:: CHAPTER 17 :: วันนี้เป็นวันเสาร์
วันหยุดสุดสัปดาห์ของชาวคณะเราไม่เหมือนวันหยุดสักเท่าไหร่เพราะต้องตื่นเช้ามาทำงานอยู่ดี วันจันทร์ผมต้องตรวจแบบและอาจารย์ขอดูโมเดลอีกทำให้ผมแทบนอนไม่หลับเพราะแบบยังไม่ลงตัว แต่ก่อนผมเคยสงสัยว่าทำไมพี่ๆ ที่เรียนคณะนี้จะเดือดและทำงานแทบไม่ทันกันตลอด ตอนนี้มาเรียนเองเข้าใจแล้วครับ เพราะก่อนจะเริ่มเขียนแบบตัดโมเดลได้มันต้องคิดนานมากจริงๆ ซึ่งส่วนมากผมก็จะคิดทั้งวันแล้วใช้เวลาในวันสุดท้ายเขียนแบบกับตัดโมเดลเหมือนกัน
ผมลากดินสอไปเรื่อยๆ ตามประสาคนคิดไม่ออก อาจารย์ไม่แก้พวกฟังก์ชั่นแล้วแต่ก็บอกผมว่าคอนเสปท์ไม่ค่อยแรง ทำนองว่างานของผมยังสื่อสิ่งที่คิดเอาไว้ได้ไม่ครบซึ่งตรงนี้ยากกว่าจัดฟังก์ชั่นอีกครับ ผมนั่งไปนั่งมาแล้วลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกิน ถือว่าพักสมองก่อนละกันวะ
“พี่พรานตื่นเช้าจัง”
เสียงงัวเงียของใบพลูดังขึ้นด้านหลัง ผมเลยหันไปทักทาย
“อืม ยังคิดงานไม่ออกน่ะ”
ใบพลูพยักหน้าเบาๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาหาของกินในตู้เย็นเหมือนผม ก่อนจะหยิบนมและซีเรียลออกไปอย่างไม่เลือกมาก ผมลังเลนิดหน่อย หยิบขนมปังชิ้นเล็กๆ ไปกินเล่นแล้วเดินตามน้องไปที่โต๊ะกินข้าวซึ่งมีกระดาษแบบร่างกองเต็มอยู่
“พี่พรตเป็นไงบ้างอ่ะ ทำไมช่วงนี้ในไอจีดูแปลกๆ”
พรืดดด
ผมที่กำลังกินขนมปังไปร่างแบบไปถึงกับสำลักทันทีที่ ได้ยินชื่อคนๆ นี้แล้วผมคิดไปถึงเมื่อวานทันที ยอมรับว่าผมรู้สึกดีมากตอนพี่พรตกอดกลับ ตอนนั้นตัวของพี่พรตอุ่นมากจนผมไม่อยากผละออกเลย คิดถึงตรงนี้ผมก็ต้องเรียกสติตัวเองกลับมาอย่างด่วน แม่งเอ๊ยยย ผมได้ทำอะไรน่าอายไว้ใช่มั้ยวะ
“เอ้ย พี่พรานใจเย็น ทำไมตกใจขนาดนั้น”
ผมไอสองสามทีแล้วกินน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่ ปรับอารมณ์ ตั้งสติอีกรอบแล้วค่อยตอบ
“คงเครียดๆ เรื่องรับน้องมั้ง”
“ใช่เหรอ...ทำไมพลูอ่านแคปชั่นแต่ละอันแล้วมันเหมือนคนมีความรักอ่ะ”
....เชี่ย ประโยคนี้ทำเอาผมเกือบสำลักอีกที
ใบพลูหรี่ตามองผมอย่างคาดโทษ สงสัยผมคงเผลอทำหน้าตกใจโคตรๆ ออกไปอีกล้ว
“ไม่ใช่ว่าพี่พรตมีแฟนใหม่แล้วพี่พรานไม่บอกพลูหรอกนะ”
“ไม่มีๆๆ”
ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะคุมเสียงตัวเองไม่ให้สูงกว่าปกติ ผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลยแต่คราวนี้มันจำเป็นจริงๆ ขอให้มันเนียนด้วยเถอะ
“แน่นะ? แล้วทำไมแคปชั่นเมื่อวาน...”
