ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าไป่เต๋าไม่ได้โรคจิตหรือวิปริตใจร้ายพอจะปล่อยให้ผมอดข้าวอดน้ำตาย ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่ร้องตะโกนขอให้คนช่วยเหลือ จะร้องไปทำเพื่ออะไรในเมื่อไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ดีไม่ดีถ้าผมร้องออกมาแล้วอีกฝ่ายอาจจะตัดลิ้นผมทิ้งไปก็ได้ ดังนั้นจึงยอมอยู่เฉยรอให้คนมาช่วยเสียดีกว่า แต่ไป่เต๋าไม่ได้อยู่เฝ้าผมอีก กลับให้ลูกน้องของตัวเองเป็นคนเฝ้า แน่นอนว่าคนเฝ้าดูเงียบขรึมจ้องมองมาที่ผมราวกับกลัวจะหนีได้ทุกเมื่อ
ไอ้บ้า โดนมัดด้วยโซ่เส้นใหญ่ขนาดนี้คงจะหนีไปได้หรอกนะ!คิดแล้วสมเพชตัวเองที่มีโชคชะตาที่แสนจะเลวร้าย ชาติก่อนก็พลาดรัก ชาตินี้ก็ต้องมาตกระกำลำบากยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ แถมยังไม่ได้พบรักที่ตัวเองสมหวัง แบบนี้หรือที่พระเจ้าบอกว่าผมทำดีแล้วจะให้พรหนึ่งประการ ให้คำสาปชั่วร้ายซะมากกว่าถึงจะถูก แต่ดูท่าเวลาจะนานเหลือเกิน เกินที่จะมีใครมาช่วยผมให้ออกไปจากที่นี่ได้ ดังนั้นผมจึงคิดหาทางที่จะออกไปจากที่นี่ แต่ติดตรงที่คนเฝ้าไม่ยอมขยับไปไหน ห้องน้ำก็ไม่เข้า ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน ก็เลยทำให้ผมต้องหาวิธีอื่นแทน
“นี่นายน่ะเป็นนักฆ่าของตระกูลเต่าใช่ไหม” ดีนะที่ไป่เต๋าไม่ได้มัดปากผมเหมือนตอนแรก ก็เลยทำให้ผมสามารถพูดได้ดังใจคิด ส่วนคนเฝ้าไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยซักนิด แต่ตายังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนเดิม “ทำไมถึงมารับใช้คนตระกูลเต่าล่ะ รู้ก็รู้อยู่ว่าเจ้านายของตระกูลนี้เป็นคนยังไง อ้อลืมไป ถ้าเปรียบกับนักฆ่าแล้วก็คงไม่ต่างกัน เพราะยังไงก็เป็นพวกประเภทโรคจิตกับวิปริตเหมือนกันอยู่แล้วนี่นะ”
ร่างสูงเพรียวที่จ้องผมมีสะดุ้งไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยซักคำเดียว
คนตระกูลเต่านี่ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ชอบใส่หน้ากากกันทั้งนั้นเลยให้ตายสิเนื่องจากชาติก่อนผมเคยพบปะกับผู้นำตระกูลเต่ารุ่นที่สองมาก่อน เพราะรายนั้นก็ชื่นชอบใส่หน้ากากอยู่เหมือนกัน หากแต่หน้ากากที่ผู้นำรุ่นที่สองสวมใส่ไม่ได้ปิดบังใบหน้าจนหมดเหมือนไป่เต๋าก็เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องสีของหน้ากากแต่ละคนนั้นผมไม่ขอคาดเดา เพราะแต่ละคนใช้สีไม่เหมือนกัน แต่กับหน้ากากนักฆ่าคนนี้ทำเอาผมได้แต่ส่ายหน้าหนีด้วยความเอือม
สีขาวหรือสีดำยังพอว่าแต่ดันเป็นสีม่วงซะได้นี่!“ว่าแต่ทำไมนายถึงได้…” ผมพูดยังไม่ทันจบ มีดสั้นก็ได้พุ่งออกมาเฉียดแก้มจนเรียกเลือดซิบๆ
“หุบปาก”
