ตอนที่ 9
พอกลับมาถึงบ้านพัก เวทิตก็เหลือบมองรองเท้าแตะของเพื่อนที่ถอดวางไว้ตรงทางเข้า ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว
“เจ! หลับหรือยังน่ะ”
เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องพร้อมเรียก ทว่าในห้องก็ยังคงเงียบ เวทิตจึงเลิกคิดเคาะ และเตรียมจะกลับเข้าห้องนอนพักเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายก็เปิดประตูห้องออกมาเสียก่อน
“มีอะไรหรือต้น”
“ก็...อืม...แค่อยากรู้ว่า นายกับคุณเอริคลงเอยกันหรือยังน่ะ”
เวทิตแสร้งกระเซ้า และเขาก็ต้องซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าเมื่อเห็นเพื่อนหน้าแดงวาบ
“อ้อ...พอจะเข้าใจแล้ว อืม ๆ อย่างนี้ก็ต้องเลี้ยงฉลองสละโสดสินะ”
เวทิตเปรยต่อ ทำให้คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก เจตต์เตรียมจะหนีกลับเข้าห้อง ทำให้เวทิตต้องรีบขอโทษแล้วตามไปชวนคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ จนเจตต์นั้นเริ่มปรับอารมณ์ได้เป็นปกติ
“สรุปแล้วตอนนี้พวกนายก็คบหากันอย่างเป็นทางการสินะ...เฮ้อ น่าอิจฉาคนมีความรักจังเลยนะ”
เวทิตแสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ใบหน้าส่งยิ้มแหย่ จนคนมองต้องขมวดคิ้วยุ่ง
“ทำหน้าแบบนั้น ตกลงอิจฉาจริงหรือเปล่าเนี่ย”
“ฮะ ๆ เปล่าหรอกน่า อย่าลืมสิ ฉันตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังพักใจ ยังไม่อยากจะคบใครให้ปวดหัวหรอก อ้อ! แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะเจ ช่วงแรก ๆ ข้าวใหม่ปลามัน ส่วนใหญ่จะหวานกันตลอด ไม่ค่อยมีอะไรมาให้รำคาญนักหรอกนะ”
เจตต์ฟังเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักพูด แล้วยิ้มเจื่อน ก่อนจะหวนคิดถึงเรื่องคู่ของตนบ้าง
“แล้วคู่ของฉัน ปัญหามันจะเกิดเมื่อไหร่กันนะ...แล้วมันจะลงเอยแบบคู่ของนายไหมวะ ต้น”
เวทิตฟังแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถามนั้นตามมา
“อย่าคิดมากสิ... ใช่ว่าคู่ของนายจะลงเอยเหมือนฉันเสียเมื่อไหร่ และที่สำคัญนายก็เคยเห็นข้อผิดพลาดของคู่ฉันแล้ว ฉันว่าคนอย่างนายคงจะคิดได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และไม่เลือกเดินซ้ำรอยแบบพวกฉันอีกล่ะนะ”
เจตต์พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ แล้วยิ้มให้เพื่อน พร้อมพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง เวทิตจึงขอตัวกลับห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปส่งเพื่อนที่หน้าประตู และกลับมาทิ้งกายลงบนเตียง เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะพึมพำพร้อมมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ กังวลไปก็เปล่าประโยชน์”
เจตต์บอกกับตัวเอง พลางหลับตาลงช้า ๆ และหลับสนิทในเวลาไม่นาน เนื่องจากเกิดการผ่อนคลาย หลังจากที่ต้องพบกับความเครียดสะสมมาหลายวันก่อนหน้านั้น
เสียงธรรมชาติยามเช้าที่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน ทำให้คนที่กำลังหลับสบายปรือตาขึ้น เจ้าตัวบิดกายอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่ตน
“คะ...คุณ เอริค เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย!”
เอริคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มนอนเงียบ ๆ โดยไม่คิดปลุก พอได้ยินคำถาม ชายหนุ่มจึงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วตอบกลับไป
“ก็เธอเล่นไม่ยอมปิดประตูนอน ฉันเห็นเข้าก็เลยแวะมาดู...นี่ดีนะเจ ที่แถวนี้มีคนของซันคอยดูแลรอบ ๆ ถ้าเป็นที่บ้านพักแถวมหาวิทยาลัยของเธอ หรือเป็นที่อื่นเข้า การประมาทแบบนี้มันจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอรู้ไหม”
เอริคบ่นยาวใส่ ทำให้คนที่เพิ่งตื่นยิ้มเจื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมก้มหน้าอย่างสำนึกผิด จึงทำให้คนบ่นถอนหายใจอีกครั้ง
“เฮ้อ...เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าลืมแล้วกัน”
บอกแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาคนที่นอนอยู่ เขานั่งลงบนเตียงแล้วเท้าแขนกักร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับชะโงกใบหน้าเข้ามา ทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบถามอีกฝ่ายเสียงสั่น
“จะ...จะทำอะไรน่ะครับ...”
