“ไปหาหมอซะ” มันว่าแล้วโยนเงินมาให้ผมปึกหนึ่ง “กูต้องเข้าบริษัท”
“ครับ..”
ผมลุกขึ้นยืน..ตั้งใจจะเก็บถ้วยข้าวต้มบนโต๊ะไปเก็บ แต่มันกลับเป็นฝ่ายยื่นมือมาดึงถ้วยผมไป..แล้วลุกขึ้นเอาไปแช่พร้อมกับถ้วยของมันเสียเอง
“ขอบคุณครับ..”
“กูต้องไปแล้ว..มึงขึ้นแท็กซี่ไปเองแล้วกัน”
“ครับ..”
ผมรับคำ..ก่อนจะก้มหน้าลงมองดูแขนซ้ายที่กำลังบวมอย่างเห็นได้ชัด หวังว่ากระดูกคงไม่ได้หัก..ผมหวังอย่างนั้น ไม่อยากให้มีอะไรมาถ่วงหรือขวางสิ่งที่อยากจะทำ ผมกำลังจะหนี..หนีไปให้พ้นจากคนอย่างมัน แต่ทุกอย่างมันต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ..ผมต้องวางแผน ต้องคิดให้ดีที่สุด มันจะได้ไม่พลาดเหมือนเดิมอีก..
.
.
“วี..” ผมพึมพำเรียกชื่อคนที่ผมหวังว่าเขาจะช่วยผมได้ “ผมอยากเป็นอิสระ..”
หยิบเงินที่ถูกวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะขึ้นมา..เงินที่มันโยนให้ผมมากจนเกินความพอดี ผมหย่อนมันลงในกระเป๋า..ก่อนจะคิดว่าจะเอามันไปฝากหลังจากหาหมอเสร็จ อะไรที่เก็บได้ก็ต้องเก็บ..เก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น เพราะโลกนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่ผมจะมานั่งหยิ่งในศักดิ์ศรี มันไม่ได้ทำให้ท้องผมอิ่ม..ตรงข้ามกลับทำให้ผมต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ ด้วยซ้ำ
อย่างเช่นเรื่องที่ผมไม่ยอมเอ่ยปากให้ทิวช่วยนั่นก็ด้วย..ทั้งที่หลอกตัวเองว่าผมทำไปเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็แค่ทะนงตัวมากเกินไป อวดเก่งที่คิดว่าตัวเองจะจัดการเรื่องทุกอย่างเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร..
งี่เง่าและไร้สาระสิ้นดี..
.
.
แขนบวม..ก็แค่แขนบวม คงเพราะมันถูกทำร้ายซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า..มันเลยทนไม่ไหว ออกอาการให้ผมต้องรู้สึกตัวว่าควรต้องดูแลมันสักที..
“ทิว..” ผมส่งยิ้มไปให้วี..ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรที่เจอเขาที่นี่ ในเมื่อที่นี่มันคือโรงพยาบาล..และเขาก็คือนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง “ทำไมไม่ตอบข้อความผม..”
“ผมไม่มีเวลา..” เขาตอบข้อความมาเมื่อคืนว่าจะช่วย..ทันทีที่ผมบอกว่าอยากให้ช่วย รู้สึกดีจริงๆ ที่เขาใส่ใจผมแบบนั้น..
“แล้ววันนี้..”
“ไม่อยู่..ต้องเข้าไปช่วยงานพ่อ” ผมบอกก่อนจะหันซ้ายหันขวา..มองหาที่ๆ เหมาะจะคุยกันมากกว่านี้ “ผมไปที่หอวีไม่ได้แล้ว..”
“...”
“มีที่ๆ ปลอดคนมากกว่าที่นี่ไหม” ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ..แค่เห็นใครยกมือถือขึ้นมามอง ผมก็รู้สึกหวาดๆ แล้ว “ผมอยากถามเรื่องที่ขอไว้เมื่อคืน..”
