วันที่ 9 “โห.....แม่ ทำไมวันนี้แต่งตัวสวยจังเลยครับ”
เด็กหนุ่มสะดุดตากับโฉมใหม่ของแม่ที่แปลกตาออกไปในวันนี้ ปกติแล้วแม่ของเขาเป็นคนสวย แม้จะอายุเข้าเลขสี่มาหลายปีแล้วก็ตาม ทว่าความลำบากจากภาระหน้าที่การงานและไอ้เหี้ยชด ทำให้แม่ของเขาดูโทรมกว่าวัยในชุดซอมซ่อ หล่อนยกยิ้มให้ลูกชาย ริมฝีปากนั้นแดงสด ดูเข้ากันดีกับชุดกระโปรงลูกไม้สีดำและผมทรงเกล้ามวยต่ำถักเปียคาดทั้งสองข้าง
“จ้ะ....นาน ๆ ทีแม่ก็อยากจะแต่งตัวบ้างน่ะ วันนี้แม่ทำแกงจืดเต้าหู้ให้ทานนะจ๊ะ เห็นลูกกล้าเหมือนจะเป็นไข้ ทานอะไรร้อน ๆจะได้ดีขึ้น”
“กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย ขอบคุณนะครับ”
“จ้ะ....ทานเยอะ ๆนะ แม่น่ะ.....อยากจะทำอาหารให้ลูกทานแบบนี้ไปตลอดเลย....รู้มั้ยคนเก่ง”
“ถ้าอย่างนั้น ผมว่าแม่เลิกทำงานพิเศษแล้วพักผ่อนอยู่กับบ้านดีกว่านะ ทำงานเจ็ดวันแบบนี้มันเหนื่อยเกินไป ผมไม่อยากเห็นแม่เหนื่อย โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“หนูแค่ตั้งใจเรียนก็พอแล้ว เดี๋ยวพอมีงานทำแล้วค่อยเลี้ยงแม่ก็ได้ อู้ว.....กว่าจะถึงตอนนั้นแม่คงจะห้าสิบแล้วล่ะ แก่แย่เลย....หึหึ”
“แม่ดูอารมณ์ดีจังเลยนะครับ มีเรื่องอะไรเล่าให้ผมฟังไหม”
“ตอนนี้ยังจ้ะ.....ส่วนเรื่องงานพิเศษ รอให้อะไรเข้าที่กว่านี้แล้วแม่ค่อยเลิกทำ จะได้มีเวลาดูแลตัวเองบ้าง ดีไหมจ้ะ.....ยังไงบ้านเราก็ไม่ได้มีภาระหนี้สินอะไร....”
ใช่.....เด็กหนุ่มแอบคิดในใจอย่างเห็นด้วย ไม่มีหนี้สิน ไม่มีปลิงอย่างไอ้เหี้ยชด ลำพังเงินเดือนของแม่กับเงินเก็บ รวมถึงมรดกของพ่อที่ทิ้งเอาไว้(ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากนัก) คงพอเลี้ยงดูพวกเขาไปได้อย่างสบายอีกหลายปีทีเดียว
“แม่ไปก่อนนะ....กลางวันนี้อย่าลืมทานข้าวด้วยนะจ๊ะ แล้วก็อย่านอนให้มันเยอะนัก เสียสุขภาพหมด แล้วเดี๋ยวเย็นนี้แม่จะกลับมาทำอะไรให้ทาน”
“ครับแม่”
เธอลูบหัวลูกชายอย่างรักใคร่
'รออีกนิดนะคนเก่ง ขอให้แม่แน่ใจว่ามันจะไม่กลับมาแล้วจริง ๆ' หล่อนคิด หลายวันมานี่หล่อนเอาแต่ประสาทเสีย เพราะมัวแต่ระแวงว่าลูกชายจะก่อเรื่อง จนลืมนึกถึงเรื่องที่ดีกว่านั้น ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่ถ้าไอ้ชดจะไม่กลับมาอีกแล้ว หล่อนถือว่าพระเจ้ายังมีความกรุณาแก่หล่อนและลูกอยู่ นี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ตอบแทนในความอดทนมาเป็นเวลาหลายปีของหล่อน แต่กระนั้น ถึงแม้ว่ามันจะกลับมา หล่อนนี่แหละที่จะฆ่ามัน ให้มันชดใช้ในสิ่งที่ทำกับต้นกล้า....