เอริคขมวดคิ้วจ้องมองคนบนเตียง ก่อนจะย้อนถามกลับไป
“ก็จะจูบอรุณสวัสดิ์ยังไงล่ะ หรือเธอจะลืมไปว่า ตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันเรียบร้อยแล้ว”
คนฟังชะงักก่อนจะหน้าแดงระเรื่อตามมาด้วยความเขิน แล้วจึงพูดตะกุกตะกักตอบออกไป
“กะ...ก็ไม่ลืมหรอกครับ...ตะ...แต่ว่า... อ๊ะ! คือผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะครับ!”
คนที่กำลังเขินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้
“ฉันไม่ถือหรอก”
“ตะ...แต่...!”
เจตต์ค้านเสียงสั่น ก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก เมื่ออีกฝ่ายชะโงกหน้ามาหอมแก้มของเขาแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นหอมแค่แก้มก่อน คงไม่เป็นไรใช่ไหม...อรุณสวัสดิ์นะ เจ”
เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ เขาอุบอิบพูดทักทายตอบ ใจเต้นแรง คิดอะไรไม่ออก จนเอริคนึกสงสารแกมเอ็นดู เขาผละออกไป ลุกขึ้นยืน แล้วบอกอีกฝ่าย
“ฉันจะให้เวลาเธอทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยภายใน 20 นาที แล้วถ้าเธอยังไม่เสร็จ ...ฉันจะเข้ามาช่วยด้วย เข้าใจนะ”
เจตต์สะดุ้งโหยงแล้วรีบพยักหน้าตอบรับ และเมื่อเอริคเดินไปที่ประตูห้อง เด็กหนุ่มก็รีบลนลานลงจากเตียง ทางด้านเอริคเหลือบมามองเล็กน้อย เขาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว ชงกาแฟมาดื่มรอที่ห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี
เวทิตเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เพื่อที่จะหากาแฟดื่ม แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอริคกำลังนั่งดื่มกาแฟรอใครบางคน อยู่ที่ห้องรับแขก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอริค...มิน่าล่ะ ผมถึงได้ยินเสียงเจมันราดน้ำอาบโครม ๆ ทั้งที่ปกติกว่าจะอาบได้ที ก็อ้อยอิ่งอยู่นั่นล่ะ”
เวทิตบอกอย่างนึกขำ หากแต่คนฟังนั้นวางแก้วกาแฟลงอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อรุณสวัสดิ์ต้น ...เมื่อคืนนี้เธอเข้านอน โดยไม่ได้ล็อกบ้านพักใช่ไหม”
เวทิตชะงักแล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
“ง่า...พอดีผมเห็นว่าแถวนี้ก็มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ...และก็ไม่น่าจะมีขโมย ผมก็เลยไม่ได้ล็อกน่ะครับ”
“พวกเธอนี่นะ ประมาทกันทั้งคู่เลย...ต่อให้เป็นสถานที่คุ้นเคยยังไง แต่เรื่องพวกนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ”
เอริคเอ่ยเตือน ซึ่งเวทิตก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ประมาทอีก ทำให้เอริคเลิกคิดที่ซักไซ้เอาผิด เพราะที่เตือนไปก็แค่ไม่อยากให้ทั้งเวทิตและเจตต์นั้นติดนิสัยชอบประมาทนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปชงกาแฟดื่มก่อนนะครับ”
เวทิตบอกกับคนตรงหน้า ซึ่งเอริคก็พยักหน้าตอบรับ และเมื่อชงกาแฟเสร็จ เด็กหนุ่มก็เข้ามาสมทบกับอีกฝ่ายตามเดิม แถมยังลอบจ้องเป็นระยะเสียจนคนถูกแอบมองขมวดคิ้ว
“มีอะไร”
“อ๊ะ...ขอโทษครับ พอดีกำลังคิดว่า พอคบกับเจมันแล้ว คุณจะเปลี่ยนมาคอยตามติดเจมันเหมือนที่พี่ซันทำกับฟ้าหรือเปล่าน่ะครับ”
เวทิตบอกออกไปตามตรง ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย
“ใครบอกเธอเรื่องนี้...เจบอกหรือ”
“ก็ใช่ล่ะครับ ยังไงพวกผมก็เพื่อนสนิทกัน ...คนรักน่ะคบกันยังเลิกรากันได้ แต่เพื่อนรักน่ะ ทำยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอกครับ”
