ตอนที่ 13
ขากลับออกมาจากถ้ำ มีเรื่องให้ต้องตื่นเต้นตกใจกันเล็กน้อย เมื่อเจตต์ที่เดินรั้งท้ายกับเอริคเกิดร้องโวยวายขึ้นมาเพราะคิดว่ามีใครดึงเสื้อเอาไว้ ทำเอาเวทิตที่กลัวผีอยู่แล้วสะดุ้งโหยงและเผลอหันไปกอดเวหาที่อยู่ใกล้เสียแน่น จนรวีต้องมาจับทั้งคู่แยกจากกันด้วยความหึง ลงท้ายรวีก็เลยกลายเป็นฝ่ายโดนเด็กหนุ่มกอดหมับไม่ยอมปล่อยแทน เพราะเวหานั้นไม่คิดจะช่วยแยกหรือปลอบให้เพื่อนใจเย็นลงแต่อย่างใด เพื่อเป็นการแก้เผ็ดคนรักที่ชอบขี้หึงเสมอนั่นเอง
ส่วนทางด้านเจตต์ จริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครมาดึงเสื้ออะไรทั้งสิ้น เพราะเด็กหนุ่มนั้นเหนื่อยจึงยืนพิงผนังถ้ำชั่วครู่ แต่พอจะเดินต่อคอเสื้อของเขาก็ดันไปเกี่ยวติดแง่งหินแถวนั้น เลยกลายเป็นเด็กหนุ่มคิดว่ามีคนมาดึงคอเสื้อเขาเอาไว้นั่นเอง
และกว่าจะแก้ไขการเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ก็เป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งโชคดีของพวกเขาที่เจ้าหน้าที่นำทางนั้นเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี จึงไม่ได้มีอาการฉุนเฉียวอะไร มิหนำซ้ำยังเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้นลูกทัวร์ที่เข้ามาเที่ยวถ้ำ ยังเคยมีคนร้องว่าถูกผีจับขา ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่ถูกรากไม้เกี่ยวเอาเท่านั้นเอง
“วู้! ในที่สุดก็ได้เจอแสงสว่างสักที!”
เจตต์ที่ออกมารั้งท้ายพร้อมเอริค ตะโกนขึ้นอย่างยินดี ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองเขาอย่างนึกขำ ยกเว้นเวทิตที่เขม่นใส่เพื่อนสนิท เพราะเจ้าตัวนั้นรู้สึกเสียหน้าหนักที่เผลอไปกอดทั้งเวหาและรวีเข้า จนตั้งใจว่าคราวหน้าถ้าจะมาถ้ำ จะไม่เข้าพร้อมกับเจตต์อีกแล้ว
“เหนื่อยแต่ก็สนุกดีนะครับงานนี้”
เวหาบอกพร้อมยิ้มกว้างส่งให้รวี ซึ่งอีกฝ่ายนั้นยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ดีว่าคนรักนั้นตั้งใจพูดถึงเรื่องราวในถ้ำ ที่เขาดันเผลอหลุดอาการหึงหวงออกไปนั่นเอง
“ถ้าใครยังไม่เหนื่อยมาก เลยตรงนี้ไปไม่ไกลจะมีพวกกล้วยไม้ป่ากำลังบานสวยเลยครับ ถ้าสนใจอยากถ่ายรูปเดี๋ยวผมจะพาไป”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเสนอความเห็น ทำเอาแต่ละคนหันไปมอง แล้วพากันพยักหน้าหงึกหงักตามมา โดยเฉพาะมีนาที่ชอบพวกดอกไม้และของสวยงามอยู่แล้ว รีบดึงแขนเสื้อเมฆาให้รีบเก็บข้าวของที่วางไว้ จนชายหนุ่มต้องอมยิ้มเลยทีเดียว
ระหว่างการเดินทางไปชมกล้วยไม้ป่าที่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าถ้ำเท่าใดนัก เจตต์ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเขาเผลอลูบสร้อยที่หน้าอกตามปกติ ทว่ากลับไม่พบมันห้อยอยู่ที่เดิม
‘บ้าน่า! หายไปไหนกัน!’