นี่ต่างหากเล่า สิ่งที่คนเป็นแม่ควรคิด หล่อนควรจะปกป้องลูกของหล่อนได้แล้ว
ไม่ว่าลูกชายของหล่อนจะเกี่ยวข้องหรือไม่
...........................................................................
“นี่เธอน่ะ.....มานี่เดี๋ยวสิ”
ต้นกล้าหยุดชะงักตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย น้ากะเทยที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ชื่อของหล่อนเอ่ยเรียกเขา ขณะที่เขานั้นกำลังหอบข้าวของจะไปหาไอ้โจ๊ก ซึ่งต้องเดินผ่านหน้าบ้านของหล่อนเหมือนอย่างเคย
“คุณน้ามีอะไรกับผมเหรอครับ”
“ต้องมีสิ”
“เอ่อ...คือว่าผม”
“รีบงั้นหรือ? แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เข้ามาข้างในก่อนสิ”
ต้นกล้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงปั้นสีหน้าให้ดูเป็นปกติมากที่สุด เขาเดินตามหล่อนเข้าไปในบ้านที่ดูทึมทึบหลังนั้น กลิ่นเทียนหอมที่จุดนั้นแรงเสียจนรู้สึกเวียนหัว หล่อนนี่ไม่รู้จักเปิดหน้าต่างระบายอากาศบ้างหรือยังไงกันนะ เด็กหนุ่มคิด
“นั่งสิ”
“ครับ”
“เอ้า....เอาไป....ชั้นอยากให้เธอดู”
กะเทยประหลาดส่งหนังสือพิมพ์ให้เขา ดูจากสภาพแล้วคงไม่ต่ำกว่าสิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆเมื่อเขาเหลือบไปเห็นปี พ.ศ. ที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ตีพิมพ์ มันเกินกว่ายี่สิบปีเสียอีก....
“ฆ่าโหดยี่สิบสามศพ เหยื่อเป็นครูและนักเรียน คนร้ายอ้างว่าเป็นฝีมือของปิศาจ......คุณน้าครับ....???”
“ใช่....ตามนั้นแหละ เรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนร่วมชั้นรุมรังแกจนเสียสติ เด็กคนนั้นก็เลยลงมือสังหารเหยื่อทีละคน และนำศพเพื่อน ๆมาฝังเอาไว้ทีบ้าน รวมถึงพวกครูบางคนด้วย”
“แล้วคุณน้าเก็บข่าวนี้เอาไว้ทำไมกันล่ะครับ”
“เพราะว่าตัวชั้นก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยน่ะสิ.....”
“แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นเค้า...”
