ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558  (อ่าน 98348 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
มาอ่านตามแนะนำของอีกเรื่องค่ะ สำนวนดีแต่ชื่อเรื่องมันทำให้เราเกือบพลาดเรื่องนี้
แค่สองตอนแรกก้อติดจนอ่านรวดเดียวเลย อบอุ่นความรักสองพี่น้อง
ท้ายเรื่องมีมาม่าเพราะพี่ฮั่นคิดเยอะแต่ลงเอยด้วยดี น้องโดนจำกินแล้ว อิอิ
ขอหวานๆก่อนจบหลายตอนนะ คนเขียนสู้ๆ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
59. คริสต์มาส


เกรซขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อสบสายตาคมที่หันมาโดยบังเอิญ เขามองเธอนิ่งครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปคุยกับคุณเจมส์ต่อ  ภายใต้ท่าทียิ้มแย้มร่าเริงตามปกติของเขา  เกรซรู้ว่าเขาแสร้งทำเพื่อให้เธอไม่ต้องตอบคำถามกับพ่อแม่ สาวน้อยกำมือที่วางบนตักแน่นพลางคิดอย่างกังวล 
   
‘นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่’

เธอกับพีทตกลงจะหมั้นกันเพื่อให้เขายอมถอนตัวออกไป แต่เขากลับต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้าครอบครัวของเธอในวันคริสต์มาสจากคำเชิญของคุณพ่อ

“กับข้าวไม่อร่อยหรือลูก แม่เห็นลูกไม่ค่อยกินอะไรเลย”  คุณแม่หันมาถามอย่างห่วงใย  ทำให้เธอต้องรีบปฏิเสธแล้วตักอาหารกินไปคำหนึ่งเพื่อเอาใจผู้เป็นแม่และกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตน
 
สายตาเขามองมาอีกแล้ว  เกรซได้แต่ก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดอย่างไรบอกไม่ถูก  รู้สึกผิดต่อครอบครัวที่คิดจะปฏิเสธคนที่พ่อกับแม่หาให้  รู้สึกผิดต่อนายแคนกับสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

หลังอาหารมื้อค่ำที่ผ่านไปด้วยความกระอักกระอ่วน  พ่อกับแม่ก็ขอตัวไปจิบชากันสองคนในห้องดูหนังส่วนตัวเพื่อเปิดโอกาสให้เธอและคู่หมั้นมีโอกาสได้พูดคุยกันทั้งที่มันไม่จำเป็นเลย  เพราะเธอกับเขาคงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วในเมื่อเธอเป็นคนขอให้เขาถอนหมั้นแต่ดูท่าทางแคนจะไม่คิดเช่นนั้น

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณอึดอัดที่ต้องมาทำตัวเป็นคู่หมั้นของคุณในวันนี้ ทั้งที่ผมควรจะบอกพ่อกับแม่คุณเรื่องที่เราจะถอนหมั้นกัน  ผมเสียใจที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”

น้ำเสียงที่พูดมาไม่มีร่องรอยของการประชดประชันเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าเขานิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด

“ผมมีเรื่องจะตกลงกับคุณ”   

“เรื่องอะไรคะ”

เกรซเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเขาบอกว่ามีเรื่องจะตกลง ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?

เขามองหน้าเธออยู่ครู่  ดวงตาคมที่มองมากำลังไหวระริกราวกับเขาต้องกลั้นใจอย่างมาก

“ผมรู้ว่าคุณอึดอัดที่ต้องหมั้นหมายกับคนที่คุณไม่ต้องการแต่คุณจำเป็นต้องทำเพราะพ่อกับแม่เป็นห่วง  ผมจะไม่ทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว  คุณไม่จำเป็นต้องหมั้นกับพีทก็ได้เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ได้รักพีทอยู่ดี  พวกคุณเป็นเพื่อนกันแล้วผมก็แน่ใจว่าพี่ฮั่นคงไม่ยอมแน่  คุณแค่ต้องการอิสระใช่ไหม”

“ผมจะให้ของขวัญคริสต์มาสคุณ  ผมจะให้อิสระคุณเอง  ผมจะไม่มาวุ่นวายอะไรกับคุณอีก  คุณอยากทำอะไรหรือจะคบใครก็ตามใจคุณ ผมจะไม่ห้ามแต่ผมจะไม่ถอนหมั้น  ปล่อยให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเราเป็นคู่หมั้นกันเหมือนเดิมคุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาใครต่อใครมาหมั้นกับคุณอีก  เพราะถึงแม้ไม่ใช่ผมหรือพีทพ่อแม่คุณก็ต้องหาใครคนอื่นมาให้คุณอยู่ดี   คุณเลี่ยงมันไม่ได้ซึ่งผมก็คิดว่าคุณเข้าใจดีอยู่แล้ว...”

“วันข้างหน้า ถ้าคุณรักใครสักคนที่คุณต้องการอยู่กับเขา  คุณค่อยมาบอกผมก็แล้วกัน  ผมจะถอนหมั้นให้”

“ผมสัญญา”

เกรซนิ่งตะลึงไปกับสิ่งที่เขาพูด 

‘นายนี่มันเอาแต่ใจจริง ๆ  จะคิดจะทำอะไรไม่เคยถามฉันสักคำ อยากจะหมั้นก็ประกาศหมั้น อยากจะไปก็ไป เคยถามความเห็นฉันบ้างไหม ฉันโกรธคุณเพราะคุณมันคิดเองเออเองนี่แหละ’

“เพียงเท่านี้แหละที่ผมอยากจะบอก”

แคนมองหน้าคู่หมั้นของตนเองคล้ายกับจะเป็นการลาจากนั้นขยับตัวเดินจากไป  เกรซที่กำลังอึ้งจึงเพิ่งรู้สึกตัว

“เดี๋ยว...นาย”

ไม่ทันแล้ว  ร่างสูงของคู่หมั้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นนั้นไปแล้ว  และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย





ในขณะที่คู่หมั้นกำลังตกลงกัน   อีกสองคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็กำลังตกลงกัน

“พี่ฮั่นช่วยผมคิดหน่อย ผมจะบอกเกรซยังไงดี”

คนเป็นน้องนอนคว่ำอยู่บนเตียงกว้าง วางคางเรียวของตนบนหมอนนุ่ม  เอ่ยถามคนพี่ที่วุ่นวายแกะของขวัญกองใหญ่อยู่ที่พรมหน้าเตียง 

หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วความจริงบางสิ่งก็ค่อยกลับเข้าสู่สมองของน้องชาย เมื่อนึกได้ว่าตัวเองกับเกรซตกลงอะไรกันไว้  ใบหน้าพีทเป็นกังวลเมื่อคิดว่าต้องถอนคำพูดตัวเองทั้งที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงเดือน

‘แย่ชะมัด ก็ตอนนั้นพี่ฮั่นบอกว่าเป็นพี่น้องกันนี่ แต่ดูตอนนี้สิ  ตอนนี้พี่ฮั่นทำอะไรกับเขาไว้แล้วยังไม่สนใจจะช่วยเขาอีก’

เขามองไปที่พี่ชายที่ขะมักเขม้นแกะของขวัญอย่างตั้งใจ ของขวัญชิ้นแรกที่พี่ฮั่นแกะออกจากกล่องเป็นหมวกสีแดง  พี่ชายลองสวมทันทีแล้วเอียงหมวกไปมาเพื่อเช็คว่ามุมไหนดูดีที่สุดดูเหมือนเด็กโข่งได้ของขวัญยังไงยังงั้น   

น้องชายแอบอมยิ้มที่เห็นพี่ฮั่นดีใจขนาดนั้นเพราะเขาก็ดีใจมากเหมือนกัน

คนพี่นั้นแทบไม่สนใจจะตอบคำถามเพราะกำลังดีใจกับของขวัญเกือบสามสิบชิ้นที่กองอยู่ตรงหน้า  หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาอยู่บนเตียงพูดคุยกันอยู่นานเขาก็ทวงของขวัญคริสต์มาสจากน้อง   



“พี่ให้ของขวัญคริสต์มาสพีทแล้ว  ไหนล่ะของขวัญของพี่”   

พีทมองหน้าเขาอย่างรู้ทัน  รู้ดีว่าถ้าตัวเองไม่มีของขวัญให้พี่ชายแล้วพี่ชายคงหาโอกาสขอ ‘ของขวัญพิเศษ’ เองแน่  น้องยิ้มให้เขาแต่หลบตา  ยกมือปัดผมตัวเองไปมา  อาการแบบนี้ทำให้เขาประหลาดใจ

พีทเขิน?

“ของขวัญของพี่อยู่ในห้องผม”  พีทว่า ใบหน้าเริ่มซับสีเลือดขึ้นทีละน้อย

“พี่ไปเอาเองได้ไหม อยู่ในลังไม้ใต้เตียงนะ”  พีทพูดเสียงอู้อี้เมื่อซบหน้าลงกับหมอน ชี้ไม้ชี้มือไปทางห้องนอนของตน

‘เอ๊ะ ทำไมต้องเอาของขวัญไว้ใต้เตียงด้วยล่ะ?’ 

เขามองคนที่ซุกหน้ากับหมอนใบใหญ่ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามแต่น้องไม่ยอมตอบอะไรอีก  ดังนั้นขายาวของเขาจึงก้าวออกจากห้องไปยังห้องน้องชาย  คำตอบรออยู่ใต้เตียงตามที่พีทบอก  แต่ลังไม้ที่ลากออกมานั้นทำให้เขาประหลาดใจอย่างที่สุด  ลังไม้นั้นสูงประมาณสามสิบเซนติเมตรกว้างขนาดแรมโบ้ลงไปนอนในนั้นได้

‘ของขวัญคริสต์มาสของเขาอยู่ในนี้งั้นเหรอ?’ 

เขายกลังไม้นั้นกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง มันหนักพอสมควร
 
พีทเงยหน้าจากหมอนเมื่อได้ยินเสียงเขาเดินกลับเข้าห้อง  มองมาที่ลังไม้นั้นแล้วก็ยิ้มเขิน

“อะไรน่ะพีท ทำไมต้องเก็บในลังนี่ด้วย ทำยังกับหีบสมบัติ”  เขาถามอย่างสงสัย

“ก็หีบสมบัติน่ะสิ ของขวัญของพี่เป็นสมบัติที่มีค่าของผม”   

เขาวางลังไม้อัดบนพรมหน้าเตียงก่อนจะเปิดฝาไม้นั้นออก กวาดสายตามองดูของทุกชิ้นที่วางอยู่ในนั้นอย่างแปลกใจ

‘ของขวัญ? ทำไมเยอะขนาดนี้ล่ะ?’ 

กล่องของขวัญหลายกล่องวางอยู่ในนั้น มีหลายขนาด ห่อด้วยกระดาษสีสดใสที่เริ่มซีดจาง มือใหญ่หยิบกล่องหนึ่งขึ้นมาดู

การ์ดบนกล่องนั้นเขียนว่า “Merry Chirstmas 2009”

เขาหยิบอีกกล่องขึ้นมาอีก

การ์ดบนกล่องอีกใบเขียนว่า  “สุขสันต์วันเกิดปีที่ 19”

อีกกล่องเขียนว่า   “...สุขสันต์วันเกิดปีที่ 22...”

อีกกล่องหนึ่ง  “Happy New Year 2010”

เขาเงยหน้ามองน้องอย่างประหลาดใจ

“ของขวัญของพี่ตั้งแต่พี่ไปอังกฤษ  ผมอยากจะให้พี่แต่พี่ไม่กลับมา  ผมก็เลยเก็บมันไว้”  น้องชายบอกแล้วก็หลบตา

“หมดนี่  เป็น..เป็นของขวัญที่พีทจะให้พี่แต่เก็บไว้งั้นเหรอ”   เขาถามพลางชี้ไปที่ลังไม้ตรงหน้า

“ครับ” พีทพยักหน้า ซบหน้าลงกับหมอนอีก  หน้าแดงจัด

“โอ๊ยพี่! ผมหนัก”

พีทโวยวายไม่จริงจังนักเมื่อเขากระโดดขึ้นเตียงโถมเข้ากอดน้องทั้งตัว  พวกเขากลิ้งไปมา  เขารัดร่างน้องชายไว้แน่น

“พีท-พีท   พีท-พีท”  เขาเรียกน้องด้วยความดีใจแกมขัดเขิน

สิ่งของที่เห็นยังไม่เท่ากับความรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้รู้ว่าพีทไม่เคยลืมวันสำคัญของเขา  พีทแสดงออกมาตลอดว่าโกรธเขาอยู่  แต่กลับมีของขวัญวันเกิดให้เขาทุกปี  แม้จะไม่ได้ให้เขาแต่น้องก็เก็บไว้ 

ดีใจ  ความรู้สึกนี้อาบไปทั้งตัว 

“พีท น่ารักจัง” 

เขาว่าแล้วก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าน้องชาย   ทำเสียงจ๊วบจ๊าบไปด้วย  พีทพยายามส่ายหน้าหนีแต่ก็หนีไม่พ้นเพราะเขาจูบลงไปทุกที่ ในที่สุดน้องก็พลิกตัวขึ้นมาทับเขาไว้ ใช้ศอกทั้งสองข้างยันที่นอน  ยกหน้าตนเองขึ้นเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรได้

“ดีใจจังเลย”

เขาบอกพลางยิ้มกว้าง ยกมือแตะข้างแก้มแล้วสอดมือของตนไปตามเส้นผมนุ่มของน้องชาย ใช้นิ้วโป้งไล้เบา ๆ  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับพีทเพียงคนเดียว มืออีกข้างกอดร่างที่อยู่ด้านบนไว้ มองใบหน้าคนที่เขารัก
 
‘พีทจะรู้ไหมนะว่าเขามีความสุขขนาดไหน’ 

สายตาที่เปี่ยมด้วยความสุขของพี่ชายทำให้พีทที่มองอยู่รู้สึกเขิน  เพราะเขาเองก็มีความสุขที่เห็นพี่ฮั่นมีความสุขเช่นกัน

“อะไรเล่า ก็พี่ยังเคยฝากแรมโบ้มาให้ผมเลย” พีทว่าก่อนจะหลบตา เปลี่ยนมาทิ้งตัวซบไว้บนร่างหนาของพี่ชาย เท้าคางไว้บนมือข้างหนึ่ง ใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กัน

“ผมดีใจที่ได้ให้ของขวัญพี่ ไม่ต้องแอบเก็บไว้อีก” พีทพูดพลางเลื่อนมือไปแตะข้างแก้มของพี่ฮั่น ลูบไปตามคางพี่ชายแผ่วเบา มองสบตา

“รู้ไหมว่าผมดีใจมากขนาดไหนที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันอีก”

สัมผัสของน้องชายช่างนุ่มนวล  เขาชอบที่พีททำแบบนี้  มันทำให้เขารู้สึกดี
 
“ไม่รู้หรอก พีทก็ทำให้พี่รู้สิ”

พี่ชายว่าเสียงเบาลง  ดวงตาแพรวพราวอย่างมีความหมาย เขาคาดว่าพีทคงจะเขินกับคำพูดแฝงความนัยของเขาแต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อน้องก้มลงมา

เขาหลับตาลงเมื่อจูบอ่อนโยนของน้องชายแตะลงที่หน้าผาก พีทลากริมฝีปากแตะเพียงแผ่ว ๆ ไปตามสันจมูก หยุดนิ่งเหนือริมฝีปากเขาครู่หนึ่ง ทำให้เขารอคอยจนต้องลืมตาขึ้นมา และเมื่อตาสบตาทุกอย่างรอบกายเหมือนเลือนหายไป หัวสมองเขาว่างเปล่า มีเพียงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่ส่งมาก่อนที่น้องชายจะกดจูบที่ริมฝีปาก   

เขาหลับตาลงอีกครั้ง กระแสความรู้สึกบางอย่างไหลผ่านริมฝีปากนุ่มที่บดคลึงอยู่แทรกซึมไปทั่วร่าง ทำให้เขาเกิดความปิติ อิ่มเอิบใจ  เขาปล่อยให้น้องชายเป็นฝ่ายสัมผัส  ผ่อนคลายร่างกายตามสบายเพื่อรับความรักที่ถ่ายทอดผ่านริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างเต็มที่  พีทเคลื่อนริมฝีปากช้า ๆ  บดริมฝีปากนุ่มกับเขาเบา ๆ ก่อนจะเพิ่มแรงมากขึ้นทีละนิด

“อืม” 

เขาครางในลำคอกับความรู้สึกรัญจวนใจจนต้องกอดน้องชายที่ซบอยู่บนร่างเขาไว้แน่น  พีททำให้เขารู้สึกวูบวาบในช่องท้อง มือของน้องชายลูบไปตามเส้นผม  ลำคอ  ใช้นิ้วโป้งดันปลายคางเขาให้เงยขึ้นอีกนิดเพื่อให้ริมฝีปากได้แนบสนิทกันมากขึ้น
 
จูบนี้ช่างอ่อนหวาน  สัมผัสเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรัก  นุ่มนวลและลึกซึ้ง ลิ้นนุ่มแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปากก่อนจะสอดมาภายใน ตวัดพัวพันกับลิ้นเขาเพียงนิดอย่างหยอกล้อแล้วถอยไป 

พีทกดริมฝีปากนุ่มลงอีกครั้งเนิ่นนาน  ยังรู้สึกเหมือนมันผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองเมื่อพีทผละไป

ความรักที่ส่งมานั้นยังไหลวนอยู่ทั่วร่าง  เขาใช้เวลาซึมซับมันไว้ในใจก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ  สายตาน้องชายที่มองมาบอกทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้แล้วว่าพีทยินดีเพียงใดที่เขากลับมาอยู่ข้างกายน้องอีกครั้ง

“พีทอ่า..”

กลับกลายเป็นว่าเขาเขินซะเอง




“พี่ฮั่น  ได้ยินที่ผมถามไหม” 

พีทถามย้ำอีกครั้งเมื่อพี่ชายยังไม่มีทีท่าจะตอบคำถาม ตอนนี้พี่ฮั่นใส่หมวกสีแดง  สวมสร้อยเงินเส้นยาวที่มีจี้เป็นตัวอักษร H ขนาดใหญ่  ใส่นาฬิกาที่ข้อมือทั้งซ้ายและขวา  พีทจำของขวัญของตัวเองได้ทุกชิ้น  เวลานี้พี่ฮั่นกำลังแกะของขวัญคริสต์มาสเมื่อสองปีที่แล้วและพี่ชายคงไม่รีรอที่จะลองสวมรองเท้าหนังสีดำหุ้มข้อนั้นทันที

“ช่วยไม่ได้นี่  นายอยากผูกเรื่องขึ้นมาเองก็แก้เองสิ  จะมาให้พี่ช่วยทำไม”

พี่ชายว่าแล้วทำท่าไม่สนใจ เมื่อกำลังลุกขึ้นเดินไปมา หลังจากลองสวมรองเท้าหนังที่ดุนด้วยกระดุมสีเงินเป็นลวดลายแปลก  ใบหน้าพี่ชายสดใสเพราะได้ของขวัญถูกใจ 

“พี่อ่ะ  มันก็เพราะพี่นั่นแหละ ถึงทำให้ผมตกลงหมั้นกับเกรซน่ะ”

“อ๋อ  งั้นก็ยอมรับแล้วสิว่าตอนนั้นจะหมั้นกับเกรซประชดพี่ใช่ไหม” 

พี่ชายหยุดเดินแล้วหันมาทางเขา ยกมือกอดอกแล้วยิ้มเยาะ

“เอ่อ ไม่ ไม่ใช่นะ ผมแค่คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ต่างหาก พี่อย่าคิดเข้าข้างตัวเองสิ  ตอนนั้นผมไม่สนพี่แล้วตะหาก”

“จริงเหรอ”   พี่ฮั่นเดินกลับมาทรุดตัวนั่งบนเตียงใกล้กับเขาที่นอนขวางเตียงอยู่

“จริง” เขายืนยัน ทำหน้าจริงจังทั้งที่ความจริงแล้วก็แอบยอมรับกับตัวเองอยู่ลึก ๆ ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตกลงจะหมั้นกับเกรซก็เพราะพี่ฮั่นนั่นแหละ

พี่ฮั่นส่ายหน้าราวกับไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย  วางมือใหญ่บนหัวเขาแล้วโยกไปมาราวกับเขายังเป็นเด็ก

“ไม่ต้องบอกเกรซหรอก พี่บอกแคนแล้วให้จัดการเรื่องนี้เอง  มันเป็นเรื่องของเขาสองคน คนนอกอย่ายุ่งเข้าใจไหม”

พี่ฮั่นพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผาก ‘คนนอก’  ออกแรงผลักเบา ๆ  อย่างหมั่นไส้

“พี่อ่ะ ผมตั้งใจดีนะ แค่อยากช่วยเพื่อนเท่านั้นเอง ก็เกรซเศร้าขนาดนั้น  ถ้าไม่หนักหนาจริง ๆ เกรซไม่เล่าให้ผมฟังหรอก” เขาตอบ รู้อยู่หรอกว่ามันเรื่องของคนสองคนแต่ตอนนั้นเขาเองก็สับสนวุ่นวายใจอยู่นี่นา ใครจะไปคิดอะไรออก

“ยังไงเราก็ไม่ควรไปยุ่ง รู้ไหม คราวหน้าห้ามนะ พี่ไม่ยอมให้พีทไปหมั้นกับใครแน่”

“ทำไมผมจะต้องเชื่อพี่ด้วยล่ะ”  พีทพลิกไปนอนหงาย  เอียงหน้าไปมองพี่ชาย  หน้างอเมื่อโดนพี่ฮั่นว่า

“ก็พีทเป็นของพี่นี่  ต้องเชื่อฟัง”

“อ๊า...”

