Chapter 12
"รับอะไรเพิ่มรึเปล่าครับ"
ผมถามหลังจากเติมน้ำเปล่าลงในแก้วที่พร่องลงไปเกือบหมดให้กับชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาเรียวรีแบบคนเชื้อสายจีน
คุณชินย้ายจากเคาน์เตอร์ส่วนหน้าร้านมาเป็นด้านในสุดหลังจากที่ร้านเริ่มเปิดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ยังคงไม่สั่งอะไรนอกจากน้ำเปล่าเหมือนเดิมถ้าไม่นับคุกกี้หนึ่งจานที่ผมแถมให้ แต่ทุกครั้งก็มักจะจ่ายเงินเกินจำนวนเสมอทั้งที่ต่อให้เขาไม่จ่ายเลยผมก็คงไม่ว่าอะไร....ก็เล่นไม่สั่งอะไรเลยนี่นา
"ไม่ล่ะ ขอบคุณ" ตอบทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารกีฬาฉบับล่าสุดเลยสักนิด
ผมยิ้มและหันกลับมาเช็ดแก้วต่อ อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าเขาเหมือนกับเจย์ตอนที่เจอกันแรกๆ ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขามักจะมาที่ร้านหลังจากที่เจย์ออกไปเรียนแล้วและกลับไปก่อนเวลาเลิกเรียนเสมอและไม่มีคนอื่นๆมาเพิ่ม พ่อของเจย์ก็ไม่เคยมาที่ร้านอีกเพียงแค่โทรมาหาเจย์ครั้งหนึ่งหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลเท่านั้น
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจย์กับพ่อกำลังดีขึ้นถึงแม้ว่าจะทีละนิดก็ตาม อย่างน้อยเจย์พูดจาดีกับพ่อมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ส่วนเรื่องคุณชินที่มาเฝ้าที่ร้านทุกวันนั้นผมคิดว่าคงจะตามประสาพ่อที่ห่วงลูกแต่ไม่กล้าแสดงออกมากกว่าจะมีประสงค์ไม่ดี
"ช่วงนี้เจย์กลับช้ากว่าปกติ คุณจะอยู่ต่อถึงเย็นก็ได้นะครับ"
"...." คุณชินไม่ตอบอะไรแต่ใช้สายตาจ้องมองเป็นคำถามแทน ผมยิ้มและพูดต่อ
"ก็ช่วงเลิกเรียนรถมันรถติดนี่"
ในเมืองหลวงแบบนี้แน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรไม่พ้นแต่คงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องมีปัญหาในการระวังเวลาเด็กๆข้ามถนนรวมถึงรถผู้ปกครองที่จอดรอรับ ตลอดหลายวันที่เขามาที่นี่ผมสังเกตเห็นเขาขับรถกลับไปทางเดียวกับโรงเรียนทุกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจใช้เส้นทางนั้นในการเดินทางกลับทุกครั้ง
ช่วงนี้เจย์มักกลับมาช้ากว่าปกติเนื่องจากต้องอยู่ซ้อมกีฬาหลังเลิกเรียน ดูเหมือนว่าจะมีโปรแกรมการแข่งกีฬาระหว่างโรงเรียนที่ปีนี้โรงเรียนเขาเป็นเจ้าภาพในการจัดทางโรงเรียนจึงดูจะจริงจังเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ที่เขามักหายตัวไปตอนเช้าก็เพราะออกไปซ้อมวิ่งเพื่อเตรียมร่างกาย ส่วนตอนเย็นก็ต้องซ้อมกีฬาต่อแต่ดูเหมือนว่าช่วงไม่กี่วันนี้เขาจะได้พัก
คุณชินไม่ได้ตอบอะไรต่อ เพียงแค่ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเงียบๆ เห็นแบบนั้นผมก็ไม่คิดจะชวนคุยต่อ หันมาจัดการงานของตัวเองบ้างแต่เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ก็ทำให้ผมหยิบขึ้นมาดู ปลายทางคือบุคคลที่สามจากหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
'ทำอะไรอยู่'
'กำลังจะอบเค้ก อยากกินรสอะไรมั้ย'
'ช็อกโกแลต'
ผมยิ้มขณะอ่านข้อความและไม่ได้ตอบกลับไป แต่หลังจากที่เพิ่งเตรียมวัตถุดิบทำเค้กเสร็จข้อความจากปลายทางเดิมก็ถูกส่งเข้ามาอีกครั้ง
'เย็นนี้อยากกินผัดกระเพรา'
'ไข่ดาวด้วยนะ?'