เจตต์คิดในใจอย่างตื่นตระหนก ทีแรกเขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเอริค ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อดันคิดไปเองว่า ชายหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เขาดันทำของสำคัญตกหายเช่นนี้
‘คิดดี ๆ เข้าสิเจ! ก่อนจะเข้าถ้ำก็ยังอยู่เลยไม่ใช่หรือไง!’
เจตต์คิดในใจอย่างร้อนรน แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เมื่อหวนถึงเหตุการณ์บางอย่างก่อนหน้านั้น
‘ต้องใช่ตอนนั้นแน่ ๆ ...เอาไงดี...แอบไปเอาเงียบ ๆ ดีไหมหว่า...ถ้ำก็อยู่แค่ตรงนี้เองด้วย’
เด็กหนุ่มนิ่งคิด เขาเดินก้มหน้าไปเงียบ ๆ จนเอริคแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มนั้นคิดว่าบางทีเจตต์คงจะเหนื่อยนั่นเอง
“ไหวไหม...ถ้าไม่อยากเดินเราก็นั่งพักกันอยู่แถวนี้รอพวกเขาก็ได้”
เจตต์ชะงัก ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วสั่นหน้าปฏิเสธ เพราะถ้าเขาขอพัก เอริคก็คงเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อน และเขาก็คงจะหาเรื่องปลีกตัวกลับไปหาสร้อยได้ยากเป็นแน่
“อืม...งั้นเธอก็เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อนนักตามพวกนั้นไปหรอก เห็นเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าไม่ไกลเท่าไหร่นี่”
เอริคบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ่งทำให้เจตต์รู้สึกผิด และตั้งใจปิดเป็นความลับไม่คิดจะให้เอริครู้เรื่องสร้อยเด็ดขาด
เดินกันไปอีกไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็พบเจอดอกกล้วยไม้ป่ามากมายที่เกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นอาศัยออกดอกบานสวยสะพรั่ง และมีสีสันสดใสแตกต่างกันออกไปตามชนิดพันธุ์ ภาพที่เห็นล้วนสร้างความประทับใจและตื่นตะลึงให้กับคณะเดินป่าในครั้งนี้นัก
“สวยจริง ๆ แม่ผมชอบกล้วยไม้มาก เลี้ยงเอาไว้หลายต้น ...แต่กล้วยไม้ป่าพวกนี้สวยกว่ากล้วยไม้เลี้ยงที่เคยได้เห็นหลายเท่า ...คงเป็นเพราะมันสามารถเติบโตในธรรมชาติ อย่างที่ควรจะเป็นล่ะนะครับ”
เวทิตพึมพำแผ่วเบา เขาอยากเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกสดใสตรงหน้า แต่รู้ดีว่ามันมีค่าและบอบบางสักเพียงใด เด็กหนุ่มจึงได้แต่หยิบมือถือมาซูมถ่ายรูปเก็บไว้ดูแทน คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นจึงพากันแยกย้ายไปถ่ายรูปเก็บคนละมุมอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันสังเกตว่า หนึ่งในพวกเขาได้หายตัวไปจากบริเวณนั้นเรียบร้อย
เมื่อได้ถ่ายรูปเก็บจนพอใจ แต่ละคนก็หันกลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนรูปภาพที่ตนได้ถ่ายกันให้คนอื่นดู และนั่นจึงทำให้ทุกคนเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“เจหายไปไหน...”