พี่ฮั่นพูดอะไรเนี่ย พีทพลิกหน้าหนีเพราะกำลังเขินแต่พี่ฮั่นกลับจับไหล่เขาทั้งสองข้างกดไว้กับเตียง  ก้มลงมาจนชิดก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแฝงความหมาย

“หรือต้องให้ทบทวนไหม  พี่ไม่เกี่ยงหรอกนะ  จะทบทวนท่าไหนก็ได้ทั้งนั้น”

พี่ชายหยุดการแกะของขวัญของปีก่อนไว้ชั่วคราว แล้วหันมาเรียกร้องของขวัญคริสต์มาสของปีนี้จากน้องแทน 

“เฮ้ย  พี่  ไม่เอา  พี่  ไม่เอา  พีทไม่...”

พีทไม่มีโอกาสปฏิเสธ  ได้แต่คิดอยู่ในใจคนเดียว 

‘พี่ฮั่นนะพี่ฮั่น  ระวังตัวให้ดีเถอะ  พีทเอาคืนแน่’





---------------------------------


ขอโทษที่หายไปนานค่า  อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ  ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  จุ๊บๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:


ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
60. หึง



“ดีใจจังเลย  คุณชายกลับมาดีกันแล้ว” 

สาวสวยผิวขาวจัดหนึ่งในสามสาวพูดขึ้นทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งในร้านกาแฟขนาดเล็กใกล้โรงแรม สถานที่ที่พวกเธอทั้งสามนัดเจอกับพี่โดมเสมอเวลาพักกลางวันหรือหลังเลิกงาน

“นั่นสิ  มีอะไรดี ๆ  รึเปล่าคะพี่โดม  คุณชายพีทน่ะ  ยิ้มหวานตลอดเลย  พวกสาว ๆ แผนกอื่นแทบจะทำงานกันไม่รู้เรื่องแล้ว นี่ฝากมาถามกันใหญ่เลย”

สาวน้อยคนที่สองถามขึ้นมาบ้าง  เธอสังเกตเห็นได้ก่อนใครเพราะเธอฝึกงานอยู่ที่ล็อบบี้

วันแรกของการทำงานหลังจากหยุดคริสต์มาส  คุณชายทั้งสองคนเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  สดใส  พูดคุยกันตลอดเวลาแทบไม่สนใจใคร  ไม่ใช่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็น ใครต่อใครที่อยู่ในห้องโถงนั้นต่างก็จ้องมองไปที่คนทั้งคู่แล้วลอบยิ้มให้กัน   

“เอ่อ..”  โดมเป็นคนที่รู้ดีที่สุดแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“ดีกันแล้วมั้ง” เขาว่าพลางยิ้มอย่างยินดีที่ทั้งสองคนกลับมาดีกันเหมือนเดิม  เขาเห็นหน้าตาสดใสของพีทแล้วก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย นึกไปถึงตอนที่เห็นพีทเดินยิ้มกว้างเข้ามาที่แผนกตอนเช้า 


สายตาเปล่งประกายอย่างคนมีความสุขของพีทที่เขาไม่ได้เห็นมานานทำให้เขาเอ่ยถาม

“ผมกับพี่ฮั่นเข้าใจกันแล้ว”

พีทตอบคำถามแต่ก้มหน้าก้มตามองดูรองเท้าตนเองท่าทางพิรุธ

“เข้าใจว่าไงล่ะพีท”

ความจริงก็เดาได้ไม่ยาก ก็หน้าตาอิ่มสุขขนาดนี้ รอยยิ้มแบบนี้ มีแต่พวก ‘อินเลิฟ’  เท่านั้นแหละที่เป็นกัน

“ก็  ก็  ก็เข้าใจก็คือเข้าใจไงพี่โดม  แค่นี้แหละ”

พีทยังคงหลบตาเขา  ยกมือปัดผมตัวเองไปมา 

เขินขนาดนี้ ยังจะบอกว่าแค่นี้งั้นเหรอ เสียดายที่ริทไม่อยู่ตรงนี้ ไม่งั้น เขาคงได้รู้รายละเอียดทุกขุมขนเลยแหละ ใครที่โดนริทซักแล้วไม่หลุดความจริงนี่  ต้องระดับจารชนเท่านั้น     



โดมคิดแล้วก็ส่ายหน้ากลมของตัวเอง 

“ช่างเถอะ  เห็นคุณชายดีกันแล้วพวกเราก็ดีใจไปด้วย”  สาวคนที่สามพูดบ้าง  ทำให้โดมแอบโล่งใจที่ไม่ต้องคิดหาคำตอบอะไรอีก

“พี่โดม พวกเราฝึกงานเสร็จแล้วจะได้เจอกันอีกไหม แต่เราคิดว่าจะกลับมาสมัครงานที่นี่ล่ะ อยากอยู่ดูคุณชายพีทไปนาน ๆ” 

สาวคนแรกหันไปถามโดมที่นั่งยิ้ม  ท้ายประโยคเธอหันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคน

“เราก็คิดจะมาสมัครที่นี่เหมือนกัน  ดีจังเลยพวกเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม....”

อีกสองสาวที่เหลือตอบรับทันที  สีหน้ายินดีที่ความคิดของพวกเธอตรงกัน 

โดมละความคิดเรื่องพีทไว้ก่อน หันมาพูดคุยกับสามสาวเรื่องอนาคตของพวกเขาต่อไป


-----------------------------------




คุณชายคนน้องที่คนทั้งโรงแรมแอบเฝ้ามองกลับไม่ได้กำลังยิ้มหวานเหมือนที่สามสาวกล่าวถึง พีทกำลังนั่งหน้าบูดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของรองประธาน เขากำลังรู้สึกว่าเขาคิดผิดที่ให้โบนัสคุณเดซี่เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับมัลดีฟส์พร้อมที่พักและพ็อกเก็ตมันนี่  เป็นรางวัลที่เธอส่งตารางนัดของพี่ฮั่นให้เขาช่วงที่เขาตามติดพี่ฮั่น  ที่คิดผิดเป็นเพราะว่าพี่ฮั่นรีบอนุมัติให้คุณเดซี่พักร้อนยาวถึงสิบวัน แล้วออกคำสั่งให้เขามาทำหน้าที่เลขาแทน 

เขาต้องติดตามพี่ฮั่นออกไปข้างนอกแทบทุกวันเพื่อไปพบลูกค้า เข้าประชุมกับผู้บริหารระดับสูง จดบันทึกการประชุม จัดตารางนัดหมาย จัดเตรียมเอกสารมากมาย  เขาเพิ่งรู้ว่าพี่ฮั่นมีงานมากมายขนาดไหน  นอกจากงานบริหารโรงแรมทั้งหมดแล้วพี่ฮั่นยังต้องดูแลกิจการด้านอื่นของพ่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนร่วมกับครอบครัวของเกรซ  ธุรกิจอาหารส่งออกที่เป็นหุ้นส่วนกับคุณปีเตอร์  พ่อของพี่แคน  และยังมีธุรกิจโลจิสติกส์ที่ส่งออกสินค้าไปทั่วโลกซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของพี่ฮั่นเอง
 
เวลาพี่ฮั่นออกไปพบลูกค้า  ไปประชุมหรือไปตรวจโรงแรมสาขาอื่นพี่ฮั่นก็พาเขาไปด้วยทุกครั้ง  ทั้งที่เขาไม่เคยเห็นพี่ฮั่นพาคุณเดซี่ไปไหนด้วยเลยสักครั้ง  พีททำงานจนหัวหมุนแทบไม่มีเวลาพัก  เพราะ ‘เจ้านาย’ ก็ทำงานตลอดเวลา  รับโทรศัพท์แทบทุกนาที  แต่ถึงแม้ว่าจะงานยุ่งขนาดไหน ‘เจ้านาย’ ก็ยังหาเวลามาคลอเคลียแนบชิดเขาเสมอ   แค่สั่งให้เขาขึ้นมาทำหน้าที่เลขาชั่วคราวก็ทำให้คนอื่น ๆ แปลกใจแล้ว  ‘เจ้านาย’ ยังบังคับให้เขามานั่งทำงานอยู่ในห้องรองประธานด้วยกันราวกับไม่อยากให้เขาคลาดสายตา เวลาออกไปข้างนอกพวกเขาก็ทำตัวปกติเหมือนเคยแต่พอกลับเข้ามาในห้องรองประธานทีไร....

พีทกัดริมฝีปากตัวเองเมื่อนึกไปริมฝีปากนุ่มที่จูบเขาเมื่อตอนบ่ายก่อนที่จะออกไปข้างนอก  ทั้งที่พอกลับบ้านพวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้วแต่พี่ฮั่นก็ไม่เคยเบื่อที่จะทำแบบนี้

แต่วันนี้พี่ฮั่นกลับออกไปเพียงคนเดียวแล้วสั่งให้เขารออยู่ในห้องทำงานจนกว่าพี่ฮั่นจะกลับ  เขารออยู่สามชั่วโมงแล้ว  พีททำงานที่ค้างไว้จนเสร็จนานแล้วพี่ฮั่นยังไม่ปรากฏตัว

‘ท่านรัฐมนตรีจะคุยอะไรกันนักกันหนาเนี่ย แล้วทำไมต้องนัดเป็นส่วนตัวขนาดนี้ถึงกับโทรมาหาพี่ฮั่นโดยตรง’

เกือบสองทุ่มแล้วเมื่อเสียงเปียโนที่คุ้นเคยดังขึ้น  พีทกดโทรศัพท์เพื่อรับสาย

“พีท พี่ขอโทษที่ให้รอนะ พีทกลับบ้านก่อนเลย  พี่คงจะกลับตอนนี้ไม่ได้  ปลีกตัวไปไม่ได้จริง ๆ  เจอกันที่บ้านนะ...”

พี่ฮั่นพูดมายืดยาวแล้วก็วางสายไปโดยไม่ให้โอกาสเขาตอบกลับแม้แต่คำเดียว  ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

‘อะไรเล่า แล้วมาบอกให้รอทำไมเนี่ย’ 


เขาบ่นกับหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปของพี่ฮั่นกำลังส่งยิ้มให้  แลบลิ้นใส่คนในโทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานใหญ่เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน  แต่เมื่อเดินไปที่หน้าล็อบบี้กลับต้องแปลกใจเมื่อพบออดี้จอดนิ่งสนิทอยู่  เคนส่งกุญแจให้พร้อมกับบอกสั้น ๆ
 
“คุณฮั่นให้คุณชายขับกลับบ้านครับ”

“แล้วพี่ฮั่นล่ะ”  พีทรับกุญแจมาพร้อมกับถาม

“รถโรงแรมจะไปส่งครับ”

คราวนี้พีทยิ้มกว้าง 

‘เสร็จเขาล่ะ พี่ฮั่นไม่อยู่ รถก็แรงขนาดนี้’

หลังจากใช้เวลาครู่ใหญ่ฝ่าการจราจรอันแน่นขนัดออกจากตัวเมืองได้  ออดี้คันงามก็ได้อวดสมรรถภาพอย่างเต็มที่ เมื่อพีทกำลังทดสอบระบบช่วงล่างที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกด้วยการเข้าโค้งซ้ายขวาด้วยความเร็วเกือบสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงไปตามถนนอันคดเคี้ยวที่มุ่งไปยังหาดส่วนตัวของเขาเอง

‘สมราคาจริง ๆ รถเกาะถนนดีเยี่ยม แรงและนิ่มไม่แพ้ Porsche  หรือ Ferrari  เลย’

เขายิ้มกว้างเมื่อขับพ้นจากโค้งช่วงสุดท้ายมาแล้ว อีกไม่นานถนนจะเป็นเส้นตรงยาวเกือบสี่สิบกิโลเมตรก่อนจะถึงหาดส่วนตัว
 
‘คอยดูเถอะ’ หนุ่มน้อยยิ้มก่อนที่จะเหยียบคันเร่งลงไปอีก 


----------------------------------------






ออดี้คันงามเลี้ยวเข้าประตูรั้วสูงใหญ่ด้วยความเร็วสูงแล้วหยุดลงทันทีด้วยระบบเบรกชั้นยอดตรงทางเดินเข้าบ้านริมสระ  คนขับลงจากรถอย่างร่าเริง ใบหน้าเรียวยิ้มกว้างเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ  เดินตรงไปหาเจ้าของรถที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยรออยู่นานแล้ว

“พี่ฮ่านนนน”

พีทยิ้มกว้างเข้าไปหาพี่ชายที่ยืนกอดอกนิ่ง  รู้ทันทีว่าพี่ฮั่นไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาหายไปนาน  แต่ยังยิ้มได้เพราะรู้อีกเช่นกันว่ายังไงพี่ฮั่นก็ไม่โกรธเขาหรอกเพราะพี่ฮั่นเอารถมาให้เขาขับเอง พี่ฮั่นต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องแอบขับไปลองเครื่องแน่  อีกอย่างใครที่ปล่อยให้เขารอเงกก่อนล่ะ

“กลับมานานแล้วเหรอคร้าบบบบ”  เขายื่นมือไปเกาะแขนพี่ชายไว้ เขย่าเบา ๆ ทำเสียงอ้อน

“นึกว่าจะนอนเสียที่หาดแล้ว” เจ้าของออดี้ว่า เหลือบตาเรียวมามองเขาที่เข้ามาเกาะแขนอยู่ข้างกาย

“ก็อยากจะนอนดูดาวที่โน่นเหมือนกัน  แต่กลัวว่าเจ้าของรถจะนอนไม่หลับเพราะกลัวออดี้คันโปรดจะมีรอยขีดข่วน”

“พีท”  เสียงเข้มของพี่ฮั่นเรียกเขา 

“พี่ไม่ได้ห่วงรถ พี่เป็นห่วงเราตะหาก” พร้อมคำพูดนั้นมือใหญ่ของพี่ฮั่นก็คลายออก เอื้อมมาจับหัวเขาไว้  โยกเบา ๆ  มองตรงมา

“จนป่านนี้แล้ว  ยังไม่รู้รึไงว่าสิ่งสำคัญที่สุดของพี่คืออะไร” 

พีทหลบตา เพราะความรู้สึกที่ส่งมาพร้อมกับคำพูดที่แสนอ่อนโยนกำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แปลกใจที่ยังทำตัวไม่ชินเสียทีกับการกระทำและคำพูดที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ฮั่น

“พีทไม่ได้กลัวพี่จะว่าเรื่องรถหรอก  ไม่ว่ายังไงพีทก็ต้องกลับมานอนบ้านอยู่แล้วเพราะพี่รู้ว่าพีทน่ะนอนคนเดียวไม่ได้แล้วต่างหาก  พีทจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีพี่นอนด้วยใช่ไหมล่ะ” 

คราวนี้พี่ชายก้มหน้ามาพูดใกล้ ๆ ยิ้มกว้าง  ดวงตาพราวระยับ

“โห พี่อย่ามาโมเมเอาเองสิ  ผมนอนคนเดียวมาตั้งนานทำไมผมจะนอนอีกไม่ได้  แล้วตอนนี้ผมก็ไม่อยากนอนกับพี่หรอก พี่ต่างหากที่....”   

พีทว่าแล้วก็หยุดไปเฉย ๆ เมื่อนึกได้ว่าเขาพูดอะไรออกไปก็ดูท่าทางจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองนัก  พี่ฮั่นกับเขาไม่เคยห่างกันสักคืนตั้งแต่....คริสต์มาส ไม่รู้ใครกันแน่ที่นอนคนเดียวไม่ได้ เขาจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองแล้วพี่ฮั่นยอมซะที่ไหน  คิดได้เท่านี้เจ้าตัวก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาซะงั้น   

“พี่นอนคนเดียวไม่ได้  รู้ก็ดีแล้ว  รู้แล้วก็ห้ามขัดใจเข้าใจไหม” 

มือใหญ่อบอุ่นเอื้อมมาจับคางเรียวของเขาไว้  บีบเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว  พูดจบพี่ฮั่นก็โอบไหล่เขาไว้แล้วดึงให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน

“พี่อ่า...”   พีทพูดได้เท่านั้นเอง   

เขาเอื้อมมือไปโอบเอวหนาของพี่ฮั่นไว้บ้าง ทั้งสองหนุ่มเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน 

เสียงพูดคุยดังแว่วภายในบ้านหลังน้อยริมสระทำให้ลุงหวังที่เข้ายามอยู่ยิ้มกว้างให้กับสองพี่น้องที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
 
และคนอีกสองคนที่ยืนมองอยู่ที่หน้าต่างบนห้องนอนของบ้านใหญ่   

‘พ่อกับแม่’ หันมายิ้มให้กันก่อนจะหันหลังให้หน้าต่าง  เดินกลับไปที่เตียงนอน





“พีทกินอะไรมารึยัง  พี่สั่งอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดของพีทมาด้วย  กินด้วยกันไหม” 

เมื่อเข้ามาถึงในบ้านแล้วพี่ฮั่นก็หันมาถาม

“พี่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”  พีทกลับแปลกใจ   

“ยัง  เก็บท้องไว้รอกินพร้อมพีทไง” 

พวกเขานั่งลงที่โต๊ะในครัวแล้วเริ่มต้นกินอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

“ท่านรัฐมนตรีมีธุระอะไรกับพี่เหรอ  ถึงได้ไปนานขนาดนั้นน่ะ” 

พีทถามขึ้นมาหลังจากที่พวกเขากินอาหารจนใกล้อิ่มแล้ว  พี่ชายชะงักมือที่กำลังจะคีบอาหารตรงหน้า วางตะเกียบแล้วหันไปคว้าน้ำชาขึ้นดื่ม

“ก็ไม่มีอะไรมาก ท่านแค่อยากเลี้ยงขอบคุณเป็นพิเศษเรื่องประชุมผู้นำเศรษฐกิจคราวที่แล้วน่ะ  เห็นว่าได้รับคำชมจากท่านนายกฯ ด้วยก็เลยเป็นปลื้ม  มาเลี้ยงขอบคุณพี่อีกที”

พีทเหลือบตามองพี่ชายครู่หนึ่งเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง  พี่ฮั่นมีท่าทีแปลกไป  แต่เขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งเสียเพราะดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาเป็นกังวลได้  ก็แค่ไปกินข้าวกับรัฐมนตรี

พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้ง  ต่างคนก็ต่างจัดการอาหารตรงหน้า  ครู่ใหญ่พี่ฮั่นจึงเอ่ยถามเขา

“พีท”

“ครับ”

“เรียนจบแล้ว  พีทจะทำอะไรต่อ”

พีทเหลือบตามองพี่ชายอย่างแปลกใจกับคำถาม

“ทำไมพี่ถึงถามแบบนั้นล่ะ ทำยังกับว่าผมมีทางเลือกงั้นแหละ  ถ้าผมบอกว่าจะไม่ช่วยงานพี่แล้วพี่จะอนุญาตรึเปล่าล่ะ”

“แล้วพีทจะทำอะไรล่ะ บอกมาสิ” พี่ฮั่นกลับย้อนถาม  มองเขาด้วยดวงตาจริงจัง

“ผม....” 

พีทหยุดมือที่กำลังจะคีบซูชิ  หลบสายตาพี่ฮั่นไปมองที่จานอาหารตรงหน้า เขากำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะบอกพี่ฮั่นอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิด  สิ่งที่เขาต้องการทำมาตลอด

“อยากเป็นนักร้อง?”