“อาจารย์นัดผมตอนบ่าย..ยังพอมีเวลา” เขาทำท่าคิด “ไปร้านหนังสือหลังมหาลัยไหม..ที่นั่นไม่ค่อยมีคน”
“...”
“อันที่จริงมันไม่มีคนเข้านานแล้วน่ะ..”
ผมพยักหน้า..วีเลยเดินนำไปที่รถ ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคแบบเต็มใบมาให้..พร้อมกับถอดเสื้อกราวน์ของตัวเองมาคลุมให้ผม “ปิดๆ ไว้..เผื่อเจอใคร”
“ขอบคุณนะ..” ผมรีบสวมหมวกกันน็อค..ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปซ้อนท้ายรถเขา
“กอดเอวผมก็ได้..ตัวเล็กๆ แบบทิวคนคงนึกว่าเป็นผู้หญิง..” เขาหันมาบอกยิ้มๆ
“ขำตาย..”
“ฮะๆ”
ผมทุบไหล่เขาไปที..รู้สึกไม่ค่อยชอบใจสิ่งที่เขาพูดเท่าไร วีเป็นคนตลก..แต่บางทีก็เล่นโดยไม่ดูสถานการณ์รอบข้างมากเกินไป “รีบๆ ไปเถอะ..”
“ครับๆ”
ผมก้มหน้าลง..ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีใครมองเห็นหน้าตัวเองด้วยซ้ำ ผมกลัว..ผมไม่แน่ใจ เพราะผมไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีใครแอบมองอยู่..และจะมีใครคิดส่งข่าวเรื่องที่เห็นผมกับวีอยู่ด้วยกันไปให้มันบ้าง
ไม่รู้และไม่กล้าทำตัวสบายๆ เลยแม้แต่นิดเดียว..
.
.
วีพาผมมาที่ร้านหนังสือที่เขาว่า..ประตูและกรอบหน้าต่างไม้เก่าๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แปลกใจที่ร้านเก่าๆ แบบนี้มาตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างทันสมัยของเราแบบนี้ และยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น..เมื่อคิดว่าตัวผมเองกลับไม่เคยมองเห็นการมีอยู่ของมันเลย
“ร้านนี้สวยจัง..”
“ใช่ไหม..ผมมาบ่อยมากเลยตอนอยู่ปีหนึ่ง” เขาอมยิ้มมองมัน “แต่หลังๆ เรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลา..”
“...”
“เข้าไปกันเถอะ..”
ผมเดินตามเขาเข้ามาในร้าน..เห็นลุงเจ้าของร้านเหลือบมองมาที่พวกเรานิดหน่อย ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือหน้าปกซีดๆ ในมือต่อ วีหันมามอง..แล้วยิ้มให้ผมเหมือนจะบอกให้ชินกับท่าทางไม่เป็นมิตรนั่น เท่านั้นผมก็พอเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ร้านนี้แทบจะไม่มีลูกค้าแบบนี้ขึ้นมาเลย..
“บอกแล้วว่าที่นี่ปลอดภัย..” เขาดันหลังผมให้เดินขึ้นบันได “ไปคุยกันข้างบนดีกว่า..”
“อืม..”
ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง..เขาก็จูงมือผมไปที่ชั้นหนังสือริมสุด ก่อนจะนั่งลงในซอกชั้นหนังสือนั่น..ไม่ลืมที่จะตบมือลงเบาๆ ที่พื้นข้างตัวเขา “นั่งสิ..”
“อืม..” รับคำ..แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา “ขอบคุณนะ..”
“ผมเต็มใจ..” วีว่าแล้วหยิบหนังสือเก่าๆ ตรงหน้าขึ้นมาเปิดเล่น “คิดว่าจะไม่มีวันนี้ซะอีก..”
“...”
“วันที่ทิวเอ่ยปากขอให้ผมช่วย..”
“หึ..” ผมหัวเราะในลำคอ “ได้ยินแล้วรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเลย..”
เขายกยิ้ม..ก่อนจะยื่นมือขึ้นมาลูบแก้มผมเบาๆ “เจ็บมากไหม..”