เอริคถามคนอื่น ๆ อย่างร้อนรน ซึ่งแต่ละคนก็สั่นศีรษะและเริ่มหน้าซีด ทางเจ้าหน้าที่นำเที่ยวรีบบอกให้ทุกคนใจเย็น ๆ และย้อนถามไปก่อนหน้านั้นว่ามีใครได้เห็นเจตต์ครั้งสุดท้ายเมื่อใด
“พอมาถึงที่นี่ตอนแรก เจก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่พอเริ่มแยกย้ายกันถ่ายรูป ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
เวทิตบอกเจ้าหน้าที่นำเที่ยว ซึ่งอีกฝ่ายก็ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะเขาเองก็ดันประมาท มัวแต่อธิบายถึงเรื่องชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้ให้กับพวกมีนาที่สนใจฟัง จึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตคนรอบตัวเช่นนี้
“ผมว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ ...อา จริงสิ ลองโทรหาน้องเจดูสิครับ ว่าอยู่ไหนกัน”
รวีรีบพูดขึ้นเพื่อให้ทุกคนคลายกังวลและมีสติ ซึ่งพอได้ยินรวีพูด เวทิตก็รีบโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที ทว่าปลายสายกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ ทำให้เด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้า แล้วพึมพำไปมาอย่างร้อนใจ
“แปลกจัง ตอนเดินมาก่อนหน้านั้นผมเช็คสัญญาณมือถือ ก็ยังเห็นมีขึ้นอยู่เลย...แล้วหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนกัน ...หรือจะไปอยู่ในจุดอับสัญญาณกันแน่”
ทุกคนนิ่งคิด ทางด้านเอริคนั้นแทบอยากจะรื้อป่าหาเด็กหนุ่มเสียเดี๋ยวนั้น เพราะกลัวว่าเจตต์จะพลัดหลงทางไป ทว่าเขาก็ต้องสงบสติอารมณ์ช่วยทุกคนคิด เพื่อที่จะได้ค้นหาเจตต์ให้ได้ไวขึ้น
“อับสัญญาณ...อ๊ะ หรือว่าจะเป็นแถวถ้ำกันครับ?”
เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้แต่ละคนเริ่มเห็นด้วย และมีบางคนสงสัยว่าเจตต์จะกลับเข้าไปในถ้ำทำไม
“น้องเจอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ แต่ทางที่ดีเราตามไปที่ถ้ำกันดีกว่า”
รวีสรุปตัดบท ทว่าเจ้าหน้าที่นำเที่ยวกลับแย้งขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวครับ ถ้าเกิดเราตามไปที่ถ้ำทั้งหมด แล้วน้องเขาเดินย้อนมารวมตัวกับเราจากทางอื่นแทนล่ะครับ จะกลายเป็นคลาดกันเสียเปล่า ๆ นะครับ”
แต่ละคนต่างชะงัก และเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“จริงอย่างที่คุณเจ้าหน้าที่บอก ถ้าอย่างนั้นน้องมีนกับเมฆ น้องฟ้าแล้วก็น้องต้นอยู่รอแถวนี้ ฉัน เอริค แล้วก็คุณเจ้าหน้าที่ จะไปตามหาน้องเจที่ถ้ำเอง”
รวีสรุปและแบ่งกลุ่มให้โดยไม่ต้องรอให้ใครเสนอ จากนั้นเขาก็บอกทุกคนว่า ใครที่เจอเจตต์ก่อนก็ให้โทรหากันได้เลย หรือถ้าโทรไม่ติดก็ให้เคลื่อนพลมารวมกันหน้าปากถ้ำรอไว้อย่าได้แยกย้ายกันไปค้นหาโดยเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำ เจตต์ที่รีบเร่งฝีเท้าวิ่งมาหาของ และตั้งใจว่าจะกลับไปรวมตัวให้ทันกับเพื่อน ๆ ในภายหลัง ก็ต้องพบกับอุบัติเหตุสะดุดลื่นล้มจนข้อเท้าพลิก แม้จะโชคดีเจอสร้อยไม้กางเขนหล่นอยู่บริเวณที่เขาถูกแง่งหินเกี่ยวเสื้อก็ตาม แต่แผนที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับออกไปแล้วอ้างว่าเดินหลงถ่ายรูปเพลินก็มีอันต้องล้มเหลว และกลายเป็นว่าต้องรอจนกว่าจะมีคนมาช่วยแทน เพราะนอกจากจะไม่มีสัญญาณมือถือแล้ว ตอนนี้ขนาดจะคลานออกไป เขายังเจ็บจนขยับแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“คุณเอริค...ถ้าผมบอกคุณไปตรง ๆ แต่แรกก็คงดี...ป่านนี้คุณคงจะโมโหผมแย่แล้วสินะ”
เจตต์พึมพำกับตัวเอง นึกอยากจะร้องไห้ที่ดันคิดตื้น ๆ แอบมาคนเดียวเช่นนี้ เด็กหนุ่มมั่นใจว่า ป่านนี้ทุกคนคงจะเป็นห่วงเขาและเริ่มออกตามหาเขากันแล้วก็ได้
“เจ! อยู่ไหน ได้ยินฉันไหม เจ!”
