บทที่ ๒๕ ...
...
ธุรกิจในตระกูลจาง นอกจากอาวุธสงครามแล้วอีกเกือบครึ่งยังเป็นธุรกิจประเภทโรงแรมและบ้านพักตากอากาศ อันมีเหล่าเนื้อสดทั้งที่นำเข้าและภายในประเทศเป็นกำลังในการหมุนวงล้อความรุ่งโรจน์
เมื่อบุตรชายคนเดียวของตระกูลจาง จางคิมสัน เสียชีวิจลง จาง ฟู่หลี้ฮูหยินแห่งบ้านเสือก็กลับกลายมาเป็นหญิงบ้า จางเทียนอี้เสือเฒ่าที่มีแต่ความเศร้าโศรกเสียใจตัดสินใจแก้แค้นแทนลูกชาย..หากแต่กลับได้ลูกชายมาอีกคน
.
.
.
ลูกชายเพียงคนเดียวแห่งสกุลจาง ‘จางซี’
**
..
“..อาจจะเป็นพันธุกรรมหรือความบกพร่องในยีน เสือเฒ่าจางอี้เทียนมีลูกชายตอนอายุ เกือบ 50 ส่วนคุณนายจางเองก็ได้ข่าวว่ามาจากตระกูลเก่าแก่ที่นิยมแต่งงานกันในเครือญาติ ซ้ำตอนที่คุณนายจางมีลูกคนแรกเธอเพิ่งจะอายุได้ 16 ปี จางคิมที่ตายไปสายข่าวจากวงในพูดกันให้แซดว่ามีปัญหาด้านภาวะอารมณ์สุดขั้ว ส่วนจางซีรายนี้ยังไม่มีข้อมูลส่วนตัวมากนักแต่หลักๆ แล้วคาดว่าก็คงไม่ต่างจากพี่ชาย..เจ้าหมอนี่น่าจะมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม..”
เอกสารสรุปโดยย่อที่เขียนไว้ให้พระพรต ถูกรวบยอดย่นมาในการสนทนาทางโทรศัพท์ เหมือนกับเป็นการบังคับกลายๆไม่ให้ปฏิเสธการก้าวเท้าเข้าไปในถ้าเสือมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับอดีตนายแพทย์ด้านจิตเวช หากถ้าเสือในถ้ำนั้นไม่ใช่ คนเดียวกันกับปีศาจร้ายที่เคยเห็นในความฝัน..
‘ษิตรา’
ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน..ไอ้ปีศาจนั้นทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี
“เริ่มงานเมื่อไหร่?”
พระพรตกรอกคำถามกลับเข้าไปในสาย นายหน้าที่ติดต่อเข้ามาเพียงแต่บอกว่าเร็วที่สุดซ้ำก่อนจะวางสายซ้ำปลายเสียงยังสั่งย้ำอีกด้วยว่าเรื่องอาการป่วยและการรักษาลูกชายสกุลจางมันคือความลับขั้นสุด!
**
..
ไอแดดร้อนระอุอ้าวเข้ามาจนถึงอาคารด้านใน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะฝ่าเข้ามาได้จนถึงประตูกระจกหนา ภายในห้องสมุดที่เงียบสงบ ธันธณา เปลี่ยนตัวเองให้เป็นหมอนชั่วคราวของปีศาจน้อยที่นอนซบหน้านิ่งอยู่บนไหล่ ใบหน้าและริมฝีปากขาวซีดที่โผล่พ้นออกมาจากกลุ่มผมและแว่นอันหนา พาให้ใบหน้านั้นดูแปลกๆ และน่าขบขัน
ในห้องสมุดกว้างที่มีคนมากหน้าหลายตาในเวลานี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสะดุดตาไปมากกว่าคนทั้งสองที่มันช่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ก็ใครจะไปคิดว่านายธันธณา ที่มีดีกรีเป็นถึงว่าที่เดือนมหาลัยจะกลายเป็นแค่หมอนนิ่มๆ ให้ไอ้รุ่นน้องหน้าจืดนอนน้ำลายยืดซบไหล่
นักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านมาผ่านไป บ้างแค่หยุดมอง แต่ก็มีบางส่วนไม่น้อยที่หยุดสายตาแล้วเอ่ยปากนินทาออกมาได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ผ่านทั้งคู่ไปไหนไกลด้วยซ้ำ แต่ก็แค่นั้นธันเองไม่ได้สนใจอะไรกับเหล่าเสียงนกเสียงกาเมื่อสิ่งที่น่าสนใจมันมีแค่ไอ้แว่นหน้าจืดที่นอนน้ำลายยืดอยู่ข้างๆ
ใครจะไปคิดว่าลูกชายคนเดียวของสกุลจางจะมาอยู่ในคราบของไอ้แว่นหนาหน้าจืด ทั้งๆที่เมื่อคืนในงานเลี้ยงต้อนรับแขกระดับวีไอพี ชีต้ายังถูกล้อมรอบไปด้วยบรรดาสาวๆ ระดับนางแบบแถวหน้า และถ้าธันนึกสนุกขึ้นมาตะโกนบอกคนช่างนินทาที่เดินผ่านไปผ่านมาว่าไอ้แว่นจืดนี่ล่ะมีสาวๆในสังกัดระดับหลักพัน จะมีใครเชื่อหัวไอ้ธัญบ้างนะ?