“เรื่องนั้นเธออย่ารู้เลย แต่เธอจงจำเอาไว้เถอะ ว่าปิศาจน่ะมีจริง ๆ แล้วมันอยู่ในนี้” หล่อนจ้องหน้าเขาขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นิ้วมือของหล่อนนั้นกำลังชี้ไปที่ศีรษะของหล่อนเอง
“ถ้าเป็นชั้น ชั้นจะฆ่ามันก่อนที่มันจะช่วงชิงตัวตนของตัวชั้นไป....ถ้าเธอปล่อยให้มันฆ่าตัวตนของเธอได้ เมื่อถึงตอนนั้น เธอจะไม่เหลืออะไร แม้แต่คนที่รักเธอมากที่สุด”
“ผมว่าเด็กคนนั้นคงจะเสียสติมากกว่านะครับ น่าสงสารเหลือเกิน”
“เธอจำคำพูดของชั้นเอาไว้เถอะพ่อหนุ่ม ชั้นผ่านมันมาแล้ว เชื่อเถอะว่ามันไม่สนุกเลย ปิศาจน่ะมีอยู่จริง ๆ”
“แล้วทำไมไม่คิดบ้างล่ะครับ ว่าการต้องตกเป็นเหยื่อของสังคมมันก็ไม่สนุกเหมือนกัน ไม่มีใครอยากฆ่าคนหรอกครับ เว้นเสียแต่จะเป็นโรคจิต แต่เพราะเด็กคนนั้นอาจจะหมดทางเลือกแล้วจริง ๆก็ได้ คุณน้าว่าจริงไหมครับ”
“มันก็จริง....แต่”
“ปิศาจไม่มีจริงหรอกครับ แต่คนที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นต่างหาก ที่อาจจะต้องตาย คุณน้าเองก็เคยบอกผมใช่ไหมล่ะครับ”
“ใช่....ความลับใคร...ความลับมัน ถ้าไม่ขี้สงสัย ก็จะมีชีวิตอยู่ได้นาน.....เอาล่ะ เธอรีบไปทำธุระของเธอเสียเถอะไป๊”
“ผมขอโทษที่พูดไม่ดี.....ผมแค่....”
“ชั้นไม่โกรธเธอหรอกนะ....เพราะชั้นเองก็มีความลับเหมือนกัน ชั้นแค่เห็นเธอแล้วนึกถึง......ช่างเถอะ ไปได้แล้วไป”
"สวัสดีครับ" ต้นกล้ายกมือขึ้นไหว้หล่อนก่อนจะเดินออกไป
ความลับใครความลับมัน.....
ใช่แล้ว....
ถ้าคิดจะเก็บความลับ ต้องระวังตัวขึ้นเป็นสองเท่า
หล่อนเป็นคนสอนเขาเอง ตอนที่กำลังลงรองพื้นให้เขา เด็กคนนั้นพอแต่งเป็นผู้หญิงแล้วสวยมากจริง ๆ มากยิ่งกว่าหล่อนตอนยังเด็กเสียอีก
หล่อนไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร
แต่เพราะเด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาวุ่นวายกับหล่อนก่อน ต้นกล้าทำให้หล่อนนึกถึงตัวเองในสมัยก่อนขึ้นมาอีกครั้ง
กับเรื่องที่หล่อนคิดว่าลืมมันไปได้หมดแล้ว
.......................................................................
“กิ๊กิ๊กิ๊....กล้า......เย่เย้”
“แหมไอ้ห่า รู้จักไชโยโห่ฮิ้วนะมึง”
เจ้าสัตว์ประหลาดอวดเด็กหนุ่มให้ดูผลงานของมัน รูปวาดที่มันวาดให้เขา กับรูปที่เขาวาดให้มันถูกติดคู่กันบนผนังด้วยของเหลวหนืด ๆจากศพของไอ้ปุ่น ที่ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่กระดูก....บ้าน่ะ กินเข้าไปได้ยังไงกัน เจ้าสัตว์ประหลาด!!!
“นี่มึงแดกกระดูกเข้าไปด้วยเหรอวะ......”
“กล้าดู....กล้าดู....โจ๊ก.....กับกล้า.....ตรงนั้น”
“เออ....กูเห็นแล้ว มึงเก่งมากโจ๊ก”
“ตามโจ๊กมา.....ตามมา”
เด็กหนุ่มเดินตามไอ้สัตว์ประหลาดที่ตอนนี้สูงจนเกือบจะเท่าเอวของเขา ทั้งที่เมื่อแปดวันก่อน ไอ้โจ๊กยังเป็นแค่ก้อนเนื้อที่ไม่มีกระทั่งขา มันลากเขาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ ไปยังห้อง ๆหนึ่ง ที่ซึ่งมีซากของไอ้ปุ่นและ
'คนอื่นๆ' อยู่ในนั้นด้วย
“อาหาร....โจ๊กหาเอง....กิ๊.....โจ๊กเก่ง....กล้า.....”