“ไหน เอามาดูดิ๊”
ผมตะปบเอาโทรศัพท์จากมือพลูมาดูทันที ผมได้ยินพลูหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่เพราะพลูต้องยังไม่รู้แน่นอน จากนั้นก็ไล่ดูรูปและแคปชั่นในไอจีพี่พรตทันที ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าแม่งจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดโคตรๆ
รูปแรกเป็นรูปท้องฟ้าที่มีเมฆประปราย ดูโคตรติสท์เลย
‘น่ารัก’
จากนั้นก็เป็นคอมเม้นท์แซวของพวกพี่ๆ ปีสามที่เดาจากชื่อได้ไม่ยากเลยว่าเป็นใครบ้าง โอ้โห นี่ผมไม่ได้ฟอลพี่พรตเลยไม่เคยรู้อะไรเลยสักอย่าง คำแซวของพี่ๆ ทำให้ผมรู้สึกประหม่ายังไงไม่รู้ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าพี่พรตต้องการจะสื่อถึงอะไร
ผมเลื่อนต่อไปเรื่อยๆ รูปส่วนใหญ่ก็เป็นแนวเซเลปคือมุมแปลกบ้างล่ะ ของกิน หน้าตัวเอง กับแคปชั่นที่เหมือนพูดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ค่อยเกี่ยวกับรูปที่ลงเท่าไหร่ เหมือนกับว่ามีเขาคนเดียวที่เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างแคปชั่นกับรูปภาพ ผมอดไมได้ที่จะแอบเหลือบขึ้นไปดูยอดฟอลโล่ว์ที่เห็นแล้วน่าอิจฉามาก...เหอะ อะไรมันจะเซเลปขนาดนั้น ลองให้พี่พรตถ่ายสภาพห้องมาลงสักรูปสองรูปนะ คนคงอันฟอลเป็นหมื่นๆ
จากนั้นผมจึงเลื่อนมาจนถึงรูปล่าสุดที่เห็นแล้วก็ต้องชะงัก มันเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อสองสามวันก่อนตอนเข้าแถวเตรียมเข้าห้องเชียร์ เป็นมุมที่ถ่ายด้านหลังของปีหนึ่งที่เข้าแถวตามภาคและหนึ่งในนั้นมีหลังของผมติดอยู่ด้วยเพราะผมยืนอยู่หลังสุด
'ขอบคุณเช่นกันครับ รอคำตอบอยู่นะ : )’
ผมกัดปากตัวเองเบาๆ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงคำขอบคุณที่พูดกับพี่พรตหลังจบห้องเชียร์ ทำไมคนๆ นี้ชอบทำให้ผมเขินอยู่เรื่อยนะ
“นี่ๆ คนนี้พี่พรานป่ะ”
ใบพลูชี้คนที่อยู่กลางรูป ผมจึงพยักหน้าเบาๆ เพราะยังไม่พร้อมจะพูดอะไรจริงๆ ความรู้สึกมันล้นขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นมุมนี้ของพี่พรตมาก่อนและเขาก็คงรู้แหละว่าผมคงจะไม่เห็นเหมือนกัน
“พี่พราน...หน้าแดงมากอ่ะ”
เฮ้ย! ผมรีบดึงกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาหน้าทันที ทำไมทุกคนรุมเร้ากูจังวะ รู้สึกอยากระเบิดตัวเองตอนนี้เลย
พลูยิ้มแล้วมองผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ยังไม่ได้ตอบอะไรพี่พรตรึเปล่าน่ะ”
...เชี่ยยย
ผมมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ ทำไมใบพลูถามเหมือนจะรู้เรื่องทั้งหมดทั้งที่ผมไม่เคยเล่าเลยสักครั้ง ผมกระดาษแน่นเมื่อคำถาม ‘ลองคบกันได้ป่ะ’ ของพี่พรตตีขึ้นมาในหัวอีกครั้ง หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วแต่ผมก็ยังทำเป็นลืมและไม่พูดถึงมันอีก ส่วนพี่พรตก็ไม่ได้พูดอะไรจนผมคิดว่าคงไม่ต้องตอบเพราะทุกวันนี้ก็ไปไหนมาไหนกันบ่อยมากแล้ว เพิ่งมารู้จริงๆ เนี่ยแหละว่าเขายังรออยู่
“ไม่มีอะไรนิ”
โอ้ยย ไม่ตอบแม่ง เขินเว้ย!