'อืม กระเพราหมูนะ'
ผมเดินไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ด้านในสุดของห้องครัวค้นหาของที่ต้องการท่ามกลางวัตถุดิบทำขนมและอาหารที่แช่เย็นไว้ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
'กระเพราหมดแล้ว'
'...เดี๋ยวผมซื้อเข้าไป' ผมขมวดคิ้วสงสัยกับข้อความที่ได้
'เลือกเป็นรึไงน่ะ?'
หลังจากนั้นผมก็ต้องหัวเราะออกมาเสียงดังกับไอคอนใบหน้าสีแดงแสดงความรู้สึกโมโหประมาณเกือบสิบอัน
"อะ! ตกใจหมด...ต้องการอะไรเพิ่มหรือครับ" ผมถามชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสุภาพสีเข้มกำลังกอดอกยืนพิงกับประตูห้องครัวด้วยท่าทางสบายๆแต่ใบหน้าที่จ้องมองมาเรียบเฉยจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
"เปล่า"
"อ่า...ครับ"
"...."
"เอ้อ เจย์เขาส่งข้อความมาบอกว่าอยากกินผัดกระเพราน่ะ" ผมพูดออกมาอย่างเก้อๆเมื่อถูกสายตาเรียบเฉยไล่มองมาหยุดที่เครื่องมือสื่อสารในมือ
"คุณเจย์ชอบกินผัดคะน้า คุณน่าจะลองทำดู" จบคำแนะนำ ผมก็แอบสงสัยว่าผู้ชายคนนี้นอกจากใบหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉยแล้วเคยมีความรู้สึกอื่นๆด้วยหรือเปล่า
"เจย์ชอบกินมะเขือเทศแต่ไม่ชอบผักคะน้าน่ะครับ คุณคงจะจำผิด" ผมยิ้มขณะเก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋ากางเกงและเริ่มลงมือทำขนมเค้ก
"...คงจะอย่างนั้น" ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจเลิกคิ้วเล็กน้อย ใช้สายตาเรียบเฉยจ้องมองมาเงียบๆก่อนจะหันหลังกลับออกไป
ผมได้แต่ถอนหายใจเบาๆกับตัวเอง คนบ้านนี้ก็จะจ้องจับผิดกันไปถึงไหนนะ...
หลังจากที่ปิดร้านได้ไม่นานเจย์ก็ผลักประตูกระจกเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย ในมือข้างเดียวกับบ่าที่สะพายกระเป๋ากีฬายี่ห้อดังสีดำถือถุงพลาสติกของซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆข้างในเป็นกระเพราะและมะเขือเทศลูกโตสีแดงสดจำนวนหนึ่ง ผมเดินเข้าไปหยิบถุงนั้นมาถือไว้
"พี่หมักหมูไว้แล้ว รอเดี๋ยวก็ได้กินแล้วล่ะ ไปอาบน้ำก่อนสิ"
"ถูกรึเปล่า" เขาเดินตามผมเข้ามาในครัวพร้อมกับถามถึงผักในถุง
"อ้อ...ถูกแล้วล่ะ เลือกเองเหรอ เก่งมาก"
"อะ...อืม"
"หึหึ ถามพนักงานมาล่ะสิ" ผมหัวเราะเบาๆกับท่าทางมึนๆของเขา เจย์เบิกตากว้างก่อนจะทำปากยื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
"รู้แล้วยังจะถามอีก"
"ฮ่าๆ โอเคๆ พี่ไม่ถามอะไรแล้ว ไปอาบน้ำไป"ผมรุนหลังเขาให้ขึ้นบันไดก่อนจะหันมาจัดการงานในครัวของตัวเองต่อ แกะกระเพราออกจากถุงไปแช่น้ำ จัดวัตถุดิบต่างๆที่เตรียมไว้ให้หยิบสะดวกมือ ไม่ลืมแช่มะเขือเทศลูกโตสีแดงสดไว้ให้คนซื้อมา
ไม่นานเจย์ก็กลับเข้ามาในครัวอีกครั้งด้วยสภาพผมเปียกชื้นและคล้องผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ที่ลำคอ ท่อนขายาวภายใต้กางเกงผ้าสีดำก้าวมาหยุดยืนข้างๆผมที่กำลังตักผัดกระเพราใส่จานและหยิบมะเขือเทศลูกโตขึ้นกัดคำใหญ่ เห็นแบบนั้นก็อดเปรี้ยวแทนไม่ได้ ถึงผมจะชอบกินผลไม้และมะเขือเทศก็เป็นผลไม้ แต่คงไม่กินสดๆแบบนั้นแน่นอน
"ไม่เปรี้ยวรึไง"
"ไม่...หวาน" เจย์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ แถมยังกัดไปอีกคำใหญ่ ผมได้แต่ยิ้มขำขณะยกจานข้าวสองจานไปวางบนโต๊ะ
"คุณรอผมเหรอ"
"อืม ก็เธอบอกจะกลับมากินข้าว"
"...."