เวทิตบอกพร้อมยิ้มแหย่นิด ๆ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาให้เห็นทันที ทำให้คนแหย่แสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องตอบพร้อมรอยยิ้มที่เปลี่ยนมาเป็นเอือมระอาแทน จนเอริครู้สึกตัว
“เธอนี่นะ...ระวังเถอะ ชอบแหย่แบบนี้ ถ้าไปเจอพวกอารมณ์ร้อนเข้า เดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”
เวทิตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทันแถมปรับอารมณ์เป็นปกติได้อีก
“ขอบคุณที่เตือนครับ แต่คุณก็เหมือนกันล่ะครับ ...อุตส่าห์มัดใจเพื่อนผมได้ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เรื่องขี้หึงขี้หวงอะไรพวกนั้นก็เพลา ๆ หน่อยเถอะครับ แค่นี้เจมันก็กลัวคุณจนหัวหดแล้วล่ะ”
เอริคชะงักกับท้ายประโยคที่ได้ยิน ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะตั้งคำถาม
“ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ...บอกฉันได้ไหม ว่าทำไมเจถึงได้กลัวฉันขนาดนั้น ...เพราะเท่าที่ฉันจำได้ ฉันยังไม่ได้ทำพฤติกรรมอะไรจนถึงขนาดทำให้เขากลัวจนฝังใจเลยสักครั้งนะ”
เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นของชายหนุ่มไปตามตรง
“คุณไม่เคยทำกับเจมันก็จริง ...ง่า...แต่เรื่องแฟนเก่าของคุณ มันก็ทำให้หมอนั่นกลัวคุณกับครอบครัวของคุณอยู่ไม่น้อยนะครับ...ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจว่า เจมันจะไม่นอกใจคุณในอนาคตข้างหน้านี้ แต่เรื่องที่มันชอบเหล่มองคนน่ารักแล้วปากเปราะชมไปทั่ว ยังไงนิสัยนี้ก็คงแก้ยากล่ะนะ... แล้วมันก็กลัวคุณโกรธจนเผลอลืมตัวเล่นงานมันเข้าให้เหมือนอย่างแฟนเก่าคุณโดนด้วยนั่นล่ะ”
เอริคนิ่งอึ้ง ไม่คิดเลยว่าเรื่องของเขากับแฟนเก่าที่เลิกราไปแล้ว จะถูกเจตต์ล่วงรู้ ชายหนุ่มไม่แปลกใจแล้วว่า เพราะเหตุใดเจตต์จึงมักมีท่าทางหวาดกลัวเขา เวลาเขาเข้าใกล้เช่นนั้นเสมอ
“ให้ตายเถอะ...ถ้าฉันเดาไม่ผิด ซันเป็นคนเล่าให้พวกเธอฟังใช่ไหม”
เอริคถามเวทิตต่อ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบอย่างไม่คิดปิดบัง
“ใช่ครับ พี่ซันเคยเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้ว”
คราวนี้เอริคถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง เพราะไม่คิดว่าเรื่องของเขาจะเคยถูกนำมาเล่าเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่เคยรู้จักเจตต์มาก่อนด้วยซ้ำ
“ก็ตอนนั้นเจมันก็ปากเปราะพูดว่าอยากมีแฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน พี่ซันก็เลยแนะนำญาติของเขาให้แทน ...แล้วพวกผมก็เลยได้รู้ประวัติคร่าว ๆ ของคุณมาจากพี่ซันยังไงล่ะครับ”
เรื่องราวที่ได้ยิน ยังไม่สะดุดหูเท่ากับประโยคที่ว่า “แฟนแสนดีเหมือนพี่ซัน” และนั่นก็ทำให้เอริคนิ่งเงียบไป เลิกคิดซักไซ้อะไรอีก จนเวทิตนึกแปลกใจ และพยายามทบทวนคำพูดของตัวเองว่าเผลอหลุดปากพูดผิดหูอีกฝ่ายไปบ้างหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันนึกออก เพื่อนของเขาก็ออกมาจากห้องพักเสียก่อน
“อ้าว...ต้น...ออกมานานแล้วเหรอ”
“อือ มานั่งคุยเป็นเพื่อนคุณเอริคเขา รอนายไปพลาง ๆ ยังไงล่ะ”
เวทิตตอบ ทำให้คนฟังหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน จากนั้นจึงเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ทางด้านเวทิตเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอีกฝ่าย
“เอากาแฟไหม”
