:: CHAPTER 9 :: ผมยืนตอบไลน์รออยู่ประมาณสิบนาทีกว่าๆ ตามที่พี่กันต์บอกไว้ จนกระทั่งเห็นกลุ่มพี่ปีสามเริ่มทยอยเดินลงมานั่นแหละ ผมถึงได้กดปิดจอมือถือแล้วเริ่มกวาดสายตามองหาพี่พรต และหลังจากพี่ไลน์แถวลงมากันหมดแล้ว ผมถึงได้เห็นเขาที่กำลังรีบเดินตรงมาหา
“ไงนาย ห้องเชียร์เป็นไง”
“ก็ดีครับ”
“พี่ว้ากน่ากลัวป่ะ”
“ก็นิดหน่อย แต่แปลกดี”
“ไม่อยากรู้เหรอว่าใครเป็นพี่ว้าก”
พี่พรตมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อพูดถึงพี่ว้าก คิดว่าคงคาดหวังให้น้องทุกคนกลัวห้องมืดกับพี่ว้ากที่ไม่เห็นหน้า ซึ่งผมก็...
“ไม่ครับ”
ผมตอบไปตรงๆ ตามที่รู้สึก แต่เดี๋ยวนะ ถ้าพี่พรตจะขอให้รอเป็นสิบนาทีเพียงเพื่อถามเรื่องแค่นี้มันจะไร้สาระไปหน่อยมั้ยวะ ผมจดจ้องไปที่สายตาของเขาแล้วเริ่มพิจารณาอย่างละเอียด และพอเห็นแววตาที่ดูเป็นประกายกรุ้มกริ่มก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“น้องพรานครับ”
“ฮึ?!”
ผมเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว นี่ถ้ากินน้ำอยู่คงพุ่งออกมาใส่หน้าคนเรียกแล้วล่ะครับ ไอ้คนชื่อพรตที่ร้อยวันพันปีได้แต่แกล้งน้อง จู่ๆ ก็พูดสุภาพ แถมยังเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผมอีก นี่มันมันโคตรไม่น่าไว้ใจ
“น้องพรานคงจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าในบรรดาน้องใหม่ปีนี้พี่ไม่สนิทกับใครเท่าน้องพรานเลย เรียกว่าไม่คิดจะเข้าหาเลยสักคน แต่กับพรานมันแตกต่างอออกไป มันเป็นความรู้สึกที่...ไม่รู้สิ ตั้งแต่พี่เห็นพรานครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตา”
“...”
เชี่ย...ผมถึงกับนิ่งอึ้ง พยายามถามตัวเองซ้ำๆ กำลังฟังไม่ผิด ยิ่งรวมกับสายตาฉายแววจริงจังของพี่พรตแล้วเรียกได้ว่าช็อคจนแทบทรงตัวไม่อยู่ นี่มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยมั้ง บรรยากาศแบบนี้นี่มันคล้ายกับการสารภาพรักยังไงไม่รู้
“น้องพรานครับ”
พี่พรตเรียกชื่อผมด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ผมเงยหน้าสบกับดวงตาคมกริบที่จ้องตอบมาเหมือนวิงวอน
“เอ่อ...พี่พรต”
“น้องพราน พี่ไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร แต่คืนนี้...”
“...”
“มาช่วยพี่ตัดโมหน่อยครับ”
ผมหันไปมองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกขำปนหมั่นไส้ ท่าทีของเขาตอนนี้กับตอนอยู่ที่คณะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง คล้ายกับภาพบรรยากาศของฟุตปาธในตอนนี้ซึ่งผมกำลังยืนรอข้ามถนนที่ช่างแตกต่างจากตอนกลางวันราวกับไม่ใช่ที่เดียวกัน ผมมองตามใบหน้าที่เงยหน้าขึ้นเหม่อมองป้ายโฆษณาอีกฟากหนึ่งของถนนเหมือนครุ่นคิดอะไรสักอย่าง
บางทีผมก็อยากรู้ว่ามีความซับซ้อนแบบไหนบ้างที่ประกอบรวมเป็นจิตใจของคนๆ หนึ่ง
“มองอะไรน่ะ”
เขาให้เวลาผมไม่ถึงหนึ่งนาทีในการแอบมอง
“...เปล่าครับ”
“หรือจะไม่ไปช่วยงานแล้ว เฮ้ย ก็เดี๋ยวช่วยโมเดลของนายไง”
พี่พรตพูดด้วยท่าทีร้อนรนและทำสีหน้าเหมือนเดือดร้อนมากจริงๆ และพยายามคิดแล้วคิดอีกว่าจะรั้งผมไว้ยังไง ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางตีโพยตีพายของเขา ...ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะว่าผมเป็นคนขี้เกรงใจและปฏิเสธรุ่นพี่ไม่ลง
“พี่พรตครับ...ผมไม่ได้พูดสักคำเลยนะว่าจะไม่ไป”
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้านี้ ไม่รู้ทำไม แต่พอเขาพูดอะไรผมมักจะเผลอตอบตกลงทุกที
