“หมายความว่า ที่ผ่านมากูโดนหลอกเหรอวะ”
ผมหันไปมองพี่กันต์ที่โพล่งขึ้นมาทันทีหลังจากฟังพี่พรตเล่าเกี่ยวกับมิว แต่เขาก็ไม่ได้พูดเรื่องพี่พฤตหรือเรื่องโดนเปรียบเทียบอะไรเลย แต่ผมก็ว่ามันพอแล้วล่ะสำหรับตอนนี้ที่พี่กันต์ พี่เป้ รวมถึงผมกำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวเล็กที่มีแก้วเหล้าวางอยู่
คงเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ค่อนข้างหนักสำหรับทุกคนและมิวไม่ว่าง
“เออ”
“ไอ้เชี่ยพรต มึงแม่ง...”
พี่กันต์เหมือนอยากจะด่าแต่ด่าไม่ออกซึ่งผมพอจะเข้าใจเลยล่ะ จริงๆ คงเพราะไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่ามากว่า เพราะเวลาเพื่อนพยายามผิดบังอะไรแล้วค่อยมาบอกทีหลังนี่มันคันปากจริงๆ ครับ
“เห้ยๆๆ ก็นีไง เลยชวนมาแดกเหล้า”
“ไอ้พรต มึงเลว..”
“เห้ยกันต์ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”
“มึงคิดว่าวิธีนี้จะทำให้กู...”
“เอาน่า กูตั้งใจพามึงมาเลยนะ”
...ถุย!
จริงๆ ที่ผมมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพราะมิวดันไม่ว่างให้พี่พรตคุยด้วยต่างหาก พี่พรตเลยเปลี่ยนใจไปกินหล้าแทนเพราะเห็นว่าเป็นวันศุกร์ที่น่าฉลองหลังจากผ่านเหตุการณ์ค่อนข้างหนักหน่วงในความรู้สึก และไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของผมกับพี่กันต์ที่อยู่ด้วยตอนนั้นหลังจากคนอื่นกลับไปแล้ว เลยจำใจต้องมาเป็นเพื่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไอ้พรต มึงตอแหลงี้อายน้องบ้างมั้ย”
“ไม่ อายทำไมวะ”
พี่พรตตอบส่งๆ พลางยกแก้วขึ้นดื่ม พี่พรตไม่ได้ดื่มรวดเดียวหลายๆ อึกเหมือนที่หลายคนชอบทำ แต่เขาเหมือนแค่จิบนิดหน่อยแล้ววางแก้วลงตามเดิม
“น้องพรานดูไว้นะ ไอ้นี่มันหน้าด้าน”
“มันไม่เคยอายอะไรหรอก”
“อ้าว ด่ากูเฉย”
ผมหัวเราะเบาๆ ระหว่างมองพี่พรตกับกลุ่มเพื่อนคุยกัน ความรู้สึกคิดถึงก็แหมือนกับไม่ได้อยู่ท่ามกลางวงสนทนาที่จริงใจและสบายใจอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่เผลอไปเห็นพี่เขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เหมือนว่าผมไม่ได้เจอพี่พรตคนนี้มานานและคิดถึงมากจริงๆ
“นายกินเหล้าบ่อยป่ะ”
ผมสะดุ้งนิดๆ ที่พี่เขาหันมาอย่างกระทันหัน และเหมือนพี่พรตเองก็ตกใจเหมือนกันเมื่อเห็นว่าผมมองมาก่อนอยู่แล้ว
“ไม่บ่อยหรอกครับ เพื่อนชวนก็ไป”
พี่พรตหรี่ตามองผมอยู่ครู่นึง ก่อนจะถามต่อ
“เคยเมาบ้างป่ะเนี่ย”
ถึงคำถามนี้แล้วผมก็ต้องนิ่งคิด เอาไงดีวะ ถ้าตอบว่าไม่เคยแล้วจะโดนมอมรึเปล่า ความจริงเหตุผลของการไม่เคยเมาก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่ว่าผมไม่ชอบตอนที่คุมตัวเองไม่ได้ และเกลียดการไม่เป็นตัวของตัวเองต่อหน้าคนอื่นมาก แต่เอาก็เอาวะ โดนแกล้งก็แกล้ง อย่างน้อยก็สบายใจไปอย่างนึงว่าคนที่ถามคือพี่พรต
“...ไม่เคยครับ”
“ดีละ”
...หือ?
นี่มันผิดคาดนิดหน่อย ผมไม่คิดว่าคนขี้แกล้งอย่างเขาจะปล่อยให้ผมไม่เคยเมาแบบนี้ต่อไป แถมยังพูดว่า ‘ดี’ ด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าความขี้เล่นของพี่พรตก็มีขอบเขตเหมือนกัน เขารู้ว่าควรแกล้งอะไรและไม่ควรทำอะไร ไม่ใช่คนที่เล่นไปทั่วโดยไม่สนใจคนอื่น
“อ้าวไอ้พรต แล้วมึงเคยมอมเหล้ากู”
“ก็นั่นมันมึง”
“อ้าว สองมาตรฐานเหรอมึง น้องพรานครับ...”
“อะไรๆๆ แดกเหล้าไป อย่ารุ่มร่าม”
อยู่ๆ พี่พรตก็ยกมือขึ้นมาดึงตัวพี่กันต์ที่กำลังเอียงมาทางผมให้นั่งตรงเหมือนเดิม ก่อนจะส่งแก้วเหล้าให้เพื่อนตัวเองแบบที่เรียกว่ายัดเยียดจะดีกว่า
“โห่ไรวะ พอไม่มีมิวนี่เอาใหญ่นะมึง”
“เออ ว่าแต่เรื่องมิว...”
พอมาถึงประเด็นนี้พี่เป้ที่นั่งดื่มเงียบๆ มาตลอดก็ขัดขึ้นมา ทำเอาทุกคนในโต๊ะถึงกับหยุดและตั้งหน้าตั้งตาฟัง
“มึงไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ”
“ยังไงวะ”
พอพูดถึงความแปลก แน่นอนต้องมีอยู่แล้วล่ะ ถึงพี่พรตจะบอกว่ามิวก็มีเหตุผลที่จะคบกับพี่พรตเหมือนกัน แต่คนเราจะคบด้วยเหตุผลได้ยืนยาวแบบนี้เลยเหรอ
“ทำไมน้องเค้าจะไม่ว่างตอนนี้วะ”
“...”
“ปกติเค้ามาหามึงทุกศุกร์เลยนิ”
ผมไม่เคยเจอพี่พรตก่อนหน้านี้ เลยไม่รู้ว่าคำพูดนี้เป็นข้อเท็จจริงแค่ไหน แต่เมื่อมองจากท่าทีครุ่นคิดของพี่พรตแล้วมันก็คงจะจริงล่ะมั้ง ฟังแล้วก็อดรู้สึกแย่หน่อยๆ ไม่ได้ หรือมิวจะรู้แล้วว่าพี่พรตชอบผมเลยไม่ยอมมารึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงเหมือนเป็นคนผิดยังไงไม่รู้
ถ้าไม่มีมีเรื่องเกิดขึ้น หรือพี่พรตไม่พูดมันออกมา จริงๆ ตรงนี้ควรจะเป็นที่ของมิวหรือเปล่า แต่แล้วเสีงของพี่พรตก็แทรกขึ้นกลางบรรยากาศตึงเครียดนั้นทันที
“เอาน่าพวกมึง วันนี้เค้าอาจไม่ว่างจริงๆ ก็ได้”
หลังจากการฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของวันศุกร์จบลงอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ที่ว่าสำเร็จนี่คือไม่มีใครเมาครับ แม้แต่พี่เป้ที่เหมือนดื่มไปเยอะสุดก็ยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ และผมซึ่งปกติจะถูกทิ้งให้เป็นคนเก็บศพเพื่อนเลยไม่ต้องทำหน้าที่ ทุกคนลุกขึ้นจากที่นั่งโดยไม่เซเลยสักนิด และหลังจากนั้นก็เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน
ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง แล้วเงยหน้ามองสถานีรถไฟฟ้าที่เปิดไฟสว่างอยู่ ยังไงก็ทันบีทีเอสล่ะ แต่แย่หน่อยว่าบ้านผมนั้นต้องไปต่อรถไฟใต้ดินอีก เลยเริ่มกังวลว่าจะทันเที่ยวสุดท้ายของใต้ดินหรือเปล่า บางทีอาจต้องต่อแท็กซี่...
“บ้ายนายอยู่ไหน”
“ลาดพร้าวครับ”
“แล้วกลับไง”
“บีทีเอสต่อใต้ดิน”
พี่พรตขมวดคิ้วหน่อยๆ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแล้วหยุดไป ก่อนควักมือถือขึ้นมากดดูเวลา
“ทันเหรอ”
“ผมต่อแท็กซี่ได้”
พี่พรตพยักหน้าเบาๆ แต่แล้วเขาก็เหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาอีกครั้งแต่ไม่ยอมพูดออกมาสักที จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดแทน มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลยก็ได้มั้ง
“เฮ้ย มาค้างกับกูดีกว่า อยู่แค่ตรงนี้เอง”
“คือ...”
“กูไลน์ไปบอกพลูให้แล้ว”
“เห้ยพี่ เร็วไปป่ะ”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าไปแบบไหน แต่มันทำให้พี่พรตหัวเราะและมองหลับมาด้วยดวงตาพราวระยับที่เขามักจะทำเวลาแกล้งผมสำเร็จหรือวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งมันดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด ผมมองหน้าเขาพลางชั่งใจอยู่เงียบๆ ขนาดตอนนี้ยังมีท่าทีว่าจะโดน ถ้าไปค้างแล้วจะโดนแกล้งขนาดไหนวะเนี่ย
“อะไรๆ มองกันแบบนี้หวั่นไหวนะเว้ย”
“โอ๊ย อะไรของพี่วะ”
ผมโวยขึ้นมาแต่พี่พรตไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่เดินนำผมไปเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมเลยหันไปมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปด้วยกัน ระหว่างผมกับพี่พรตมีแต่ความเงียบ แต่เป็นความเงียบที่อัดแน่นไปด้วยความสุข เสียงฝีเท้าสองคู่ลากเอื่อยๆ ไปพร้อมกันภายใต้แสงไฟนีออนริมถนน ไม่นานหลังจากนั้นเราก็เลี้ยวเข้าไปในซอย แสงสียามค่ำคืนเริ่มเลือนหายไป มีเพียงไฟดวงเล็กๆ จากหน้าบ้านคนเท่านั้นที่ส่องนำทาง
เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าความเงียบให้ความสุขมากกว่าบทสนทนา และแสงไฟข้างทางให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าการเดินอยู่ในแสงไหนๆ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่น่าเก็บรักษา
และเหมือนว่าคอนโดของพี่พรตจะใกล้ไปหน่อย เพราะไม่นานหลังจากนั้น เราก็เดินเข้าสู่แสงสว่างของตัวอาคารที่ผมเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าความเงียบเมื่อครู่กำลังจะหมดลง บางทีผมก็นึกอยากให้มันอยู่ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย
ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงหน้าห้อง พี่พรตไขกุญแจเข้าไปแล้วจัดแจงเปิดไฟเปิดแอร์ให้เรียบร้อย ก่อนจะหันมาหาผมอีกรอบเหมือนกำลังคิดว่าจะให้ทำอะไรต่อไปดี
“เดี๋ยวจะนอนเลยป่ะ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ยังรู้สึกอาลัยกับความเงียบเมื่อครู่จนไม่อยากพูดอะไรออกมา
“งั้นมึงไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเคลียร์พื้นที่ให้”
ผมแอบขำเมื่อสภาพห้องนอนของพี่พรตในวันนั้นฉายขึ้นมาในความคิด ห้องนอนที่มองแทบไม่เห็นที่ว่างเหมือนเดินอยู่ในทะเลกระดาษ และเตียงที่เต็มไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยของโมเดล เกิดเป็นเด็กถาปัดต้องอดทนครับ เหมือนบุคคลต้องสาปที่จะไม่สามารถนอนบนเตียงและมีห้องที่สะอาดได้เลยก่อนส่งโปรเจกต์
ยังดีที่คอนโดของพี่พรตแบ่งเป็นสองห้อง คือห้องนั่งเล่นที่มีมุมแพนทรี่สำหรับทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ผมกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะหยุดลงที่โซฟาและโต๊ะรับแขกซึ่งมีเสื้อผ้าและกองผ้าห่มวางไว้ ผมคิดว่ามันเป็นผลกระทบจากการที่ห้องนอนสูญเสียจุดประสงค์ของมันไปแล้ว แต่นี่ก็เป็นข้อดีของการมีสองห้อง เพราะหมายความว่าอีกห้องน่าจะสามารถนอนได้อยู่