“ชินแล้ว..” ตอบแล้วหลับตาลง..ปล่อยให้เขาลูบรอยช้ำข้างริมฝีปากนั่น “เจ็บจนลืมว่าความเจ็บเป็นยังไง..”
“...”
“มันเหมือนเป็นเรื่องปกติในชีวิต..”
“ทิว..”
“ช่างมันเถอะ..” ผมบอก..รู้สึกไม่อยากคุยเรื่องนี้ขึ้นมา “ผมอยากถามอะไรวีมากกว่า..”
“หืม..”
“ทำไมถึงใจดีกับผม..” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงถามคำถามนี้กับเขา..อาจจะเพราะผมแค่อยากมั่นใจ..มั่นใจกับท่าทีที่เขาแสดงออกมา
“หึๆ” เขาหัวเราะ “ไม่รู้สิ..ผมแค่รู้สึกว่าอยากทำ..”
“กับคนที่ไม่เคยรู้จักแบบผมเนี้ยนะ..”
“อืม..” เขาดึงมือผมไปกุมเอาไว้ที่ตัก “แค่รู้สึกว่าอยากทำ..รู้สึกว่าปล่อยผ่านไปไม่ได้..”
“ทำไม..”
“อย่าถามในสิ่งที่ตัวเองก็รู้คำตอบเลยทิว..”
ผมพยักหน้า..รู้สึกอิ่มๆ ในใจจนเผลอยิ้ม “ถ้างั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..วีก็จะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม..”
“แน่นอนอยู่แล้ว..” เขายิ้มแล้วลูบหัวผมอีกครั้ง..เหมือนต้องการปลอบ “อย่าถามอะไรแบบนี้อีกนะ..”
ผมหลับตาลงเพราะสัมผัสนั่น..ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “งั้นผมก็คงต้องถามว่า..ถ้าแบบนั้นทำไมไม่ช่วยผมตั้งแต่แรก ทำไมต้องรอให้ผมร้องขอ..”
“เพราะผมเห็นความผูกพันบางอย่างระหว่างทิวกับเขาน่ะสิ..”
“...”
“ไม่รู้หรือไง..ว่านอกจากแววตากับท่าทีเกลียดชังที่หมอนั่นแสดงออกมา” เขาหันมาสบตาผม “มันมีความรู้สึกบางอย่าง..”
“...”
“เกลียดแต่ก็เหมือนไม่เกลียด..”
“...”
“บางทีผมยังคิดว่าสายตาของเขามีแต่ความหวาดกลัว..มากกว่าคนที่ถูกทำร้ายแบบทิวด้วยซ้ำ..”
“ผม..ไม่เข้าใจ..”
“ผมก็ไม่เข้าใจ..”
“...”
“เพราะงั้นอย่าไปสนใจมันเลย..เอาเวลามาคิดว่าจะออกมาจากที่นั่นยังไงดีกว่า”
ผมพยักหน้า..เห็นด้วยกับทุกอย่างที่เขาพูดแบบง่ายๆ เพราะผมเชื่อความรู้สึกของตัวเอง..เชื่อมั่นในแววตาของเขา ทุกๆ คำพูด..ทุกๆ การกระทำที่ผ่านมาของเขา มันทำให้ผมกล้าเชื่อแบบนี้..
สายตาของคนเราไม่เคยโกหก..รอยยิ้มนั่นก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าสายตาและรอยยิ้มนั่นมันมาจากคนที่ผมรู้สึกว่าตัวเอง ‘รัก’ มันยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น..
“ขอบคุณนะวี..”
“ขอบคุณจริงๆ”
Ma-NuD_LaW
คาดว่าหลังจากอ่านตอนนี้..จะมีคนสงสัยวีมากขึ้นเป็นเท่าตัว
อย่าสงสัยเลย..วีเป็นคนดีนะ (ที่ผ่านมาก็เห็นแล้ว..)
อีกอย่าง..ทิวรักวีนะ นายเอกจะรักคนเลวได้ยังไงล่ะเนอะ