“...กี่โมงแล้วธัน?”
ไอ้แว่นที่โดนนินทาในใจเงยหัวตัวเองขึ้นมาได้แล้วพยายามตั้งสติให้ไม่จมกลับเข้าไปในความฝัน ชีวิตส่วนมากของชีต้าอยู่ในวังวนของห้องสมุดและห้องชุดรับรองในเครือดราก้อนอายส์ ไอ้การได้ใช้ชีวิตราบเรียบเทียบกันคนอื่นแล้วช่างห่างไกล และเพราะอย่างนี้ล่ะเวลาที่ชีต้าหลับ ธันเองถึงได้กลายเป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยปล่อยโอกาสให้ชีต้าได้นอนหลับสบายได้โดยไม่คิดปลุก
ธันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขยับไหล่คลายกล้ามเนื้อที่น่าจะเข้าข่ายใกล้เป็นตะคิวแล้วก้มลงไปดึงไอ้แว่นขึ้นมานึกขันในใจไม่ได้ที่เห็นว่า ริมฝีปากซีดของไอ้แว่นหน้าจืดมันมีคราบน้ำลายติดอยู่ได้อย่างไม่อายคน
“คืนนี้ว่างไหม?”
ในช่วงที่กึ่งวิ่งกึ่งก้าวลงบันได ธันเอ่ยปากถามไอ้แว่นหน้าจืด ไม่มีคำตอบกลับมานอกจากท่าทางที่ทำไม้ทำมือตอบกลับว่าจะโทรหา
**
..
“คงไม่น่าจะว่าง..”
ชีต้าตอบกลับไปในสายอย่างเซ็งๆ ใจหนึ่งอยากจะออกจากไอ้ห้องน่าอึดอัดนี้ไป ไปไหนก็ได้ที่ธันพาไป ยังไงมันก็คงจะยังดีกว่าการที่จะต้องมานั่งต่อหน้าใครหลายคนแล้วค่อยเลือกแผ่นกระดาษเลอะหมึกรูปร่างแปลก..
การทดสอบทางจิตวิทยา..
.
.
.
ไอ้การทดสอบบ้าๆ ที่ชีต้าแม่งโคตรเกลียด!!
“...ต้นไม้ผู้หญิง”
“...”
“...แสงจันทร์”
“...”
“...เซ็กส์...”
แผ่นกระดาษเปื้อนๆ ถูกอธิบายแบบสั้นๆ ถึงสิ่งที่จางซีเห็น ไม่มีคนไหนถูกใจ หมอที่ถูกเลือกเข้ามาในห้องต่างมีวิธีทดสอบที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดมันก็แค่ความวุ่นวายที่มีสายหลักเป็นความจุ้นจ่านอันน่าขับขน พวกหมอแต่ละคนวิเคราะห์ไปหลายหลากแตกต่างกัน จนชีต้าต้องขอเวลาพาตัวเองออกไปข้างนอกบ้างเพื่อพักสมอง
พวกมนุษย์..ช่างซับซ้อน
ภาพในหัวชีต้ามีมากมาย ทั้งหมดนั่นหาเหตุผลไม่ได้ เพราะเพียงแค่คิดก็แค่นั้น และถ้าไม่อยากคิดทุกสิ่งก็จะเหมือนปิดสวิทต์ลงทันที หมอที่เข้ามาคุณป๋าสั่งให้[F]เป็นคนคัดกรองก่อนเบื้องต้น หลังจากนั้นถึงส่งมาให้ชีต้าเลือก เลือกหมอสักคนที่จะค่อยแนะนำสิ่งต่างๆ ที่เรียกรวมๆกันว่า ‘หลักสูตรการใช้ชีวิตแบบมนุษย์’
มนุษย์?