พีทเงยหน้ารวดเร็ว หันไปมองพี่ฮั่นที่ยิ้มบางมาให้ ประโยคนั้นแทงใจเขาอย่างแรง  พี่ฮั่นรู้เสมอว่าเขาชอบอะไรและอยากทำอะไร 

“พี่รู้ด้วยเหรอ”

“เรื่องของพีท  พี่รู้ทุกเรื่องแหละ...”  พี่ชายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน 

“พีทอยากทำอะไรก็ทำเถอะ พี่ไม่ห้ามหรอก พ่อกับแม่ก็เขียนบอกในการ์ดแล้วว่ายินดีกับทุกสิ่งที่พีทเลือก”

พีทมองพี่ชายอย่างประหลาดใจ  เขาไม่คาดคิดเลยว่าพี่ฮั่นจะอนุญาต  เพราะที่ผ่านมาพี่ฮั่นย้ำเสมอว่าเขาต้องรับผิดชอบกิจการของพ่อทั้งหมด

“พี่ไม่ห้ามผมเหรอ ก็ไหนที่ผ่านมาพี่อยากให้ผมดูแลกิจการของพ่อไง ทำไมคราวนี้ยอมให้ผมทำตามใจได้ล่ะ”

“ก็พีทตามใจพี่แล้วนี่  พี่ก็ต้องตามใจพีทบ้าง” 

พี่ฮั่นใช้แววตามองมาเพื่ออธิบายข้อความส่วนที่เหลือที่ไม่ได้เอ่ย

'อีกแล้ว  พี่ฮั่นชอบพูดแบบนี้อีกแล้ว  เรื่องที่เขาตามใจพี่ฮั่น...ก็เรื่อง...ใช่ที่ไหนล่ะ  เขาขัดไม่ได้มากกว่า แล้วทำไมหน้าเขาต้องร้อนด้วยเนี่ย'

“ไง ถ้ารู้แบบนี้ พีทคงจะยอมตามใจพี่ซะตั้งนานแล้วใช่ไหม” พี่ชายพูดเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย  ยิ้มเจ้าเล่ห์ 

“ถึงผมไม่ยอม พี่ก็ต้องตามใจผมอยู่ดี ผมรู้หรอกน่า”

พีทไม่ยอมหลบตาทั้งที่ก็เขินเช่นกัน  เขาหันหน้าไปมองพี่ฮั่น  สู้สายตากับพี่ชาย

เขารู้ดีว่าถึงแม้เขาจะไม่ไปช่วยงานพี่ฮั่นก็ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่แล้ว  คนที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ก็คือพ่อของเขาเอง  พ่อไม่ยอมวางมือแน่ถ้าไม่ไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวพี่ฮั่น  และพี่ฮั่นก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพ่อเขาคิดไม่ผิด พี่ฮั่นดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีเยี่ยม  อีกอย่างเขาก็รู้อีกเช่นกันว่าพี่ฮั่นก็ชอบที่จะเห็นเขาร้องเพลง เขารู้สึกถึงสายตาของพี่ชายเสมอเวลาที่เขาอยู่บนเวทีตั้งแต่ครั้งแรกที่พี่ฮั่นกลับมาแล้วแอบไปดูเขาร้องเพลงที่ร้านของเกรซด้วยซ้ำ

ในที่สุดพี่ฮั่นก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตา  พี่ชายแก้เขินโดยการใช้ตะเกียบคีบซูชิมาวางในจานให้เขาแทน
 
“ถ้าพีทต้องการให้พี่ช่วย เรื่องธุรกิจพี่จะดูแลให้  พีทก็ไปทำในสิ่งที่พีทชอบเถอะ พี่อนุญาต”

“จริงนะพี่ฮั่น  พี่พูดแล้วนะ”

“จริงสิ น้องพีท...”

คำพูดพี่ชายขาดหายเมื่อพีททิ้งตะเกียบโผเข้าไปกอดพี่ฮั่นไว้แน่นแล้วขอบคุณพี่ชายซ้ำไปซ้ำมา

พี่ชายยิ้มกว้างกับตนเอง ยกมือขึ้นกอดตอบพีทบ้าง  เพราะเขาก็มีความสุขที่เห็นน้องมีความสุขเช่นกัน



---------------------------------------------








รองประธานเหลือบดวงตาชั้นเดียวของตนมองไปยังน้องชายที่ยืนข้างกายเขา  พีททำหน้าเรียบเฉย  ท่าทีปกติ  แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ 

เสียงกริ่งของลิฟต์ดังขึ้นเมื่อเคลื่อนขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดของกลุ่มอาคารสำนักงาน  พีทเดินออกไปก่อน  เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงาน  เลขาหน้าห้องเงยหน้าขึ้นทักทายรองประธานและคุณชาย  พีทที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาเพียงแค่พยักหน้าให้

“รองประธานคะ เมื่อครู่คุณโรซาลีนมาขอพบค่ะแต่รองประธานไม่อยู่ เธอฝากข้อความไว้ค่ะ” 

เลขายื่นซองจดหมายสีชมพูหอมกรุ่นให้  เขาแอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวเมื่อยื่นมือไปรับซองนั้นมา พร้อมกับมือข้างหนึ่งของน้องชายสอดมาจับต้นแขนเขาไว้แน่น

“แล้วมีโทรศัพท์อีกสามราย  มาจาก....” 

เดซี่อ้าปากค้างเมื่อรองประธานถูกดึงตัวเข้าไปในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว  ประตูห้องทำงานปิดเสียงดังโครมใส่หน้าเธอทีเดียว














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2015 09:17:09 โดย Tigerintherain »

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ุ60. หึง (ต่อ)



“พีท??...”

พี่ชายนิ่วหน้าเมื่อถูกดึงเข้าไปในห้องทำงานกะทันหันด้วยแรงที่มากกว่าปกติ  พีทปิดประตู  ผลักเขากระแทกกำแพงจากนั้นโถมร่างเบียดเข้ามาจนชิด  เขาทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้น  ริมฝีปากน้องชายก็ประกบลงทันที

จูบรุนแรงนั้นทำให้เขางุนงงกับท่าทีของพีทที่เปลี่ยนไป รู้ทันทีว่าน้องชายกำลังรู้สึกอย่างไร  เพราะพีทไม่เคยจูบเขาอย่างนี้   น้องสัมผัสเขาด้วยความอ่อนโยนเสมอ   แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อไปพีทก็ผละริมฝีปากออก

“อ๊ะ!  พีท  อย่าสิ  เดี๋ยว  กะ....”

เขาพูดไม่ออกอีกต่อไปเมื่อต้องกัดฟันข่มเสียงครางของตัวเองไว้  เพราะริมฝีปากน้องชายกำลังจูบหนักหน่วงไปตามลำคอแล้วกลับมาเม้มแน่นที่ติ่งหู  ปากนุ่มบดเนื้ออ่อนบริเวณนั้นไปมา ลมหายใจร้อนที่รดหูทำให้เขาวูบไหว

เขาพยายามจะดันตัวน้องชายออกเพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก่อน  เขารู้ว่าพีทกำลังเข้าใจผิด  แต่น้องชายกลับจับข้อมือเขาไว้แน่นไม่ยอมให้เขาผลักออก  พีทกลับมาจูบเขาอีกครั้ง เขาได้แต่ปล่อยให้น้องชายเป็นฝ่ายทำตามใจ  อารมณ์รุนแรงภายในผลักดันให้พีทไม่อ่อนโยนเหมือนเคย 
 
ในที่สุดความรุ่มร้อนในอารมณ์นั้นก็ค่อยผ่อนลงเหลือเพียงริมฝีปากที่แตะกันนิ่ง  พีทแนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากเขา น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงแก้มทำให้เขาตกใจรีบยกมือขึ้นจับใบหน้าน้องออกเพื่อดูให้แน่ชัด 

พีทกำลังร้องไห้

“พี่เป็นของผม  ผมไม่ยอมยกพี่ให้ใครแน่!”

น้องชายพูดเสียงดัง  กลั้นสะอื้นไปด้วย  แววตาบ่งบอกอารมณ์โกรธและเสียใจ

“พี่เป็นของพีท” 

เสียงอู้อี้ของน้องชายบอกมาอีกเมื่อพีทกลับไปซุกหน้ากับไหล่เขา  เสียงสั่นน้อย ๆ น้องชายกำเสื้อสูทที่เขาสวมไว้แน่น

“พีท  ฟังพี่ก่อนนะ”  เขายกมือตัวเองลูบลงไปบนหลังน้องชายช้า ๆ   แขนอีกข้างกอดร่างที่ซบอยู่  กระชับแน่น

“พีทไม่ยอม พีทไม่ยอม”  เสียงอู้อี้ของพีทยังดังแว่วเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด

เขาปล่อยให้พีทซบอยู่แบบนั้น  รอให้น้องสงบลงเสียก่อน

แต่พีทไม่อาจสงบใจลงได้เลย  กลับดึงตัวออก  ถอยหลังไปสองสามก้าว  ยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองเหมือนเด็ก

“มันเรื่องอะไรกัน!!  พี่บอกมาสิ  ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครทำไมถึงบอกว่ากำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้ผม เขาจะแต่งงานกับพี่งั้นเหรอ!!??”

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขามาตั้งแต่ก่อนขึ้นมาบนห้องทำงานนี้  มันเกิดขึ้นทันทีที่ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูด

“เขาเป็นลูกสาวท่านรัฐมนตรี”  พี่ชายตอบเสียงเบา  ท่าทางหนักใจ

“พีท ใจเย็นก่อน ฟังพี่อธิบายก่อน”

แต่พีทเย็นไม่ไหวแล้ว  ใจเขาร้อนราวกับมีใครกำลังสุมไฟอยู่ภายใน

“ทำไมพี่ไม่เคยบอกผม  พี่รู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไร  พี่ไปตกลงกับเขาเมื่อไรแล้วเรื่องของเราล่ะ...”  พีทปาดน้ำตาอีก  “พี่ตั้งใจจะบอกผมตอนไหน  ถ้าผมไม่เจอกับตัวเองพี่ก็คงไม่บอกผมใช่ไหม!!”

“พีท  พี่เห็นว่ามันไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไร!!! ไม่มีอะไรงั้นเหรอ  ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะแต่งงานกับพี่  ยังบอกว่าไม่มีอะไรงั้นเหรอ!”  พีทตะคอกใส่พี่ชาย   

“พีท พี่ไม่ได้จะแต่งกับเขา..” พี่ชายยังคงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“ไม่งั้นเหรอ ไม่ได้จะแต่ง  แล้วที่พี่ไปกินข้าวกับท่านรัฐมนตรีเป็นนานสองนานนั่น  ไม่ได้ไปตกลงอะไรกันเหรอ  แล้วลูกสาวรัฐมนตรีที่เราเจอที่สวนกุหลาบเมื่อกี้เป็นอะไรกับพี่ล่ะ แล้วจดหมายเมื่อกี้อีก ผมนึกว่าเขาเป็น ‘แฟน’ พี่ด้วยซ้ำ!” 

พีทกระชากเสียงถามอีก  ใบหน้าเรียวมีแต่ความโกรธและความไม่เข้าใจ  เขาแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว  ผู้หญิงสวยเฉียบคนนั้นเดินตรงมาที่ซุ้มกุหลาบในสวนที่พวกเขานั่งจิบกาแฟกันอยู่  ทรุดตัวนั่งข้างพี่ฮั่นอย่างถือสนิท  ยิ้มโปรยเสน่ห์ทักทายพี่ฮั่นของเขายังไม่ทำให้เขาโกรธเท่ากับคำพูดต่อมาของเธอ  เขายังจำหน้าตาและคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาได้ดีทุกคำ  มันไหลวนในหัวเขาไปมาซ้ำ ๆ

เธอแนะนำตัวว่าชื่อโรซาลีน  หญิงสาวแต่งตัวเปรี้ยวสะบัดคนนั้นบอกว่ากำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้เขา  เขาได้แต่นิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น  หันไปมองหน้าพี่ฮั่นทันทีอย่างต้องการคำอธิบาย  พี่ฮั่นทำหน้ากระอักกระอ่วนแต่กลับไม่มีคำปฏิเสธ!

เขาโกรธ  กระแสความโกรธแล่นขึ้นจนจุกอก  พยายามอย่างมากที่จะควบคุมตัวเองให้เป็นปกติจนกระทั่ง ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ขอตัวกลับ  ทนเก็บอาการจนกระทั่งจวนจะถึงห้องทำงาน  แต่ความอดทนก็สิ้นสุดลงเพราะโรซาลีนคนสวยยังฝากจดหมายไว้ก่อนที่จะลงไปเจอพวกเขาที่สวนโดยบังเอิญ  แล้วพี่ฮั่นก็ยังรับจดหมายนั่นมา!

มากเกิน  มากเกินไป 

“พีท คุณโรซาลีนแค่เข้าใจผิด พี่ไม่ได้ตกลงอะไรกับท่านรัฐมนตรีเลย ถามพ่อก็ได้  วันนั้นพ่อกับแม่ก็อยู่ด้วย พ่อจะยอมได้ยังไงในเมื่อพ่อก็รู้ว่าพี่รักพีท พี่สัญญากับพ่อแล้วว่าจะดูแลพีท  พี่จะผิดคำพูดได้ยังไง”

“เข้าใจผิดงั้นเหรอ   แล้วพี่ไปทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดรึเปล่าล่ะ  ทำไมเขาถึงได้เข้าใจผิดอะไรขนาดนั้น”  พีทกระชากเสียงถามอีก  ยังไม่คลายความโกรธ

“เรื่องนี้พี่ก็ไม่รู้  แต่พี่ยืนยันได้ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากปฏิเสธท่านรัฐมนตรี  พี่บอกท่านไปแล้วว่าพี่มีคนที่พี่รักอยู่แล้ว” 

“พี่รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากพีท  พีทได้ยินไหม” เขาทอดเสียงอ่อน 

พีทนิ่งไป หันไปมองทางอื่น  ไม่ยอมมองหน้าพี่ชาย

“พีท พี่เคยโกหกพีทรึเปล่า”   

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา คนเป็นพี่มองหน้าบูดบึ้งของน้องชายแล้วถอนหายใจยาว  เรื่องนี้เขาก็หนักใจมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นร่วมงานกับท่านรัฐมนตรีเลยทีเดียวเพราะท่านรัฐมนตรีเอ่ยทักเขาตั้งแต่ครั้งแรกเลยว่าได้ยินชื่อเขามาจากลูกสาว

เขารู้จักโรซาลีนมาตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่อังกฤษ  เธอเป็นสาวสวยสุดเปรี้ยว  ฐานะลูกสาวรัฐมนตรีทำให้เธอใช้ชีวิตฟู่ฟ่า เอาแต่เที่ยวและปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่  เป็นสาวสังคมในมหาวิทยาลัยที่ใครก็รู้จักแต่ยังไม่เด่นเท่าเฌอเบลล์

โรซาลีนเป็นคู่แข่งกับเฌอเบลล์มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  เฌอเบลล์เคยเล่าให้ฟังว่าทั้งคู่ไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นและกลายเป็นคู่แข่งกันในทุกด้านตั้งแต่เรื่องเรียน  แฟชั่น  เครื่องแต่งกาย  การเข้าสังคม  แข่งกันแม้กระทั่งคู่ควงที่ทั้งคู่มักควงมาอวดกันเป็นประจำ  ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ทั้งสองคนแข่งกันเพื่อเอาชนะ

แต่ไม่เคยมีใครชนะใจเขาได้  เขาควงกับเฌอเบลล์เพราะคุณคริสนั้นรู้จักกับพ่อของเธอและพวกเขาก็พูดคุยกันถูกคอ  มีความคิดที่คล้ายกัน  เฌอเบลล์บอกกับเขาตามตรงว่าต้องการเอาชนะโรซาลีน พวกเขาตกลงคบกันชั่วคราวอย่างตรงไปตรงมา  แม้ว่าช่วงหลังเฌอเบลล์จะทำท่ามีเยื่อใยกับเขาอยู่บ้างแต่คนอย่างเฌอเบลล์พูดคำไหนคำนั้น  เธอไม่เคยผิดคำพูด 

ส่วนโรซาลีน เขาจดจำเธอได้เพียงแค่หน้าตาและรู้แค่ว่าเธอเป็นลูกสาวรัฐมนตรี  นอกจากนั้นแล้วเขาไม่เคยสนใจ  แต่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอกันอีก 

เขาไม่บอกน้องเพราะเรื่องพวกนี้ไม่อยู่ในหัวเขามาตั้งแต่แรก  คนที่เขาให้ความสนใจตลอดเวลามีแค่คนตรงหน้านี้เท่านั้น

ฮั่นเอื้อมมือไปดึงแขนน้องชายเข้ามาใกล้  พีทขืนตัวไว้แต่เขาก็ออกแรงดึงตัวน้องชายเข้ามาโอบไว้จนชิด  ใช้นิ้วโป้งไล้ไปบนแก้มเพื่อเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบาพร้อมกับเรียก

“น้องพีท”

พีทยังเงียบไม่ตอบอะไรแต่ความกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ลดลง

“รู้ไหมว่าพี่ชอบที่พีทเป็นแบบนี้  พี่ชอบที่พีทหวงพี่  มันทำให้พี่รู้ว่าพีทรักพี่มากแค่ไหน ใช่รึเปล่า พีทรักพี่ใช่ไหม”

“ไม่”  เสียงดื้อดึงของน้องชายตอบทันควัน 

“หืม?” 

เขาไล้นิ้วไปบนแก้ม  เลื่อนไปช้า ๆ ตามคางเรียว  ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแทบชนกัน  พีทถอยหนีแต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้เพราะเขากอดน้องอยู่ 

น้องชายถอนหายใจ  รู้ดีว่าโกหกตัวเองไม่ได้

“ไม่เคยไม่รัก  ผมรักพี่จนจะบ้าอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้ผมเสียใจผมไม่ยอมให้พี่รักคนอื่น...”

เสียงเงียบไปเมื่อเขายื่นหน้าไปแตะริมฝีปากน้องไว้ด้วยริมฝีปากนุ่มของตนเองเพื่อหยุดคำพูดถัดไป  จากนั้นจึงถอนออก  เขายิ้มแล้วเอ่ย

“ไม่เอา  น้องพีท  พี่ไม่เคยรักคนอื่น...”   

“รู้ไหมว่าพี่รักใคร?”   เขาหยุดแล้วมองตากลมที่แสนดื้นรั้นคู่นั้นก่อนที่จะพูดต่อ

“พี่รักคนที่ยืนทำหน้างออยู่ตรงนี้ต่างหาก  คนที่พี่รักน่ะเป็นคุณชายจอมเหวี่ยงแล้วก็ขี้โมโหขี้โวยวายที่สุดเลย...” 

เขาดึงมือทั้งสองข้างของพีทให้โอบไปรอบเอวของตัวเองเพื่อกอดเขาไว้บ้าง

“พี่รักคนที่โตแล้วแต่ยังกลัวผีอยู่  พี่รักเด็กดื้อ เอาแต่ใจ โกรธไม่เลิกแต่ยิงปืนแม่นชะมัด  แล้วก็รักพี่ชายที่สุดเลย ใช่ไหม พีทรักพี่ฮั่นใช่รึเปล่า บอกพี่อีกทีได้ไหม น้องพีท” 

เสียงอ่อนเอ่ยถามมาพร้อมกับยิ้ม ดวงตาส่งความหมาย

พีทมองสบตาเขา  เขาเห็นใบหน้าตัวเองอยู่ในดวงตาของน้อง

“พีท....”  เสียงน้องชายคล้ายกำลังลังเลก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นใจ
 
“พีทรักพี่ฮั่น  พี่ฮั่นของพีท..”  พีทว่าแล้วกลับไปซุกหน้าที่ไหล่พี่ชายอีกครั้ง เบียดตัวเข้าไปจนชิด  ถ้าแทรกตัวเข้าไปได้พีทคงจะทำไปแล้ว   

เสียงพึมพำตอบรับและท่าทีอ้อนนั้นทำให้เขายิ้มกว้าง  เวลาแบบนี้คือเวลาที่น้องต้องการความรัก  เขากอดน้องไว้  ก้มไปกระซิบที่ข้างหูพูดประโยคเดิมที่เคยพูดอยู่ทุกคืนอีกครั้ง  น้องชายพยักหน้ารับรู้กับไหล่เขายิ่งทำให้เขายิ้มมากขึ้น 

เขาพิงหลังตัวเองกับกำแพงด้านหลัง โอบน้องชายไว้พลางลูบหลังไปมา ปล่อยให้พีทซบอยู่นานเพื่อปลดปล่อยความโกรธให้ไหลออกไป เพื่อให้จิตใจคลายความร้อนรุ่มลง 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะก่อนที่พีทจะเอ่ย

“พี่ฮั่น” 

“ครับ”

“พีทขอโทษที่โมโห”  เสียงอู้อี้ของน้องพูดอย่างเคอะเขิน

“พีทก็รู้ว่าพี่ไม่เคยโกรธพีท ไม่เป็นไรนี่  พี่ยอมให้พีทไถ่โทษนะ”

เขาพูดแผ่วเบาแฝงความนัยที่รู้กันสองคน  พีทเบียดร่างเข้ามาหาอีกคล้ายจะตอบรับคำเสนอของเขา น้องชายกดจูบที่ซอกคอเขาคล้ายดังคำสัญญาก่อนจะกลับมาซบที่ไหล่  สัมผัสนุ่มละมุนนั้นทำให้เกิดกระแสอุ่นวิ่งวนไปทั่วร่าง  พีทไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้เขา ‘ร้อน’ ขึ้นมา

“พี่จะไม่แต่งงานกับเขาจริง ๆ ใช่ไหม”  พีทถามย้ำอย่างต้องการความมั่นใจ

“จริงสิ” เขายืนยันหนักแน่น  พยายามข่มความรู้สึกรุ่มร้อนของตนลงไปและตั้งสติกลับมาที่บทสนทนา 