“เอา! ใส่น้ำตาล 3 ช้อน แล้วก็ครีมเทียมเยอะ ๆ นะ”
เจตต์รีบบอก ทำให้อีกฝ่ายสั่นศีรษะไปมาแล้วรับคำอย่างเอือมระอา เพราะเพื่อนสนิทก็ยังคงสั่งแบบไม่มีนึกเกรงใจเหมือนทุกครั้งนั่นเอง
พอสั่งกาแฟเสร็จ เจตต์ก็หันมามองคนที่นั่งตรงกันข้าม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของอีกฝ่าย
“คุณเอริค...เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”
คนฟังชะงักแล้วจึงฝืนยิ้มพร้อมย้อนถามกลับไป
“ไม่มีนี่...มีอะไรหรือ”
“คือ...ผมเห็นคุณทำหน้าเครียด ๆ ก็เลย...เอ่อ...ก็เลยคิดว่า คุณอาจจะมีปัญหาให้คิด...และถ้าผมช่วยได้ ผมก็ยินดีจะช่วยนะครับ”
เจตต์บอกตะกุกตะกักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะยังรู้สึกไม่ชินกับตำแหน่งคนรักของคนตรงหน้าตนนัก
“เจ...ถ้าฉันใจดีกว่านี้ เอาอกเอาใจเธอมากกว่านี้ เธอจะชอบฉันมากขึ้นไหม”
คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก เขาสบตาอีกฝ่ายนิ่งอยู่สักพักจนเอริคต้องเป็นฝ่ายเรียก
“ว่ายังไงล่ะเจ...คำตอบน่ะ”
แววตาคนถามดูเศร้าลง ทำให้เจตต์รู้สึกตัว ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตอบคำถามนั้น
“ผมชอบคุณที่เป็นตัวคุณมากกว่า...ต่อให้คุณจะทำตัวขรึมและดูเหมือนจะเย็นชา แต่ผมก็รู้ดีว่า จริง ๆ แล้วคุณน่ะ อ่อนโยนขนาดไหน... จริงอยู่ ไม่ว่าใครก็ชอบคนทำดีด้วย แต่ถ้าต้องฝืนตัวเองเพื่อให้คนอื่นชอบ...แบบนั้นก็อย่าทำเลยครับ นอกจากตัวคุณจะไม่มีความสุขแล้ว ...ผมเองก็จะไม่มีความสุขและรู้สึกผิดไปด้วยนะครับ”
เอริคนิ่งเงียบ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เขารักอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นเบา ๆ จากบุคคลที่สาม
“อะแฮ่ม...ขอโทษนะครับ แต่พอดีผมกลัวกาแฟจะเย็นเสียก่อน ขี้เกียจชงใหม่น่ะครับ แหะ ๆ”
ทางด้านเจตต์ที่ลืมไปว่าเพื่อนสนิทก็อยู่ด้วย ถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ แต่ก็พยายามควบคุมสติไม่ให้เตลิดด้วยความอาย เพราะถึงอย่างไรเวทิตก็รู้อยู่แล้วว่าเขากับเอริคนั้นคบหากันเรียบร้อย
“เอ้า! นี่ กาแฟของนาย”
เวทิตวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนพร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ ให้
“ขอโทษนะครับที่ก่อนหน้านั้นผมเผลอพูดอะไรให้คุณเป็นกังวลไป ...แต่ผมก็เกริ่นแล้วนะว่าตอนนั้นหมอนั่นมันพูดคะนองปากไปโดยไม่คิด... ไม่เหมือนกับวันนี้ ที่เขาตั้งใจพูดและกลั่นกรองคำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของเขา เพื่อให้คนสำคัญที่สุดของเขาได้รับฟังยังไงล่ะครับ”
พอบอกจบเวทิตก็ขอตัวออกไปเดินเล่นรับอากาศยามเช้า ทิ้งให้เอริคต้องนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนโซฟา พลางสั่นศีรษะไปมา
“รับมือยากจริง ๆ เลยนะ เพื่อนของเธอคนนี้น่ะ”
ทางด้านเจตต์นั้นยามนี้กำลังงุนงงในสิ่งที่เพื่อนสนิทกับคนรักสนทนากัน สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเต็มที่ ทำให้เอริคต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ไม่มีอะไรมากหรอก...เพียงแต่ฉันรู้สึกโชคดี ที่เขาไม่ใช่คู่แข่งฉันก็เท่านั้นล่ะนะ”
พอได้ยินดังนั้นเจตต์ก็หน้าร้อนวาบ แล้วรีบแก้เขินโดยการยกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแลบลิ้นเบ้หน้า เพราะความร้อนของกาแฟในแก้วนั้น
“ไอ้เพื่อนบ้า! ไหนบอกว่ากาแฟจะกลายเป็นกาแฟเย็นแล้วยังไงล่ะ นี่ยังร้อนอยู่เลย!”