สถานที่ทำโมเดลหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘หอพัก’ ของพี่พรตนั้นอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมาก ใช้เวลาเดินประมาณสิบห้านาทีก็ถึงแล้วล่ะครับ ถ้าเทียบกับบ้านผมคือสะดวกกว่ากันมากๆ ผมเคยขอแม่อยู่หลายครั้งแล้วว่าอยากอยู่หอ แต่เหมือนแม่ยังไม่ไว้ใจแถมพลูก็ไม่อยากให้ผมไปอยู่ไกลด้วย วันนี้เลยถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่ผมจะได้ไปสัมผัสหอพักจริงๆ ของนักศึกษาสักที
ผมมองเลข ‘702’ หน้าห้องระหว่างรอพี่พรตไขประตู ดูจากบรรยากาศภายนอกก็เป็นหอที่ใหม่สะอาดดี แต่เมื่อพี่พรตเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปเท่านั้นแหละผมก็ต้องกลืนคำพูดตัวเอง
“โห นี่อยู่กันกี่คนวะ เอ่อ...ครับ”
พี่พรตหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของผม
“แล้วคิดว่ากี่คนล่ะ”
เขาหันมาถามเมื่อผมเดินไปถึงเตียงเดี่ยวซึ่งสภาพโคตรไม่เหมือนที่นอนของคน เพราะมันเต็มไปด้วยกองกระดาษร้อยปอนด์และแบบแปลนของบ้านที่มีรอยปากกาแดงและลายมือหวัดๆ ขีดอยู่หลายที่จนแทบดูของเดิมไม่ออก
“คนเดียวครับ”
ผมมองกองกระดาษบนเตียงอย่างปลงๆ แล้วเริ่มมองหาที่ว่างในห้องที่พอจะหย่อนก้นตัวเองลงไปได้ นอกจากกองร้อยปอนด์บนเตียงแล้วยังมีเศษซากโมเดลที่หลุดเป็นชิ้นๆ อยู่บนพื้นห้อง กระดาษร่างแบบที่ผ่านการร่างอย่างบ้าคลั่ง กองแผ่นรองตัดที่แทบจะปูแทนพรมบนพื้น และเศษกระดาษชานอ้อยที่ใช้ทำโมเดลเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่าผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าห้องนี้สวยหรือไม่สวยยังไง
เพราะแม่งโคตรรก
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีโมเดลที่ละเอียดประณีต และแบบที่เขียนอย่างสะอาดเรียบร้อย ถือกำเนิดขึ้นในห้องที่มีสภาพแบบนี้ได้
“รอแปปนะ กางโต๊ะก่อน”
พี่พรตพับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอกแล้วเดินไปหยิบไม้กวาดขึ้นมาจัดการเคลียร์พื้นที่โดยกวาดกองกระดาษ เศษโมเดลต่างๆ ให้ไปกองรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างลวกๆ จากนั้นก็หยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ใหญ่พอสมควรมากางไว้ข้างหน้าผม ก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ตัดโมเดลทั้งหลายมาวางให้อีกที
ความจริงห้องนี้ก็ไม่ได้คับแคบอะไร ดูเหมือนอยู่กันได้หลายคนด้วยซ้ำ แต่เพราะกองขยะทั้งหลายทำให้มันดูเล็กกว่าที่ควรจะเป็น ผมมองหน้าใบหน้าได้รูปที่ใบพลูทั้งรักทั้งหลงของเจ้าของห้องแล้วหันกลับมาดูสภาพห้องด้วยความอเนจอนาถ ทำไมมันต่างกันได้ขนาดนี้วะ
“ไหน ขอดูใบงานมึงหน่อย”
พี่พรตทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ผมเลยส่งใบงานที่ได้ไปวันนี้ให้ดู และพี่พรตก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งกลับมาให้ผมรับไป
“แลกกัน”
ผมดูรูปสเก็ตช์ที่จะต้องกลายเป็นโมเดลอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ หนึ่งคือผมไม่มีประสบการณ์ ยังตัดโมไม่เป็นด้วยซ้ำ สองคือ ผมไม่ใช่คนคิด สามคือ ผมไม่มั่นใจฝีมือตัวเองเอาเสียเลย
“อย่าคิดมากดิ”
พี่พรตยิ้มให้อย่างใจเย็นแล้วหยิบดินสอ แผ่นรองตัด คัตเตอร์ กาวและกระดาษชานอ้อยมาวางไว้ให้ เขาดึงกระดาษร่างไปจากมือผมแล้ววางไว้ฝั่งหนึ่งของโต๊ะแล้วเอาใบงานของผมวางไว้คู่กัน จากนั้นก็เงยหน้ามองผม
“เห้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวสอนทำโมให้”
“ถ้าออกมาเละก็ช่วยไม่ได้นะ”