‘ตอนนี้ยังไม่ได้  รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ’

“แล้วทำไมเขาถึงบอกผมแบบนั้นล่ะ  ถ้าพี่ไม่ไปตกลงกับเขาแล้วเขาจะพูดแบบนั้นได้ยังไง”

เสียงถอนหายใจของเขาทำให้คนที่ซบอยู่เงยหน้าขึ้นมอง 

“พี่ปฏิเสธท่านรัฐมนตรีไปแล้ว พี่บอกท่านแล้วว่าพี่มีคนที่พี่รัก คงไม่สามารถไปรักลูกสาวท่านได้อีก พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมโรซาลีนถึงยังเข้าใจแบบนั้น”

“แล้วพ่อว่าไงล่ะ พ่อก็รู้เรื่องของเรานี่นา”

“พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร  พ่อกับแม่เข้าใจว่าเรื่องคงจบแค่นี้  แต่หลังจากวันนั้นพี่ยังไม่ได้คุยกับพ่อเหมือนกัน  ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังรึเปล่า”

เรื่องการแต่งงานอาจจะแค่การเชื่อมความสัมพันธ์  เพื่อที่  ‘อะไร ๆ’ จะได้ง่ายขึ้นมากกว่า  เขาคิดว่าการแต่งงานนี้มันแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้นเองโดยมีผลประโยชน์มหาศาลเป็นวัตถุประสงค์หลัก  เพราะตอนนี้เขากับคุณเจมส์  พ่อของเกรซกำลังกว้านซื้อที่ดินโซน A และ B  ซึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้วเป็นแหล่งธุรกิจเสื่อมโทรมแต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแหล่งที่ดินที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเพราะมีข่าววงในว่ารัฐบาลวางแผนจะขยายเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจไปยังบริเวณเหล่านั้น  ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการตกลงลงทุนจากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจคราวที่แล้ว 

คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดและเป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ก็ไม่ใช่ใครอื่น  ท่านรัฐมนตรีคนนี้แหละ

ท่านอาจจะเล็งเห็นแล้วว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาและคุณเจมส์จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด และในเมื่อท่านมีอำนาจในการเซ็นอนุมัติ ทำไมท่านจะนิ่งเฉยรอให้พวกเขาได้ประโยชน์  ท่านก็คงอยากได้อะไรตอบแทนบ้าง 

แต่เขาคาดไม่ถึงว่าสิ่งตอบแทนที่ท่านอยากได้นั้นจะรวมถึงการพ่วงเขาไปเป็นลูกเขยด้วย

บุคคลผู้เป็นใหญ่ย่อมมองการณ์ไกลเสมอ  ท่านรัฐมนตรีคงมองมานานแล้ว  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงเมตตาเขามาก  เพราะนอกจากเขาจะสร้างผลประโยชน์แก่ท่านได้มหาศาลแล้ว  การเกี่ยวดองเป็นญาติในฐานะพ่อตาก็มีผลดีอย่างมากต่อชื่อเสียงและความมั่นคงทางการเงินและตำแหน่งของท่าน  ในเมื่อพ่อและพรรคการเมืองที่พ่อเป็นสมาชิกกำลังก้าวหน้าไปได้ดีในแวดวงการเมือง

โรซาลีนต้องมีส่วนในเรื่องนี้ด้วยแน่  บางทีเธออาจจะอยากเอาชนะเฌอเบลล์อีกครั้ง  เพราะตั้งแต่เฌอเบลล์มาดูงานที่นี่ก็มีข่าวซุบซิบในวงสังคมไม่เว้นแต่ละวันเรื่องที่เขาเอา ‘ว่าที่เจ้าสาว’  มาซุกไว้ที่โรงแรม

“เบื้องหลังอะไรพี่ฮั่น”

พีทถามมาอีกทำให้ความคิดเขาหยุดชะงัก  ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองเดือนเขาคงดึงพีทไปนั่งคุยกันที่โต๊ะทำงานอย่างละเอียด  พวกเขาคงนั่งถกกันเรื่องการลงทุน ความเสี่ยง อัตราการเติบโต อะไรต่อมิอะไรอีกยืดยาว แต่ตอนนี้หลังจากเขาอนุญาตให้พีททำตามใจตัวเองแล้ว เขาก็ไม่อยากเอาเรื่องปวดหัวพวกนี้ไปใส่ให้น้องคิดอะไรอีกจึงตอบเลี่ยง ๆ ไป

“พี่ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน พีทคิดว่านักการเมืองทำอะไรจะไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยงั้นเหรอ”

“ไม่ต้องห่วงนะ  พี่จะรีบแก้ไขอะไรให้เร็วที่สุด  พีทเชื่อใจพี่ไช่ไหม” 

ถามแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งลูบไปตามลำคอน้อง  สอดมือไปท้ายทอย  นวดเบา ๆ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง

“หืม?”  ครางในลำคอ 

“ครับ  พีทเชื่อใจพี่”  น้องชายตอบแล้วยิ้มให้หลังจากคลายความกังวลทุกอย่างลง

เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย  เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกนิดจนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกันแต่เขากลับหยุดไว้ 

เมื่อครู่นี้น้องระดมจูบเขาด้วยความโกรธ เอาแต่ใจ ตอนนี้เขากำลังรอให้น้องแก้ตัว 

พีทนิ่งไปนิดก่อนจะเข้าใจ  เอียงหน้าเล็กน้อยก่อนจะแตะริมฝีปากลงแผ่วเบา  น้องเป็นฝ่ายจูบเขาอีกครั้งแต่คราวนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

เขาอิงตัวกับกำแพงด้านหลัง  ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปกับสัมผัสนุ่มละมุน   



--------------------------------------------


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
พีทหึงน่ากลัวววว

ไม่ต้องกลัวนะพีท พี่ฮั่นรักใครไม่ได้อีกแล้วหล่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
คิดมากไปป่าวพีท พ่อแม่ก็รู้แล้วนี่นา ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
มีเรื่องเครียดเข้ามาอีกแล้ว
เฮ้อออออ

ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
61. เรื่องของคู่หมั้น


เกรซเดินคิ้วขมวดเข้ามาทางประตูหลังร้าน  ช่วงสองสามวันนี้เธอรู้สึกว่าที่นี่แปลกไปมาก  ผู้คนก็มาเที่ยวกันตามปกติแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันแปลก นักเที่ยวกลางคืนที่เดินไปมาบริเวณนี้ไม่ใช่วัยรุ่นอย่างเคย กลับเป็นกลุ่มวัยกลางคนท่าทางนักเลงเดินไปมาบริเวณด้านหน้าและรอบร้าน  บางครั้งบางคราวเธอก็เห็นพวกเขาจ้องมองมา  ทำให้เธอขนลุก

เมื่อเข้ามาภายในร้านแล้วเกรซจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก  รู้สึกปลอดภัยขึ้น  ร่างบอบบางเดินตรงไปบันไดด้านหลังเพื่อขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นบน

ตั้งแต่เธอมาซื้อกิจการที่นี่ไว้เมื่อปีก่อน  ผู้คนก็แห่กันมาเที่ยวที่นี่มากขึ้นจนทำให้เกิดร้านอาหารกึ่งผับและสถานบันเทิงหลายรูปแบบผุดตามมาเป็นดอกเห็ด จนตอนนี้ที่นี่กลายเป็นแหล่งบันเทิงดังของเมืองไปแล้ว  ตึกแถวที่เคยร้างรอบบริเวณนี้ก็เปลี่ยนโฉมไป  จากที่เคยเงียบสงัดกลายเป็นสถานที่ที่มีแต่ผู้คนและเสียงดนตรีคึกคักตลอดทั้งคืน
     
โชคดีที่เธอใช้เงินส่วนตัวซื้อที่ดินบริเวณนี้ไว้ทั้งหมด และปล่อยให้ร้านค้าที่นี่เช่าผ่านบริษัทส่วนตัวที่แอบจดทะเบียนเงียบ ๆ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยรู้  ทำให้ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญาเช่า  ซึ่งขณะนี้กำลังมีข่าวลือหนาหูว่าที่ดินแถบนี้กำลังถูกกว้านซื้อไปจากนายทุน 

‘หวังว่าคงไม่ใช่บริษัทของพ่อหรอกนะ’

คุณหนูเกรซ  ลูกสาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศคิดหนักอยู่ในใจ  เพราะเธอเป็นผู้หญิงพ่อจึงไม่เคยเล่าเรื่องงานของพ่อให้ฟังเลยสักครั้ง เพราะพ่อเห็นว่าหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเป็นเรื่องของฝ่ายชาย  ส่วนผู้หญิงก็แค่ทำหน้าที่แม่บ้านและดูแลลูกเหมือนที่แม่ของเธอปฏิบัติ แต่เธอไม่คิดเช่นนั้น  เธอชอบงานบริหารและอยากดูแลธุรกิจของพ่อด้วยตัวเอง  แต่พ่อไม่เคยเปิดโอกาส 

“คุณเกรซ”

เสียงเรียกด้านหลังทำให้เกรซชะงักเท้าที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดไปได้สองสามขั้น  หันกลับมา

“เอ่อ ชิน สวัสดีค่ะ”

สาวน้อยหันไปทักทายนักร้องหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ด้านล่าง  ใบหน้าคมของเขาที่เงยขึ้นมองดูเธอทำให้เกรซต้องรีบหลบตา เพราะตั้งแต่เขามาคุยกับเธอวันนั้นแล้ว  ชินก็ไม่เคยปกปิดสายตาเวลามองเธออีกต่อไป ดวงตาเขาแสดงความรู้สึกชัดเจน
 
“สวัสดีครับ  ผมแค่อยากมาทักทายคุณก่อน  แล้วอยากบอกว่าวันนี้ช่วยฟังเพลงแรกของผมด้วยนะครับ” 

ชินพูดแล้วก็ยิ้มให้ ใช้ดวงตาคมของเขาจ้องมาอีกจนทำให้เกรซเริ่มทำตัวไม่ถูก

“ผมมาบอกเท่านี้  ขอตัวนะครับ”




เพลงนั้นเป็นเพลงรัก  มีความหมายถึงการแอบรักผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเจ้าของแล้ว  หากรักที่ชายหนุ่มมีนั้นมากเกินจะตัดใจได้  เขาจึงตัดสินใจที่จะรอ  รอจนกว่าเธอจะหันมา

เกรซยืนมองนิ่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน  รู้สึกสับสน  ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เขาเจ็บปวด



หลังวันคริสต์มาส เธอมาที่ร้านด้วยจิตใจที่หนักอึ้งไม่สดใสเหมือนเคย 

“คุณเกรซ คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า ผมเห็นคุณดูเครียด ไม่ร่าเริงเลย”

“เอ่อ  ไม่  ไม่มีอะไรค่ะ”

“คุณมีปัญหากับ ‘เขา’ ใช่ไหม”  ชินกลับถามตรงประเด็น

เกรซถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด ชินคงเดาได้ไม่ยาก ในเมื่อเขาเคยเข้ามาขวางระหว่างที่เธอกำลังมีปัญหากับคู่หมั้นของตัวเอง
ตั้งแต่นายแคนเดินออกจากชีวิตเธอในวันคริสต์มาส เธอก็คิดมากจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ได้แต่ทนเก็บความอึดอัดของตนเองไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา และเมื่อชินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย  ความจริงใจของเขาก็ทำลายทำนบที่กั้นความคิดความรู้สึกทั้งหมดของเธอไว้  เธอทนเก็บมันไม่ไหวอีกต่อไปจึงตัดสินใจจะเล่าให้ใครสักคนฟัง

เกรซเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง  เรื่องการปลอมตัวมาเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน  การหมั้นหมายโดยไม่คาดฝันและความไม่เข้าใจระหว่างเธอกับคู่หมั้น 

“คุณแค่โกรธที่ถูกหลอกใช่ไหม  คุณโกรธที่เขาทำเหมือนคุณเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาจะทำยังไงก็ได้โดยที่ไม่ได้แคร์เลยว่าคุณจะรู้สึกยังไง ใช่ไหม  แต่คุณไม่ได้เกลียดเขา คุณแค่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง  มีความรักเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ”

คำพูดของชินทำให้เธอแปลกใจ  เขาเข้าใจเธอมากขนาดนี้  ในขณะที่นายแคน...

ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถามความเห็น ไม่เคยสักครั้งที่จะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร คิดแล้วเธอก็เจ็บปวด ทำไมต้องเสียใจแบบนี้นะ

“แล้วตอนนี้คุณจะคิดมากทำไมครับ ในเมื่อเขาเปิดโอกาสให้คุณแล้ว ก็แค่มีเขาเป็นคู่หมั้นไว้ให้พ่อกับแม่คุณสบายใจ  คุณน่าจะขอบคุณเขานะที่เขายอมขนาดนี้”

“ยกเว้นแต่ว่า....”

เกรซหันมองหน้าเขา  ชินดูเหมือนไม่อยากพูดเท่าไรนัก  แต่ในที่สุดเขาก็พูด

“ยกเว้นแต่คุณก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเขา คุณถึงเสียใจที่เขาทำท่าถอยห่างไป”

“เอ่อ ไม่ ไม่ เกรซไม่ได้คิดอะไรกับเขา” เจ้าของร้านสาวสวยหลบตา น้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อตอบคำถาม

“ไม่ได้คิดอะไร  แล้วทำไมถึงได้เศร้าแบบนี้ล่ะครับ”

“ไม่นี่ เกรซยังปกติเหมือนเดิม เกรซเกลียดนายนั่น เกลียดที่เขาไม่เคยถามไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น  ดีแต่ทำตามใจตัวเอง”

ใบหน้าคมสวยเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทระนง เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ  เธอไม่มีวันเสียใจให้กับคนที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอ

ท่าทีดื้อดึงและไม่ยอมรับความจริงของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ชินปวดใจอยู่ลึก ๆ แต่เขาฝืนยิ้ม  เกรซไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองปากไม่ตรงกับใจขนาดไหน  เขาเห็นแล้วก็แทบจะมั่นใจได้เลยว่าเขาหมดหวัง  แต่เขากลับมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา

“คุณไม่ได้รักเขา  ผมพูดถูกไหม”

“ชะ เอ่อ ใช่ค่ะ”

“งั้นคุณก็คงคบกับผมได้ใช่ไหม”

“เอ่อ อะไรนะ”

“ก็คู่หมั้นคุณเปิดโอกาสให้คุณมีอิสระที่จะคบกับใครก็ได้แล้วนี่  แล้วคุณก็ยืนยันแล้วว่าคุณไม่ได้รักเขา งั้นคุณก็คบกับใครก็ได้ คุณก็รู้แล้วว่าผมรู้สึกดี ๆ กับคุณ เราก็คบกันสิ”   ชินพูดมาหน้าตาเฉย 
 
แต่เกรซกลับรู้สึกว่าเขาเอาจริง

“ผมรู้ว่าคุณคงกำลังสับสน  ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมารักผม ที่ผมต้องการคือผมไม่อยากให้คุณปฏิเสธที่จะรับความรักและความหวังดีของผม แค่รับมันไว้  อย่าโยนมันทิ้งก็พอ”

“วันหนึ่งถ้าคุณรู้จักตัวเองดีพอ คุณค่อยมาปฏิเสธผมก็ได้ ผมจะไม่รั้งคุณไว้  เพราะคุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะรักหรือไม่รักใคร ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณเปิดโอกาสให้ผมได้ทำอะไรให้คุณบ้าง อยากรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่มีความสุข ทั้งที่คู่หมั้นคุณก็เปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว”

แววตาที่จริงใจของเขาทำให้เกรซปฏิเสธไม่ลง เขารู้อยู่แล้วว่าโอกาสของเขามีน้อยนิดแต่เขากลับอยากใช้โอกาสนั้นทำอะไรดี ๆ ให้เธอ  ดังนั้นชินจึงเข้ามาในชีวิตเธอเงียบ ๆ ไม่ทำให้เธอลำบากใจ  เขาแค่โทรหาเวลาเธอกลับบ้านยามดึก  พวกเขาเจอกันเฉพาะเวลามาที่ร้าน ชินจะนั่งลงที่โต๊ะประจำของเธอ พูดคุยเรื่องทั่วไป เรื่องเพลง ดนตรี  ดินฟ้าอากาศ  และบ่อยครั้งที่เขาทำให้เธอสนุกไปกับเรื่องธรรมดาที่เขาเล่าด้วยหน้าตาเรียบเฉยแต่มันกลับตลกจนเธออดที่จะหัวเราะดัง ๆ ไม่ได้  เธอแปลกใจที่เธอกับเขาเข้ากันได้ดีเหมือนที่เธอสนิทกับพีทพร้อมกับความเข้าใจบางอย่างที่ค่อยแจ่มชัดขึ้นทุกวันที่ผ่านไป

หลังจากที่คู่หมั้นให้โอกาสเธอ ช่วงเวลาไม่นานชินก็มาขอโอกาสนั้น  เกรซก็เลิกครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีก กลับปล่อยจิตใจไป ปล่อยให้ชินเข้ามาสนิทสนมคุ้นเคยกับเธอมากขึ้นในขณะที่นายแคนกลับหายหน้าไปจากชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง

แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ปิดขังหัวใจตัวเองไว้ เธอกลับแปลกใจที่หัวใจกลับไม่โบยบินไปดังที่ใจคิด หัวใจเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม





เมื่อเพลงแรกจบลง  พี่ร็อกกี้ก็เปลี่ยนมาเล่นเพลงจังหวะเร็วขึ้น  เรียกให้บรรดานักเที่ยวลุกขึ้นยืนโยกตัวไปตามจังหวะสนุกสนานเกรซจึงเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้สาวน้อยที่กำลังนั่งทำงานอยู่เงยหน้ามองอย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยอนุญาต  ผู้จัดการร้านเดินตรงเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีนัก 

“คุณเกรซครับ  มีคนมาขอพบครับ”

ร่างบอบบางทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกในมุมสงบมุมหนึ่ง   ตรงหน้าเธอเป็นชายวัยประมาณเกือบสามสิบปีแต่งตัวราวกับนักธุรกิจ  เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมชัดเจน  ตาชั้นเดียว จมูกโด่ง ริมฝีปากที่ยิ้มเหยียดตลอดเวลา จะว่าหน้าตาดีก็พอไหว  แต่เธอว่าถ้าคัดเลือกให้แสดงละครสักเรื่องหนึ่งแล้ว ผู้ชายคนนี้คงจะเหมาะกับบทตัวโกงมากที่สุด  เพราะนอกจากหน้าตาจะเหมาะกับบทแล้ว  ลูกน้องอีกสองคนที่สวมสูทแบบที่ขายทั่วไปตามตลาดนัดทับเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนขนาบเก้าอี้รับแขกสองข้างก็ยิ่งส่งเสริมให้เขาดูคล้ายพวกนักเลงที่ไปไหนมาไหนกับลูกสมุนอีกด้วย

“สวัสดีครับคุณเกรซ ผม โจ เหลียงครับ”  ชายหนุ่มคนนั้นยื่นนามบัตรให้พลางแนะนำตัว

เกรซรับนามบัตรนั้นมาอ่าน 

“บริษัท เจแอนด์เค เรียลเอสเตต จำกัด” 

คิ้วเรียวขมวดอย่างแปลกใจ  บริษัทนี้ไม่เคยผ่านตาเธอเลย  เกรซรู้จักบริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบทุกบริษัทเพราะเป็นเรื่องที่เธอเรียนอยู่และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัว  เธอศึกษาโครงสร้างและผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้อย่างละเอียด  ดังนั้นเธอจึงเอะใจทันทีที่เห็นชื่อบริษัทที่ไม่คุ้นเคยนี้  ก็ประเทศนี้มีบริษัทเรียลเอสเตตขนาดใหญ่แทบจะนับนิ้วได้และยักษ์ใหญ่ของวงการนี้ก็คือคุณเจมส์  พ่อของเธอเอง

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนซื้อที่ตรงนี้จากคุณเกาเมื่อปีที่แล้ว  คือผมอยากจะขอซื้อที่ตรงนี้ต่อ”  ชายหนุ่มตัวโกงคนนั้นพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม

“คุณให้ราคามาเลย  เท่าไรผมก็จะซื้อ” เขาพูดมาอีก  น้ำเสียงกระหายราวกับหมาป่ากำลังจะขย้ำเนื้อสดชิ้นโต

แต่เกรซไม่ ‘หมู’ อย่างที่ใครมอง  เธอมองออกว่าคนแบบไหนที่เป็นคนจริงและแบบไหนที่เป็นประเภท ‘จับเสือมือเปล่า’ นายคนนี้ก็พวกนักเลงทั่วไปที่สักแต่ว่ามีเงินก็คิดว่าจะทำอะไรก็ได้  เธอมองออกว่าเขาก็แค่นายหน้าคนหนึ่งที่ทำทีเป็นคนซื้อแล้วก็นำไปขายต่อให้นายทุนอีกที
 
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ  เกรซไม่มีความคิดจะขายที่ตรงนี้หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ” 

เกรซก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน  เธอไม่มีความจำเป็นที่จะขายที่ตรงนี้และที่สำคัญเธอรู้ดีเหมือนกับที่ชายหนุ่มตรงหน้ารู้เช่นเดียวกันว่าที่ดินตรงนี้กำลังจะมีมูลค่าสูงขึ้น  ซึ่งเป็นผลจากโครงการขยายเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจของรัฐบาล

“คุณอย่าเพิ่งรีบตอบผมสิครับ  ลองเก็บไปคิดก่อน  ผมจะมาเอาคำตอบอีกสามวันแล้วกัน  คิดดี ๆ นะคุณ”  โจ  เหลียงยังคงเซ้าซี้อีกโดยไม่สนใจว่าเธอจะบอกปัดไปแล้ว

“เกรซยืนยันคำเดิมค่ะ  ไม่ขายค่ะ” 

“ปัง!”  ชายหนุ่มคนนั้นตบโต๊ะเสียงดัง  เขาเปลี่ยนท่าทีรวดเร็ว

“ผมบอกให้เอาไปคิดดูก่อน ไม่ได้ยินรึไง!”

