาอยู่บ้าง ถึงจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ยังไง แต่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ต้องการคบหาเพื่อนฝูงอยู่เลยนี่นะ"
ทากะซังเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เรียวทำงานอยู่บอกกับฉัน ซึ่งพอได้รับรู้ดังนั้น ฉันก็รู้สึกดีใจที่ฉันสามารถทำตัวมีประโยชน์ต่อคนที่ฉันนับเป็นเพื่อนได้เช่นนี้
"เซอิจิ! มาช่วยชิมนี่หน่อยสิ"
เรียวตะโกนเรียกฉันให้ไปช่วยชิมอาหารที่อีกฝ่ายทดลองทำ เนื่องจากทากะซังนั้นเป็นเจ้าของร้านที่ใจดี และชื่นชมเรียวที่ขยันขันแข็ง เมื่อเห็นว่าเรียวมีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ก็ช่วยส่งเสริมโดยให้เรียวใช้วัตถุดิบที่เหลือในแต่ละวันหลังปิดร้าน ทดลองทำอาหารเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองได้
"ไหน...อะไรน่ะ...โอฉะสึเกะ?"
ฉันมองอาหารตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเคยได้เห็นคนงานทำกินกันเองในบ้าน แต่ฉันไม่เคยได้กินอาหารพื้น ๆ แบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน
"ใช่แล้ว... ชิมสิ อร่อยไหม"
เรียวคะยั้นคะยอให้ฉันลองชิมอาหารฝีมือเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉันจึงตกลงกิน ทว่าความรู้สึกฝาดฝืดของน้ำชาที่ผิดกับชาชั้นดีที่เคยดื่ม ทำให้ฉันเผลอเบ้หน้าออกไป
"ไม่อร่อยหรือ"
เรียวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง ทำให้ฉันชะงักแล้วรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างไม่ถือสา
"ไม่เอาน่า...ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย ฉันไม่โกรธนายสักหน่อย"
ฉันรู้สึกผิดนิด ๆ แต่ก็ตัดสินใจบอกออกไปตามตรง
"ไม่ใช่ไม่อร่อยหรอก แต่รสชาติของน้ำชามันผิดกับที่ฉันเคยดื่มน่ะ....เอ่อ..."
ฉันไม่กล้าพูดต่อกลัวจะโดนเรียวและทากะซังหาว่าฉันพูดจาดูถูกของในร้านของพวกเขา หากแต่ทากะซังกลับขอชิมบ้างแล้วหันไปบอกลูกจ้างของตน
"น้ำชาที่ร้านเรามีก็เป็นพวกน้ำชาถูก ๆ อยู่แล้ว ถ้าเรียวจังอยากให้รสชาติออกมาดี บางทีเราอาจจะต้องปรับปรุงสูตรเครื่องเคียงในข้าวให้ช่วยเสริมรสชาให้กลมกล่อมกว่านี้ดูเอาก็น่าจะดีนะ"
จากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันอย่างขะมักเขม้น โดยที่ฉันได้แต่มองดูพวกเขาทดลองปรับปรุงสูตรอาหารหลาย ๆ แบบ และสุดท้ายก็เป็นฉันที่ต้องเป็นคนชิมในแต่ละชามที่เรียวทำมา
"อืม...ชามนี้เข้าท่านะเรียว ...ชายังขมคอเฝื่อน ๆ อยู่ก็จริง แต่ตัวปลาย่างกับบ๊วย ก็เข้ากันกับน้ำชานี่ได้ดีทีเดียวล่ะ"
ฉันบอกออกไปตามตรง ซึ่งก็ทำให้เรียวดีใจมาก ทากะซังเองก็คิดเหมือนฉัน และยังขอเรียวเอาอาหารสูตรนี้เข้าเป็นหนึ่งในเมนูของร้าน โดยเขาจะบอกกับลูกค้าว่า เรียวนั้นเป็นคนคิดค้นเอง ซึ่งเรียวก็ดีใจจนมีรอยยิ้มกว้างตามมาให้เห็น เขาหันมาขอบคุณฉันซึ่งฉันก็ยิ้มน้อย ๆ
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่ช่วยชิมเอง"
"แต่ถ้าไม่ได้คำแนะนำตรงไปตรงมาของนาย ฉันก็คงคิดค้นสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ... ขอบคุณนะเซอิจิ"
ฉันยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเรียวก็ขออนุญาตทากะซังเดินไปส่งฉันถึงซอยใกล้ ๆ บ้าน เพราะฉันไม่อยากให้เขาไปถึงบ้าน ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ไม่อยากให้พ่อรู้ว่าฉันคบกับเรียวอยู่ เพราะพ่อไม่ชอบให้ฉันคบกับเพื่อนที่มีฐานะและหน้าตาของตระกูลต่ำกว่า และยิ่งหากพ่อรู้ว่าฉันไม่ยอมอ่านทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดตามปกติ แต่หนีไปช่วยงานพิเศษของเรียว มีหวังพ่อคงจะบังคับให้ฉันเลิกคบกับเขาแน่นอน
..
..
..