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อผมจึงทิ้งตัวนั่งที่นั่งตรงข้ามและเริ่มลงมือตักข้าวในจานที่มีปริมาณน้อยกว่าเจย์ครึ่งหนึ่งเข้าปาก ผมเป็นคนทานน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุให้ผมผอมแห้งเป็นกุ้งแบบในปัจจุบันนี้รึเปล่าแต่เพื่อนๆมักจะบอกว่าผมทานอาหารจำพวกบุฟเฟ่ทีไรดูไม่คุ้มค่าสักที แต่ก็ยังชอบชวนผมไปบ่อยๆ สงสัยเพราะผมทานน้อยก็เลยไม่ค่อยแย่งของกินไม่ก็กะจะแกล้งผมล่ะมั้ง
เราเถียงกันสองสามคำและเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆเรื่องที่เจย์กินไข่ดาวแต่ดันราดซอสมะเขือเทศ เป็นการกินที่ดูขัดกันสำหรับผม จริงๆแล้วไข่ดาวต้องกินกับซีอิ้วขาวสิถึงจะอร่อย เมื่อประเด็นถกเถียงสรุปไม่ได้ เราจึงแก้ปัญหาด้วยการตักไข่ดาวใส่ซอสที่ตัวเองชอบแลกกันกินคนละคำ ซึ่งได้ข้อสรุปออกมาว่า
...ถ้าชอบแบบไหนก็ทานแบบนั้นไปน่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ....
"ใกล้สอบแล้วเหรอ" ผมถามเจย์ที่นอนคว่ำหน้ากับเตียงมีหนังสือเรียนสองสามเล่มวางกระจายอยู่ น้ำที่หยดจากปลายผมยาวของตัวเองทำให้ต้องขมวดคิ้วหน่อยๆขณะเดินไปนั่งบนเตียง
...สงสัยคงต้องหาเวลาไปตัดผมเสียแล้ว
"โครงการพิเศษน่ะ" ดูเหมือนจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เปิดสอบก่อนโครงการอื่น บางทีผมก็ลืมไปว่าเจย์เองก็อยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้ายแล้ว ปกติจะเห็นเขานั่งเล่นไม่ก็ทำการบ้านไปกินขนมไปจนชินตาจนลืมไปว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกปีแล้ว
"ยากมั้ย"
"ไม่... เยอะมากกว่า"
"หึหึ ตั้งใจอ่านนะ เอานมอุ่นมั้ย" เจย์ส่ายหัว ถอดแว่นสายตากรอบสีดำวางบนพื้นที่ว่างข้างๆบนเตียงและพลิกตัวนอนหงายขึ้นมาจ้องตาแป๋ว เราเล่นจ้องตากันอย่างไม่จริงจังพักใหญ่ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
"เจย์ ช่วงนี้ได้คุยกับพ่อบ้างรึเปล่า"
"ก็เธอหนีออกมาแบบนี้ ที่บ้านก็ห่วงแย่สิ"ผมพูดต่อเมื่อคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจที่จู่ๆผมก็พูดเรื่องที่บ้านเขาขึ้นมา เจย์ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมพร้อมทำปากยื่นอย่างไม่รู้ตัว
"โดนไล่ต่างหาก"
"เจย์ทำอะไรผิดล่ะ ถึงได้ยอมออกมา"ผมได้แต่ยิ้มบางๆและได้เสียงกระชากห้วนเป็นคำตอบ
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด!"
"ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ผิด แล้วออกจากบ้านมาทำไม หือ?"
"...."