“งั้นพลูถามพี่พรตให้”
“เฮ้ย ไม่ต้อง!”
ผมเอื้อมมือไปดึงมือถือพลูไว้อีกรอบ ทำเอาน้องสาวผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“สายไปละพี่พราน พี่พรตบอกพลูในไลน์แล้ว”
...เชี่ย ผมลืมไปได้ไงวะว่าพี่พรตเคยขอไลน์น้องผมไว้คราวนั้น ผมเป็นคนเดียวสินะที่ไม่ได้อัพเดทอะไรเลย นี่ไม่รู้ไอ้พี่พรตมันไปเสี้ยมอะไรพลูไว้บ้าง
“พี่พรตบอกว่าไรบ้าง”
“ก็ไม่อะไรหรอก แค่บอกพลูให้ช่วยเตือนพี่พรานว่าอย่าลืมให้คำตอบ”
ดูจากสีหน้ากรุ้มกริ่มของน้องสาวแล้วทำไมผมรูสึกว่ามันไม่น่าเชื่อถือเลยวะ ไอ้พี่พรตแม่งแกล้งผมอีกชัวร์ๆ ผมพยายามปรับสีหน้าตัวเองให้ปกติแล้ววางกระดาษร่างลงบนโต๊ะ ทำทีเป็นคิดแบบต่อ
“เดี๋ยวทำงานต่อละ พี่พรตพูดอะไรอย่าเพิ่งเชื่อนะ”
“เออๆๆ พลูจะพยายามไม่เชื่อละกัน”
ถึงจะพูดออกมาแบบนี้แต่เห็นหน้าน้องสาวแล้วผมเชื่อว่าต้องเชื่อพี่พรตแน่ๆ แต่เอาเหอะเพราะผมก็ห้ามอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผมก้มหน้าก้มตาคิดแบบต่อไปแต่ก็ไม่มีสมาธินัก จะไปมีได้ไงล่ะ ผมยังไม่รู้เลยว่าถ้าพี่พรตถามคำถามนั้นขึ้นมาอีกผมจะให้คำตอบแบบไหน ไม่ใช่ผมไม่ชอบแต่ผมยังไม่มั่นใจจริงๆ ว่ะ คนที่มีเพื่อนน้อยและเข้าสังมไม่เก่งอย่างผมแต่ละคนที่ผมเลือกจะเปิดใจให้ย่อมต้องมีความหมายกับมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว และผมจะรู้สึกเสียใจหรือเจ็บมากจริงๆ หากโดนคนๆ นั้นหักหลังหรือทำอะไรไม่ดีใส่
ครืดด ครืดด ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่มาจากใต้กระดาษแบบร่างเลยรีบกวาดอุปกรณ์ทุกอย่างออกไปแล้วความหาโทรศัพท์ยกใหญ่ แต่เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นบนหน้จอแล้วก็ต้องตกใจอีกรอบ
‘พี่พรต’
...ตายยากว่ะ
ผมกดรับอย่างไม่ลังเลแต่เสียงแหบๆ ที่ลอดออกมาทำให้ผมขมวดคิ้ว
‘มาช่วยตัดโมหน่อยดิ’ สุดท้ายผมก็มายืนอยู่หน้าหอของพี่พรตพร้อมส่งไปหาว่ามาถึงแล้ว ผมหิ้วกระบอกซูมใส่แบบร่างของตัวเองมาด้วยเพราะงานตัวเองก็ยังไม่เสร็จเลย แต่คิดว่าพี่พรตต้องอาการหนักกว่าแน่ๆ แล้วยังต้องรับผิดชอบเรื่องรับน้องเพิ่มอีกถ้าผมช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วยเขาบ้าง