หึๆ ฉันจะยอมทำตามที่แกสั่งก่อนก็ได้ แต่อย่าให้แกมาอยู่ในกำมือฉันบ้างก็แล้วกันไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนแต่พอมารู้สึกตัวอีกที ร่างกายผมกลับเบาเหมือนนุ่น ครั้นลืมตาขึ้นมองก็พบว่าตัวเองกำลังห้อยหัวอยู่บนแผ่นหลังใครบางคน โดยที่ข้อมือทั้งสองข้างของผมไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยโซ่อีกต่อไปแล้ว
ปัง! ปัง! ปัง!เสียงปืนดังขึ้นสามครั้งทำเอาผมถึงกับตาสว่างทันที ครั้นอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เสียงของผมถูกกลบด้วยเสียงปืนกับเสียงคนตะโกนแข่งใส่กันจนฟังไม่รู้เรื่องซักคำเดียว แน่นอนว่าตัวผมสั่นไปตามแรงการเคลื่อนไหวของร่างหนาที่อุ้มผมพาดบ่าไว้ด้วย
ใครมาช่วยเรา?จนกระทั่งร่างหนาพามาหยุดวิ่งยังจุดหนึ่ง ก่อนจะวางร่างของผมลงบนเรือ ซึ่งนั่นทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของคนที่อุ้มผมมา ทว่าความมืดมิดกลับทำให้ผมเห็นแต่เค้าโครงร่างของอีกฝ่ายได้เพียงอย่างเดียว
“ไม่เป็นไรแล้ววีร์ เธอปลอดภัยแล้ว” เสียงนั้นพูดกับผมท่ามกลางเสียงปืนที่ยิงกันดังสนั่นรัว “ตอนนี้ก็นอนซ่อนตัวรออยู่ที่นี่ไปก่อนนะ อีกเดี๋ยวก็จบ แล้วเราจะได้กลับบ้านพร้อมกัน”
“เดี๋ยวครับ ผมไปด้วย…” ผมลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะบอกอีกฝ่ายว่า ผมเองก็สามารถต่อสู้ได้เหมือนกัน แต่ยังไม่ทันได้พูดครบประโยคดี ผมก็รู้สึกถึงความนุ่มนวลอบอุ่นประกบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
!!!!!!
“อย่าไปเลย อยู่ซ่อนตัวที่นี่ไปก่อนเถอะเด็กดี เชื่อฉันสิ” แล้วอีกฝ่ายก็วิ่งลงไปจากเรือ ทิ้งให้ผมนั่งนิ่งอึ้งอยู่บนเรือท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้แสงไฟจากดวงดาว
.........................
ทีแรกผมนึกว่าตัวเองซ่อนอยู่บนเรือตามคำสั่งของคนนั้นบอกแล้วจะปลอดภัย แต่ที่ไหนได้กลับไม่ปลอดภัยครับ เพราะผมดันเห็นไอ้นักฆ่าที่สวมหน้ากากสีม่วงวิ่งถือปืนมาแถวเรือที่ผมซ่อนตัวอยู่ (โชคดีที่ผมปรับสายตากับความมืดได้แล้ว จึงทำให้มองบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน)
ฉิบหาย ไปไหนไม่ไป ดันเสือกมาตรงนี้อีก!ผมไม่ได้กลัวมันหรอกนะครับแต่ไม่อยากโดนจับตัวอีก จึงนอนเฉยๆรอให้อีกฝ่ายไป แทนที่มันจะวิ่งผ่านเลยไป แต่กลับวิ่งขึ้นเรือที่ผมซ่อนตัวอยู่ ทันทีที่มันขึ้นเรือ ผมก็สกัดมันด้วยเท้าของผมเอง ทำเอาร่างสูงเพรียวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับล้มหน้าทิ่ม ผมได้จังหวะนั้นรีบใช้หัวเข่ากดแผ่นหลังของมัน ก่อนจะคว้าปืนที่อีกฝ่ายทำตกพื้นนั้นผมก็ถือขึ้นมาจ่อหัวของมันทันที
แกรก!“บอกมา ใครเป็นคนบุกเข้ามาช่วยฉัน” ผมถามเสียงเย็นก่อนจะกดกระบอกปืนลงบนหัวให้แรงขึ้นกว่าเดิม แต่แทนที่อีกฝ่ายจะตอบคำถาม กลับหัวเราะในลำคอ ผมเห็นดังนั้นจึงใช้ปืนทุบหัวมันไปแรงๆที ซึ่งทำให้หัวของนักฆ่าถึงกับเลือดออกทันที “ว่ายังไงล่ะ จะตอบหรือไม่ตอบ”
“หึ เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย ก่อนจะถามหัดดูให้ดีเสียก่อนว่ากำลังถามใครอยู่น่ะ”
!!!!!!