"เธอควรจะอธิบายเหตุผลให้ผู้ใหญ่ฟังมากกว่าออกมาเฉยๆแบบนี้นะ"
"...คุณไม่เข้าใจหรอก" เจย์ที่จ้องหน้าผมเขม็งหลบสายตาไปทางอื่นอย่างที่ปกติหาได้ยาก อดไม่ได้ต้องลูบกลุ่มผมสีเข้มที่ลื่นผ่านนิ้วมือไปเหมือนขนแมวเบาๆ
"บางอย่างเราทำเพื่อความสบายใจได้ แต่เราจะทำแบบนั้นตลอดไปไม่ได้หรอกนะ"
"..."
"ทางที่เราสบายใจที่สุดมันอาจไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนะครับ...อีกอย่าง พ่อเขาก็เป็นห่วงเธอมาก"
เจย์ไม่ตอบโต้อะไรอีกสายตานิ่งเรียบทอดมองออกไปนอนหน้าต่างที่ปกคลุมไปด้วยท้องฟ้าสีดำสนิท ความเงียบค่อยๆโรยตัวลงมาอย่างช้าๆแต่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจ กลับรู้สึกได้ว่าความเงียบในครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการทบทวนความคิดและปล่อยกระแสความรู้สึกต่างๆให้ไหลเวียนไป
เจย์เด็กกว่าผมหลายปีแต่เขาก็โตพอที่จะเรียนรู้และเข้าใจถึงสิ่งต่างๆได้แล้ว เพียงแต่ฐิถิภายในใจนั้นมีมากเกินกว่าจะทำให้เขาเปิดใจรับฟัง
ท่ามกลางความเงียบที่ผมคิดว่าคงไม่มีการพูดคุยอะไรกันต่อจากนี้กลับมีเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่หนักแน่น...
"ผมไม่คิดว่าการที่ผมชอบคุณเป็นเรื่องผิดหรอกนะ"
เราไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับที่บ้านของเจย์เพิ่มเติมจากตอนนั้นและผมก็ไม่คิดจะถามอีก ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากก้าวก่าย อีกส่วนหนึ่งคือผมเชื่อว่าเขาสามารถจัดการเองได้ ถึงแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าหลังซ้อมกีฬาช่วงค่ำเสร็จ เขาจะแวะไปบ้านบ้างอาทิตย์ละสองสามครั้งและมีขนม เสื้อผ้า ของใช้ติดมือกลับมาด้วยเกือบทุกครั้ง
เขาเล่าให้ฟังว่า นอกจากเขาและพ่อก็ไม่มีญาติคนไหนอยู่ที่บ้านอีก มีเพียงพ่อบ้านและแม่บ้านจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่อยู่มากันก่อนที่เจย์จะเกิดเสียอีก... ลูกชายคนเดียวแถมยังเป็นคุณหนูที่เห็นกันมาตั้งแต่แบเบาะ เขาคงได้รับความเอ็นดูจากคนในบ้านมากทีเดียว
"คุณสนิทกับเจย์รึเปล่าครับ" ผมถามชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งหลบมุมอยู่ไม่ไกล ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายที่ไม่ค่อยมีลูกค้าและผมก็ไล่พนักงานคนอื่นไปช่วยกันอบเค้กในครัวกันหมดถึงชวนคุณชินคุยได้อย่างสบายใจ
"...."
"เจย์ไม่ค่อยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังเท่าไหร่" ผมยิ้มตอบใบหน้านิ่งเรียบแต่คิ้วขมวดหากันหน่อยๆอย่างประหลาดใจ
"เขาเล่าอะไรให้คุณฟัง"
"ก็...เรื่องที่บ้านน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็เรื่องลุงวิทย์" เจย์ไม่ค่อยพูดถึงพ่อมากนัก หากจะพูดถึงก็จะพูดผ่านชื่อลุงวิทย์ ว่าถูกพ่อของเขาสั่งให้มาทำอะไรบ้าง
ลุงวิทย์เป็นพ่อบ้านเก่าแก่ที่อยู่กับบ้านมาตั้งแต่รุ่นของปู่ย่า และคอยดูแลเจย์มาตั้งแต่เด็กๆ ลุงวิทย์มีหลานชายหนึ่งคนที่อายุมากกว่าเจย์หลายปีแต่เขามักหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง หากบางเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เขาก็จะเล่าแบบขอไปทีหรือไม่ก็แสดงความหงุดหงิดออกมาไม่ทางสีหน้าก็น้ำเสียง ไม่รู้ว่าเคยมีเรื่องผิดใจอะไรกันมาแต่เด็ก...ผมเดาได้ไม่อยากว่าคนๆนั้นเป็นใคร
"เราไม่ได้สนิทกัน" เขียนตอบเสียงเรียบและก้มลงอ่านหนังสือต่อ...ทำไมผมกลับไม่เชื่อคำพูดของพวกเขาที่บอกว่าไม่สนิทกันก็ไม่รู้แฮะ...