“ตายแล้ว....นั่นมัน....ไอ้โจ๊ก”
“กล้า....โจ๊กเก่ง....กล้ารักโจ๊ก.....รักโจ๊ก”
ในห้องนั้นมีเด็กวัยรุ่นสองคนนอนตายอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยอง ผู้ชายหนึ่งและผู้หญิงหนึ่ง น่าจะเป็นพวกเด็กวัยรุ่นที่ชอบเล่นแผลง ๆ ไม่ก็เป็นพวกคู่รักที่แอบมามีอะไรกันในตึกร้าง แทนที่จะเป็นโรงแรมม่านรูด ก็เลยต้องเสียชีวิตแทนที่จะเสียเงิน เด็กหนุ่มทั้งโกรธและกลัวขึ้นมาจับใจ ต้นกล้าสะบัดมือน่าเกลียดของไอ้โจ๊กที่กำลังจับมือของเขาอยู่ออกไป และตวาดใส่มันเสียงดังอย่างลืมตัว
“ไอ้โจ๊ก!!! หยุดเขย่าแขนกูได้แล้ว”“กิ๊”
“นี่มึงทำอะไร กูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้มึงอดทน ให้กินเฉพาะของที่กูหามาให้”
“กล้าไม่ให้กินแมว.....กับแม่......สองคนนี้....ไม่ใช่”
มันจ้องหน้าเขาอย่างสงสัย ดวงตาของมันในตอนนี้ดูใสซื่อเหมือนเด็กที่ไม่รู้ตัวว่าทำผิดอะไร ต้นกล้าเหลือบมองไปที่ศพทั้งสองอีกครั้ง สภาพศพเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ ที่ลำคอและที่ท้อง เด็กผู้หญิงนั้นยังมีกางเกงชั้นในพันเกี่ยวอยู่ตรงข้อเท้า ดวงตาเหลือกค้างด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต ดูเหมือนว่าไอ้โจ๊กจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้เขาเสียแล้ว เด็กหนุ่มหันไปเผชิญหน้ากับมัน แล้วผลักมันจนล้มกลิ้งลงไปกับพื้น
“กิ๊.....เจ็บ.....เจ็บ.....”
"ทำไมวะ มึงทำแบบนี้ทำไม มึงก็รู้ว่ากูไม่มีวันปล่อยให้มึงอด ถึงจะหาคนมาไม่ได้ แต่กูก็หาอย่างอื่นมาให้มึง...."
"โจ๊กต้องทำ....ต้องทำ....กิ๊"
“กูบอกมึงแล้ว แต่มึงก็ยังทำ ก็ดีในเมื่อมึงไม่ฟังกูแล้ว ต่อไปนี้กูก็จะไม่มาหามึงอีก เก่งแล้วนี่ หาอาหารกินเองได้แล้ว ไม่ต้องพึ่งกูอีกแล้ว”
“โจ๊กรักกล้า....รัก....รัก”
“หยุดพูดแบบนั้นเสียที สัตว์ประหลาดอย่างมึงน่ะหรือจะรักใครได้ ที่มึงรู้ก็แค่เรื่องแดกเท่านั้นแหละ อีกหน่อยถ้ามึงหิวแล้วกูหาอาหารให้มึงไม่ได้ มึงก็จะกินกูด้วยใช่ไหม ใช่ไหม” ต้นกล้าจับตัวมันเขย่าอย่างบ้าคลั่ง ผลักมันจนหงายหลังล้มลงไปอีกครั้ง ไอ้โจ๊กพยายามจะลุกขึ้นอย่างลำบาก เป็นเพราะหัวของมันยังมีขนาดโตเกินไปจนทำให้เสียสมดุล
“กิ๊”
อยู่ ๆไอ้โจ๊กก็ร้องไห้ เด็กหนุ่มตกใจเป็นอย่างมาก ๆ เมื่ออยู่ๆก็มีน้ำไหลออกมาจากดวงตาสีเข้มคู่นั้น ในตอนแรกเขาคิดว่าร่างกายของมันผิดปกติ และขับบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่ใช่ มันจ้องหน้าเขา สีหน้าของมันดูปวดร้าวเหลือเกินอย่างเห็นได้ชัด เสียงสะอื้นนั้นแม้จะฟังดูน่ากลัว แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังร้องไห้ สัตว์ประหลาดตัวนี้ยังเป็นเด็กอยู่ หากเทียบกับมนุษย์....