เวรล่ะเสียงนี่มันไป่เต๋าชัดๆ!คงเป็นเพราะความมืด ก็เลยทำให้ผมแยกสีหน้ากากไม่ออก
“จะว่าไปเธอเองก็มีฝีมือใช่ย่อย สามารถกลบจิตของตัวเองกับกดฉันให้ล้มลงอยู่อย่างนี้ได้” อีกฝ่ายพูดเอ่ยปากชมผมพร้อมกับหัวเราะในลำคอ “แต่ก็มาได้เท่านี้แหละเด็กน้อยเอ๋ย”
ขวับ!พริบตาเดียวผมก็กลับไปอยู่ใต้ร่างของมันในขณะที่ปืนถูกแย่งไปจากมืออย่างรวดเร็ว
เวรล่ะ ลืมไปว่าแรงเด็กกับแรงผู้ใหญ่มันต่างกัน?!ครั้นจะขยับตัวก็ทำไม่ได้ครับ เพราะถูกมือหนากดไหล่เอาไว้ไม่ให้ขยับ ก็เลยทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของผมถูกกดจูบกับพื้นเรืออย่างที่เห็น ส่วนมือของผมไม่ต้องพูดถึง ถูกมันจับไพล่หลังข้างหนึ่งในขณะอีกข้างโดนขาของมันหนีบเอาไว้
“เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย เจ้าช่างด้อยการศึกษา”
หึ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่ด้อยการศึกษา!ผมหมั่นไส้ก็เลยใช้ท่าลับใส่มันซะ
จึ่ก!“เธอจี้จุดอะไรเธอเด็กน้อย” อีกฝ่ายถามกลับด้วยความสงสัย
“แล้วแกรู้สึกยังไงล่ะ” ผมถามกลับแบบกวนตีนพลางเหลือบมองร่างสูง ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้มีสีหน้าเป็นเช่นไร เพราะอีกฝ่ายเล่นสวมหน้ากากเอาไว้ รู้แต่เพียงว่าเหงื่อนั่นได้ย้อยลงคางหยดลงบนแผ่นหลังของผมราวกับก๊อกน้ำรั่ว “ถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะก็ ระวังจะไม่ทันเอาได้นะ”
พอผมพูดจบ อีกฝ่ายก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระก่อนจะกระโดดลงจากเรือ แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในความมืดมิดโดยไม่หันกลับมาบอกลาผมเลยซักคำเดียว
“ไม่นึกเลยว่าดรรชนีเป็นตายจะได้กลับมาใช้อีกครั้ง หวิดเกือบโดนลักพาตัวรอบสองแล้วเรา” ผมพูดพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะท่าดรรชนีเป็นตายนี้เป็นท่าที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ฉะนั้นมันจึงเป็นท่าที่ผมกับวินเท่านั้นที่ใช้เป็น “ว่าแต่แถวนี้จะมีห้องน้ำให้ไป่เต๋าหรือเปล่านะ หึๆ”
แกรกเสียงวัตถุเหล็กตกดังกับพื้น ทำเอาผมหันหลังไปมองทันทีก่อนจะเห็นใครบางคนยืนอยู่ใกล้ๆ ทีแรกผมทำท่าจะตวัดเท้าก้านคอใส่ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นใคร
“ขอโทษครับผมนึกว่าเป็นพวกคนร้ายซะอีก” ผมพูดขอโทษก่อนจะวางเท้าลง “ว่าแต่คุณวินมาตอนไหน ทำไมผมไม่ได้ยิน...”
“ท่าที่เธอใช้กับไป่เต๋าเมื่อครู่นี้มันคือท่าอะไรงั้นหรือวีร์?” อีกฝ่ายถามแทรกทันที
“อ้อ ท่าดรรชนีเป็นตายครับ” ผมยิ้มตอบกลับไป “มันเป็นท่าที่ผมสามารถใช้ในสถานการณ์จำเป็นที่ชี้เป็นชี้ตายได้เลย ก็อย่างที่เห็นเมื่อครู่นี้ผมได้จี้จุดจู๊ดๆกับเขาไป คิดว่าป่านนี้ไป่เต๋าคงได้แต่วิ่งหาสุขาอยู่หนใดแล้วล่ะครับ ฮะๆ”
ผมหัวเราะอย่างขำๆ แต่ทว่าวินกลับไม่หัวเราะขำไปกับผมด้วย
“ท่าดรรชนีเป็นตายเป็นท่าไม้ตายลับของตระกูลสิงห์ ไม่เคยเผยแพร่ให้คนนอก แถมคนที่รู้ท่านี้ได้จะมีแต่ฉันกับพ่อของฉันเท่านั้น” คำพูดของวินทำเอาผมถึงกับอ้าปากค้าง “แต่เธอกลับรู้จักวิชานี้ และยังใช้คล่องราวกับรู้จักมันดี”
!!!!!!
“อาจฟังดูงี่เง่า เธอน่ะ คือพ่อของฉันที่กลับชาติมาเกิดหรอกใช่ไหม”
!!!!!!
...............................