ท่าทางสุภาพเรียบร้อยในตอนแรกนั้นเปลี่ยนไปทันที  คนตรงหน้าเธอกำลังแสดงบทตัวโกงได้ดีเยี่ยมอย่างที่เธอได้ประเมินไว้แต่แรก  เพราะตอนนี้ใบหน้าเขาบูดบึ้ง  แสยะยิ้มน่าเกลียดใส่เธอทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธ  เกรซยังคงควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้ดี  มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยเป็นปกติ  แต่ผู้จัดการที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบกดโทรศัพท์เรียกบอดี้การ์ดอย่างรู้หน้าที่

“ดิฉันยืนยันคำเดิมค่ะ”

ชายหนุ่มสามคนเดินกร่างออกจากร้านหลังจากที่พยายามจะข่มขู่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ   แต่บอดี้การ์ดชายร่างใหญ่สองคนเดินเข้ามาประกบคุณหนูของเขาเสียก่อนทำให้พวกของโจ เหลียงต้องรีบขอตัวกลับ  แต่ยังคงโวยวายเสียงดัง  เดินเตะเก้าอี้  ล้มโต๊ะไปตลอดทางจนกระทั่งออกจากร้านไปโดยทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้เกรซหนักใจ

“ผมจะทำให้คุณยอมขายที่ให้ผมให้ได้  ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม  คอยดูก็แล้วกัน!!” 





หลังจากวันนั้นนายโจก็ทำตามทุกคำพูดของตัวเอง  ผับของเกรซถูกก่อกวนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการส่งนักเลงมาข่มขู่เธอให้ยอมขายที่ดิน  ส่งนักเลงมาทำลายข้าวของและลูกค้าที่มาเที่ยวในร้านอย่างโจ่งแจ้ง  ขว้างระเบิดมือไปจนถึงขั้นลอบวางเพลิง  บริเวณร้านค้าแหล่งบันเทิงรอบนี้ก็พลอยโดนลูกหลงด้วย   แต่ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถูกควบคุมไว้ได้ทันท่วงที  บอดี้การ์ดของเธอทำงานได้ดีเยี่ยม  ไม่มีลูกค้าคนไหนได้รับอันตรายจากการก่อกวนจากพวกนักเลง  ร้านของเธอและร้านข้างเคียงเสียหายไม่มากนักเนื่องจากการ์ดจำนวนมากเข้าจัดการพวกนักเลงได้ทันที  แม้กระทั่งนักเลงที่ส่งมาขู่เธอถึงร้านก็ถูกรวบตัวไว้ได้ก่อนที่จะเดินลงจากรถด้วยซ้ำ

เกรซได้แต่แปลกใจกับประสิทธิ์ภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมเช่นนี้  ถึงกับเอ่ยถามบอดี้การ์ดส่วนตัว   บอดี้การ์ดตอบแค่ว่าพวกเขาทำตามหน้าที่ตามปกติ


--------------------------------------------------------






“พ่อ  ช่วยฮั่นคิดหน่อยสิครับ  ฮั่นจะทำยังไงดี”   รองประธานกลุ่มธุรกิจหยางกรุ๊ปเอ่ยทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของผู้ว่าการรัฐ   

คริสเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมามอง ‘ลูกชายคนโต’ แล้วก็ยิ้ม  ราวกับว่าเรื่องเดือดร้อนของลูกชายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเหมือนการทะเลาะกับเพื่อนสมัยประถมอะไรแบบนั้น  ร่างสูงใหญ่ของฮั่นทรุดลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน  ใบหน้าคมเคร่งเครียด   เขาถอนหายใจยาวราวกับหนักอกหนักใจเป็นอย่างมาก

“ทำไมล่ะ  พีทยังไม่หายโกรธเหรอ”   คริสเอ่ยถาม
       
ตั้งแต่ฮั่นเข้ามาคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาที่สวนน้ำตก เขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้  จึงขอข้อแลกเปลี่ยนให้ลูกชายคนนี้เลิกเรียกเขาว่า ‘ลุงคริส’ เสียที 

“เปล่าครับ  พีทไม่โกรธแล้ว  แต่ดูเหมือนท่านรัฐมนตรีจะเอาจริง รวมทั้งลูกสาวท่านด้วย”

“โรซาลีนน่ะเหรอ”

คริสมองหน้าฮั่นอย่างหมั่นไส้เป็นกำลัง ก็ลูกคนนี้ ‘เอาเรื่อง’ น้อยซะที่ไหน  เรื่องผู้หญิงน่ะขึ้นชื่อพอ ๆ กับความเก่งกาจด้านธุรกิจทีเดียว  แล้วผู้หญิงแค่คนเดียวทำไมจะจัดการไม่ได้  เมื่อก่อนยังสลับสับรางกับสาว ๆ ทีละโขยง

โรสเล่าให้เขาฟังว่าเฌอเบลล์เคยนั่งวิเคราะห์ให้เธอฟังเป็นฉาก ๆ  ว่าเรื่องนี้ควรจะจบตั้งแต่แรกเพราะฮั่นก็ปฏิเสธท่านรัฐมนตรีอย่างตรงไปตรงมาแล้ว  แต่ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ก็เพราะเจ้าตัวน่ะเป็นหนุ่มหล่อ  เสน่ห์เหลือร้าย  พ่วงด้วยดีกรีนักธุรกิจไฟแรง  เป็นรองประธานหยางกรุ๊ป  ว่าที่ประธานคนต่อไปและยังเป็นลูกชายของผู้ว่าการรัฐอีก  ผู้หญิงที่ไหนก็มีแต่วิ่งเข้าหาและยิ่งโรซาลีนเคย ‘คลั่งไคล้’ ลูกชายคนนี้มาตั้งแต่สมัยอยู่อังกฤษ โอกาสแบบนี้โรซาลีนคงไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นครั้งที่สองแน่

“ครับ” หน้างอของลูกชายทำให้คริสถึงกับส่ายหน้า  พีทคงไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้แน่  ฮั่นจะเป็นเด็กทันทีที่อยู่ตามลำพังกับเขาหรือโรส  ไม่ว่าจะผ่านวัยเด็กมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม

“พ่อลูกเขาไม่ได้คุยกันหรอกหรือ  เราก็ยืนยันแล้วนี่”

“แต่คราวนี้ท่านรัฐมนตรียื่นเงื่อนไขขอผลตอบแทน  ถ้าท่านเซ็นอนุมัติโครงการขยายเขตเศรษฐกิจ  ท่านจะขอสิบเปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการโครงการพัฒนาพื้นที่ของเราเป็นเวลายี่สิบปีแลกกับการที่ไม่ต้องแต่งงานกับลูกสาวท่าน  แต่ถ้าผมยอมแต่งท่านต้องการกระดาษใบเดียวตอนอนุมัติโครงการ”

เรื่องที่ได้ยินทำให้คริสถึงกับวางปากกา  ถอนหายใจยาว  เอนร่างไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง  สีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที

“เท่าไรล่ะ”  คริสถาม  กระดาษแผ่นนั้นคงต้องเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายยาวแน่ ๆ

“สามร้อยล้านครับ”

คริสยังคงนิ่งเมื่อได้ยินตัวเลขที่ลูกชายบอก

“พอไหว” คริสว่า   

ตัวเลขเท่านี้พวกเขาจ่ายได้อยู่แล้วเพราะฮั่นสามารถทำให้ผลกำไรงอกเงยได้มากมายกว่านี้หลายร้อยเท่า  แต่ท่านรัฐมนตรีก็ฉลาดพอดู ท่านคงคิดรอบคอบแล้วว่าการได้เกี่ยวดองกับฮั่น  กับตระกูลหยางมีผลประโยชน์กว่านั้นมาก 
และถึงแม้ว่าฮั่นจะไม่ได้เป็นลูกชายเขา ไม่ได้ใช้สกุลหยาง ฮั่นก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร  เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศ และต้นตระกูลเดิมของโรสนั้นก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มาแล้ว  คุณปู่ของโรสหรือตาทวดของฮั่นเคยเป็นนายกฯมาสองสมัย  คู่แข่งทางการเมืองกับคุณปู่ของเขาเอง!   

“นี่เรามีค่าตัวแพงนะนี่” คริสเปลี่ยนมายิ้มแซวลูกชาย ท่านรัฐมนตรีเรียกตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการ  ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ

“พ่อครับ!” ฮั่นหน้างอขึ้นไปอีกเมื่อถูกแซวเช่นนี้  เขาคิดมากมาหลายวันแล้วตั้งแต่ท่านรัฐมนตรีเรียกเขาเข้าพบเป็นครั้งที่สอง

“เรื่องนี้คุณเจมส์ไม่ยอมแน่ครับถ้าท่านรัฐมนตรีเกิดเปลี่ยนใจไม่อนุมัติ หรืออนุมัติขยายไปโซนอื่นแทน  คุณเจมส์รอโอกาสนี้มานานแล้วตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ได้รับเลือกตั้ง  ที่โซน A น่ะพวกเราซื้อเก็บไว้เกือบจะห้าปีแล้วยังไม่ได้พัฒนาอะไรเลยทั้งที่อยู่ใกล้สนามบินขนาดนั้น  นี่ผมกลุ้มมาหลายวันแล้วนะครับ” 

ฮั่นรู้ดีทีเดียวว่าคุณเจมส์ไม่สนใจแน่ว่าเขาจะต้องแต่งงานกับใครบ้างเพื่ออำนวยผลประโยชน์มหาศาลให้  ก็ในเมื่อลูกสาวของตัวเองคุณเจมส์ยังตกลงให้หมั้นกับแคนโดยไม่สนใจความรู้สึกของเกรซแม้แต่นิด

“แล้วเราคิดยังไงล่ะ”

“ผมไม่แต่งแน่  ผมไม่สนไอ้ผลประโยชน์หลายพันล้านพวกนั้นหรอกครับ  ที่ตรงนั้นถ้าไม่มีการขยายเราเก็บไว้เฉย ๆ ก็ได้  ยังมีที่อีกตั้งหลายแห่งที่น่าสนใจ  โซนอื่นเราก็พอมีแต่อาจจะต้องแข่งกับบริษัทอื่นมากหน่อย  ผมกลัวว่าคุณเจมส์จะไม่ยอมเท่านั้นเอง”

คริสยิ้มอย่างรู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ฮั่นต้องไม่ยอม  และรู้แน่ชัดว่าถ้าพีทรู้เรื่องนี้  พีทก็คงไม่ยอมเช่นกัน  ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายเอาเรื่องมากกว่ากันระหว่างพี่กับน้อง  และเงื่อนไขที่เกินรับได้นั่นอีก  พวกเขาไม่ได้จนตรอกถึงขั้นต้องทำขนาดนั้น

“เรื่องคุณเจมส์ไม่ต้องห่วง พ่อจะคุยเอง” คริสตอบ  มองหน้าลูกชายด้วยแววตาเอ็นดู
 
เท่านี้คนที่หน้าบูดอยู่ก็ค่อยยิ้มออก  เขายิ้มกว้างจนตาแทบปิด 

“มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ฮั่นอยากให้พ่อคุยกับคุณเจมส์ด้วยครับ” 

ฮั่นวางแฟ้มบางที่ถือติดมือมาตั้งแต่แรกบนโต๊ะทำงานของคริส ผู้เป็นพ่อเปิดแฟ้มนั้นด้วยความสงสัย  กวาดสายตาดูเนื้อหาตรงหน้าแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายอย่างประหลาดใจ

“ความจริงผมรู้มานานแล้วแต่คิดว่าคุณเจมส์คงไม่เคยรู้เรื่องนี้  ผมหวังว่าพ่อคงจะช่วยได้บ้าง  ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยนะครับ”
 
“นั่นสิ  คิดไม่ถึงเลย  ไม่เหมือนพีทนะ รายนั้นเขารักดนตรีเหมือนแม่เขา” 

คริสก็รู้เหมือนกับที่ฮั่นรู้  ว่าพีทชอบอะไร  แต่ที่ผ่านมาคริสก็ยังพยายามจะให้พีทเดินตามรอยเขาทั้งที่ลูกชายไม่ค่อยชอบเท่าไร  โชคดีที่มีฮั่นอีกคน

“ถ้าให้พีททำจริง ๆ น้องก็เก่งเหมือนกันครับ  ดูตอนฝึกงานก็รู้แล้ว”

เจ้าตัวพูดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงใครคนนั้น  เมื่อมองสบตาคริสเขาก็ทำท่าเหมือนเขินก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหา  ‘สองพ่อลูก’ ลุกขึ้นกอดกันอย่างรักใคร่ 

ฮั่นกอดพ่อคนที่สองด้วยความรู้สึกขอบคุณ  ทั้งรักและเทิดทูน

คริสลูบผมลูกชายไปมา ยิ้มกับตัวเอง เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่มีครอบครัวอบอุ่นตามที่เขากับโรสเคยฝันร่วมกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น  ฮั่นเป็นทั้งลูกชายและเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่เขาไว้ใจ  เป็นคู่คิดด้านธุรกิจและคอยเป็นผู้ช่วยเขาตลอดมา  แม้กระทั่งรับหน้าที่ดูแลพีท  เขาคงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้วเมื่อมีลูกชายคนนี้คอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง

เสียงเคาะประตูห้องแผ่วเบาราวกับเกรงใจหนักหนาจากด้านนอก ทำให้สองพ่อลูกคลายอ้อมกอด 

“ผมคงต้องไปแล้ว  งานพ่อคงยุ่ง  เจอกันที่บ้านครับ”



----------------------------------------------------




ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
(ต่อ)




“บึ้มมมม!!!!!!!!!!”




เสียงเหมือนระเบิดดังกึกก้องทำให้คนที่นั่งทำงานเงียบ ๆ สะดุ้งสุดตัว   ทันใดนั้นไฟก็ดับวูบลง  ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ  ชั่วไม่กี่วินาทีก็ตามมาด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมทันทีเมื่อในผับที่เต็มไปด้วยแสงสีวูบวาบชวนปวดหัวนั้นมืดลงกะทันหัน  ผู้คนกรีดร้องอย่างตกอกตกใจ  ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นตามมา 


“บึ้ม ๆๆ!!!!!!!!!!!!!!” 



เสียงระเบิดยังดังติดต่อกันมาอีกหลายนัดและดังมาจากหลายจุด แสงไฟแดงฉานจากจุดที่ระเบิดทำให้เห็นภาพผู้คนวิ่งหนีออกมาจากร้านรวงที่อยู่บริเวณนี้  หลังจากนั้นก็มีเพียงความมืดและเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนนับร้อยนับพันที่วิ่งหนีกันอลม่าน 
 
ท่ามกลางความสับสน  ความตื่นตระหนกของฝูงชนที่วิ่งไปมา  ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้าไปทางประตูหลังร้านที่เปิดกว้างอยู่  ตรงไปที่บันไดขึ้นชั้นสองโดยอาศัยแสงสว่างอันน้อยนิดจากโทรศัพท์มือถือแต่เขากลับเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็วราวกับชำนาญทาง  ประตูห้องทำงานที่เปิดอ้าทำให้เขาหวั่นใจเมื่อร่างสูงของเขาพรวดเข้าไปภายใน
 
“โธ่โว้ย!”

ทุบมือตัวเองไปบนกำแพงอย่างเจ็บใจ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เขาคอยเฝ้าอยู่  สภาพห้องเหมือนมีการต่อสู้กันภายใน  เก้าอี้ล้มระเนระนาด  เอกสารในห้องนั้นกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น  กระเป๋าถือของผู้หญิงตกอยู่ 
 
แต่คุณหนูเกรซหายไป!!!





“แคน!”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก  พี่ฮั่นกับพีทเดินตรงมาด้วยความรวดเร็วพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่  ทุกคนอยู่ในชุดรัดกุมเตรียมพร้อม ไฟฉาย อุปกรณ์สื่อสารและอาวุธครบมือ   

แคนเห็นพีทก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ  ช่วงเวลาเช่นนี้มันอันตรายมากขนาดไหน  พี่ฮั่นย่อมรู้ดีอยู่แล้วแต่ทำไมถึงพาพีทมาด้วย

“พี่พาพีทมาด้วยไม่กลัวหรือ  ผมว่ามันอันตรายนะ” เขาแอบกระซิบกับพี่ฮั่นทันทีเพราะความเป็นห่วงหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่เป็นไรแคน พีทไม่ใช่เด็กแล้ว เขาดูแลตัวเองได้”

ฮั่นพูดเพียงเท่านั้น  ไม่มีเวลาอธิบายต่อว่าพีทนั้นมีฝีมือพอตัว  คนที่พีทไม่เคยเอาชนะได้มีแค่เขาเท่านั้นแล้วฝีมือยิงปืนก็ไม่เป็นรองใคร

คำยืนยันของพี่ฮั่นทำให้แคนคลายความกังวล  เขาไม่ทันคิดอะไรต่อ  พีทก็ตั้งข้อสังเกต

“พี่เช็คที่บ้านเกรซรึยังครับ  บ้านเพื่อนเกรซล่ะ”

“พี่โทรถามเพื่อนทุกคนแล้ว  เกรซไม่ได้อยู่กับใครเลย”  แคนตอบพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือของเกรซที่ตกอยู่ในห้องทำงานให้ดู 

“แล้วแจ้งความรึยังครับ  พ่อแม่ของเกรซรู้เรื่องรึยังครับ” พีทถามอีก  เริ่มเกิดความกังวลมากขึ้น

“เรื่องนี้คงบอกตำรวจไม่ได้เกรซจะเสียหาย  แล้วเขตนี้พีทก็รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่กล้ามา  ไม่งั้นนายจะโดนขับรถไล่ล่าเหมือนคราวที่แล้วเหรอ  ตอนนี้พ่อแม่ของเกรซไปทัวร์ยุโรปกับแม่พี่  คงจะบอกใครไม่ได้”

พีทเงียบไปกับเหตุผลของพี่แคน   เขาหันไปมองพี่ฮั่นที่ยืนคิดอะไรเงียบ ๆ

“ใครเห็นเกรซเป็นคนสุดท้าย”  พี่ใหญ่สุดในกลุ่มถาม

“พี่ร็อกกี้ครับ  ก่อนจะขึ้นเวทีเกรซมาทักทายพี่ร็อกกี้ก่อนเดินขึ้นไปข้างบนแล้วอยู่บนนั้นจนกระทั่งเกิดระเบิด  ผมถามการ์ดทุกคนแล้ว  เขาบอกว่าไม่เห็นใครท่าทางพิรุธที่จะพาเกรซออกไปจากแถบนี้เลย  ผมเป็นคนแรกที่ขึ้นไปที่ห้องทำงานของเกรซตอนที่ระเบิดลูกแรกดัง  แต่ผมไปไม่ทัน  พวกมันเร็วมากเหมือนวางแผนมาเป็นอย่างดี”

“เราจะทำยังไงดีพี่ฮั่น  ผมมืดไปหมดแล้ว  นี่คนของผมส่วนใหญ่ก็โดนลูกหลงไปด้วย  มันวางระเบิดหลายจุด  ตอนนี้การ์ดอีกส่วนหนึ่งต้องให้ไปลาดตระเวนรอบ ๆ แถวนี้  ผมถึงต้องขอให้พี่ช่วย  พี่เอาคนมาเท่าไร”

“หมดบริษัทเลย  นี่เรียกคนของไรอันมาด้วย  ไรอันกำลังจะตามมา นายไม่ต้องห่วง  ระดับลูกชายผู้บัญชาการตำรวจคงพอมีใครดี ๆ ติดมือมาด้วย”

“ผมว่าพวกมันอาจจะกบดานอยู่แถวนี้ก็ได้นะพี่แคน  พี่ให้ใครตรวจพวกตึกร้างรอบนี้รึยังครับ” 

พีทตั้งข้อสังเกตอีก  ถ้าเกรซไม่ได้ถูกนำตัวออกไปก็ต้องยังอยู่แถวนี้  เขาเคยเอารถหรูของตัวเองไปจอดในซอยแถวตึกร้างห่างไปเล็กน้อย  แถวนั้นเป็นอาคารพาณิชย์หลายชั้นที่ทิ้งร้าง  แล้วเขาก็เคยถูกดักทำร้ายเพราะความที่มันเปลี่ยว  ไม่มีทางที่ใครจะเดินผ่านแถวนั้นแน่   ถ้าใครคิดจะซ่อนตัวอยู่ในตึกร้างเหล่านั้นคงต้องใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะค้นจนทั่ว 

“พี่กำลังคิดเหมือนกันพีท  แต่คนของเราไม่พอเลยดูได้แค่รอบนี้เท่านั้น  แล้วมันมืดมาก  พวกมันระเบิดหม้อแปลงทั้งหมดเลย  นี่กำลังติดต่อหารถปั่นไฟมา” 

ตอนนี้พวกเขาพูดกันใต้แสงสปอต์ไลท์ที่หามาติดตั้งชั่วคราว  รอบนี้มืดสนิท
 
คำพูดของพีททำให้ฮั่นฉุกคิด  หันไปขอยืมไฟฉายจากการ์ดคนหนึ่งแล้วเดินตรงไปที่หลังร้านทำให้คนที่เหลือเดินตามไปด้วย  แสงไฟจากไฟฉายกำลังสูงหลายอันส่องไปทั่วบริเวณ  พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังขึ้นไปชั้นบนพบสภาพห้องที่ระเนระนาดด้วยแฟ้มเอกสาร โต๊ะและเก้าอี้ล้มบนพื้นตามที่แคนบอก 

หลังจากตรวจดูทุกสิ่งอย่างละเอียดแล้วจึงเดินออกจากห้องนั้น  พี่ใหญ่สุดในกลุ่มเดินนำช้า ๆ  พลางสังเกตทุกสิ่งรอบกายราวกับจะลองคาดเดาสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ยอมให้สิ่งใดคลาดสายตาไปได้  พวกเขาลงบันไดไปชั้นล่างอีกครั้งพร้อมกับฉายไฟกราดไปทั่วพื้นที่โล่งก่อนถึงประตูทางออกหลังร้าน  ทันใดนั้นฮั่นก็หันกระบอกไฟฉายกลับเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง  สายตาทุกคู่หันมองตามแสงไฟ

รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งตกบนพื้น  แคนตรงไปเก็บขึ้นมารวดเร็ว  เขาพลิกดูยี่ห้อ 

“จูเซ็ปเป้ ซาน็อตติ (Giuseppe Zanotti)”

แคนคว้าโทรศัพท์มือถือมากดหาข้อมูลทันที  ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่ยืนรอคอยอยู่  ความหวังจุดประกายในดวงตาสีนิลของเขา

“รองเท้านี่อาจจะเป็นของเกรซ  ยี่ห้อนี้ราคาเป็นหมื่น  คนแถวนี้คงไม่มีใครใส่แน่  พี่ฮั่น” 

แคนหันไปมองหน้าพี่ฮั่น  พวกเขาสบตากันสามคน  บางที....