ผมรับสายจากเจย์ที่โทรมาบอกว่าวันนี้คงกลับช้ากว่าปกติ น้ำเสียงเลาเหมือนไม่เต็มใจทำทำให้ผมหัวเราะเบาๆและเอ่ยปลอบไปว่าจะอยู่รอและจะทำของว่างมื้อดึกไว้ให้ เราคุยกันสองสามประโยคและวางสายหลังได้ยินเสียงนกหวีดและเสียงเอะอะโวยวายลอดเข้ามา
เสียงผลักประตูดังขึ้นทั้งๆที่แขวนป้ายปิดไปแล้วพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เรียกไม่ได้ว่าไม่คุ้นเคยค่อยๆก้าวเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน ผมสีดอกเลาแซมดำเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้ดูไม่ดีหรือแก่ชรา แต่กลับเป็นเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ชุดสูทสีเทาภูมิฐานยังคงเรียบกริบไม่เหมือนกับสภาพที่ต้องใส่มาทั้งวันรวมถึงรองเท้าหนังมันเงาจะสะท้อนภาพรอบๆได้เลือนลาง
"ยินดีต้อนรับครับ" ผมทักทายเมื่อร่างใหญ่ทิ้งตัวนั่งหน้าเคาน์เตอร์ ดวงตาเรียวคมจ้องมองผมนิ่งอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก
"...."
"...รับเครื่องดื่มมั้ยครับ"
"...." เขายังคงเงียบเหมือนกับพยายามจะคุยกับผมผ่านสายตา ผมได้แต่ยิ้มและลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะหันไปเตรียมเครื่องดื่มให้
"คุณดื่มนมได้ใช่มั้ยครับ"
"...."
"เวลานี้ดื่มชาหรือกาแฟคงไม่ดีเท่าไหร่"ว่าพลางเริ่มเตรียมอุ่นนมเงียบๆ ร่างสูงใหญ่ที่นั่งหลังตรงอย่างสง่างามสมวัยไม่คิดจะเอ่ยตอบ ยังคงใช้สายตานิ่งๆมองการกระทำของผมโดยที่ไม่ได้รู้สึกถูกคุกคามเหมือนครั้งก่อน
เป็นความเงียบที่อาจจะชวนให้อึดอัดสำหรับคนอื่นๆแต่ผมยังคงรับมือได้ ..วูบหนึ่งผมนึกถึงคำพูดเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่บอกไว้ว่า ผมมันเป็นพวกใจดีจนน่ากลัวและบางทีก็เป็นพวกหน้าทนไม่รู้สึกรู้สาจนน่าหมั่นไส้
"ลูกชายผมเป็นยังไงบ้าง" เขาพูดออกมาประโยคแรกเมื่อแก้วนมที่มีควันลอยออกมาอ่อนๆถูกวางลงตรงหน้า
"เจย์เป็นเด็กดีครับ...เขาตั้งใจเรียนและเดือนหน้านี้ทีมบาสของเขาก็กำลังจะแข่งรอบชองชนะเลิศ"
"ดูคุณรู้เรื่องของเขาดี"
"...ส่วนใหญ่เขาก็เล่าให้ฟังน่ะครับ" ผมตอบพลางวางแก้วน้ำเปล่าอีกแก้วให้ใกล้ๆกัน
"เขาเล่าให้ฟังเรื่องธุรกิจของที่บ้านหรือเปล่า"
"ครับ..." บ้านของเจย์เป็นบริษัทใหญ่เกี่ยวกับการผลิดเครื่องดื่มส่งขายภายในประเทศและต่างประเทศ พ่อและแม่ของเจย์ช่วยกันสร้องบริษัทนี้ขึ้นมากับมือ อาศัยทรัพย์สมบัติเล็กน้อยที่คนรุ่นก่อนเหลือไว้ให้ เมื่อตอนเขาเด็กๆครอบครัวมักจะไปเที่ยวทางภาคเหนือบ่อยคนั้งเนื่องจากมีไร่ผลไม้และโรงงานที่นั่น ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองหลวง แต่หลังจากแม่ของเขาเสียเจย์ก็ไม่คิดจะไปที่นั่นอีก...