คนที่ลงมารับผมข้างล่างไม่ใช่พี่พรตแต่เป็นพี่กันต์ซึ่งดูสภาพที่ใส่ชุดนอนและตาคล้ำๆ ก็ทำให้พอจะเดาสภาพของพี่พรตได้อยู่ ผมยกมือไหว้พี่เขายิ้มๆ
“งานเหลือเยอะเหรอครับพี่”
พอถามเสร็จพี่กันต์ก็เหมือนองค์ลงทันที
“เออดิ อาจารย์แม่งสั่งมาเหมือนกูไม่มีรับน้องอ่ะ ประชุมเสร็จก็ทำงานไม่ได้นอน นี่วันจันทร์พินอัพเค้ายังก็ขอโมอีก เค้าลืมไปป่ะวะว่ากูยังเป็นคนอยู่”
ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเล่าสถานการณ์ของตัวเองให้ฟังบ้าง
“ของผมก็ขอโมวันจันทร์เหมือนกันพี่”
“อ้าว แล้วเสร็จยังเนี่ย”
“แบบยังไม่มีเลยครับ”
“เออๆๆ เดี๋ยวช่วยกันทำละกัน อย่างน้อยก็มานั่งด้วย”
ผมพยักหน้าเบาๆ อดรู้สึกขำไม่ได้ว่าชะตากรรมของเด็กคณะเรามันก็แบบนี้แหละ บางทีงานตัวเองยังไม่เสร็จแต่คนอื่นเหลือเยอะกว่าก็จะมาช่วยกันทำแบบนี้ ถึงจะไม่ได้ช่วยเต็มที่เพราะมีงานตัวเองมันก็จะไม่เหงาและรู้สึกสนุกมากกว่านั่งทำเงียบๆ คนเดียวอยู่แล้ว แค่มานั่งหายใจข้างๆ ก็ถือเป็นกำลังใจแล้วครับ ผมเข้าใจข้อนี้ดีเพราะผมชอบให้มีคนมานั่งด้วยตอนทำงานเหมือนกันถึงคนๆ นั้นจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็เถอะ
ผมเดินตามพี่กันต์ขึ้นมาถึงหน้าห้องพี่พรตแล้วเปิดประตูเข้าไป ผมถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพห้องแบบเต็มตาเป็นครั้งแรก คราวที่แล้วที่มีเสื้อกองอยู่เต็มไปหมดผมว่ามันก็แย่มากแล้วนะ นี่คือมีทั้งถ้วยมาม่าเปล่าที่แห้งกรังไปแล้ว เศษขยะเศษทิชชู่ทิ้งเกลื่อน แล้วยังกระดาษแบบร่างกระดาษชานอ้อยที่กระจายเต็ห้องไปหมดจนไม่รู้จะเดินเข้าไปได้ยังไงโดยไม่เหยียบงาน
“เออเดี๋ยวกูออกไปซื้อข้าวก่อนนะ เอาไรป่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินมาแล้ว”
พี่กันต์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป ผมเลยปิดประตูแล้วหันไปเผชิญหน้ากองขยะ เอ้ย กองงานของพี่พรตอีกที
“เดินมาเลย”
ผมมองหาแหล่งกำเนิดเสียงถึงได้รู้ว่าพี่พรตในชุดนอนนั่งขดอยู่ที่พื้นมุมห้องพร้อมคอมพิวเตอร์บนตัก ผมแทบจะหยิบมือถือมาถ่ายรูปไปให้พลูดูเดี๋ยวนั้น นี่คือสภาพลูกชายเจ้าของบริษัทสถาปนิกใหญ่ครับ!