มีตรงไหนในสักส่วนที่ชีต้าไม่ใช่มนุษย์?
เหมือนห้วงความคิดจะถลำลงลงไปไกล ชีต้าเงยหน้าขึ้นมามองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกแผ่นเรียบ มีสักส่วนตรงไหนกันที่มันแสดงว่าไม่ใช่มนุษย์
“ขอโทษครับ ผมมาพบคุณพ่อบ้าน”
เสียงหอบหายใจกับกลิ่นไอแปลกๆ ที่ฟุ้งออกมามันทำให้ชีต้าต้องหันไปมอง ชายหนุ่มที่กำลังยืนเจรจากับบอดี้การ์ดหน้าประตูดูคุ้นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีชื่ออยู่สาระบบสักส่วนของสมอง
ไอของกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ร่องลอย ชีต้าชอบกลิ่นนี้ กลิ่นที่ฟุ้งมาจากตัวหมอนั่น อาจจะเป็นน้ำหอมบ้างกลิ่นหรืออะไรสักอย่างที่น่าลุ่มหลง ชีต้าล้วงหยิบแว่นสายตาอันหนาขึ้นมาสวมก่อนจะปัดผมยุ่งๆ ของตัวเองลงมาปรกหน้าผากกว้าง สองขาก้าวยาวกึ่งวิ่งไปทางแขกที่พยายามจะฝ่ายามร่างยักษ์เข้ามา เมื่อเรื่องสนุกในตอนนี้ดูทีท่าจะมันกว่าการนั่งบอกว่าแผ่นคราบกาแฟที่เลอะๆนั้นมันเป็นรูปอะไร
**
“...จางซี”
พระพรต ขยับเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่ท่าทางขี้อาย สายตาใต้กรอบแว่นนั้นพระพรตไม่มีทางเห็นมันเพราะมันปรกไว้ด้วยผมยาวยุ่งๆ
.
.
.
ไม่ใช่ ‘ษิตรา’ เด็กหนุ่มท่าทางขี้อายที่ซ่อนตัวอยุ่ภายใต้กรอบแว่น ไม่ใช่ ษิตรา เจ้าตัวประหลาดนั้นไม่มีทางจะมายืนหลบอยู่หลังบอร์ดี้การ์ดของคฤหาสตระกูลจาง แล้วที่สำคัญ ไอ้ตัวประหลาดนั้นไม่มีทางจะมาทำเป็นคนไม่รู้จักกันอย่างนี้
พระพรตบอกตัวเองไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจที่ ‘จางซี’ ไม่ใช่ ‘ษิตรา’ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดผวาไม่ได้ในตอนที่เด็กหนุ่มนั้นเอื้อมมือมาจับทักทายกันตามหน้าที่
“ตกลงเอาคนนี้?”
คนพูดยื่นหน้ามาใกล้แล้วเซนต์เอกสารบางอย่างลงไปในแฟ้มของพระพรต ชายหนุ่มถอนหายใจยาวรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก งานนี้แม้ภายนกจะดูง่ายๆ แต่ถ้าเกิดมีความลับของงานรั่วไหลออกไป พระพรตรู้ดีว่าคนในสกุลจางคงจะไม่เสี่ยงเก็บเขาไว้เช่นกันเพราะนอกจากธุรกิจของทางตระกูลแล้วเรื่องชื่อเสียงนั้นพวกเสือก็รักษามันยิ่งชีพ
“งานตอนนี้เป็นอาจารย์พิเศษที่มหาลัยXXX”
ประวัติและข้อมูลคร่าวๆ ที่พระพรตใส่มาในเอกสารถูกพ่อบ้านร่างใหญ่อ่านไล่คร่าวๆ ให้เด็กหนุ่มหน้าซีดเบื้องหน้าฟัง ทุกอย่างมันรวบรัดและกดดันอย่างบอกไม่ถูก ภายใต้ท่าทีนอบน้อมขี้อาย ใต้แว่นสายตาหน้าพระพรตไม่โอกาสจะเดาได้เลยว่าเด็กแว่นนั้นคิดอะไร
ริมฝีปากซีดขาว..