เสียงตะโกนแว่ว ๆ ที่ดังขึ้น ทำให้เจตต์นั้นชะงัก และพยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า
“วู้! น้องเจครับ! อยู่ในนี้หรือเปล่าครับ!”
เสียงคุ้นเคยที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบตะโกนร้องตอบ
“ผมอยู่ในนี้ครับ! อยู่ทางนี้!”
เสียงตะโกนเงียบไป สักพักเสียงของเอริคก็ดังขึ้นมาบ้าง
“อยู่นิ่ง ๆ แถวนั้นอย่าขยับไปไหนนะเจ! เดี๋ยวพวกฉันเข้าไป!”
เจตต์ชะงักก่อนจะตะโกนตอบรับคำแล้วนั่งรอลุ้นด้วยความระทึก และเมื่อเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาพร้อมแสงไฟฉาย เจตต์ก็รีบโพล่งออกไปด้วยความยินดี
“คุณเอริคครับ! ผมอยู่ทางนี้!”
เอริคชะงักกึก เขาฉายไฟหาต้นเสียง และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่กับพื้นพิงผนังถ้ำ เอริคเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงประสานสายตายินดีของอีกฝ่าย แล้วสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้านั้นทันที
“คะ...คุณเอริค”
เจตต์อุทานเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ หน้าของเขาหันไปตามแรงตบของชายหนุ่ม ที่แม้จะลงมือไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังคงเจ็บจนน่าจะขึ้นรอยปื้นแดงในภายหลังอยู่ดี
“เด็กบ้า...เธอทำให้ฉันเกือบจะคลั่งตายแล้วรู้ไหม...ทำไมถึงแยกออกมาตามลำพังแบบนี้...ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายมากแค่ไหน”
เอริคบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วโอบกอดร่างของอีกฝ่ายไว้แน่น ทางด้านเจตต์พอได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วง เด็กหนุ่มโอบกอดตอบคนรักแน่นไม่แพ้กัน พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างลืมตัว
“ขอโทษครับ...คุณเอริค...ผมขอโทษ...ฮึก...”
ทางด้านรวีที่เดินตามมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่นำเที่ยว พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นรวีจึงเสนอให้ทางเจ้าหน้าที่ย้อนออกไปแจ้งพวกที่อยู่ข้างนอกให้มารวมตัวรอกันที่ปากถ้ำ ส่วนเขาจะรอทางนี้เอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เห็นดีด้วยและแยกไปก่อน ทางรวียืนรออยู่สักพัก จนเอริคได้สติและเริ่มสอบถามว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้แยกมาลำพังเช่นนี้
“กะ...ก็ผมทำสร้อยของคุณตกไว้...ผมก็เลยย้อนมาหาน่ะครับ”
เอริคนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน และเริ่มฉุนเฉียวกับการตัดสินใจของเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน ไม่บอกกับทุกคน! แยกมาคนเดียวแบบนี้ก็น่าจะรู้ว่ามันจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง!”