ผมลองหยั่งเชิงดู เพราะไม่เคยทำมาก่อนจริงๆ
“เออน่า มีเสร็จทันส่งพรุ่งนี้ก็บุญมากแล้ว”
ทำไมมันฟังดูปลงตกแบบนี้วะ ผมเคยเห็นคำบ่นต่างๆ นานาในเฟซบุคของรุ่นพี่ที่เรียนสถาปัตย์มาหลายครั้งแล้ว พอได้มาเห็นสภาพจริงที่เป็นอยู่ตรงหน้านี้ถึงได้รู้เลยว่าคำบ่นพวกนั้นมันไม่ได้เกินความเป็นจริงเลยสักนิด
“แล้วโทรบอกแม่ยัง”
“บอกทำไมครับ”
...เดี๋ยวนะ ทำไมการมาช่วยงานพี่ต้องโทรบอกแม่ด้วยวะ ปกติกลับดึกนิดหน่อยแม่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร
“กูว่าคืนนี้อีกยาวเลยว่ะ”
พี่พรตพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองผม เอาแต่นั่งง่วนอยู่กับการแก้แบบของตัวเอง เลยไม่ได้เห็นสีหน้าผมที่ชะงักไปนิดนึง แล้วค่อยๆ หยิบมือถือขึ้นมาไลน์บอกแม่
...เอาเหอะ ถือว่าช่วยพี่แล้วกันวะ
“พี่พรต แล้วทำไมงานมันเร่งแบบนี้ล่ะ”
“ก็ทำรับน้องไง”
พี่พรตงึมงำตอบเหมือนติเริ่มไม่อยู่กับตัวแต่ไปลงกับแบบแทน เอาเป็นว่าผมจะสรุปเองแล้วกันว่าพี่ต้องใช้เวลาไปกับการต้องเตรียมกิจกรรมรับน้องทำให้ไม่มีเวลาทำงาน ถ้าเป็นเหตุผลนี้ก็ถูกต้องแล้วล่ะที่ผมควรจะมาช่วยทำงาน
“เอ้า ตัดกระดาษสามคูณสี่เซนออกมาหกชิ้น”
“ครับ”
“เออๆ ใช้ใบดำอันนี้จะได้คมหน่อย ระวังมือด้วย”
ผมกำลังจะหยิบไม้บรรทัดออกมาวัดแล้วตัดตามที่พี่พรตบอก แต่พี่พรตก็ยื่นคัตเตอร์ที่มีใบมีดสีดำมาให้ ซึ่งเป็นใบมีดที่คมกว่าคัตเตอร์ปกติมาก ทำให้กระดาษชานอ้อยที่แข็งกว่ากระดาษทั่วไปไม่ได้ตัดยากเย็นอะไร
ผมนั่งตัดกระดาษไปเรื่อยๆ ตามคำสั่งแต่ละครั้งแล้ววางกระดาษที่ตัดเสร็จแล้วแยกไว้เป็นกองๆ มันก็ไม่ได้เนี้ยบอะไรมากมายแต่ทำนานพอควร
“เฮ้ย นาย...อยากกินไรป่ะ จะไปต้มมาม่า”
ผมละสายตาจากแผ่นรองตัดขึ้นมาพร้อมส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าไม่หิวแต่ที่อยากกว่ากินคืออาบน้ำครับ เหงื่อออกจนตัวเหม็นมากมาตั้งแต่ตากแดดเข้าแถวรอขึ้นห้องเชียร์ ถ้าให้อธิบายชัดกว่านั้นคือ ‘ตัวเมือก’ ครับ
“อยากอาบน้ำมากกว่า”
“เออ งั้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อเอาในตู้เลย กางเกงในใหม่ก็มี”
พี่พรตตอบอบย่างส่งๆ ก่อนจะเดินไปต้มมาม่าที่โซนครัวของห้อง ส่วนผมก็ลุกขึ้นปัดเศษกระดาษออกจากตัวก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่มีสภาพดูดีกว่าห้องนิดหน่อยแล้วเลือกเสื้อกับกางเกงมาอย่างไม่เรื่องมาก ยังไงผมก็คงใส่ไซส์พี่พรตได้อยู่แล้วล่ะ
แต่ระหว่างที่ผมกำลังคุ้ยกางเกงใหม่จากลิ้นชักล่างสุดอยู่นั้น ก็มีเสียงริงโทนมือถือที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ผมเลยรีบเดินไปดูบนโต๊ะเลยได้เห็นว่าโทรศัพท์ของพี่พรตกำลังสั่นอยู่
“พี่พรต! มือถือดัง”
“เออๆๆ รับให้หน่อย”
ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบรับโทรศัพท์ให้ใครเพราะรู้สึกว่าเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากไปหน่อย แต่สำหรับพี่พรตที่ตอบกลัยมาเหมือนไม่คิดอะไรมากแบบนี้ ผมเลยหยิบมือถือเขาขึ้นมาแล้วสไลด์รับสาย
“ฮัลโหล?”
ผมพูดไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่แล้วกลับได้ยินเสียงของผู้หญิงตอบกลับมา
“พรตเหรอ มิวซื้อขนมมาฝากอ่ะ ลงมาหน่อย ตอนนี้รออยู่ข้างล่างหอแล้ว”
-----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณนักอ่านที่ยังคิดถึงกันนะคะ
จริงๆ ไม่อยากจบแค่ตรงนี้เลย 555 แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวมาต่อให้แน่ๆ ค่ะ
ขอบคุณค่า