ที่คงจะได้รับมาจากทางแม่ มันไม่เข้ากันเลยกับชื่อเสียงของมาเฟียใหญ่ในฐานะตะกูลเสือ..นี่หรือลูกชายคนเดียวของสกุลจาง? แล้วถ้าอย่างนั้นไอ้ปีศาจวิกลจริตที่พระพรตเคยพบเจอนั้นมันอยู่ที่ไหน?!
.
.
.
“อึกส์!”
แผ่นกระดาษที่เลอะคราบกาแฟแผ่นใหม่ถูกขยำแหลกคามือไปในแทบจะทันที การทดสอบจิตใต้สำนึกเบื้องต้นจบลงอย่างไม่เป็นท่า ร่างกายมันผิดแผกออกไป ร่างกายมันเหมือนโดนยั่วเย้าด้วยเงาว่าเปล่าที่มองไม่เห็น ในห้องกระจกที่ถูกจัดไว้เป็นห้องรับรอง มีเพียงแค่พระพรตกับเจ้านายคนใหม่ที่เขาต้องรักษา
แต่ว่าการทำอย่างนั้นดูท่าจะไม่ราบรื่น พระพรตถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟา ร่างกายที่คล้ายมีบางสิ่งวนเวียนอยู่ใกล้ๆ มันเริ่มจะกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนมีเงาของมือที่มองไม่เห็นสัมผัสและรูปผ่าน พระพรตเหลือบเงยหน้าจ้องตาเจ้าเด็กแว่นนั่นแต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร มีแต่ตัวเขาเองที่เริ่มกระสับกระส่ายอย่างปิดไม่มิด
.
.
.
เหมือนโดนสิ่งที่มองไม่เห็นสัมผัสผ่าน ร่างกายเหมือนถูกกดไว้ด้วยน้ำหนักอย่างไม่อาจขัดขืน มันล้วงไล้เข้าไปในสาปเสื้อแล้วบีบบี้ที่ยอดอก คลึงเคล้าก่อนจะขยำยี แล้วลากสัมผัสเรื่อยลงไปที่หัวหน่าว พระพรตตะคุบสิ่งที่เหมือนกับเงานั้นไว้แต่เปล่าประโยชน์ เขาได้แต่ข่มเก็บเสียงครางของตัวเองไว้อย่างนั้น ร่างกายมันโดนปลุกปั่นจนเริ่มจะประทุความร้อนที่กลายเป็นน้ำกามให้หลั่งออกมา สองขาของพระพรตเกร็งแน่น เมื่อสัมผัสแฝงค่อยๆเร้นรอดเข้าไปในชายร่มผ้า มันไล้เขาในทุกสัดส่วน มันเลียล้วงในทุกตำแหน่งที่ไวต่อการไล้ลูบ เงาที่มองไม่เห็นกดพระพรตให้จมลงกับโซฟาหนา มันปิดปากเขาไว้แล้วแทรกกายเข้ามาด้วยความรู้สึก...
.
.
.
“..อาจารย์”
มือเย็นวาบสัมผัสผ่านแก้มที่ร้อนวูบ พระพรตสะดุ้งสุดตัวเมื่อตื่นออกมาจากห้วงฝัน นี่เขาหลับไป? เผลอหลับลงไปบนโซฟาในห้องรับรองของตระกูลจางงั้นหรอ ? อีกครั้งที่พระพรตถอนหายใจยาว เขาค่อยๆ ขยับตัวยืนขึ้น โดยมีเด็กหนุ่มหน้าจืดแว่นหนาช่วยดึงมือให้
เขากล่าวขอโทษเด็กหนุ่มที่เผลอหลับไป ก่อนจะขอตัวออกมาด้วยความอับอายลึกๆ กับฝันบ้าๆ ฝันบ้าๆ ที่ยังมีหน้ามาปรากฎอาการในความจริง ในช่วงที่เดินออกมาจากคฤหาสสกุลจาง พระพรตถึงกับกัดปากตัวเองไม่ให้หลุดเสียงครางออกมาเมื่อยอดอกของเขาที่จู่ๆก็ชูชันมันเสียดกับเนื้อผ้าเชิ้ตจนทำให้เกิดอารมณ์ พอมาถึงถนนใหญ่พระพรตถึงได้พ่นลมหายใจเรียกสติตัวเองแล้วกวักมือเรียกแท็กซี่ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่า หลังต้นคอของตนเองเป็นรอยจ้ำช้ำๆ ของการจูบที่แสดงความเป็นเจ้าของ..
TBC.