เจตต์สะดุ้งโหยง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวกับท่าทางโมโหที่เขาไม่เคยเห็นจากอีกฝ่าย ร้อนถึงรวีต้องรีบมาเป็นตัวกลางสอบถามกับเจตต์แทนญาติของตน
“เฮ้...ใจเย็น ๆ น่ะเอริค ...น้องเจครับ...แล้วทำไมน้องเจถึงไม่บอกพวกเราล่ะครับ ถ้าพวกเรารู้จะได้มาช่วยกันหาแต่แรกยังไงล่ะครับ”
เจตต์เม้มปากน้อย ๆ เขาก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนจะอุบอิบตอบไม่เต็มเสียงนัก
“กะ...ก็ผมเพิ่งให้สัญญากับคุณเอริคว่าจะดูแลรักษาสร้อยนี่อย่างดี ...แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ผมก็มาทำหล่นหาย ...ผมกลัวคุณเอริคจะโกรธ แล้วก็ผิดหวังในตัวผมน่ะสิครับ”
เจตต์บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากให้เอริคหัวเสียมากไปกว่านี้
ทางด้านเอริคที่แยกไปยืนสงบสติอารมณ์ พอได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก ก็ทำให้เขาถึงกับสบถบางอย่างกับตัวเองเบา ๆ ทำให้รวีที่หันไปมองต้องถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มนั้นรู้ดีว่าที่เอริคโมโหเป็นเพราะห่วงเจตต์เป็นอย่างมาก และก็ยังหงุดหงิดตัวเองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจตต์ต้องตัดสินใจทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ด้วย
“เอาล่ะครับ พี่ว่าเราออกไปหาทุกคนข้างนอกดีกว่า ป่านนี้คงเป็นห่วงแย่แล้ว”
รวียื่นมือส่งให้เจตต์แทนญาติของเขาที่กำลังสงบสติอารมณ์ ทว่าพอเห็นเจตต์พยายามจะยันกายแล้วนิ่วหน้า เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้วฉายไฟไปที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายทันที
“แย่จริง...น้องเจข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ หกล้มมาหรือครับ”
คำถามของรวีทำให้เอริคที่ได้ยินถึงกับชะงัก แล้วรีบพรวดพราดเข้ามาดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ให้ตายสิ...เจ็บหนักขนาดนี้ ทำไมไม่รีบบอกกัน”
เอริคดุแบบไม่หนักแน่นนัก เขาสัมผัสที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา ทว่านั่นก็ยังทำให้คนเจ็บสะดุ้งแล้วเม้มปากพยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดร้องออกไป จนคนมองสงสาร
“เดี๋ยวฉันอุ้มเขาไปเอง นายฉายไฟนำทางให้ด้วยแล้วกัน”
เอริคหันไปบอกกับรวี แล้วช้อนร่างของเด็กหนุ่มขึ้นแนบอก ส่วนรวีก็ช่วยถือกระเป๋าของเด็กหนุ่มที่วางอยู่แล้วฉายไฟนำทางไป ระหว่างทางทั้งเอริคกับเจตต์แทบไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงรวีที่นาน ๆ ก็ชวนคนนั้นคนนี้สนทนากันสักทีเพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น
เมื่อออกมาถึงปากถ้ำ แต่ละคนก็เตรียมจะมารุมซักถามเจตต์ให้หายสงสัย ทว่าพอเห็นใบหน้าขรึม ๆ ของเอริค กับใบหน้าซีด ๆ ของเจตต์แล้ว แต่ละคนก็ระงับท่าทางเอาไว้ แล้วมารุมซักถามรวีแทน ซึ่งพอได้รับคำตอบแต่ละคนก็ลอบถอนหายใจไปตาม ๆ กัน
“เฮ้อ... ผมว่าเราเดินทางกลับไปที่พักกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นค่ำเสียก่อน”
เวทิตตัดบทหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันได้สักพัก ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วยและเริ่มต้นเดินทางกลับ โดยเจตต์นั้นเปลี่ยนเป็นขี่หลังเอริคไปแทน เนื่องจากสะดวกในการเดินมากกว่าแบบอุ้มข้างหน้านั่นเอง
การท่องเที่ยวภายในวันแรก ถ้าไม่นับเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงหลัง ทุกคนก็ล้วนลงความเห็นว่ามันประทับใจและคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย และเพราะอาการบาดเจ็บของเจตต์ จึงทำให้โปรแกรมท่องเที่ยววันที่เหลือของเด็กหนุ่ม ต้องกลายเป็นพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ทกับเอริคตามลำพังแทน เนื่องจากคนอื่นต่างลงมติเห็นพ้องต้องกันตามที่รวีเสนอว่า ทิ้งทั้งสองคนให้ปรับความเข้าใจกันโดยไม่มีมือที่สามเกี่ยวข้องด้วยน่าจะดีที่สุด
“เบื่อหรือไง ...ต้องมานั่งเฝ้าบ้านอยู่กับฉันสองคนน่ะ”
เอริคถามคนที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนเหม่ออยู่บนเตียง แม้อาการข้อเท้าเคล็ดของเด็กหนุ่มจะดีขึ้นแล้ว แต่ทุกคนลงมติว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า
“ปะ...เปล่าหรอกครับ”
เจตต์ตอบคำถามตะกุกตะกักแล้วก้มหน้าหลบตา เด็กหนุ่มเริ่มกลับมาแสดงท่าทางเหมือนตอนที่เจอกันใหม่ ๆ จนเอริครู้สึกแย่ เขามั่นใจว่าเรื่องที่เขาดันเผลอแสดงท่าทางโมโหออกไปมากมาย ต้องทำให้เจตต์หวาดกลัวเขาขึ้นมากกว่าเดิมแน่ แถมเมื่อวานพอตอนขากลับแม้จะให้เจตต์ขี่หลังมาตลอดทาง แต่เขากลับไม่ชวนอีกฝ่ายคุยเลยแม้แต่น้อย เพราะยังคงรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่หายนั่นเอง
“กลัวฉันหรือเจ”
คำถามถัดมาทำให้ร่างบนเตียงสะดุ้งโหยง แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อสบกับแววตาอมทุกข์คู่นั้นที่จ้องมองมา
“...คุณเอริค”
เอริคขยับมานั่งบนเตียงข้างอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือมาลูบใบหน้าที่เป็นรอยปื้นแดงเพราะฝ่ามือของเขาแผ่วเบา คิ้วเรียวขมวดอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ...คงเจ็บมากใช่ไหม”
เจตต์หัวใจกระตุกวูบ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนจะสะอื้นออกมาเบา ๆ
“เจ...ที่รัก อย่าร้องไห้สิ ...ฉันขอโทษนะ ฉันผิดเอง ฉันจะไม่ทำรุนแรงกับเธออีกแล้ว ฉันสัญญา”
เอริคโอบร่างของเด็กหนุ่มมาปลอบ ทว่ายิ่งเอริคอ่อนโยนมากเท่าไร เจตต์ก็ยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่ขอโทษและกอดร่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงสะอื้นนั้นเริ่มสงบลง
“เจ...หายโกรธฉันหรือยัง...หืม”
เอริคลูบศีรษะของคนรัก พร้อมกับจูบซับน้ำตาอีกฝ่าย ทางด้านเจตต์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงแผ่วเจือสะอื้น
“ผมไม่ได้โกรธคุณ...แต่ผมกลัวคุณจะเกลียดผม...เรื่องที่ผมทำอะไรโง่ ๆ ...จนทำให้คุณโมโห...ทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด”
เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะแย้งกลับไป