“จริงๆ ผมนอนห้องนี้ก็ได้”
ได้ยินแบบนี้ พี่พรตที่กำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนเลยหยุดแล้วหันกลับมาเหมือนจะสำรวจว่าสภาพมันดีพอหรือเปล่า
“เออ ได้ๆๆ”
“แล้วมึงใส่เสื้อตัวนั้นได้ป่ะ”
ผมมองตามมือของพี่พรตไป แล้วหยิบเสื้อยืดสีเหลืองตุ่นที่ดูเหมือนว่าได้ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงขึ้นมาดู ยังดีที่ตัวผมไม่ได้ต่างกว่าพี่พรตมากนักเลยน่าจะใส่ได้สบาย แต่เห็นสภาพอย่างนี้แล้วมันอดไม่ได้ที่จะแอบอยากให้ตัวเองตัวใหญ่หรือเล็กเกินกว่าจะใส่เสื้อตัวนี้ได้
“เอ่อ...โทษที มันอาจเก่าไปหน่อย กูไม่มีเวลาซักเสื้อตัวอื่น”
โอ้ เป็นเหตุผลฟังดูทุเรศจนผมเกือบหัวเราะออกมา นี่เหรอลูกชายเจ้าของบริษัทอันดับหนึ่ง น้องชายของสถาปนิกและนายแบบชื่อดัง คนๆ นี้น่ะเหรอที่ได้อยู่ในคอลัมน์สัมภาษณ์ของนิตยสารหลายฉบับร่วมกับครอบครัว แทนที่จะอยู่ในบ้านหลังใหญ่สะดวกสบาย กลับมาอยู่ในคอนโดขนาดกลางเต็มไปด้วยกองกระดาษและกองเสื้อที่ไม่ได้ซัก
โอเค...เด็กถาปัดไม่ว่าจะรวยจะจนยังไง ทุกคนมีสภาพเท่าเทียมกันเสมอ
“สรุปใส่ได้ป่ะ”
“ได้ครับ”
“ยิ้มน่ารักจัง หวั่นไหวเลยอ่ะ”
...เอ่อ
“นี่ต้องให้ผมทำหน้านิ่งเลยป่ะพี่ถึงจะไม่หวั่นไหว”
พูดจบ ผมก็รีบคว้าเสื้อกับกางเกงแล้วเดินเข้าห้องน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะเหวี่ยงประตูให้ปิดตามหลัง ผมยืนหันหน้าเข้าหากระจกทันที มองสบตากับกับเงาของตัวเองและได้เห็นว่าใบหน้าขึ้นสีชมพูนิดๆ พร้อมความร้อนจากผิวแก้มที่เพิ่มขึ้นเมื่อเสียงของพี่พรตผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
‘ยิ้มน่ารักจัง หวั่นไหวเลยอ่ะ’ ‘ยิ้มน่ารักจัง หวั่นไหวเลยอ่ะ’ “โอ๊ย แม่งงง”
...รู้ทั้งรู้ว่าเขาจงใจแกล้ง จะเขินทำเชี่ยไรเนี่ย
ผมหายใจเข้าออกลึกๆ สองสามที พยายามตั้งสติ และสายตาก็เหลือบไปเห็นไอโฟนที่เผลอหยิบติดตัวมาเข้าห้องน้ำพร้อมกับชุดนอน ผมจึงเบี่ยงความสนใจของตัวเองไปลงในโปรแกรมแชทแทน เผื่อมันจะขัดเกลาจิตใจผมกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้อีกครั้ง
...ซึ่งผมคิดผิด
‘นี่ๆ พี่พรานดูดิ พี่พรตลงนิตยสาร’
‘โอ้โห รูปนี้หล่อมาก มุมดีมาก’
ผมมองรูปที่ใบพลูส่งมา เป็นรูปของพี่พรตถ่ายคู่กับพี่ชาย ต้องยอมรับว่าเขาดูดีและดูเหมาะสมกับบริบทรอบตัวทุกอย่าง แต่ผมพนันได้เลยว่าเขาต้องเก๊กสุดๆ ถึงจะได้รูปออกมาแบบนี้
‘คนอะไรไม่รู้หล่อก็หล่อ รวยก็รวย เพอร์เฟคมากก’
ผมเบ้ปากใส่ข้อความนั้น แล้วพิมพ์ตอบกลับไปทันที
‘ไม่ใช่หรอก’
‘เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ’
‘ตัวจริงจัญไรและชุดนอนสกปรกมาก’
...ผมไม่ได้ส่งข้อความสุดท้าย
-----------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่าา นีี่รีบเขียนมาลงเลยรู้สึกทิ้งไปนาน
แต่จะเปิดเทอมแล้วค่ะ กลับไปสู่วงจรเดิมอีแล้ว ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอาา ฮือออ

ขอบคุณคนอ่านค่า