"งั้นคุณคงรู้ว่าถึงแม้จะไม่ได้ขยันออกสื่อ แต่เราก็มีหน้าตาทางสังคม"
"...."
"อีกไม่กี่ปีเจย์จะไม่ใช่แค่เด็กนักเรียน ความรับผิดชอบและจุดยืนของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"
"...."
"เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะทำยังไง"
"...."
"หากคุณยังลังเล...ก็ออกจากชีวิตเขาไปเสียตอนนี้"
ผมเผลอขบกรามตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว เหงื่อเม็ดโตไหลลงตามแนวสันหลังให้ความรู้สึกเย็นวาบ ความมั่นคงและอนาคตของเจย์คือสิ่งที่คนตรงหน้าห่วงมาโดยตลอด เมื่อภรรยาจากไป เขาทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองบริษัท วางรากฐานความมั่นคงเอาไว้เพื่อวันหนึ่งจะได้ส่งต่อทุกอย่างให้กับลูกชาย...
คนเป็นพ่อย่อมรู้จักลูกของตนเองดี เจย์ไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นเหมือนเด็กที่โหยหาความอบอุ่นที่เคยขาดหายไป การได้พบกับผมในตอนนี้อาจเป็นเรื่องที่ดี สามารถปลอบประโลมความรู้กสึกเสร้าหมองให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและถือเหมือนกับการดึงเอาตัวตนที่เปราะบางของเขาออกมาจากความเย็นชาที่เขาสร้างขึ้นปกป้องตัวเอง แต่ในอนาคตนั้นความรู้สึกเคารพและไว้ใจจนเกือบจะไม่มีการเผื่อใจที่เจย์ให้กับผมมีความเสี่ยงมากมาย
"ในอนาคตเขามีสิ่งที่ต้องแบกรับมากมาย ผมจะไม่ยอมให้ความรักของเขาย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง"
ก้าวที่ยาวขึ้น จุดยืนที่สูงขึ้นย่อมกัดกินหัวใจคน ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาเปรียบเสมือนเกราะแข็งแรงห่อหุ้มความรู้สึกที่อ่อนแอจากการพบเจอโลกที่โหดร้ายเอาไว้... หากวันหนึ่งผมไม่กล้าพอที่จะเดินไปพร้อมกับกัน...การทิ้งเขาและจากมาในตอนที่เขาต้องการที่พักพิงมากที่สุดนั้น...มันก็เหมือนกับการทำลายชีวิตของเขา
"หากคุณยังไม่มั่นคงพอก็ถอยออกไป"
"...ชีวิตลูกชายผมไม่ต้องการคนที่ลังเล..."........................................
กลับมาแล้วจ้าาาา หายไปนานนนนเลย ขอโทษด้วยนะค้า ส่วนหนึ่งก็ไปจัดการงานหลายอย่าง อีกส่วนก็เอาเวลาไปลองเขียนเรื่องใหม่ แต่ก็ยังไม่มีแพลนว่าจะลงในนี้นะคะ เนื่องจากว่า ตัวเราเองชอบที่จะเขียนนิยายไปให้ได้เยอะๆก่อน (แบบว่า มั่นใจว่าเขียนจบแน่ๆ) ถึงค่อยเอามาลง
แต่เรื่องใหม่ที่เขียนนั้นรู้สึกเขียนยากอยู่ค่ะ เพราะดันให้ตัวละครที่ไม่ค่อยพูดดำเนินเรื่อง
หากงานเขียนชิ้นนั้นไปรอด(ซึ่งไม่รับประกัน)
ก็จะนำมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามให้กำลังใจเสมอมานะคะ
ป.ล. พี่มิณน้องเจย์ใกล้จบแล้วนะคะ
เป็นกำลังใจให้กับเด็กปากไม่ตรงกับใจกับผู้ใหญ่ขี้แกล้งที่ลึกๆแล้วชอบคิดมากต่อไปด้วยนะค้า