“สองคน....กิ๊.....สองคนนี้เห็นอาหาร.....โจ๊ก...รักกล้า....รักกล้า.....ไม่กิน....ไม่กิน”
ต้นกล้าตั้งสติแล้วมองไปยังศพทั้งสามอีกครั้ง ไอ้ปุ่นเองก็ยังมีเนื้อติดร่างกายอยู่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ไอ้โจ๊กนั้นจะหิวกระหายจนต้องออกล่าเหยื่อด้วยตัวเอง มันก็แค่ฆ่าคนเพื่อปกปิดความลับให้เขา ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก ทำไมสัตว์ประหลาดอย่างมันถึงคิดได้ขนาดนี้ นับวันไอ้โจ๊กยิ่งฉลาด ทั้งสติปัญญาและอารมณ์ความรู้สึก เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกผิดที่ตะคอกใส่มัน
“โจ๊ก.....ไอ้โจ๊ก”
“ฮึก....กิ๊.....ฮึก...ฮึก”
“กูขอโทษนะ.....กูไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกมึง กูแค่โมโหเพราะคิดว่ามึงขัดคำสั่งกู ทั้ง ๆที่มันเป็นความผิดของกูเอง กูเป็นคนพามึงมาที่นี่เพราะคิดว่าคงจะไม่มีใครเห็น”
“โจ๊กรักกล้านะ.....กล้าอย่าทิ้งโจ๊กนะ.....โจ๊กไม่กินกล้า.....ไม่กิน”
“หยุดร้องได้แล้ว ปกติก็น่ากลัว ยิ่งร้องยิ่งทุเรศนะรู้ไหม”
“กล้า.....ทุเรศ”
“ห่าเอ้ย”
ไอ้โจ๊กแสยะยิ้ม แล้วชี้ไปที่หน้าของเขา นานทีเดียวกว่าเด็กหนุ่มจะรู้สึกตัวว่าน้ำตาของเขาก็ไหลเหมือนกัน นี่เขาคงจะเสียสติไปแล้วใช่ไหม ที่เผลอร้องไห้ไปกับตัวประหลาดอย่างไอ้โจ๊ก เขาต้องยอมรับว่าทำใจแข็งไม่ได้จริง ๆ เมื่อได้เห็นน้ำตาของมัน กับแววตาตัดพ้อคู่นั้น
“เออ....หยุดร้อง ดีแล้ว มึงจะได้มีอาหารกิน แต่ต่อไปนี้อย่าทำอีกเข้าใจไหม ถ้ามีคนมา มึงต้องซ่อนตัวนะ เขาจะเห็นศพก็ช่าง แต่อย่าให้เห็นมึงได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจไหม”
“เออ....แล้วเข้าใจไหมล่ะ”
“กิ๊”
“มานี่มา วันนี้กูเอาของเล่นใหม่มาด้วย”
เด็กหนุ่มพาไอ้โจ๊กกลับไปที่เดิม ตอนนี้เขากลายเป็นพ่อหรือไม่ก็พี่ชายที่กำลังปลอบเด็กเล็ก ๆอย่างเต็มตัวไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มเทโดมิโนออกจากถุงพลาสติก สอนให้มันต่อ ไอ้โจ๊กเลิกสะอื้นแล้วจ้องมองตาแป๋ว พยายามจะหยิบของเล่นเข้าปากอีกตามเคย
“สมัยก่อนกูจะเล่นกับพ่อ แบ่งคนละครึ่ง มึงเห็นแต้มสี ๆนั่นไหม เอาตรงที่เท่ากันมาเรียงต่อกัน แบ่งกันคนละครึ่ง ใครต่อได้ยาวกว่าชนะ”
“อย่างนี้เหรอ”
“ใช่”
“รางวัลล่ะกิ๊”
“ห่า....โลภมากนะมึงอ่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไม่ว่าจะวาดรูป ต่อโดมิโน หรือเล่นอิเล็คโทนเสียงสัตว์ สำหรับไอ้โจ๊ก อะไรก็สนุกไปเสียทุกอย่าง ขอแค่มีต้นกล้าอยู่ด้วยกับมัน แม้ว่าคืนนี้มันจะต้องนอนเพียงลำพัง แต่มันก็ยังได้เห็นรูปวาดที่ติดเอาไว้บนผนัง ดวงตาของมันสามารถมองเห็นได้ดีในที่มืด แต่ถึงมันมองไม่เห็น ในหัวของมันก็ยังมีภาพของต้นกล้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตมัน
“เล่นแบบนี้ก็ได้ เอามาตั้งเรียงกัน.......แล้วก็ล้มแม่งเลย”
“ล้มแม่งเลยกิ๊”
“เออ....ช่วยกูเรียงยาว ๆเลยนะ แล้วเดี๋ยวมาดูโดมิโนล้มกัน มึงรู้ไหมโจ๊ก พ่อกูน่ะเรียงได้ตั้งหลายแบบเลยนะ เสร็จแล้วพ่อก็จะให้กูล้ม เป็นภาพที่สวยมากเลยมึงรู้ไหม นี่ถ้าพ่อยังอยู่ก็ดีสิ ถ้าพ่อยังอยู่ ชีวิตกูคงไม่เป็นแบบนี้”
“กล้ามีโจ๊กไง”
“ใช่.....กูมีมึง ตอนนี้มีแค่มึงเท่านั้นที่เป็นเพื่อนกู.....กูจะพยายามมาหามึงทุกวัน แต่ถ้าวันไหนกูมาไม่ได้ มึงต้องรอกูนะโจ๊ก”
“โจ๊กจะรอกล้านะ.....”
“หึ....ไอ้ตัวแสบ มึงนี่ไป ๆมา ๆรู้ภาษากว่าคนอีกนะเนี่ย”
ต้นกล้าลูบหัวมัน ทว่าตอนนี้ไอ้โจ๊กไม่สนใจอะไรนอกจากกองโดมิโนตรงหน้า
.................................................................
“กลับมาแล้วครับแม่”
“แหมกลับมาเสียดึกเชียวนะลูก”
“พอดีเพื่อนชวนเล่นเกมส์น่ะครับ”
“เหรอจ๊ะ”
เด็กหนุ่มส่งเสียงโต้ตอบกับแม่ของเขาที่ตอนนี้คงจะกำลังง่วนอยู่ในครัว ระหว่างขณะที่เขากำลังยืนถอดรองเท้าอยู่หน้าประตูบ้าน ต้นกล้า่ระบายรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันบ่อยนัก บนใบหน้าที่เย็นชาของเขา ดีแล้วที่แม่อารมณ์ดีขึ้น ดูสดใสขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เห็นอย่างนี้แล้วค่อยสบายใจขึ้นมาได้นิดหน่อย
“เพื่อนหนูเค้ามานั่งคอยตั้งแต่เย็นแล้ว แม่ก็เลยชวนทานข้าวด้วยน่ะจ้ะ”
เพื่อน ? ประโยคถัดมาของแม่ ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง เพื่อนอย่างนั้นหรือ เขาไม่มีเพื่อนที่ไหนนี่ แล้วใครกันที่ที่มาหาเขา แต่ถึงอย่างนั้น มันอาจจะเป็นใครก็ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกที่อยู่บ้านให้ใครรู้ และไม่เคยพาใครมาทีี่บ้าน แต่บ้านของเขามันก็อยู่ใกล้โรงเรียนมากเหลือเกิน แค่ใครสักคนสะกดรอยตามเขามาก็คงไม่ยากเย็นอะไรนัก
แต่พอได้เห็นว่าเป็นใคร เขาก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีก ต้นกล้ายืนตะลึงนิ่ง จนกระทั่งฝ่ายนั้นเป็นคนเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาก่อน
“ต้นกล้า”
“.......”