แคนกำรองเท้าข้างนั้นไว้แน่น  เดินตามพี่ฮั่นออกไปทันทีในขณะที่พีทโทรตามการ์ดที่เหลือให้ตามพวกเขาไป  พวกเขากระจายตัวกันหาโดยรอบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน  ในที่สุดแคนก็เจอ 

ตรงทางแยกหนึ่งซึ่งเป็นทางลัดทะลุไปยังโซนอาคารพาณิชย์  บริเวณที่พีทเคยถูกดักทำร้าย   

ที่ตกอยู่บนพื้นคือรองเท้าอีกข้าง  ยี่ห้อเดียวกัน! 

และไม่ไกลนั้นพีทจำได้ทันที  กำไลที่เกรซชอบใส่จนเต็มแขนเวลาที่เธอไม่ใช่ ‘คุณหนูเกรซ’ หล่นอยู่ 

พี่ฮั่นเดินเข้าไปในซอยนั้นทันทีพร้อมทั้งฉายไฟไปบนพื้นคอนกรีต พวกเขาเดินอย่างรวดเร็วแต่เก็บเสียงให้มากที่สุดไปอีกราวห้าสิบเมตร  และตรงสุดซอยที่เป็นทางออกสู่แถวยาวเหยียดของอาคารพาณิชย์ร้างราวสามสิบคูหา แสงสะท้อนวิบวับของอะไรบางอย่างบนพื้น 
 
กำไลแบบเดียวกัน!



---------------------------------------------------






“เซ็นซะ!” 

เสียงเหี้ยมตะคอกใส่  กระแทกปากกาบนโต๊ะอย่างแรง

“ไม่มีทาง!  ชั้นไม่มีวันยอมขายที่ให้คนอย่างนาย!  ไม่รู้รึไงว่ากำลังเล่นกับใคร  พ่อชั้นต้องเอาตำรวจทั้งกรมมาจับนายแน่  พวกแกไม่รอดหรอก” 

เกรซเอ่ยคำขู่นั้นอย่างเคียดแค้นที่พวกมันกล้าบุกเข้าไปจับตัวเธอมา แม้จะรู้ดีว่าพวกมันไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของเธอหรอก  แต่ก็ต้องพยายามพูดอะไรก็ได้เพื่อถ่วงเวลาให้ใครก็ได้มาช่วยเธอให้ทัน

มือหยาบหนาจับใบหน้าของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บีบแน่นด้วยอารมณ์โกรธคุกรุ่นที่กล้ามาขู่คนอย่างโจ เหลียง  แรงบีบที่คางของเกรซเพิ่มมากขึ้นจนเธอต้องนิ่วหน้า 

“มึงจะเซ็นหรือไม่เซ็น!!!  ถ้ามึงเซ็นดี ๆ มึงจะได้เงินค่าที่ติดไม้ติดมือด้วย  แต่ถ้ามึงทำให้กูโมโหมากกว่านี้มึงจะไม่ได้อะไรเลย  แล้วมึงก็อาจจะไม่ได้กลับไปเชิดเป็นเจ้าของผับแต่มึงจะได้ไป....”

คำพูดนั้นขาดหายเมื่อคนพูดจงใจเก็บคำที่น่ากลัวนั้นไว้ก่อน  แต่ดวงตาชั้นเดียวที่จ้องเขม็งนั้นกลับอธิบายอะไรได้มากกว่าคำพูด  เกรซเห็นสายตานั้นแล้วก็ขนลุก  เมื่อคิดไปถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง ความหวาดกลัววูบไหวในดวงตากลมก่อนที่เธอจะสลัดความคิดน่ากลัวนั้นทิ้งไป  พยายามเข้มแข็ง  คิดหาทางเอาตัวรอด

โจ  เหลียงผลักมือตัวเองที่จับใบหน้าเล็กนั้นออก  แสยะยิ้มน่าเกลียดใส่หญิงสาว

“เซ็นซะ!”

เกรซยังไม่ยอมจับปากกาบนโต๊ะ  กลับจ้องไปที่ใบหน้าคนร้ายทีละคน  ประเมินสถานการณ์ในใจ

“ปัง!!”  วัตถุสีดำสนิทขัดจนเป็นมันวาวกระแทกบนโต๊ะอย่างแรงทำให้สาวน้อยสะดุ้งสุดตัว

“อย่าให้กูต้องเสียเวลาอีก...”

เกรซมองปืนที่อยู่บนโต๊ะด้วยดวงตาหวั่น

‘พวกมันจะกล้าทำอะไรเธอจริงหรือ ถ้าเธอไม่ยอมเซ็นพวกมันจะฆ่าเธอใช่ไหม  แต่ถ้าเธอตายแล้วพวกมันก็จะไม่ได้อะไรเลย’ คิดดังนั้นจึงสูดลมหายใจลึก
 
“นายทำแบบนี้ทำไม  ชั้นบอกแล้วว่าชั้นไม่ขาย จะทำยังไงชั้นก็ไม่ขายหรอก  นึกว่าฉลาดอยู่คนเดียวรึไง ใครขายให้นายก็โง่แล้ว คนกระจอกอย่างนายไม่มีทางมีเงินซื้อที่ตรงนี้ได้หรอก  อย่าสะเออะมาขอซื้อเลยจะดีกว่า  แล้วอย่าคิดว่าจะทำอะไรชั้นได้นะ บอดี้การ์ดของชั้นต้องตามหาชั้นเจอแน่  พวกแกต้องเข้าคุก  รับรองว่าพวกแกจะไม่ได้เห็นเดือน.....”

“มึง!!!!...”

เกรซยังยั่วโมโหนายนั่นได้ไม่เท่าไร  มือหยาบหนาของนายโจที่ยังถือปืนอยู่ก็ฟาดลงมาที่ใบหน้าสวยคมนั้นด้วยแรงโทสะ 

“ผวัะ!!!”

ใบหน้าเกรซสะบัดตามแรงที่ฟาดมาอย่างไม่ปรานี เธอล้มลงไปบนพื้น  แน่นิ่ง

“เฮ้ย  ไอ้ไท่  มึงไปดูสิ  ตายรึเปล่าวะ” 

ลูกน้องคนหนึ่งตรงไปเขย่าร่างบอบบางที่แน่นิ่งกับพื้น  ผมบางส่วนตกระใบหน้าเห็นเสี้ยวหน้าเพียงเล็กน้อย  แต่เกรซยังนิ่งอยู่
 
ไอ้ไท่เงยหน้าขึ้นบอกลูกพี่

“สงสัยสลบไปแล้วครับลูกพี่” 

“โธ่โว้ย!!  มันสลบแล้วจะเซ็นโอนที่ให้กูได้ยังไงวะ ไอ้เชี่ยเอ้ย!”  เท้าใหญ่ถีบโครมไปบนเก้าอี้ไม้จนล้มไปอีกทาง

“เวลาก็มีไม่มากด้วย  ถ้าเกิดมีใครเรียกตำรวจขึ้นมาเดี๋ยวลูกพี่มึงได้ตามมึงกลับบ้านเก่าแน่”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่เมื่อลูกน้องก็ไม่มีความคิดอะไรที่ดีเกินไปกว่าลูกพี่นัก

“เฮ้ยมึงทำยังไงให้มันตื่นสิวะ กูไม่มีเวลารอมันตื่นหรอกนะโว้ย พ่อมึงก็เหมือนกัน  เดี๋ยวมันแห่กันมาแล้วกูก็ซวยเท่านั้น”

“ผมว่าเราลองเอาน้ำมาราดดีกว่านะครับ”  ลูกน้องคนเดิมเสนอ

“แล้วมึงมีน้ำมั้ย  ไอ้โง่!”

“ผมจะลงไปดูที่รถแล้วกันครับ  ลูกพี่”

“ไอ้เชี่ย  รีบลงไปเร็ว ๆ เลยนะมึง  ก่อนที่กูจะเตะมึงสลบไปอีกคน”







ร่างผอมแห้งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่รถตู้สีดำคันใหญ่ที่จอดซ่อนอยู่ในช่องว่างระหว่างอาคารที่พวกมันกบดานอยู่  ค้นหาขวดน้ำดื่มที่เคยกลิ้งไปมาในรถ  ร่างนั้นยืนนิ่งทันทีเมื่อมีวัตถุบางอย่างกดลงตรงกลางหลัง  พร้อมกับมือข้างหนึ่งเอื้อมมาปิดปากไว้แน่น

“ถ้ามึงไม่อยากตาย  อย่าส่งเสียง!”

ดวงตาชั้นเดียวเบิกโพลงเมื่อถูกบังคับให้หันมา  กลุ่มคนชุดดำจำนวนมากยืนกระจายตัวกันรอบตึกที่พวกมันกบดานอยู่  พรรคพวกบางส่วนที่เฝ้าประตูด้านนอกนอนไม่ได้สติบนพื้นกำลังถูกมัดรวมกันด้วยฝีมือกลุ่มคนชุดดำ
 
พวกมันมาตั้งแต่เมื่อไร?  แล้วมากันมากมายขนาดนี้แต่กลับเงียบกริบราวกับเงาที่เลื่อนไปบนพื้นถนนน  ร่างผอมแห้งนั้นเหลือบตามองขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของอาคารอย่างลืมตัว 

‘ซวยแล้วลูกพี่!’




----------------------------------------------------





เสียงเคาะประตูทำให้คนที่นั่งหงุดหงิดเพราะรอลูกน้องอยู่นานแล้วเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะสะบัดใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นเป็นเชิงบอกให้ลูกน้องอีกคนไปเปิดประตู  แต่เสียงคนข้างนอกที่เอ่ยสวนมาก่อนทำให้คนทั้งห้องชะงักนิ่ง

“พี่โจ  เปิดประตูหน่อยครับ”

คนสี่ห้าคนหันมามองหน้ากันดวงตาตื่น  รู้ทันทีว่ากำลังไม่ปลอดภัยเพราะ ‘พี่โจ’ คือรหัสบอกถึงอันตราย  ลูกพี่ที่ตั้งสติได้ก่อนรีบถลาเข้าไปกระชากร่างที่นอนไม่รู้สติบนพื้น  เขย่าตัวอย่างแรงแต่เกรซยังคงนิ่ง 

“มึง  ตื่นสิวะ”  เสียงพูดลอดไรฟันออกมา

เสียงเคาะประตูดังมาอีกเร่งให้มันตัดสินใจจิกผมเกรซกระชากขึ้นอย่างแรง  ทำให้คนที่แกล้งนอนสลบต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด 

“มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้  ก่อนที่กูจะยิงมึงทิ้งซะ” 

เสียงกัดฟันพูดแผ่วเบาพร้อมกับกดกระบอกปืนเข้าที่ท้อง ออกแรงลากหญิงสาวบอบบางขึ้นจากพื้น  ล็อกคอเกรซจากด้านหลังใช้ปืนจี้เธอไว้  คนที่เหลือในห้องต่างถอยร่นไปยืนรวมกับลูกพี่ที่ใช้เกรซเป็นตัวประกัน 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกพร้อมกับเสียงอาไท่เร่งพี่โจให้เปิดประตู  แต่ไม่มีใครเดินไปเปิดประตู  คนที่อยู่ในห้องต่างกระชับปืนในมือแน่นเตรียมพร้อมอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องโดยมีเกรซถูกล็อกคอเป็นตัวประกันยืนอยู่หน้าสุด

เสียงข้างนอกเงียบไป  ดูเหมือนคนข้างนอกก็เริ่มรู้เช่นกันว่าคนในห้องรู้ตัวกันแล้ว



“โครม!!!!”


บานประตูถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรง   พร้อมกับร่างผอมแห้งถูกผลักให้ถลาเข้ามาในห้อง

ไม่มีการรีรอใด ๆ ทั้งสิ้น  เสียงปืนดังสนั่นทำลายความเงียบในยามวิกาลทันที

“ปัง!!!! ๆๆๆๆๆ” 


พวกที่ยืนตั้งรับอยู่อีกฟากห้องรัวปืนไม่ลืมหูลืมตา 

“พวกมึงหยุด!  หยุดก่อน!  นั่นมันอาไท่”   

ลูกพี่โจที่ถือปืนจี้ตัวประกันไว้ร้องสั่งลูกน้องของตนเสียงหลงเมื่อสังเกตเห็นลูกน้องคนสนิทที่รับใช้รองมือรองเท้ามานานกำลังถูกปลิดชีพไปต่อหน้าต่อตาด้วยฝีมือพวกเดียวกันเอง   ร่างผอมแห้งนั้นส่ายสะบัดไปมาเมื่อลูกกระสุนเจาะร่างทีละหลายนัด เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไปบนผนังห้อง ท่ามกลางแสงไฟแรงเทียนต่ำจากแบตเตอรี่อันเล็กและแสงวูบวาบจากปืนหลายกระบอกที่ระดมยิง   

เมื่อพวกมันหยุดยิง  ร่างผอมแห้งของลูกน้องผู้โชคร้ายก็ทรุดลงจมกองเลือด   

ทันทีที่เสียงปืนสิ้นสุดลง  คนจำนวนหนึ่งก็ถลันเข้ามาในห้องพร้อมกับถือปืนเล็งตรงมา  ชายหนุ่มทั้งกลุ่มหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างบอบบางของหญิงสาวที่พวกเขาตามหาถูกจับเป็นตัวประกัน

“ถ้ามึงอยากให้อีหนูนี่ตาย  มึงก็เข้ามา!”



-----------------------------------------




ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
(ต่อ)




ภายในห้องสี่เหลี่ยมชั้นบนสุดของอาคารพาณิชย์ที่ทิ้งร้าง  แสงสว่างในห้องมีเพียงแสงจากไฟดวงเล็กที่ลูกน้องของโจ เหลียงถืออยู่  กับแสงไฟประดับด้ามปืนหลายกระบอกที่ส่องมาจากฝ่ายที่เข้ามาใหม่  คนสองกลุ่มยืนประจันหน้ากัน  ต่างฝ่ายต่างยกปืนเล็งไปที่ฝ่ายตรงข้าม  คุมเชิงกันอยู่   

แต่ดูเหมือนใบหน้ากลุ่มคนร้ายแต่ละคนจะเริ่มเกิดความหวาดหวั่นเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า  และถึงแม้คนเหล่านั้นจะไม่ใช่ตำรวจแต่ก็มีรูปร่างสูงใหญ่  บุคลิกท่าทางแต่ละคนก็ไม่เบาเลย  ที่สำคัญคือพวกมันใช้กระสุนไปเกือบหมดแล้วจากที่กระหน่ำยิงพรรคพวกตัวเองอย่างโง่เขลา 

เกรซมองเห็นกลุ่มคนที่มาช่วยเธอแล้วก็โล่งใจแม้ว่าตัวเองจะยังถูกล็อกคอแน่น  เธอเห็นหน้าแต่ละคนไม่ชัดเจนนักเนื่องจากแสงไฟสาดเข้าตา

‘การ์ดของเธอคงมาช่วยเธอเแล้ว’

“ทิ้งปืนซะ ถ้าไม่อยากให้นังนี่ตาย!!” นายโจพูดเสียงเย็นขณะที่กดปลายกระบอกปืนเข้าที่ขมับของตัวประกัน 

“เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่าน่า”  เสียงชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหูของเกรซเอ่ยขึ้น  เขายืนอยู่หน้าสุด  พยายามต่อรอง

“กูไม่คุย!  กูบอกให้พวกมึงวางปืนไม่ได้ยินรึไงวะ  อยากให้นังนี่ตายใช่ไหม!” 

โจ เหลียงใช้มือข้างที่ถือปืนเลื่อนออกจากขมับ  เล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า  ส่ายปืนไปมาทางซ้ายและขวาพร้อมทั้งออกคำสั่งให้ฝ่ายที่บุกรุกวางปืน  จากนั้นปลายกระบอกปืนก็กลับมากดที่ขมับของเกรซอีกครั้ง  แรงกดนั้นถึงกับทำให้ใบหน้าตัวประกันเอียงไปทางหนึ่ง  เกรซหลับตาแน่นเพราะความหวาดกลัวแต่ปืนหลายกระบอกที่เล็งตรงมาก็ยังไม่ยอมลดลง

เวลาผ่านไปหลายนาทีท่ามกลางความเครียดระหว่างทั้งสองฝ่าย  ยังไม่มีใครเคลื่อนไหว  แรงที่รัดคอเธอยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเมื่อนายโจกำลังโกรธมากขึ้นทุกขณะ 

“กูบอกให้วางปืน!!” นายโจตะคอกอีก

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมเริ่มปรากฏความเครียดอย่างเห็นได้ชัด  ตาเหลือกโปน  เหงื่อไหลเป็นทางจากใบหน้าลงไปตามลำคอ  มือที่ถือปืนกดที่ขมับตัวประกันเริ่มสั่น  ในขณะที่ตัวประกันก็กำลังจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว  เกรซที่ถูกล็อกคออยู่กำลังหวาดกลัวอย่างมาก  เธอตัวสั่นอย่างรุนแรง

กลุ่มคนที่ยืนอยู่อีกฟากมองสบตากันรวดเร็ว  ทุกคนรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับตัวประกัน  เพราะนายโจอาจจะเครียดจนขาดสติผลั้งมือทำอะไรขึ้นมาก็ได้ 

เมื่อเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดจนถึงที่สุด  ก็มีคนทิ้งปืนลงบนพื้น 

“พวกเราวางปืนเถอะครับผมขอร้อง  เกรซจะไม่ไหวแล้ว  ผมกลัวเธอจะเป็นอันตราย” 

“เร็ว ๆ เซ่”  โจ เหลียงขู่สำทับมาอีก  กดปืนแรงมากขึ้นจนเกรซต้องร้องออกมาด้วยความกลัวจับหัวใจ

คนที่เหลือในกลุ่มเริ่มทิ้งปืนลงพื้นทีละคน  พร้อมกับชูมือขึ้นระดับอก 

ยกเว้น...