“เกลียด? ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง ในเมื่อฉันรักเธอมาก เธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
เจตต์เงยหน้ามาสบตาคนพูดแล้วบอกเสียงสั่นกลับ
“แต่เมื่อวาน...คุณโมโหผมมาก...ขนาดตอนขากลับ...คุณยังไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลย...ผะ...ผม ก็เลยคิดว่า...คุณจะเกลียดผม...จะเลิกรักผมแล้ว”
พอได้ฟังคำตอบเอริคก็หลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากและแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
“เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะเจ...ที่ฉันไม่พูดไม่จาเมื่อวาน เป็นเพราะฉันกำลังโมโหตัวเองอยู่ต่างหาก”
เจตต์จ้องอีกฝ่าย พร้อมกับถามอย่างแปลกใจ
“โมโหตัวเอง... ทำไมล่ะครับ”
เอริคถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือไปลูบไล้แก้มข้างที่เป็นผื่นแดงของเด็กหนุ่มแผ่วเบา
“ก็เพราะฉันโมโหจนเผลอรุนแรงกับเธอ...ทั้งที่เธอทำไปก็เพื่อฉันน่ะสิ”
“มะ...ไม่ใช่ความผิดของคุณเอริคเลยครับ ...ระ...เรื่องนั้น...เป็นเพราะผมแยกออกมา โดยไม่บอกคนอื่นเองต่างหาก...คุณเป็นห่วงผม ก็เลยโกรธ...มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ”
เจตต์แก้ตัวแทนอีกฝ่าย ซึ่งเอริคก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับหอมแก้มเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ใช่...เธอผิดที่แยกออกมาโดยไม่บอกใครก็จริง...แต่ถึงฉันจะเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน ก็ไม่ควรจะเผลอลงมือไปขนาดนั้น...”
เอริคเงียบไปสักพัก แล้วจึงมองคนตรงหน้าด้วยสายตารักใคร่และหวงแหนอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“รู้ไหมเจ...เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่หลับเอาเสียเลย ...ฉันกลัวว่าเธอจะโกรธ จะเกลียด จะหวาดกลัวฉัน...จะเลิกรักฉัน...และหนีฉันไป”
เจตต์ที่เพิ่งได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายและรู้สาเหตุของการเมินเฉยเมื่อวานถึงกับเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก น้ำตาที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ก็เริ่มกลับมารินไหลอีกครั้ง
“ผมไม่มีวันจะเกลียดหรือเลิกรักคุณง่าย ๆ หรอกครับ...ผมรักคุณนะครับ...คุณเอริค...ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งรักคุณมากขึ้น...รัก...จนกลัวจะเสียคุณไป เพราะความงี่เง่าของตัวเอง เหมือนเรื่องเมื่อวานนี้”
เอริครั้งร่างของเด็กหนุ่มมากอดแนบอก ความกังวลใจที่เคยมีก่อนหน้าเริ่มสลายหายไปจนหมดสิ้น
“เจ...ที่รัก...ฉันดีใจนะ ที่เรายังรักกันอยู่เหมือนเดิมแบบนี้”
“ผมก็เหมือนกันครับ...คุณเอริค”
เจตต์กระซิบพร้อมโอบกอดตอบคนรัก และแม้เขาจะกำลังร้องไห้ แต่ใบหน้ายามนี้กลับมีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขไม่แพ้กัน
… TBC …
เป็นไงคะ ใกล้จบแล้วค่ะ ที่ตั้งใจไว้คือตอนหน้าค่ะ เป็นบทสรุปน้อย ๆ หวาน ๆ ปนวุ่นวายทิ้งท้ายของเรื่องนี้
ส่วนตอนพิเศษ....คาดว่าหลายคนคงอยากจะอ่านเรื่องคู่ของนายต้นเป็นแน่ ก็รอลุ้นกันนะคะ ว่าจะได้อ่านไหม หุ ๆ