เจตต์บ่นอุบอย่างลืมตัว ก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“แหะ ๆ ขอโทษครับ...ลืมตัวไปหน่อย”
เอริคสั่นศีรษะแล้วส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร...ฉันชอบเธอที่เป็นตัวของเธอเอง ก็เหมือนกับที่เธอชอบฉันที่เป็นฉันยังไงล่ะ”
เจตต์หน้าแดงวาบ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับหงึกหงักถี่ ๆ จากนั้นก็ยิ้มทั้งหน้าแดงระเรื่อส่งให้ ทำเอาเอริคนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มหมดความอดทนในที่สุด
“คะ...คุณเอริค”
เจตต์พึมพำด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและโน้มใบหน้าคมเข้มชะโงกเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน
“เจ...ที่รัก...ฉันรักเธอมากนะ”
คำสารภาพอ่อนหวานของชายหนุ่มทำให้คนฟังใจเต้นแรง และเมื่อยามที่ริมฝีปากนุ่มนั้นสัมผัสที่ริมฝีปากของตนแผ่วเบา สมองของเขาก็เริ่มว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งชายหนุ่มผละริมฝีปากออกไป
“หวานกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”
“วะ...หวาน...ระ...หรือ..ครับ”
คนฟังพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่คนมองกลับไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามปฏิกิริยาโต้ตอบที่เด็กหนุ่มมี นั้นกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน
“เจ...ไปนั่งคุยในห้องกันแทนไหม”
คำถามของเอริคทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง ดูจากสายตาคมกริบวาววับที่มันสื่อความในใจโดยไม่ปิดบังนั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
“ง่า...ผมว่าเราคุยกันแถวนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ”
ถึงแม้เขาจะตกลงคบหาเป็นแฟนกับอีกฝ่าย แต่เจตต์ก็ยังคงไม่พร้อมจะเสียตัวให้กับผู้ชายด้วยกันในตอนนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็คงต้องขอเวลาให้เขาทำใจอีกสักพักใหญ่ ๆ นั่นล่ะ
ทางด้านเอริคก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้
“ถ้าอย่างนั้นมานั่งใกล้ ๆ แทนแล้วกัน...นะ”
ท้ายประโยคคล้ายจะฟังดูเหมือนอ้อน ทว่าเมื่อคนพูดด้วยนัยน์ตาคมกริบมันก็กลายเป็นขอกึ่งบังคับไปแทน
“...ครับ”
เจตต์รับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วขยับมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอีกฝ่าย ทว่าพอเขาตั้งท่าจะนั่งห่างออกไป ก็ถูกคนตัวโตรวบบ่าให้เข้ามาใกล้อย่างจงใจเสียอย่างนั้น
“คุณเอริค...”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่...เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรือ”
เจตต์ยิ้มเจื่อนส่งให้ แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไรออกไป ไม่ใช่กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโห แต่เขากลัวว่าเอริคจะเสียใจหรือน้อยใจมากกว่า เพราะเท่าที่เขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ผ่านมา คนที่ดูเหมือนเย็นชาคนนี้ จะเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคนที่เจ้าตัวใส่ใจ
“ครับ...เอ่อ...คือผมก็แค่...เขินนิดหน่อย”
เจตต์บอกตามตรง ทำให้เอริคยิ้มออก จากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันเรื่อย ๆ โดยคนเริ่มต้นบทสนทนาในตอนแรกนั้นจะเป็นเอริคเสียส่วนใหญ่ ทว่าพอผ่านไปเจตต์เริ่มหายประหม่า เด็กหนุ่มก็มีเรื่องมาเป็นฝ่ายชวนคุยแทน และเอริคก็กลายเป็นคนรับฟังเสียส่วนมากในตอนหลัง