ผมพยายามมองหาพื้นที่ๆ ไม่มีงานวางอยู่แล้วจึงตัดสินใจกระโดดผ่านแผ่นรองตัดเข้าไปหาพี่พรต กวาดกระดาษแถวนั้นออกไปแล้วนั่งข้างๆ
“มีไรให้ช่วยอ่ะ”
“เดี๋ยวขอพล็อตแผ่นนี้เสร็จก่อน จะให้ตัดโม”
พี่พรตพูดเบาๆ ตามประสาคนไม่ค่อยมีเสียงโดยสายตายังคนจ้องคอมพ์อยู่อย่างนั้น ใบหน้าของพี่พรตดูอิดโรยจนไม่เหลือเค้าความเป็นคนดังที่ผู้หญิงตามกรี๊ดเลยสักนิด ผมยุ่งหน้าหมอง ใส่แว่นเลนส์เหลืองตัดบลูไลท์ที่ทำให้ดูแก่ขึ้นประมาณี่สิบปี เสื้อยืดเก่าๆ และกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนก็ดูเน่าเหมือนไม่ได้ซักมาหลายวันแล้ว
ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่เขาทำงานตลอด เพราะถึงจะเดือดแค่ไหนก็น่าจะมีเวลาเดินไปเปลี่ยนเสื้อบ้างป่ะวะ ผมว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนซกมกโดยนิสัยมากกว่า
“พี่พรตเปลี่ยนชุดหน่อยมั้ย”
ประโยคนี้ทำเอาพี่พรตเงยหน้าขึ้นมาจากจอก่อนส่ายหน้า
“ไม่เอา ก็ไม่ได้ออกไปไหน”
ไม่ได้ออกไปไหนแต่กูเหม็นโว้ยย
“เดี๋ยวผมเอาเสื้อให้ดีกว่า”
ผมเลยลุกขึ้เดินไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่อีกห้องนึง แต่แล้วเสียงพี่พรตก็ดังขึ้น
“นี่...เปลี่ยนให้ด้วยสิ”
เห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มและสายตาแพรวพราวดูจงใจกวนตีนของเขาแล้วผมแทบจะยกนิ้วกลางใส่เลยครับถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นรุ่นพี่ งานก็เดือดยังมีอารมณ์มาอะไรกับผมอีกนะ ผมเลยแยกเขี้ยวใส่อย่างหมั่นไส้แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อกับกางกงที่คิดว่าสะอาดที่สุดแล้วเดินกลับออกมา
“อ่ะ นี่”
ผมวางเสื้อกับกางเกงไว้ข้างๆ แต่พี่พรตกลับไปสนใจเอาไปใส่แต่กลับมองหน้าผมแล้วชูแขนขึ้นเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนขอให้ถอดเสื้อให้
“เปลี่ยนให้หน่อยๆๆๆๆ”
ใจผมตอนนี้อยากไปทำงานของตัวเองต่อแล้วถ้าพี่พรตยังจะแกล้งอะไรอีก คราวนี้คงต้องยอมให้มันจบๆ ไปแต่ผมไม่มีวันทำให้ฟรีหรอกนะ
“โอเค! แต่พี่พรตต้องช่วยคิดแบบ”
พี่พรตขมวดคิ้วอย่างลังเลอยู่แปปนึงก่อนจะตอบตกลง
“เออ ดีล!”
ผมจัดการดึงเสื้อพี่พรตออกแล้วก็อดสำรวจไม่ได้ จริงๆ พี่พรตดูเป็นคนหุ่นดีมากเลยนะ แต่ก่อนคงออกกำลังกายมีซิกซ์แพคอย่างที่หลายคนกรี๊ด แต่นี่เพราะงานหนักหรือไม่มีเวลาแม้กระทั่งอาบน้ำเลยทำให้ตัวของพี่พรตดูย้วยๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่ถึงกับนุ่มนิ่มแต่ก็รู้เลยว่าเป็นหุ่นของคนที่เคยมีแพคแล้วเสียมันไป
“มองอะไร หุ่นแซ่บใช่มะ”
“แซ่บอะไรพี่พรต เหลวจนจะเป็นน้ำอยู่ละ”
คนอะไรไม่รู้โคตรหน้าหมั่นไส้
“รอปิดเทอมจะฟิตให้ดู”
พี่พรตไม่ว่าเปล่าแต่จู่ๆ ก็เขยิบเข้ามาหาผมแบบไม่ทันตั้งตัวจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมเผลอขยับตัวออกทำอะไรไม่ถูก แต่พี่พรตเหมือนจะไม่หยุดแต่นั้นเพราะเขายังเขยิบตามมาอีก
“ขอกอดหน่อย”
สุดท้ายผมเลยรีบผุดลุกขึ้นแล้วก้มลงมองคนที่ทำสีหน้าเหมือนเสียดายยกใหญ่
“เดี๋ยว ทำงานดิ คิดแบบให้ก่อนแล้วจะให้กอด”
ผมเดินไปไปเปิดกระบอกซูมของตัวเองโดยไม่สนใจจะเปลี่ยนเสื้อให้ต่อ คลี่การดาษร่างออกมาไว้หน้าพี่พรต เขาทำหน้ามุ่ยก่อนจะใส่เสื้อใหม่ด้วยตัวเองแล้วหยิบกระดาษร่างของผมมาดู
“อาจารย์บอกคอนเสปท์ยังไม่แรง”
“อืม...”