“เอ้า....เพื่อนเค้ามาหาแน่ะ....เจ้าลูกคนนี้นี่ ยืนอ้ำอึ้งอยู่ได้”
“เอ่อ....เต๋า....ไปคุยกันข้างบนสิ....เดี๋ยวผมลงมานะครับแม่”
"แหม...ความลับเยอะจริงนะพ่อคุณ รีบลงมานะ จวนจะเสร็จแล้ว"
ต้นกล้าลากลูกเต๋าให้เดินขึ้นไปบนห้องด้วยกัน ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ทั้งดีใจและสับสนอย่างบอกไม่ถูก ปนๆกันไปจนรู้สึกวูบวาบในหัวใจ ลูกเต๋าเองก็จับมือเขาตอบเช่นกัน สัมผัสอุ่น ๆจากมือนุ่ม และแรงบีบเบาๆนั้น ทำเอาต้นกล้าหยุดชะงักไป พอรู้ตัวว่าเผลอจับมืออีกฝ่าย เขาจึงรีบปล่อยมือของลูกเต๋าในทันที และแสดงสีหน้าขอโทษขอโพยอย่างเคอะเขิน จนอีกฝ่ายหลุดขำ
“นายมาที่นี่ทำไม”
“เราเป็นห่วงกล้าน่ะสิ อยู่ ๆกล้าก็ทำตัวแปลก ๆ”
“........เราบอกนายแล้วไง เราไม่อยากคุยกับนายอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะกล้า กล้าบอกเราสิว่าเราทำอะไรผิด วันก่อนหน้าที่กล้าจะไม่อยากคุยกับเรา กล้าก็ยังดีดีอยู่เลย”
“มันไม่มีอะไรดีหรอกเต๋า ชีวิตเรามันไม่เคยมีอะไรดีทั้งนั้น....เราว่าเต๋าอยู่ให้ห่างเราดีกว่า ”
“เพราะเรื่องไอ้เสือใช่ไหม”
ต้นกล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ลูกเต๋ามองเขาอย่างตัดพ้อ ใบหน้าที่แสนน่ารักของอีกฝ่ายที่ทำให้ต้นกล้าเพ้อจนถึงขั้นเก็บเอาไปฝันนั้น ตอนนี้กำลังเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา
หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว รวมเป็นสองแล้วนะที่เขาทำให้ร้องไห้ในวันนี้
“ใช่.....เพราะเต๋ามายุ่งกับเรา นายถึงได้.....”
“แต่เราไม่กลัว”
“นายต้องกลัวเต๋า ถ้าหากว่าวันนั้นไม่คนมาเห็นนายจะเป็นยังไง มันไม่ใช่แค่ถูกซ้อม แต่เต๋าอาจจะโดนมากกว่านั้น”
“แล้วจะให้เราเลิกคบกับกล้าเพื่อเอาตัวรอดน่ะเหรอ เราไม่ทำแบบนั้นแน่ เว้นแต่กล้าจะเกลียดเราจริง ๆ แต่ต้องมีเหตุผลด้วยว่าทำไมถึงเกลียด”
“เราเกลียดนายเพราะนายมันขี้ตื๊อ แถมยังชอบทำหน้ายิ้มตลอดเวลา เห็นแล้วมันหงุดหงิด”
“เหตุผลไม่ผ่านง่ะ.....ตกไป”
“ทั้ง ๆที่ถูกไอ้เสือเล่นงานจนเกือบแย่ แต่นายก็ยังยิ้มได้อีก นายมัน.....โรคจิต”
“เหตุผลนี้ก็ไม่ผ่าน เพราะงั้นเราเป็นเพื่อนกันต่อไปนะกล้า”
“โว้ย....พูดไม่รู้เรื่องหรือไง เราจริงจังนะเต๋า เราไม่ตลกไปกับนายหรอกนะ”
“เราก็จริงจัง เพราะเราอยากเป็นเพื่อนกับกล้าจริง ๆ กล้าไม่เหมือนคนอื่น เราชอบกล้านะ ชอบมากด้วย”
“พอเถอะเต๋า”
“ทำไมล่ะ.....เราสองคนจะสู้ไปด้วยกัน เราจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นแกล้งกล้าอีก เราจะปกป้องกล้า.....”