ภาพคู่รักที่นั่งใกล้ชิดพูดคุยกันสนิทสนม ทำให้เวทิตที่เปิดประตูเข้ามาเบา ๆ ต้องชะงัก ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ในโลกส่วนตัวต่อไปโดยไม่คิดขัดขวาง
“เฮ้อ...ชักจะอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วสิเรา”
เด็กหนุ่มพึมพำ แต่ก็ยังคงรู้สึกดีที่เห็นเพื่อนรักมีความสุข เขาเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอกับเวหาที่ออกมาเดินเล่นเช่นกัน
“ไง! ต้น ออกมาเดินเล่นแต่เช้าเชียวนะ”
เวหาทักทายเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักไหล่แล้วยกยิ้มให้
“ไม่ออกมาได้ยังไงล่ะ ก็ในบ้านเขากำลังสวีทกัน ขืนอยู่ด้วยก็ได้เป็นหัวหลักหัวตอพอดี”
เวหาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วจึงย้อนถามกลับมา
“สวีท...หรือว่าเจตกลงเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วหรือ”
“ใช่...แถมตอนนี้ยังหวานใส่กันเสียจนอยากแกล้งเลยล่ะ”
เวทิตบอกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนคนมองอมยิ้ม
“ไม่เอาน่า อย่าไปแกล้งเขาเลย สงสารคุณเอริคเขาออก”
“แหม...ก็ตอนนี้ฉันเป็นโสดอยู่คนเดียวก็เหมือนโดนทอดทิ้งนี่นา”
“อืม...งั้นให้พี่ซันแนะนำญาติให้สักคนไหมล่ะ เห็นว่าญาติผู้หญิงที่ยังโสดอยู่ก็มีนะ”
“ง่ะ…ไม่เอาล่ะ ขืนข้องเกี่ยวกับคนตระกูลนี้ มีหวังได้โดนตามประกบตลอดเวลาแน่ ...ฉันยิ่งไม่ชอบให้ใครมาคอยตามจุ้นจ้านเสียด้วยสิ”
คำตอบของเวทิตทำให้เวหาส่งยิ้มเจื่อนให้กับอีกฝ่าย เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ว่า คนรักนั้นก็ประพฤติตัวไม่ต่างกับที่เพื่อนสนิทบอกมา ทว่าเพราะเคยชินเสียแล้ว จึงทำให้เวหาไม่ค่อยนึกรำคาญหรือเบื่อหน่ายเท่าใดนัก
“แต่การที่มีคนคอยรักคอยเป็นห่วงเราอยู่ตลอดเวลา บางทีมันก็มีความสุขนะ”
เวทิตมองเพื่อนสนิท แล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะจะว่าไป เขาก็ค่อนข้างพูดถึงเรื่องนี้ในทางลบมากไปหน่อย คงเพราะเคยมีประสบการณ์ความรักแย่ ๆ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบการที่อีกฝ่ายคอยตามติดเป็นเงาตามตัวเช่นนั้น
“อืม...ฉันเข้าใจ ถ้าแฟนเก่าฉันจะยอมรับฟังและเชื่อใจฉันบ้าง เหมือนกับพี่ซันของนาย ฉันก็คงไม่ต่อต้านเรื่องการสโตกเกอร์ระหว่างคู่รักแบบนี้นักหรอกนะ”
เวหารับฟังตาปริบ ๆ กับถ้อยคำที่เวทิตใช้เรียกพฤติกรรมของรวีที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วตบบ่าเพื่อนตามมาเบา ๆ
“เอาเถอะ ...เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ไม่แน่บางทีบทจะมาเดี๋ยวมันก็มาเองล่ะ จริงไหม”
“นั่นสินะ...แต่ถ้าไม่มีมาจริง ๆ เดี๋ยวก็อยู่คอยแหย่ คอยป่วน พวกนายสองคนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกดีล่ะนะ”
เวทิตบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เวหาสั่นศีรษะไปมา เพราะมั่นใจว่าเพื่อนสนิทคงจะทำอย่างที่พูดจริงแน่ แล้วเขาก็คงต้องคอยง้อคอยปลอบคนขี้หึงของเขาไม่ให้หึงหวง ด้วยการเปลืองเนื้อเปลืองตัวประจำ จนพักหลัง ๆ เวหาชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า รวีนั้นหึงหวงเขาจริง หรือแกล้งงอนให้เขาง้อกันแน่
...TBC...
กำลังหวานเจี๊ยบ ๆ ได้ที่ ตัดจบเลยดีไหมน้อ หุ ๆ 