พี่พรตจ้องแบบของผมอยู่ยกใหญ่ก่อนจะหยิบกระดาษสองแผ่นมาให้ผมแทน
“ระหว่างกูคิด เอาแปลนกับเซคชั่นชั้นสองไปตัดโมเดลให้หน่อย หนึ่งต่อร้อย”
ผมพยักหน้าแล้วหยิบแบบของพี่พรตไปนั่งศึกษาก่อนลงมือตัดโมเดล ผมเดินไปหยิบแผ่นรองตัดที่เพิ่งข้ามไปเมื่อกี้ หาเศษชานอ้อยตามพื้นแล้วหยิบคัตเตอร์กับกาวใต้โต๊ะญี่ปุ่นขึ้นมา ดูงานพี่พรตแล้วโคตรอลังการ ยังไงก็ไม่น่าจะต่ำกว่าบีบวกแหละ แต่พอยิ่งดูแปลนในงานแล้วก็อดมองสภาพห้องอีกทีไม่ได้ เทียบคุณภาพของงานกับคุณภาพชีวิตนี่แม่งแปรผกผันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่เกินชั่วโมง พี่พรตก็ยื่นกระดาษที่มีรูปสเก็ตช์สองสามแบบคืนมาให้ ผมอดมองด้วยความทึ่งไม่ได้ นี่ขนาดผมนั่งคิดมาตลอดช่วงเช้ายังได้แค่แบบเดียวและไม่สมบูรณ์ ส่วนพี่พรตที่ดูเหมือนเล่นไปวันๆ แล้วก็แกล้งนู่นนี่แม่งโคตรเทพ ถึงเขาจะบอกว่าตัวเองไม่เก่งเท่าพี่ชายพ่อแม่และโดนเปรียบเทียบบ่อยๆ แต่สำหรับผมแล้วก็ยังเก่งอยู่ดีนั่นแหละ
“โห อย่างโหด ขอบคุณครับ”
“กอด”
พี่พรตไม่ตอบรับคำขอบคุณแต่กลับกางแขนรอผมเต็มที่ดูน่าหมั่นไส้ ผมเลยจำใจต้องวางชานอ้อยที่กำลังตัดอยู่แล้วโอบแขนกอดพี่พรตตามสัญญา พี่พรตกระชับตัวผมไว้แน่นมากจนผมได้สัมผัสถึงความอุ่นเหมือนเมื่อวาน พี่พรตกดหน้าลงบนไหล่ผมก่อนจะถอนหายใจเหมือนคนคิดมากซึ่งผมก็ทำได้แค่คาดเดาไปเรื่อยว่าพี่พรตคงงานหนักและเครียดเรื่องห้องเชียร์ไม่น้อยจึงก็ตัดสินใจปล่อยให้เขากอดไปเรื่อยๆ โดยไม่ดึงแขนออก หัวใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อตระหนักว่าตัวผมกับเขาอยู่ใกล้กันขนาดไหน แต่แล้วจู่ๆ พี่พรตก็เงยหน้าขึ้นแล้วกระซิบข้างหูด้วยเสียงแผ่วเบา
“นี่...เราเป็นแฟนกันได้ยัง”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วววววววว
มาแบบเดือดๆ นิดหน่อยแต่ก็มาเนอะ!
เข้ามาหน้านิยายแล้วปริ่มมาก มีคนรออยู่ด้วย
ขอบคุณนะคะ เจอกันตอนหน้าค่าา
คิดว่าไม่นานเพราะปิดเทอมแล้วค่ะะ เยย้

มีอะไรมาต่อได้ในทวิตเตอร์
#พรตพราน นะคะ เราเล่นอยู่คนเดียวเลยอ่ะะ เหงาแรง5555