ต้นกล้าคว้าตัวอีกฝ่ายมาจูบ ลูกเต๋าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ต้นกล้าจูบอีกฝ่ายอย่างไม่ประสีประสา แต่มันกลับเป็นจูบที่ลึกซึ้งและอบอุ่นที่สุด และที่สำคัญ มันเป็นจูบแรกของลูกเต๋า จูบที่ไอ้เสือเคยพยายามจะพรากมันไปแต่ว่าทำไม่สำเร็จ
คงเพราะลูกเต๋านั้นสูงน้อยกว่าเขาเพียงแค่ไม่กี่เซ็นต์ และเขาเองก็ไม่ใช่คนสูงใหญ่เหมือนอย่างไอ้เสือ ทำให้ใบหน้านั้นอยู่ใกล้กันโดยที่ไม่ต้องโน้มตัวอย่างในหนัง มันจึงง่ายขึ้นที่จะบดขยี้จูบได้อย่างถนัดโดยที่ไม่ต้องเมื่อยคอ เขากระคองหัวอีกฝ่ายเอาไว้ และเพิ่มน้ำหนักจูบลงไปอีกนิด พอทุกอย่างเข้าที่ของมัน ลูกเต๋าก็ตอบสนองจูบของเขา เด็กหนุ่มทั้งสองจูบกันอยู่นานจนแทบสำลักลมหายใจ ทั้งคู่ผละออกจากกัน ยืนหอบและหน้าแดงก่ำ ต้นกล้ารู้สึกปวดหนึบตรงเป้ากางเกง
“แล้วแบบนี้ล่ะพอไหม เราไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเต๋า เราชอบเต๋านะ ไม่ใช่แบบเพื่อนชอบกัน แต่ลึกซึ้งกว่านั้น ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เรารู้ตัวแล้วว่าเราแอบชอบเต๋ามาตลอด ทั้งชอบแล้วก็อิจฉา แต่มันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เราไม่อยากให้เต๋ามายุ่งกับเราอยู่ดี....”
“แล้วเหตุผลของนายมันคืออะไร”
“เราบอกเต๋าไม่ได้ เข้าใจเราเถอะนะ”
“อืม.....”
“เต๋าเกลียดเราหรือเปล่า”
“เรา....ลงไปกินข้าวกันดีกว่า”
“เอ่อ....นั่นสิเนอะ”
“กล้า”
“อื่อ”
“เราไม่เกลียดกล้าหรอกนะ แล้วก็ไม่คิดจะเลิกเป็นเพื่อนกับกล้าด้วย กล้าฟังเรานะ....กล้าไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว แต่กล้ายังมีเรานะ”
"เอาไว้ทุกอย่างโอเค แล้วเราค่อยเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะเต๋า"
"มากกว่านั้น.....เราก็โอเคนะ"
"หึหึหึ"
ขอบคุณมากเลยนะเต๋า
ขอบคุณมากจริง ๆ
ถ้าเขาผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้สำเร็จ มันคงถึงเวลาที่จะได้ทำตามหัวใจของตัวเองเสียที
........................
to be con
โจ๊กก่อเรื่อง
สรุปว่าฝีเท้านั้นเป็นของใครกันนะ ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