“มึง!!!  ไอ้เด็กเมื่อวานซืน  กูบอกให้มึงวางปืน!” 

คนเพียงคนเดียวที่ยังไม่ยอมทิ้งปืน  พีทยืนเล็งซาวเออร์ตรงมานิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด  นิ่งราวกับหุ่น

“พีท!  พี่บอกให้วางปืนไง  เดี๋ยวนี้!” 

เสียงสั่นของแคนตะคอกใส่พีท  เขาขยับตัวจะเข้าไปดึงมือที่ถือปืนลงกลับถูกขวางไว้ด้วยมือของพี่ฮั่นที่ยืนอยู่ใกล้   

พี่ฮั่นก็ทิ้งปืนลงแล้วเช่นกัน  แคนหันมองพี่ฮั่นด้วยความโกรธที่ห้ามเขาแต่เมื่อมองเห็นดวงตาของพี่ใหญ่ในกลุ่มกระพริบหนึ่งครั้ง  มือพี่ฮั่นที่บีบแน่นที่แขนเขาราวกับต้องการบอกบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เขาเอะใจ 

แคนหวนกลับนึกไปถึงตอนที่พวกเขาเคยเข้าร่วมคลับการต่อสู้ป้องกันตัวสมัยที่เรียนอยู่อังกฤษ  งานอดิเรกที่เขากับพี่ฮั่นเคยร่วมเป็นสมาชิกรุ่นเล็ก พวกเขาได้เรียนรู้การใช้อาวุธและการต่อสู้ทุกรูปแบบจากมืออาชีพที่มารวมตัวกันในคลับ  รวมถึงรหัสที่ใช้ส่งสัญญาณในภาวะคับขันเช่นนี้ 

รูปที่พีทเคยถามพี่ฮั่นตอนที่จัดของ พี่ฮั่นเป็นคนเดียวในรูปนั้นที่อายุน้อยที่สุด  แต่คนที่อายุน้อยที่สุดของคลับคือแคนซึ่งเป็นคนถ่ายภาพนั้นเอง!

แคนเห็นพี่ฮั่นมองจับไปที่คนร้ายที่จี้ปืนตรงขมับเกรซอย่างแน่วแน่  เสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ เป็นจังหวะติดกันสองสามครั้งทำให้แคนชะงัก  ก่อนจะทำความเข้าใจสัญญาณ  เขาเห็นพี่ฮั่นขยับใบหน้าไปทางพีทที่ยืนเฉียงไปทางซ้ายมือเพียงนิดเดียวก่อนจะเคาะรองเท้าอีกครั้ง  คราวนี้แคนจึงเริ่มเข้าใจ  เขาหันกลับไปมองเกรซที่ถูกล็อกอยู่แน่นหนา  ภาวนาให้เธอตั้งสติไว้ก่อน  ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังเสียงสัญญาณ  ไม่นานก็ได้ยินเสียงรองเท้าเคาะแผ่วเบาตอบกลับจากตำรวจนอกเครื่องแบบที่เป็นเพื่อนไรอัน  ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขยับร่างกายอย่างเตรียมพร้อม

ยกเว้นพีทที่ยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว  มือข้างขวายังจับซาวเออร์เล็งไปข้างหน้า นิ้วชี้แตะอยู่ที่ไกปืน 

“พีท  รอ...” 

เสียงพูดลอดไรฟันของพี่ฮั่นบอกโดยไม่ขยับปากแม้แต่นิด  ทุกคนที่ยืนอยู่อีกฟากนิ่งสงัด  ดวงตาจ้องตรงมาที่ฝ่ายที่มีตัวประกันอยู่ในมือ





โจ เหลียงมองไอ้หน้าอ่อนนั้นแล้วกลับเหงื่อซึม
 
‘ทำไมมันนิ่งอย่างนี้’ 

เงามืดอีกฟากห้องทำให้เห็นใบหน้าแต่ละคนไม่ชัด  แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงกระแสที่พุ่งตรงมาที่เขาอย่างรุนแรง   คนอย่างโจ  เหลียงเคยดวลปืนกับพวกมาเฟียมานักต่อนัก  แต่เขายังไม่เคยถูกเล็งด้วยความรู้สึกรุนแรงขนาดนี้มาก่อน  ไอ้หน้าอ่อนนี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเพชฌฆาตกำลังเล็งมาที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 

และเหยื่อคนนั้นคือเขาเอง!

เพียงชั่วระยะเวลาแค่ไม่กี่วินาทีกลับทำให้โจ  เหลียงหวาดหวั่นถึงขีดสุดเมื่อมือนั้นยังคงนิ่งราวกับปืนไม่มีน้ำหนัก  เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าเหลี่ยมของเขา  กระแสรุนแรงนั้นทำให้เขาเริ่มกลัว  แม้จะถือปืนอยู่  แม้จะมีตัวประกันอยู่ในมือก็เหมือนไม่มีความหมายอะไรในเมื่อเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าเขาทำให้ตัวประกันนี่ตายตัวเขาก็คงไม่รอดเช่นกัน
 
โจ  เหลียงสูดลมหายใจลึก  ตัดสินใจตะโกนขู่ไอ้หน้าอ่อนนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

“กู   บอก  ให้  มึงวะ...”

“ยิง!!!” 

“ปัง!!!”

ชั่ววินาทีที่ปากกระบอกปืนเลื่อนออกจากขมับตัวประกันเพื่อเปลี่ยนไปเล็งคนตรงหน้าเสียงปืนก็ดังลั่น  แรงมหาศาลจากการระเบิดของดินปืนทำให้ลูกกระสุนขนาด 9 มม. ถูกอัดให้พุ่งบิดตามเกลียววนขวาออกจากปลายประบอกปืนด้วยความเร็ว 1,000 ฟุตต่อวินาที  ตรงปะทะเข้าที่ปืนที่นายโจถืออยู่อย่างถนัดถนี่   แรงปะทะที่เกิดจากความเร็วสูงและการยิงระยะใกล้ทำให้ปืนกระบอกนั้นสะบัดหมุนควงออกจากมือ  ร่างของโจ  เหลียงถอยไปด้านหลังจากแรงกระแทก

พี่ฮั่นพุ่งตัวออกจากจุดยืนราวกับม้าแข่งที่ถูกปล่อยตัวจากซอง ร่างใหญ่พุ่งเข้าไปคว้าตัวเกรซไว้แล้วเหวี่ยงกลับไปด้านหลังก่อนจะโถมร่างใส่ฝ่ายที่จับตัวประกันไว้

เสียงปืนที่ดังขึ้นโดยไม่คาดคิดทำให้ลูกน้องของโจ เหลียงชะงักไป และก่อนที่พวกมันจะทันตั้งตัวตำรวจนอกเครื่องแบบก็ล้มตัวคว้าปืนที่อยู่บนพื้นยิงใส่ลูกน้องแต่ละคนด้วยความรวดเร็ว

“ปัง ๆๆๆๆ”

“โอ๊ย ๆๆ”

คนอื่นที่เหลือเตรียมพร้อมอยู่แล้วพุ่งเข้าชาร์จทันที  เกิดความวุ่นวายชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ไม่นานทุกคนก็ถูกควบคุมตัว 
 
นายโจในสภาพสะบักสะบอมถูกใส่กุญแจมือรวมกับลูกน้องอีกยี่สิบกว่าคนที่ถูกรวบตัวอยู่ชั้นล่าง

ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง







พีทเข้าถึงตัวพี่ชายทันทีที่เหตุการณ์สงบลง  เขาเข้าไปจับแขนคนตรงหน้าไว้  เอ่ยถามพลางมองสำรวจที่ใบหน้าและร่างกายของพี่ชาย 

“พี่เป็นอะไรไหม  เจ็บตรงไหนรึเปล่า” 

“ไม่เป็นไรพีท  ไม่เป็นอะไร  แล้วพีทล่ะ เป็นอะ...” 

พี่ชายตอบยังไม่จบประโยคพีทก็โผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น

“พีท พี่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

พี่ชายกอดตอบพร้อมกับลูบหลังน้องไปมา  ยิ้มให้กับท่าทางเป็นห่วงหนักหนาของน้อง  ท่าทางที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ดังคนละคนกัน  พีทคนที่ยืนนิ่งราวกับนักฆ่าจ้องเขม็งไปที่เหยื่อเพื่อรอจังหวะลงมือสังหารหายไปทันทีที่ลั่นกระสุน   เพียงกระพริบตามือสังหารก็กลับมาเป็นน้องน้อยในอ้อมแขนเขาอีกครั้ง

“แล้วพีทเจ็บตรงไหนรึเปล่า” 

พีทส่ายหน้าบนไหล่เขา

“พี่ว่าพีทปล่อยพี่ก่อนดีไหม  ก่อนจะทำปืนลั่นใส่พี่”  เขาบอกคนที่กอดเขาไว้แน่น 
 
พีทคลายอ้อมแขนทันทีเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกอดพี่ฮั่นทั้งที่ยังกำซาวเออร์ไว้ในมือ เขาเอื้อมมือมาแกะปืนออกจากมือของน้องที่ยังจับปืนแน่น เลื่อนสมอล็อกเข็มแทงชนวนเป็นการใส่เซฟตี้ก่อนจะสอดปืนเหน็บไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลังของตน

“ยิงแม่นนะ”  พี่ชายชมอย่างจริงใจ 

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฝีมือน้องชาย  พีทไม่ได้ยิงแม่นเฉพาะเป้านิ่งเท่านั้น  แต่เป้าเคลื่อนไหวก็ไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย  ทั้งที่พวกเขาอยู่ในที่มีแสงสว่างไม่มากนักพอเห็นหน้ากันเท่านั้น  แต่พีทกลับยิงทันทีที่เขาให้สัญญาณ  ไม่ลังเลและไม่พลาด!

โจ เหลียง ไม่มีโอกาสรู้เลยว่ายิ่งให้โอกาส ‘ไอ้หน้าอ่อน’ มีเวลาเล็งมากเท่าใด  ความแม่นยำก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น  หลักฐานปรากฏชัดที่ปืนที่สะบัดไปไกล  กระสุนเจาะเข้าที่ลำปืน  ลูกกระสุนยังฝังคาอยู่  ทำเอาคนที่ได้เห็นกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน  ใครจะคิดว่า ‘ไอ้เด็กเมื่อวานซืน’ หน้าหวานที่เดินตามหลังพี่ชายไม่ห่างจะยิงแม่นขนาดนี้

พีททำหน้าเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา

“แน่อยู่แล้ว   พี่เห็นฝีมือผมรึยัง  ระวังให้ดีเถอะ ถ้าออกนอกลู่นอกทางเมื่อไร ไม่! รอด! แน่!”

น้องชายเอ่ยคำขู่  ทำหน้าเรียบให้ดูโหดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  แต่พี่ชายกลับยิ้มกว้างอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะเห็นฝีมือของน้องชายอยู่เต็มตา

“ไม่กลัวหรอก  พีทไม่กล้ายิงพี่หรอก  พี่รู้ว่าพีทน่ะรักพี่ฮั่นจะตายใช่ไหม ๆ”

พูดพลางคว้าตัวน้องชายมากอดแน่นอีกครั้ง  เหวี่ยงน้องชายในอ้อมแขนอย่างมันเขี้ยวกับคนช่างขู่  เขารู้ดีว่าน้องขู่ไปอย่างนั้นเอง  เอาเข้าจริงพีทก็ใจอ่อนกับเขาเสมอ

“พี่ฮั่น  พีทเอาจริงนะ”  น้องชายยังพยายาม

“ครับ ก็ได้ กลัวก็ได้  ยอมให้พีทคนเดียวนะ” 

ยอมให้ตั้งแต่พีทยังสี่ขวบ  และคงจะยอมให้ตลอดไป

“ดีมาก”  น้องชายยกมือตบหลังเขาเบา ๆ ก่อนจะกอดเขาบ้าง

สองพี่น้องพูดคุยกันราวกับว่าอยู่กันสองคนในโลก ไม่ได้สังเกตสังกาเลยว่าใครต่อใครกำลัง ‘เก็บกวาด’ อะไรอยู่รอบตัวพวกเขา   
ทุกคนที่อยู่ในห้องเก่าโทรมนั้นส่ายหน้าให้กัน  ไรอันถึงกับบ่นออกมาเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเพื่อนตัวเองเป็นแบบนี้   

คนทั้งคู่คงจะยังอยู่ในโลกกันสองคนต่อไป  ถ้าไม่มีเสียงร้องอย่างตกใจของเกรซดังแทรกขึ้นมา

“นายแคน!!!”




-----------------------------------------------------





“เราไปก่อนนะ” 

หนุ่มน้อยยิ้มให้เพื่อนอย่างให้กำลังใจ  วางมือของตนบนไหล่บอบบางบีบเล็กน้อยก่อนจะปล่อย 

“พี่  อะไรเนี่ย  ทำไมต้องลากด้วยล่ะ  นี่....”

เสียงพีทลอยหายไปหลังจากประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงเกรซจึงหันกลับมามองหน้าคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเอียงไปทางหนึ่ง เขายังคงไม่รู้สึกตัว   

เกรซลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปวางทับมือที่วางข้างตัว รวบมือนั้นมากำไว้แน่น  ความรู้สึกมากมายไหลวนอยู่  เพราะเพิ่งคลายความตกใจจากเหตุการณ์ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน  แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดอยู่ในจิตใจเธอตอนนี้กลับเป็นเรื่องความรู้สึกของเธอเอง
 
ความรู้สึกที่ไม่เคยชัดเจนเลยตั้งแต่วันที่เจอเขา  เธอไม่เคยรู้แน่ชัดว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา มีแต่ความสับสน  ไม่แน่ใจ
 
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มชัดเหลือเกิน  เหมือนเมฆหมอกที่เคยปกคลุมท้องฟ้าถูกลมแรงพัดหายไป  ท้องฟ้ากลับแจ่มกระจ่างส่องแสงสดใสไปทุกพื้นที่  ความรู้สึกของเธอก็ชัดเจนเหมือนท้องฟ้าที่ใสกระจ่างนั้น

ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจเธอทันทีที่สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นที่กดขมับไว้  เธอกลัว  ตัวสั่นอย่างหนักแทบยืนไม่ไหว  ที่ยังประคองตัวไว้ได้ก็เป็นเพราะไอ้หน้าเหลี่ยมโจ เหลียงนั่นล็อกคอเธอไว้แน่นแทบหายใจไม่ออกต่างหาก  ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใรเธอก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น  ความเครียด ความกดดัน การต้องตกอยู่ในภาวะของความเป็นความตายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตทำให้เธอปล่อยน้ำตาร้อน ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว  เธอแทบหมดแรงอยู่แล้ว  แรงที่รัดคอเธอกลับยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเมื่อนายนั่นกำลังโกรธมากขึ้นทุกขณะ  เขายกปืนจี้ที่ขมับเธอสลับกับเล็งไปตรงหน้าเหมือนต้องการขู่แต่ปืนหลายกระบอกที่เล็งตรงมาที่นายนั่นก็ยังไม่ยอมลดลง

เมื่อเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดจนถึงที่สุด เสียงที่คุ้นหูเธอก็เอ่ยบอกพรรคพวกให้ทิ้งปืนเพราะกลัวเธอจะเป็นอันตราย  เสียงที่ได้ยินนั้นกระชากเธอออกจากความหวาดกลัว  เสียงนี้  เสียงนุ่มที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว 

เขาอยู่ตรงหน้า!

เกรซชาวาบไปทั้งตัวด้วยความคาดไม่ถึง จากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเพราะหูเธอดับไปแล้วจากเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง  แค่ได้ยินเสียงเขาหัวใจเธอก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง  เธอหันมองตามเสียงที่เธอได้ยินจึงเพิ่งสังเกตว่าในเงามืดร่างนั้นก็คุ้นตาเธอยิ่งนัก  คนที่หายหน้าหายตาไปจากชีวิตเธอ 

‘นายแคน’ 

ได้แต่ร่ำร้องชื่อเขาอยู่ในใจ  เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเธออยากเห็นหน้าเขาขนาดไหน  นานเท่าไรแล้วที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเขา  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคิดเอาว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย  เธอก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ   แต่ในเวลาคับขันเช่นนี้เกรซกลับกำลังรู้ตัวทีละน้อยว่าเธอคิดถึงเขามากเพียงใด

ชั่ววินาทีที่นายโจเลื่อนปากกระบอกปืนออกจากขมับเพื่อเปลี่ยนไปเล็งพีท  เสียงปืนก็ดังลั่น  เกรซไม่รู้ตัวว่ากรีดร้องออกไปด้วยความตกใจ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีเงาดำพุ่งตรงมากระชากเธอออกจากแขนที่รัดแน่น  เธอถูกเหวี่ยงไปด้านหนึ่ง  เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคนเข้าพอดีก่อนที่ความวุ่นวายจะตามมา

เสียงปืนและเสียงการต่อสู้ดังสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด  ความเคลื่อนไหวหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแต่เธอไม่รับรู้อะไรเมื่ออ้อมแขนนั้นรัดเธอไว้แน่น  ดึงไปที่ริมผนังห้องเพื่อหลบความชุลมุนวุ่นวายจากการต่อสู้ เสียงสั่นของเขาปลอบประโลม  เกรซปล่อยตัวเองอยู่ในอ้อมกอดนั้น  ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดจากความโล่งใจที่ปลอดภัย  หรือดีใจที่ได้เจอเขาในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้   

เธอปลอดภัย  มีเพียงรอยช้ำบนใบหน้าและตามร่างกายเล็กน้อย  แต่คนที่มาช่วยเธอไว้กลับเป็นฝ่ายต้องมานอนโรงพยาบาล







สัมผัสนุ่มนวลที่ลูบผมนุ่มทำให้คนที่เผลอหลับไปรู้สึกตัว  ทันทีที่สติสัมปชัญญะกลับคืนเกรซก็เงยหน้าขึ้น  แคนที่นอนอยู่ไม่คิดว่าเกรซจะตื่นจึงสบตากับเธอทันที 

เกิดความว่างเปล่าขึ้นชั่วขณะก่อนที่ทั้งคู่จะหลบตากันและกัน  หันไปมองจุดอื่นในห้องพักผู้ป่วย  ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ดวงตาของอีกฝ่าย 

เกรซดึงมือตัวเองที่จับมือแคนออก  กลับไปนั่งหลังตรง  ยกมือขึ้นเสยผมท่าทางขัดเขิน

แคนก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน  เขาตื่นขึ้นมาสักพักแล้วและสัมผัสถึงบางสิ่งในอุ้งมือของตน  เมื่อหันไปมองก็ต้องประหลาดใจอย่างมากที่เห็นเกรซซบใบหน้าบนเตียงผู้ป่วย  มือของเธอยังจับมือเขาไว้  ได้แต่มองนิ่ง หัวใจพองโตขึ้นทีละน้อยเมื่อเห็นคู่หมั้นของตนอยู่ตรงหน้า  เมื่ออดไม่ได้จึงเอื้อมมืออีกข้างไปลูบผมดำขลับนั้นแผ่วเบา  เขาไม่ต้องการทำให้เกรซตื่น  เขาเพียงแค่อยากสัมผัสแค่ปลายผมก็ยังดี
 
ความเงียบที่เข้าครอบคลุมในห้องทำให้อึดอัดเหลือเกิน  แคนจึงตัดสินใจทำลายบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นี้

“คุณไม่กลับบ้านเหรอ  นี่เช้าแล้ว  คุณควรพักผ่อนนะ”

เกรซเหลือบดวงตากลมโตนั้นมองคนป่วยแวบหนึ่งก็หลบตาอีก

“คุณเป็นคนไปช่วยเกรซไว้  เกรซไม่ควรทิ้งคุณให้นอนอยู่ที่นี่คนเดียว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว  ขอบคุณที่ปะ..” 

คำพูดนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอ แคนอ้ำอึ้ง เขาจะขอบคุณที่เธอเป็นห่วงงั้นเหรอ  คงจะเข้าข้างตัวเองมากไปที่จะคิดเช่นนั้น

“เกรซเป็นห่วงคุณค่ะ...”  เสียงเกรซรีบเอ่ยตอบ 

“แล้วก็อยากจะขอบคุณที่ไปช่วย...”

