49. ปล่อยมือ
คนที่รีบออกจากห้องออกกำลังกายจนแทบวิ่งนั้นกลับไปที่บ้านริมสระ ตรงไปที่ห้องนอนส่วนตัว ปิดประตูเสียงดัง พิงร่างสูงใหญ่ของตนกับประตูบานใหญ่
นี่เขาทำอะไรลงไป เขารู้ว่าเขาสามารถเลี่ยงคำสั่งนั้นได้ แต่เขากลับเผลอปล่อยหัวใจไป เขาลืมตัว!
ก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วต้องถอนหายใจแรง เสื้อยูโดหลุดลุ่ยไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกเปลือยเปล่าของตัวเองไว้ รับรู้แรงสั่นสะเทือนข้างใต้นั้น อารมณ์วาบหวามเมื่อครู่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย เขาตรงไปยังห้องน้ำเปิดน้ำเย็นรดตัวเอง
อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าพีทไม่ดิ้นเพราะหายใจไม่ทันเขาคงจะเผลอทำอะไรมากกว่านี้
ไม่ได้! จะทำแบบนั้นไม่ได้ ทำไม่ได้ นั่นน้องนะ ครอบครัวของเขาเอง เขาจะทำแบบนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
เขาได้แต่พร่ำเตือนตัวเองไม่ให้ทำแบบนี้ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นความผิดมหันต์ แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกร้อน ๆ ที่เพิ่งผ่านมากลับยังติดแน่นลึกลงไปในใจ
ช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ไม่มีความถูกต้องมาคอยเตือน เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำตามที่ตัวเองปรารถนามาแสนนาน ความปรารถนาอันลึกลับได้เผยออกจากที่ซ่อนที่ลึกที่สุดของใจ ผลักดันให้เขาทำตามความต้องการของตน
เขาเองก็ต้องการไม่ต่างกัน เพียงแต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นเขาต้องบังคับตัวเองแค่ไหน พีทไม่มีวันเข้าใจ....
น้ำตาร้อน ๆ ไหลปนออกมากับน้ำเย็นจากฝักบัว ร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดยูโดอันเปียกชุ่มพิงหลังกับผนังห้องน้ำ ทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้น ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ช่วงขณะที่เผลอตัวความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมหาศาลเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก
มันล้นจนเขาเก็บไว้ต่อไปไม่ไหว เขาต้องการบอกน้องเช่นกันว่าเขารู้สึกอย่างไร
อยากจะกอดน้องไว้ในอ้อมแขนไม่ให้ห่างไปไหน
อยากจะบอกว่ารัก...มากล้นเพียงใด
ช่วงเวลาที่พวกเขามีแต่กันและกันในอ้อมแขน เขาอยากจะพูดมันออกไป คำที่เขาเก็บไว้มานาน
แต่เขากลับได้สติเมื่อตาเหลือบไปเห็นภาพในกรอบขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังในห้องออกกำลังกาย ภาพน้องชายใส่ชุดยูโดกำลังชูเหรียญทองในมือยืนเคียงข้างกับลุงคริสที่ส่งยิ้มสดใส แววตาภาคภูมิใจในความสำเร็จของลูกชาย ภาพนั้นกระชากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ปลิวหายไปให้กลับมา
เขาหักหลังลุงคริสไม่ได้!
เจ็บปวดเมื่อต้องพูดออกไปเช่นนั้น ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นใช้มีดอันแหลมคมจ้วงแทงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ปรานี ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้กระทั่งปลายเล็บ
“โธ่โว้ย!”
เขาตะโกนอย่างเหลืออด ทุบกำปั้นลงกับพื้นกระเบื้องห้องน้ำจนมือแตก เลือดสีแดงละลายไหลไปกับสายน้ำที่เปิดรดตัวเอง
เขาทำไม่ได้ เขาทำลายอนาคตน้องไม่ได้
“พีท...พีท พี่ขอโทษ” ได้แต่พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
น้ำเย็นจากฝักบัวยังคงรินรดคนที่นั่งอย่างหมดแรงในห้องน้ำ ดวงตาแดงก่ำ เขายังจำภาพลุงคริสที่เดินเข้ามาในบ้านของพ่อได้ เมื่อลุงคริสปรากฏตัว ชีวิตเหมือนพลิกจากจุดต่ำสุดขึ้นมาอีกครั้ง เขายังจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี ไม่เคยลืมเลย
เสียงเคาะประตูบ้านดังเบา ๆ ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางประตูทำให้เด็กชายที่เดินออกมาจากด้านในมองแขกแปลกหน้าไม่ชัดเพราะแสงจ้าที่ส่องเข้ามา
ในสายตาของเด็กวัยเกือบแปดขวบตอนนั้น ร่างที่เดินเข้ามาพร้อมกับแสงแห่งรุ่งอรุณที่ฉายมาจากด้านหลังทำให้ลุงคริสดูราวกับทูตสวรรค์ลงมาบอกข่าวดีกับเขาและแม่ที่กำลังลำบาก
เวลานั้นเขากำลังเสียขวัญเพราะพ่อเพิ่งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายจากความเครียด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาเป็นหนี้มหาศาลเพราะค่าเงินที่ลอยตัว ถูกยึดบ้าน ทรัพย์สินทุกอย่างถูกยึดไปหมด แม่กลายเป็นบุคคลล้มละลายทั้งที่ยังจัดการเรื่องงานศพคุณพ่อไม่เสร็จ ญาติพี่น้องที่เหลืออยู่ก็หันหน้าหนี แม่ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือเพื่อนเก่าหลายคนแต่ทุกคนก็ปฏิเสธหมด
จนกระทั่งลุงคริสมาที่บ้านในวันสุดท้ายก่อนที่จะต้องย้ายออก ลุงคริสมาช่วยกอบกู้ธุรกิจที่กำลังล้มและช่วยปลดหนี้ให้แม่ และสาเหตุนี้ที่ทำให้ลุงคริสต้องขายหุ้นให้อาของตัวเอง แล้ว ‘มัน’ ก็ใช้เงื่อนไขนี้มาขู่ลุงคริสตอนที่ลักพาตัวเขาไปทรมาน มันขู่ว่าจะถอนหุ้นคืน ลุงคริสจึงต้องยอมที่จะไม่รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมเพราะกลัวธุรกิจที่กำลังก้าวหน้าจะต้องล้มครืนทั้งหมด
คนที่หมดหวังทุกอย่างในชีวิตอย่างแม่และเขา เหมือนคนที่ลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทร ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว กำลังอ่อนแรงลงทุกขณะ พวกเขากำลังจะหมดแรงจมลงสู้ก้นทะเลลึก แล้วทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งมาฉุดเขาและแม่ขึ้นไป
ลุงคริสกอดเขาและแม่ไว้ เขารู้ทันทีว่าเขาปลอดภัย เหมือนคนที่รอดพ้นจากความตายอันหนาวเหน็บไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นและมั่นคง ลุงคริสกลายเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้แม่และเขาที่กำลังไร้ที่พึ่ง เป็นคนที่สร้างเขาให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้
“ลุงคริส”
เขาพึมพำเอ่ยชื่อคนที่เขารักเหมือนพ่อคนหนึ่ง คนที่ทำเพื่อแม่และเขามากขนาดนี้ เขาต้องตอบแทน และพีทเป็นลูกชายของลุงคริส เป็นทายาทคนเดียวที่ต้องดูแลสืบทอดกิจการของตระกูลต่อไป เขามีหน้าที่ทำให้พีทประสบความสำเร็จ
เขารู้ดีว่าพีทต้องไม่ยอมรับความคิดนี้ ลุงคริสทำไปเพราะรักแม่และรักเขาอย่างลูกคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดเรื่องบุญคุณหรือการตอบแทนอะไรแม้แต่น้อย
พีทก็เหมือนพ่อ พีทรับเขาเป็นพี่ชายด้วยความเต็มใจตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาในบ้าน เชื่อใจและไว้ใจเขาเท่ากับที่ลุงคริสไว้ใจ ไม่เคยมีข้อสงสัยใดที่วันหนึ่งเขาก็เข้ามาเป็นลูกชายอีกคนของลุงคริส เป็นลูกชายบุญธรรม เป็นคนที่มาดูแลกิจการทั้งหมด มีอำนาจดำเนินการทุกอย่างเทียบเท่าลุงคริส
เขารู้ว่าพีทต้องต่อต้านถ้าได้รู้ว่าเขาคิดเช่นนี้ เพราะน้องไม่เคยสนใจเรื่องบุญคุณอะไรเหล่านี้เลย พีทไม่ต้องการการตอบแทนใด ๆ แต่สิ่งที่น้องต้องการเขากลับทำให้ไม่ได้
แล้วจะให้เขาทำอย่างไร
ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า น้องจะเข้าใจ
------------------------------------------------
ล่วงเลยเข้าวันใหม่มาพอสมควร เขาพยายามนอนมานานแล้วแต่กลับตาสว่างเฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องออกกำลังกาย
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังรัวเร็ว ร่างที่นอนลืมตาโพลงในความมืดหันไปมองอย่างสงสัยแต่เขาก็ลุกขึ้น
พีทยืนอยู่หน้าห้อง ดวงตาบวมช้ำ
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
เห็นดวงตาเจ็บปวดของน้องชายแล้วแทบทนไม่ได้ อยากจะเข้าไปปลอบให้หายเศร้าใจ อยากจะอธิบาย...
เขากัดฟัน กลั้นใจไว้
ไม่ได้! นั่นน้องชาย
“นี่มันดึกแล้ว มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ” เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับน้องจึงได้แต่หลบตา ทำท่าจะปิดประตู แต่พีทกลับเอื้อมมือมาจับขอบประตูไว้เหมือนจะท้าว่าเขาจะกล้าปิดประตูทับมือน้องรึเปล่า....
เขาไม่กล้า
“ผมพูดไม่นานหรอก” เสียงราบเรียบนั้นบอกมา
“พี่คิดยังไงกับผม”
ดวงตาพีทมองตรงมาแน่วแน่เหลือเกิน เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตา
“พีท ถามอะไร”
“ผมถามว่าพี่คิดยังไง ผมแค่อยากรู้เท่านั้น”
เสียงคาดคั้นนั้นถามมาอีก พีทไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย กลับถามเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงไปตรงมา ไม่ได้ถามด้วยอารมณ์ เหมือนพวกเขากำลังถกกันเรื่องทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มากกว่ากำลังถามกันเรื่อง หัวใจ
“พีท พีทเป็นน้องพี่ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” เขามีคำตอบให้ได้เพียงเท่านี้
“นี่คือคำตอบของพี่ใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วจูบนั่นล่ะ แบบนั้นมันเป็นพี่น้องเหรอ”
คราวนี้เขาหันกลับไปมองหน้าคนถาม พีทถามเหมือนรู้ รู้ว่าที่เขาทำลงไปทุกสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากคำสั่ง มันเป็นความปรารถนาของเขาเองทั้งหมด
เขาหลบตาน้องอีกครั้ง กำมือแน่นเมื่อต้องโกหกซ้ำอีก
“พีท พี่ทำตามที่พีทสั่งนะ ตามสัญญาไงล่ะ”
เขาเหลือบไปเห็นรอยช้ำสองสามจุดที่โผล่พ้นเสื้อยืด บริเวณลำคอของคนที่เขาเพิ่งบอกว่าเป็นน้องชาย เป็นคนในครอบครัว
มันเป็นรอยแดงช้ำชัดเจนทีเดียว เขากำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รอยนั้น....ของเขาเอง
“ใช่ผมรู้ ก็แค่ทำตามคำสั่งเหรอ”
เขาขบฟันแน่นก่อนจะต้องพูดอีกครั้ง
“ใช่ แค่นั้น และมันก็จบไปแล้ว”
“ผมเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงนิ่งเหมือนเดิมนั้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ทำไมพีทไม่โกรธ
ดวงตาของน้องชายที่มองมากลับราบเรียบว่างเปล่า ท่าทีปกติเหมือนไม่มีความรู้สึกใด
เหมือนมีใครมาเทน้ำเย็นจัดรดบนศีรษะ ความเย็นยะเยือกไหลลามลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเจ็บปวดเหมือนมีเข็มแหลมคมนับร้อยนับพันกำลังทิ่มแทงเขาอยู่ แค่แววตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น
ดวงตาคู่นั้นไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว!
นั่นทำให้คนที่มองอยู่แทบหมดแรงเมื่อตระหนักในทันทีว่ามันกำลังจะสายไปแล้ว กำลังจะสายเกินไป....
เขากัดฟันกรอด มือสั่นจนต้องกำไว้แน่นเมื่อเกิดการต่อสู้ในจิตใจอย่างหนัก ใจหนึ่งก็สั่งให้ทำตามหัวใจตัวเอง ส่วนอีกใจหนึ่งก็สั่งให้มั่นคงต่อหน้าที่ของตน
พีทปล่อยมือที่จับขอบประตูช้า ๆ หันกลับเพื่อจะเข้าห้องตัวเอง
เหมือนโลกหมุนช้าลงกะทันหัน ภาพน้องชายกำลังหันหน้ากลับไปอีกทางเกิดขึ้นดังภาพสโลว์โมชั่น มือที่ปล่อยจากขอบประตูเคลื่อนลงไปข้างตัวทีละน้อย ทีละน้อย
ภาพพีทที่หันหลังให้กำลังก้าวไปยังห้องนอนของตัวเอง มือแตะลงตรงที่จับประตู ประตูเปิดช้า ๆ ขาของน้องชายกำลังจะก้าวเข้าไป
‘พีทของเขา’ ราวกับกำลังจะหลุดจากมือเขาไปตลอดกาล
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป วินาทีสุดท้ายนั้น เขาก็ตัดสินใจได้
“พีท..” เขาคว้าข้อมือน้องไว้ได้ทันก่อนที่พีทจะก้าวเข้าห้องส่วนตัว
ทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง โลกที่เคลื่อนที่ช้าลงนั้นหยุดหมุน ไม่มีความเคลื่อนไหว มีแต่ความเงียบที่แผ่ปกคลุม เงียบจนเขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเอง
“ปล่อยผม” พีทตอบเสียงนิ่งดุจเดิม ไม่หันกลับมามองสักนิด
“พีท...พี่..”
“พี่บอกว่าเรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น...”
“....ปล่อยมือจากผมซะ....”
------------------------------------------
“พี่โดม ทำไมคุณชายสองคนเค้าดูแปลกไปล่ะ”
หนึ่งในสามสาวที่มักมาชวนโดมไปกินข้าวบ่อย ๆ เอ่ยถาม เวลานี้เลิกงานแล้ว เขาถูกสามสาวนัดมากินกาแฟที่ร้านกาแฟเจ้าประจำใกล้โรงแรม ส่วนพีทขึ้นไปช่วยรองประธานสรุปผลการดำเนินงานก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมรับทราบ
“แปลกยังไง” โดมถามกลับ เขาเองก็แปลกใจที่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของสองคนนั้น
“ก็ดูเมินกันยังไงไม่รู้” สาวคนที่สองว่า
“ใช่ พวกเราเห็นคุณชายพีทยิ้มนะ แต่เวลามองรองประธานเหมือนมองผ่าน ๆ ยังไงไม่รู้ เหมือนกับมองแต่ไม่อยู่ในสายตา” สาวคนแรกให้เหตุผลสนับสนุน
“นั่นสิ คุณชายยืนข้างกันนะตอนที่ไปส่งนายกฯ ประเทศตะวันออกกลางกลับวันก่อนน่ะ แต่ทำไมไม่มองหน้ากันก็ไม่รู้” สาวคนที่สามเล่าบ้าง เธอฝึกงานฝ่ายต้อนรับอยู่ที่ล็อบบี้จึงเห็นเหตุการณ์
“นี่พวกเธอสังเกตกันขนาดนี้เลยเหรอ คิดไปเองรึเปล่า” โดมพยายามเปลี่ยนความคิดสามสาว แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงแทนสองคนนั้น ขนาดคนอื่นยังเห็นอะไรขนาดนี้
“ไม่คิดไปเองหรอกค่ะพี่โดม พวกเราน่ะมองคุณชายมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เวลาตรวจโรงแรมเห็นไปด้วยกันตลอด คนน้องชอบเกาะไหล่ คนพี่ก็ชอบโอบไหล่ยังกะกลัวหาย แล้วก็คุยกันตลอดเวลา ทำเหมือนโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคนซะงั้น แต่ช่วงนี้ไม่ไปไหนด้วยกันเลย พวกที่ฝึกงานแผนกขนมบ่นว่าคุณชายทำให้พวกนั้นทำขนมไม่อร่อยแล้ว”
“หลายวันมานี่ดูพวกเขาหมางเมินกันนะ ไม่คุยกัน ไม่เห็นหยอกกันเหมือนเดิม”
“แล้วคุณชายพีทก็เลิกยิ้มไปเลย หน้านิ่งตลอด พวกเราเห็นแล้วไม่สบายใจ”
“ใช่ พวกเราชอบเห็นคุณชายเค้าดีกันมากกว่า เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วมันดู อืมม..”
“...น่ารัก...”
สามเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน พูดแล้วสามสาวก็กลับไปสุมหัวกันเอง พูดคุยถึงความน่ารักในแบบที่โดมไม่เข้าใจ เขาขมวดคิ้วมองสามสาวแล้วครุ่นคิดกับตัวเอง
'สาวๆ พวกนี้หูตายังกะสับปะรดเลยนะนี่ เก็บข้อมูลกันละเอียดยิบขนาดนี้ นี่มาฝึกงานหรือมาสืบราชการลับกันแน่' โดมคิดพลางส่ายหน้ากับตัวเอง อันที่จริงตัวเขาก็เห็นอะไรที่ผิดปกติเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองพี่น้อง พีทไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยกลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างที่สามสาวสังเกตเห็น ยังทำทุกอย่างตามปกติแต่เขารู้สึกว่ามันน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิม
คืนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ พีทร้องไห้หนัก เจ็บปวดทรมานเหมือนคนที่ได้รับแผลสด ขยับเพียงนิดเดียวก็ปวดแปลบปลาบไปทั่ว แต่ผ่านมาสองสามวันนี้พีทกลับไม่มีแม้แต่ความเศร้าเสียใจ กลับกลายเป็นเย็นชาเหมือนคนที่หัวใจเจ็บจนด้านชาจนไม่สามารถรู้สึกอะไรได้อีกแล้ว แม้ว่าพีทยังพูดคุยกับเขาและเพื่อนร่วมงานตามปกติ แต่เขาก็สังเกตได้ว่ามันเป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น
และเขารู้ดีทีเดียวว่าคนที่ทำให้พีทเป็นแบบนี้ก็คงเสียใจไม่แพ้น้องชายหรอก พี่ฮั่นถึงกับโทรหาเขาให้ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนพีทคืนนั้นทั้งที่พีทบอกว่าพี่ฮั่นไม่ยอมรับความรู้สึกของเขา แต่โดมกลับแปลกใจที่พี่ฮั่นเป็นเดือดเป็นร้อนจนทนไม่ได้
เขาคิดว่าพี่ฮั่นนั่นแหละทำตัวแปลกที่สุดแล้วตั้งแต่สั่งให้เขาคอยจับตาดูพีทและโทรรายงานเวลาพีทไปที่ไหนกับใคร ตอนนี้เขาแทบจะต้องโทรรายงานความเคลื่อนไหวทุกชั่วโมงทีเดียว สิ่งที่พี่ฮั่นทำให้น้องชายทั้งหมดมันเกินพี่ชายไปไกลโข แต่กลับปฏิเสธพีท
ทำดีกับเขาทุกอย่าง พอเขารักก็บอกไม่ให้รัก แปลกดีไหมล่ะ
--------------------------------------------
มาแว้ว