เสียงเธอขาดหายไปเช่นกันเมื่อไม่รู้จะพูดอย่างไร  หลังจากที่ได้รู้ว่าเขาทำอะไรมากมายเพื่อเธอ  เกรซก็รู้สึกผิดเหลือเกินที่ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้อภัยที่เขาเคยหลอกลวง  ทั้งที่เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นแต่เป็นเพราะเธอเองที่ทิฐิ  ไม่ยอมให้โอกาสเขาแก้ตัว



“เราอยากให้เธอให้อภัยพี่แคนในเรื่องที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่าง”

พีทพูดกับเธอตรงไปตรงมา หลังจากที่พวกเขาพาพี่แคนมาส่งที่โรงพยาบาล

“พี่แคนอาจจะทำผิดพลาดหลายอย่าง  แต่การให้อภัยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ เหมือนที่พี่ฮั่นไม่เคยโกรธเรา เหมือนเรายกโทษให้พี่ฮั่นที่เคยทำให้เราเสียใจ  เราว่าพี่แคนก็คงมีเหตุผลของเขา  มีมุมมองของเขา  เขาอาจจะทำผิดต่อเกรซแต่เราเชื่อว่าพี่แคนทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ  คนเราต่อให้ฉลาดแค่ไหน  แต่กับเรื่องความรัก  บางทีคนฉลาดที่สุดก็อาจกลายเป็นคนโง่ที่สุดก็ได้  ทำความเข้าใจกันเถอะ  เราเชื่อว่าเกรซจะไม่เสียใจ”

แววตาที่มีความสุขเป็นสิ่งยืนยันคำพูดของเขา  และคนที่ยืนเคียงข้างเขานั้นก็คือคนที่เคยทำให้พีทเสียใจ  พี่ฮั่นเอื้อมมือมากอดไหล่เพื่อนของเธอไว้ ไม่มีคำพูดใด แต่การแสดงออกนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความรักที่ทั้งสองคนมีให้กัน
   
พีทยิ้มให้เธออย่างให้กำลังใจก่อนจะขอตัวกลับ




เธอต้องให้โอกาสเขาและก็เป็นการให้โอกาสตัวเองด้วยเช่นกัน  เกรซหันหน้ามาสบตาคนที่นอนอยู่บนเตียง  สูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเอ่ย

“เกรซอยากจะขอบคุณและขอโทษเรื่องที่ผ่านมาค่ะ ที่เกรซเคยทำไม่ดีกับคุณ ที่ไม่ยอมให้อภัยคุณ  เกรซขอโทษทุก ๆ เรื่อง”

“เอ่อ...ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ  ผมผิดเองที่หลอกคุณตั้งแต่แรกแล้วก็รวบรัดประกาศหมั้นทั้งที่เรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาผมทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด ไม่เคยนึกถึงจิตใจคุณบ้างเลย  ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ”

“ดูเหมือนเราทั้งคู่ต่างก็ทำผิดต่อกันนะคะ”

“เรามาลืมสิ่งที่ผ่านมากันดีไหม  อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป เรา...” แคนหยุดอีก

‘เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม?’   
เขาถามคำถามนี้เพียงแค่ในใจ  เขาจะเริ่มต้นกับเกรซได้อย่างไรในเมื่อเธอมีใครอีกคนแล้ว  นักร้องคนนั้นที่เขาเห็นสนิทสนมกับเกรซ  และเขาเองที่เป็นคนให้โอกาสเธอ 

แคนกำมือแน่น  สะกดอารมณ์เสียใจไว้ให้ลึกลงไปในหัวใจ  ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
 
“เรามาเป็นพี่น้องกันดีไหม  ผมเป็นลูกคนเดียวแล้วผมก็อยากมีน้องสาว  คุณจะรังเกียจที่จะมีพี่อย่างผมรึเปล่า”

เขาพูดขึ้นมาอีก ทั้งที่เขาไม่เคยอยากให้เกรซเป็นอะไร  นอกจากเป็นคู่หมั้นเขาเหมือนเดิมแต่เธอคงไม่ต้องการ

หญิงสาวตรงหน้าเขาเงียบไป  เกรซก้มมองมือตนเองที่กุมกันแน่น 

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ได้แล้วแต่คุณเถอะ แค่คุณยกโทษให้ผม  ผมก็พอใจ”  เขารีบตัดบทเพราะกลัวจะทำให้เกรซลำบากใจ
 
“ได้สิคะ พี่แคน”  เกรซเอ่ยในที่สุด  เธอพูดเสียงเบา ยังคงก้มหน้า

“เอ่อ ครับ ดีครับ น้องเกรซ  ดีจัง ดี ๆ  พี่รับรองว่าจะดูแลน้องเกรซให้ดี  ไม่ให้แพ้พี่ฮั่นเลย  เกรซรู้ไหมว่าพี่ฮั่นน่ะรักพีทมากเลย  พี่ฮั่นเป็นพี่ชายที่ดีมาก...”

แคนยังคงพูดอะไรต่ออีกยืดยาว  คล้ายกับว่าเขากำลังดีใจที่พวกเขาตกลงเป็นพี่น้องกัน  แต่เกรซยังคงเงียบ

“เราไปกินข้าวกันสักมื้อไหม  มีร้านนึง...” 

เสียงกลืนหายไปเมื่อคนฟังยังนิ่ง  หญิงสาวตรงหน้าดูไม่ยินดียินร้ายกับการที่พวกเขาตกลงเป็นพี่น้องกัน  จู่ ๆ เขาก็พูดไม่ออกอีกต่อไปในเมื่อจิตใจไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่พูดออกไปเลยแม้แต่นิด  ทุกสิ่งเงียบงัน 

ในยามที่แสงแดดยามเช้ากำลังส่องแสงเข้ามาทางหน้าต่างห้องพักผู้ป่วย  เวลาเช้าเป็นดังเวลาของการเริ่มต้นใหม่แต่พวกเขายังไม่เคยได้ ‘เริ่มต้น’ กันสักครั้ง  เพราะไม่มีใครกล้าฝ่ากำแพงของตนออกมา

บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยอันหรูหรานั้นมีแต่ความอึดอัดของทั้งสองคน   ต่างคนต่างก็กำลังต่อสู้กับจิตใจของตน  ห้องนั้นคล้ายกับกำลังหดตัวลงทุกวินาทีที่ผ่านไป  บีบให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น  อากาศที่หายใจราวกับน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาหายใจไม่คล่อง 

‘นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ  ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา’
 
แคนกำมือแน่น  เขาไม่ได้ต้องการเป็นพี่ชายเธอเลยแม้แต่นิด  เขาอยากเป็นคนที่เธอรักและให้ความสำคัญ  เขารู้ตัวเองมานานแล้วว่ารักผู้หญิงคนนี้เข้าแล้ว  อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอหันหน้ามาในห้องผู้จัดการ   บุคลิกและความเฉลียวฉลาดของเธอทำให้เขาไม่อาจมองข้ามไปได้ 

เกรซไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยรู้จัก เธอเป็นตัวของตัวเอง  เข้มแข็งแต่อ่อนโยน  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอกับพีทถึงเป็นเพื่อนสนิทกัน  นอกจากจะชอบเต้น ชอบร้องเพลงเป็นพวกลูกคุณหนูเหมือนกันแล้ว  พวกเขามีมุมที่อ่อนโยนเหมือนกันและเขาก็รักที่เธอเป็นแบบนั้น

เขารักคู่หมั้นของเขาเอง

“ที่จริงแล้ว  ผม...” 

“ผม..ไม่ได้อยากให้คุณเป็นน้องสาวเท่าไร....” แคนเอ่ยในที่สุด 

ใบหน้าคมสวยนั้นเงยขึ้นมาสบตา  ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้

“ผมอยากให้คุณเป็นคู่หมั้นของผม  ผมอยากให้คุณยิ้มให้ผมเหมือนที่คุณยิ้มให้นักร้องคนนั้นบ้าง  ผมต้องการให้คุณอยู่เคียงข้างผมไม่ใช่คนอื่น  ผมรู้ว่าผมมันเอาแต่ใจ  ดีแต่ทำตามใจตัวเอง ไม่เคยสนใจเลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร...”

“ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ  แต่ผมอยากจะบอกคุณ...”

เกรซไม่ทันตั้งตัวเมื่อแคนลุกนั่งบนเตียง  ขยับมากอดเธอไว้อย่างนุ่มนวลก่อนจะกระซิบที่ข้างหู  คำกระซิบนั้นทำให้น้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตากลมหยดลงบนไหล่ของแคน  เกรซกอดเขาไว้เช่นกัน

“ค่ะ ค่ะ ค่ะ”  เธอพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะเอาแต่ร้องไห้
 
แคนคลายอ้อมกอดออก  ใช้นิ้วไล้แผ่วเบาเช็ดน้ำตาให้  เขารวบมือทั้งคู่ของเกรซไว้ก่อนจะก้มมองที่มือข้างซ้าย

“แหวน”  แคนเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาเห็นแหวนของตัวเองยังประดับอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเกรซตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาแล้ว

“คุณใส่มันด้วย”  เขาว่า มองใบหน้าสวยคมที่อยู่ใกล้

“คือ  มันถอดไม่ออก  ตั้งแต่คุณใส่แหวนให้แล้วเกรซก็ถอดแหวนไม่ได้เลย”
   
“ผมขอโทษ แหวนนี่ไม่คู่ควรกับคุณเลย...”

เขารู้สึกผิดตลอดเวลาเมื่อนึกถึงงานวันเกิดของพ่อ เขาบังคับหมั้นกับเกรซโดยไม่เคยถามความรู้สึกของหญิงสาวคนนี้  แหวนหมั้นก็เป็นเพียงแหวนเพชรเม็ดเล็ก ๆ ของตัวเองที่ใส่ติดนิ้วมาหลายปี  ไม่คู่ควรกับหญิงสาวที่มีคุณค่าต่อเขาเช่นนี้เลย 

เขาจับมือข้างนั้นไว้  พยายามจะดึงแหวนด้อยค่านั้นออก

“เอ่อ  ไม่เป็นไรค่ะ”

เกรซยื้อไว้และดึงมือออกจนได้ในที่สุด  เธอกุมมือซ้ายของตัวเองไว้ราวกับแหวนวงนั้นเป็นของมีค่า

แคนมองท่าทีนั้นด้วยสายตาประหลาดใจ  เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ทำไมเกรซทำท่าเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้เขาถอดแหวนออก

“คุณยังต้องการมันหรือ...”

“ค่ะ” 

ใบหน้าหญิงสาวค่อยซับสีเลือดขึ้นทีละน้อย  ในขณะหัวใจคนฟังเริ่มพองโต

“ทั้งที่มันแสดงว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”

“ค่ะ”

“เขา  ไม่ว่าอะไรหรือ”

“ใครคะ”

“ก็..ชิน  นักร้องของคุณน่ะ”

“เขาว่าอะไรไม่ได้หรอกค่ะ เขารู้อยู่แล้วว่าเกรซมีคู่หมั้นแล้ว เราเป็นเพื่อนกันค่ะ ชินเขาแค่เข้ามาเพื่อทำให้เกรซเข้าใจตัวเอง  ตอนนี้เกรซรู้แล้ว” 

อาการพูดติดขัดและท่าทีขัดเขินของเกรซทำให้แคนเริ่มมั่นใจขึ้นทีละน้อย  เขาไม่ได้คิดไปเอง  หัวใจที่พองโตของแคนยิ่งขยายมากขึ้นไปอีก  เขาตัดสินใจถามอีกครั้ง

“คุณยินดีที่จะเป็นคู่หมั้นของผมใช่ไหม”

ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีที่แคนรอคอยคำตอบนั้นยาวนานราวกับข้ามเดือนข้ามปี  ก่อนที่เกรซจะตอบ

“ค่ะ”

ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน 

เป็นครั้งแรกที่พวกเขามองสบตากันด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของตน  แม้ไม่มีคำพูดใดแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาก็ทำให้คนที่เคยไม่เข้าใจกันกลับกำลังรับรู้ความในใจกันอย่างเงียบเชียบ   แม้ว่าวันนี้เกรซจะไม่ได้เอ่ยคำใดแต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่ในใจของตนเอง 

ร่างคนทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน  แคนประคองกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน  กระชับแน่นทีละน้อย

“ขอบคุณ  ขอบคุณครับ”

เกรซหลับตาซบร่างของตนในอ้อมกอด  ยิ้มกับตนเองอย่างเป็นสุข



------------------------------------









ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
(ต่อ)




“พี่ฮ่านนนน  เดินช้า ๆ หน่อย  พีทเดินตามไม่ทัน”

พี่ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าผ่อนฝีเท้าลง มือที่ดึงแขนเขาเมื่อครู่เลื่อนลงมาจับมือเขาไว้แทนทำให้พีทพยายามดึงมือตัวเองออก   เพราะกลัวคนที่เดินไปมาในโรงพยาบาลจะเห็น
   
มันคงดู...แปลก...ที่ผู้ชายสองคนจะเดินจับมือกัน   

แต่พี่ฮั่นไม่ยอมปล่อย  ยังคงจับมือเขาไว้แน่น 

“ไม่ต้องไปสนสายตาคนอื่นหรอกน่า”

“พี่อยากจับมือพีทไว้ ไม่อยากให้พีทหายไปจากสายตา”

พี่ชายพูดทั้งที่ยังไม่หันกลับมา  แต่พีทรู้สึกว่าพี่ฮั่นแปลกไป

“พี่ฮั่น  เป็นอะไรเนี่ย”

“เปล่า  แค่ไม่อยากให้พีทหายไปไหน”

“ทำไมล่ะครับ”

พี่ฮั่นหยุดเดิน  หันมามองหน้าเขา

“ก็ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยน่ะสิ  แค่พีทหายไปคราวที่แล้วพี่ก็แทบบ้า  แล้วเรื่องนี้ก็มาเกิดกับเกรซอีก  ถ้าเปลี่ยนจากเกรซเป็นพีทอีกครั้ง  พี่คงทนไม่ไหว” 

คำพูดของพี่ฮั่นทำให้พีทต้องเงยหน้ามองคนพูดให้ชัด  ดวงตาพี่ฮั่นที่มองมากำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูก  พี่ชายรักและเป็นห่วงเขามากเหลือเกิน ขนาดเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวผ่านมาตั้งนานแล้วพี่ฮั่นยังไม่ลืม  ทั้งที่เขาเองไม่เคยกลับไปคิดเรื่องพวกนั้นอีกเลย

“พี่เข้าใจความรู้สึกของแคนดีว่าเขาเครียดขนาดไหน  ไม่งั้นไม่วูบไปแบบนี้หรอก”

พี่แคนหมดสติไปทันทีที่เกรซปลอดภัย  เขาแน่นิ่งไปทำอย่างไรก็ไม่ฟื้นจนต้องส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน 

พีทเพิ่งได้รู้พร้อมกับเกรซว่าหลังจากที่พี่แคนให้ของขวัญแก่เกรซด้วยการให้อิสระเธอ  พี่แคนไม่เคยหนีหายไปไหนเลย  พี่แคนยังคงคอยอยู่ใกล้ ๆ เกรซตลอดเวลา  แต่ไม่ทำให้เธอรู้ตัว  และคอยไปเฝ้าเธอที่ผับจนดึกดื่นทุกคืนแม้ว่าตัวเองจะทำงานหนักไม่มีเวลาพักผ่อน  แม้ว่าจะอดนอนติดต่อกันมาหลายคืนตั้งแต่เกรซถูกพวกนักเลงพยายามเล่นงานเพื่อขู่ให้ยอมขายที่ให้พวกมัน

ดังนั้นพอมีเหตุการณ์ที่เกรซหายไป  ความเครียดบวกกับความเหนื่อยล้าที่ต้องทำงานหนักทำให้พี่แคนถึงกับน็อกไป

“ผมไม่หายไปไหนหรอกคร้าบบบ   ถ้าพี่ฮั่นไม่เบื่อพีท  พีทก็จะคอยตามพี่ฮั่นไปจนแก่เลย” 

เขาพูดพลางยิ้มให้พี่ชาย กระชับมือแน่นเป็นการย้ำอีกครั้ง  ความจริงมีมือของพี่ฮั่นจับอยู่แบบนี้ก็อุ่นดีเหมือนกัน

ดวงตาของพี่ฮั่นมองนิ่ง  ’พีทยิ้มแบบนี้อีกแล้ว’ 

“อย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครนะ พีท”

“หือ?  ทำไมล่ะครับ”  พีทเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“ก็เห็นแล้วพี่อยากกลับบ้านเร็ว ๆ แล้วน่ะสิ....” 

พี่ชายยิ้มให้  มองหน้าเรียวยาวของน้องชาย  ใช้สายตาที่ทำให้พีทรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ สายตาที่พี่ฮั่นชอบมองเขาเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน  มีแต่กันและกันในอ้อมแขน

“พี่อยากกอดพีท  อยากให้พีทเรียกพี่ทั้งคืน  พี่ชอบมองหน้าพีทเวลา...” 

พีทสวนคำพูดประโยคสุดท้ายด้วยการส่งหมัดกระแทกเข้าที่ท้องของพี่ฮั่นไม่เบานัก  โทษฐานที่ทำให้เขาเขินในที่สาธารณะ  แต่พี่ชายกลับแกล้งเบียดหมัดเขากลับมา  พี่ฮั่นใช้ร่างหนาของตนเองเบียดกระแทกร่างเขาเบา ๆ   ทำให้หนุ่มน้อยต้องถอยพร้อมกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ   

พี่ฮั่นหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจแล้วก็เดินหนีไป ทิ้งให้พีทยืนประหลาดใจอยู่ครู่  แต่เมื่อมองตามแผ่นหลังของพี่ฮั่นแล้วเห็นมือข้างหนึ่งของพี่ชายยื่นมาเหมือนรออยู่ก็ทำให้เขายิ้มกว้างก่อนจะวิ่งตรงไปสอดมือของตนในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นของพี่ชาย 

พวกเขาก้าวเดินไปพร้อมกันอีกครั้ง



--------------------------------------------------


ตอนนี้ยาวหน่อยนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1:



ออฟไลน์ bb_b

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
สนุกดีค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว
น่าจะเหลือปัญหายัยผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานกะพี่ฮั่นอย่างเดียว?

ขอบคุณนิยายดีๆ ค่ะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เย้ๆๆๆ กรีดร้องด้วยความดีใจ

แคนเกรซคืนดีกันแล้ว โล่งอก

พีทเก่งมากเลย แบบนี้สิสมกับเป็นภรรยาพี่ฮั่น 5555

คนแต่งสู้ๆน้า....ขอบคุณสำหรับนิยายที่สนุกนี้มากๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พีทลั่นไกเองไม่มีพลาดอยู่แล้วว  ระวังไว้นะพี่ฮั่น

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เพิ่งได้เข้ามาตามอ่าน สนุกมากค่ะตามอ่านแทบไม่ได้หลับได้นอน
ตอนแรกที่ไม่อ่านเพราะชื่อเรื่องเลยค่ะ วี่แววดราม่าน่าจะมาเต็มอะไรแบบนี้
พอเข้ามาอ่านถึงได้รู้ว่าสนุกมากทีเดียว จะติดตามต่อไปค่า

ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1

ออฟไลน์ Wannida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
อ่านรวดเดียว 1-61 สนุกมาก ไม่คิดว่าชื่อเรื่องดราม่าแต่ซ่อนความสนุกได้ทุกรูปแบบ
สุข เศร้า อินไปกับทุกตัวละคร (ผ่านตาไปได้ไง) เง้อ อตอนแรกก็ขัดใจเหมือนกันที่พีทให้อภัยพี่ฮั่นง่ายๆ
แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงป่านนี้แล้วก็อย่าไปรื้อฟื้นเลย
แค่เจ็บปวดไปกับพีทด้วย  แอบเสียดายอยากให้รวมเล่มจัง และเสียดายที่นิยายเรื่องนี้ใกล้อวสานแล้ว
แต่จะติดตามนิยายเรื่องใหม่ของนักเขียนต่อไปค่ะ สู้ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ
 :กอด1: o13 :impress2:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ sleepybear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องพีท กับพี่ฮั่น เข้าใจกันด้วยดี
รอพิชชี่กับพี่ซัน เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักที
#ทวงข้ามเวป

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ตามอ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลย ใช้เวลาไป 3 วัน  :m1:

อยากบอกว่า สนุกมากๆค่ะ การดำเนินเนื้อเรื่องดี เขียนบรรยายดี อ่านแล้วลื่นไหลไม่ติดขัด

พ๊อตเรื่องก็ดี สรุป ดีทุกอย่างค่ะ   :m3:

แต่แอบสงสัยนิดหน่อยคือเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่นี่เหมือนจะไม่ใช่ในไทยเลย

ในความคิดเรามันเหมือนดำเนินเรื่องในฮองกงมากกว่าแหละ  :m26:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:




ออฟไลน์ Tigerintherain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ตามอ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลย ใช้เวลาไป 3 วัน  :m1:

อยากบอกว่า สนุกมากๆค่ะ การดำเนินเนื้อเรื่องดี เขียนบรรยายดี อ่านแล้วลื่นไหลไม่ติดขัด

พ๊อตเรื่องก็ดี สรุป ดีทุกอย่างค่ะ   :m3:

แต่แอบสงสัยนิดหน่อยคือเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่นี่เหมือนจะไม่ใช่ในไทยเลย

ในความคิดเรามันเหมือนดำเนินเรื่องในฮองกงมากกว่าแหละ  :m26:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ใช่แล้วค่า  ตอนเขียนก็มโนเอาว่าประมาณฮ่องกง ใต้หวันอะไรประมาณนี้ค่ะ ชื่อแต่ละคนก็เลยไม่ค่อยไทยเท่าไร

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
 :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด