<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 242964 ครั้ง)

ออฟไลน์ BBnuna

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 299
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ชอบมาก อ่านไปแล้วสองรอบ :z2: 555 ติดตามอยู่เสมอน่ะค่ะ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 78
«ตอบ #301 เมื่อ21-03-2015 21:36:49 »

บทที่ 78 รอยประทับ

ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดแข็งแกร่งแค่ไหน  ความผูกพันในวัยเยาว์ยั่งยืนเพียงใด  เกรงว่ามีเพียงกาลเวลาที่ตอบได้
กลิ่นหอมสะอาดของแดดยืนยันตัวตนของฤดูร้อน  ชายเสื้อของบุรุษที่อายุแตกต่างกันมากคู่หนึ่งถูกลมพัดปลิวขึ้นเบาๆ

“ท่านลุงไปอยู่แคว้นเป่ยชางเสียหลายปี  สุขภาพในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มพลางตอบว่า
“ก็ยังดีอยู่  เหลียนอ๋องเล่า”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
หลังจากนั้นเป็นความเงียบที่ทอดยาวดุจเงาแดด  คล้ายต่างฝ่ายต่างไม่ทราบว่าสมควรพูดอันใดต่อ  ช่วงเวลาหกปีสร้างระยะห่างขึ้นมาในความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันด้วยสายเลือด
 “เขาเป็นคนอย่างไร”
เสียงรำพึงเบาๆของหลานชายทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  ก็พอดีได้ยินเหลียนอ๋องขยายประโยคว่า
“ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  ข้าได้ยินว่าท่านลุงสนิทสนมกับเขา  เขาเป็นคนอย่างไร”
ขบคิดอยู่พักหนึ่งเหลียนอันสุ่ยก็ตอบว่า
“...เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองคนหนึ่ง”
“คนเชื่อมั่นในตัวเองมักมีจุดอ่อนอยู่ที่ความทระนงตัว  เขาใช่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้หรือไม่”
   คำรำพึงนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยมองหลานชายของตัวเองเต็มตา  ความไม่สบายใจอย่างหนึ่งกลับค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างแช่มช้า
“เกิดเป็นคนย่อมต้องมีจุดอ่อน  ใต้หล้านี้ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน” น้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่คนฟังกลับมีความรู้สึกเหมือนน้ำเสียงของท่านลุงหยั่งลึกลงในใจเขา 
“บางคราวข้าก็สงสัย  ว่าคนที่มีอำนาจถึงขั้นกุมทุกอย่างไว้ในกำมือ คนแบบนั้นจะมีจุดอ่อนจริงหรือ

ถามถึงสองครั้งแล้ว  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการบางอย่างจากเขา  คล้ายกับกำลังหยั่งเชิง  และคล้ายกับกำลังพยายามยืนยันให้แน่ใจ  ...กาลเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คนเสมอ  อีกฝ่ายไม่ได้เชื่อถือเขาอย่างสนิทใจดั่งเช่นในวันวานอีกแล้ว

เห็นคู่สนทนาไม่ตอบคำ  เหลียนอ๋องจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ถือเป็นจริงเป็นจังว่า
“ดูเหมือนข้าจะทำให้ท่านลุงลำบากใจ  เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงมันเถอะ  ข้าเพียงแค่รู้สึกว่ารู้จักเขาไว้จะเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเหลียนมากทีเดียว”
“...ข้าบอกได้แค่ว่าจุดอ่อนของเขาไม่แน่ว่าจะเป็นจุดอ่อน  ในจุดอ่อนของคนมักจะมีจุดแข็งรวมอยู่ด้วย” ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนมีน้ำใจ  แต่ความมีน้ำใจของเขาจะนับว่าเป็นจุดอ่อนมันก็เป็นจุดอ่อน  แต่มันกลับเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สุดของเขาที่ทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติของคน 
คำตอบนี้ของเหลียนอันสุ่ยแฝงความหมายเตือนสติไว้ชัดเจน  คนบางคนมีจุดอ่อนจริงอยู่  แต่ไม่ใช่ทุกคนมีคุณสมบัติเล่นงานจุดอ่อนของเขาได้  ยิ่งอย่าได้หลงลืมเด็ดขาดว่าตัวเองก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน

เหลียนอ๋องเปลี่ยนเรื่องด้วยคำพูดราบเรียบธรรมดาประโยคหนึ่ง
“ข้าได้ยินมาว่า  หลายวันมานี้เขามีไปค้างที่ตำหนักท่าน”
“...!? ”
ชะงักไปพักใหญ่  เหลียนอันสุ่ยมิได้กล่าวอะไรอีก
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวนดำเนินมาหลายปี  เป็นความลับที่ผู้คนไม่กล้าเอ่ยปาก  แต่กลับมิใช่ไม่รู้  อีกฝ่ายถามเช่นนี้ย่อมต้องมีความมั่นใจที่ไม่ว่าจะกลบเกลื่อนอย่างไรก็เป็นเพียงการถ่างความคลางแคลงระหว่างพวกเขาลุงหลานให้กว้างยิ่งขึ้น

เห็นเหลียนอันสุ่ยไม่ปฏิเสธมุมปากของเหลียนอ๋องคล้ายกับมีรอยยิ้ม  แต่ตัวเขากลับไม่แน่ว่าปีติยินดี  มันคล้ายกับเป็นเพียงรอยยิ้มที่ช่วยให้คนรับปากคำขอของเขาง่ายดายขึ้น
“ท่านลุง  ถือว่าหลานขอความช่วยเหลือจากท่าน  ข่าวสารที่แคว้นเป่ยชางหากมีเรื่องใดที่เกี่ยวกับแคว้นเหลียนหลานยังคงหวังให้ท่านลุงช่วยดูแลติดต่อมาบ้าง”

“อย่าได้เข้าใจว่าสถานะของข้ามีอิสระมากมาย  ผู้ติดตามของข้าทุกคนล้วนเป็นคนของแคว้นเป่ยชาง  การที่จะให้ข้าส่งข่าวออกไปเป็นการเอาแคว้นเหลียนมาวางไว้ในความเสี่ยง  ตอนนี้แคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชางสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลสันติ  ใยต้องทำลายความสงบที่ได้มาไม่ง่ายดายนี้ด้วย”

“นั่นสินะ  ไม่เช่นนั้นท่านลุงคงวางตัวลำบาก”
เหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า
“ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่  สถานะของข้าที่แคว้นเป่ยชางมีเพียงสถานะเดียวนั่นคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน”

คำว่า ‘พระมาตุลาแคว้นเหลียน’ ทำให้เหลียนอ๋องชะงักไป  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยพูดต่อว่า
“หงเอ๋อ  เจ้าเป็นเหลียนอ๋องที่ดี  ตอนนี้แคว้นหนานเหมินกำลังเสื่อมอำนาจ  อีกไม่นานสามแคว้นจะลุกเป็นไฟ  อย่าเอาแคว้นเหลียนลงไปพัวพันกับปลักน้ำปลักนี้  ข้าขอร้องเจ้า  เพราะข้าคนเดียวไม่อาจช่วยแคว้นเหลียนขึ้นมาจากปลักน้ำปลักนี้ได้”

‘หงเอ๋อ’ คำเรียกหาในวัยเยาว์ทำให้ภายในใจของเหลียนอ๋องปรากฏความละอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  ทั้งๆที่คนที่ทำเรื่องน่าละอายคือท่านลุง  ใยคนรู้สึกละอายกลับกลายมาเป็นตัวเขา

ขณะกำลังสับสนก็ได้ยินเสียงอบอุ่นนุ่มนวลกล่าวต่อ
“เราต่างพยายามหาหนทางที่ดีที่สุดให้แคว้นเหลียน  เชื่อข้าเถอะ  อย่าเป็นศัตรูกับฉีเซี่ยงหยวน  คนผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่ไม่น่าเป็นศัตรูด้วยที่สุด  ตอนที่เขาช่วงชิงบัลลังก์เป่ยชาง  ตอนที่เขายกทัพบุกแคว้นหนานเหมิน ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย  เป็นศัตรูกับเขาได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน แคว้นใหญ่ทำสงครามไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเลือกข้าง  ประการสำคัญคือเลือกอยู่ให้ถูกที่”

แม้แคว้นเหลียนจะเคยพ่ายแพ้แก่แคว้นเป่ยชาง  ทว่าหลังจากนี้แคว้นเหลียนจะไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใดอีก  เพราะมือที่กุมแคว้นเหลียนจะเป็นมือที่สามแคว้นใหญ่ล้วนต้องศิโรราบ  นี่เป็นเดิมพันที่ข้าวางไว้นานปี

หงเอ๋อ  อย่าทำลายความหวังดีนี้ของข้าเลย
 ---------------------
สำหรับเหลียนอ๋องพฤติกรรมของท่านลุงไม่น่าชื่นชมแม้แต่น้อย  คิดไม่ถึงว่าบุรุษที่เขาเคารพยกย่องแต่เยาว์วัยกลับเอาศักดิ์ศรีของแคว้นเหลียนและศักดิ์ศรีของตัวเองไปให้ผู้อื่นเหยียบย่ำง่ายๆ  ท่านลุงทรยศต่อความเชื่อถือของเขา  คำพูดหลังจากนั้นของอีกฝ่ายจึงยากจะเชื่อว่าไม่มีเจตนาใดแอบแฝง
น่าแปลกที่คำหลวกลวงที่สวยงามแต่เปลือกกลับฟังดูจริงใจได้ถึงเพียงนั้น

ขณะขบคิดก็เห็นเงาของลูกพี่ลูกน้องเดินสวนมา
“เหลียนอ๋อง  ท่านมาเข้าเฝ้าต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางหรือ” เหลียนจิ้งเต๋อประสานมือทักแต่ไกล  จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมกลับไปใช้คำเรียกหาว่า ‘พ่อบุญธรรม’ อีก
เหลียนอ๋องผงกศีรษะกล่าวว่า
“ใช่”
“เขาเดินหมากกับท่านพ่ออยู่  แต่ท่านจะเข้าไปก็คงได้  ข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ก้าวจากไปอย่างกระฉับกระเฉงราวกับลมหอบหนึ่ง

เหลียนอ๋องมองตามไป  น่าขำยิ่ง  โชคชะตาช่างพลิกกลับอย่างโหดร้าย  ดูแค่เปลือกคำเรียกหาว่า ‘เหลียนอ๋อง’ นี้ฟังดูไม่เลว  แต่เหลียนอ๋องทราบดีว่าตัวเขาเป็นฝ่ายที่ต้องเกรงอกเกรงใจต่อเหลียนจิ้งเต๋อ  เพราะลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นถึงลูกบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  แค่ลูกบุญธรรมของเป่ยชางอ๋องก็มีศักดิ์ฐานะเหนือล้ำกว่าเขาแล้ว
---------------------
รัตติกาลสีดำสนิท  เมฆาสีขาวสะอาด  หมากที่โรมรันในแต่ละช่องราวกับวาดเอาจักรวาลใส่ไว้ในความสามัญธรรมดา  เรียบง่ายและลึกล้ำ  จดจ่อและปลอดโปร่งงามสง่า
ตัวเก๋งตั้งอยู่ในสวนที่ร่มรื่นสงบผ่อนคลาย  เหล่าข้ารับใช้ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกอย่างนอบน้อม

ตอนที่บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าเหลียนอ๋องขอเข้าเฝ้าพอดีเป็นตาของฉีเซี่ยงหยวน  บุรุษที่มีศักดิ์ฐานะเหนือใครคีบเม็ดหมากไว้ด้วยปลายนิ้วพลางกล่าวว่า
“ให้เขาเข้ามา” ดวงตาคมกริบยังคงมองกระดานหมากอย่างใคร่ครวญ  สุดท้ายเลือกตำแหน่งวางลงไป
ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยมีเม็ดหมากอยู่เช่นกัน  ขบคิดเล็กน้อยก็วางหมากอย่างระมัดระวัง  จังหวะที่เหลียนอันสุ่ยวางหมากนี้พอดีเป็นช่วงเดียวกับที่เหลียนอ๋องก้าวเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยเห็นเหลียนอ๋องมาถึงก็ยืนขึ้น  เหลียนอ๋องคงคิดมาสนทนาเรื่องบ้านเมือง  เขาอยู่ที่นี่ต่อไม่เหมาะนัก

“นั่นก็หลานชายท่าน  หมากก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ  ท่านจะนั่งต่ออีกหน่อยก็หาเป็นไรไม่” เสียงทุ้มของฉีเซี่ยงหยวนเรียกรั้งเอาไว้
ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาคมกริบ  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยยังคงประดับรอยยิ้มบางๆขณะส่ายหน้าช้าๆ

เห็นแววตาเช่นนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าอีกฝ่ายตกลงใจจะไม่อยู่ฟัง  เหลียนอันสุ่ยมักมีวิธีหลีกเลี่ยงการพัวพันในแบบของเขาเอง  จึงไม่ได้เรียกรั้งไว้อีก
   เหลียนอันสุ่ยค้อมหัวให้ฉีเซี่ยงหยวน  ออกมาถึงด้านนอกก็ค้อมหัวให้เหลียนอ๋อง  จากนั้นร่างสูงโปร่งค่อยก้าวจากไป

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเหลียนอ๋อง  ทราบดีว่าท่านลุงจงใจแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวน  ไม่คิดคั่นกลางระหว่างสองแคว้น  นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด  คิดพลางนั่งลงตามการผายมือเชื้อเชิญจากเป่ยชางอ๋อง
เมื่อนั่งลงสายตาพอดีกวาดไปเห็นหมากหนึ่งกระดานตรงหน้า  เหลียนอ๋องถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ  สมัยก่อนเขาคุ้นชินกับฝีมือการเดินหมากของท่านลุงเป็นอย่างดีเพราะท่านลุงเป็นคนสอนศาสตร์ด้านนี้ให้กับเขา  เห็นได้ชัดว่าคู่มือคราวนี้ก็เข้าใจวิธีการเดินหมากของท่านลุงเป็นอย่างดีจึงชิงดักทุกทาง  หมากกระดานนี้ไม่มีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ  พัวพันกันอย่างสูสี  แต่กลับสะท้อนคนสองคนที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง

เรื่องของฉีเซี่ยงหยวนที่ท่านลุงไม่พูดถึงไม่ใช่ไม่รู้  แต่เป็นไม่ยอมตอบ

การสบตาเกิดขึ้นชั่วขณะเดียว  แต่เหลียนอ๋องทันเห็นการสื่อสารโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดในชั่วขณะเดียวนั้น...แค่มองตาก็รู้ใจ  ความเข้าใจทั้งหมดพลันพลิกกลับโดยสิ้นเชิง

ท่านลุงไม่ได้มอบตัวเองให้เป่ยชางอ๋องเพื่อความอยู่รอดหรือหวังประจบเอาใจ  แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ผิดยิ่งกว่านั้นอีก คนรู้ใจอย่างนั้นหรือ  คนที่เข้าใจยากอย่างฉีเซี่ยงหยวนมีคนรู้ใจด้วยหรือ  เหลียนอ๋องรู้สึกว่าเขากำลังคิดเรื่องเหลวไหล  แต่ทราบแล้วว่าที่ท่านลุงไม่ยอมพูดถึงจุดอ่อนของเป่ยชางอ๋องหนึ่งคือเพื่อปกป้องบุรุษผู้นั้น  สองอาจจะเป็น...เพื่อกดความทะเยอทะยานของเขา
ท่านลุงมองออกว่าในใจเขามีความคิดหนึ่งแตกรากอยู่

พักหลังๆมานี้คนรอบตัวเขามักมากระซิบหวังให้เขาฟื้นฟูแคว้นเหลียนให้กลับมาอีกครา  ใจเขาเองเห็นว่าเรื่องนี้มิใช่กระทำไม่ได้  แต่คำพูดของท่านลุงกลับมีเหตุผล  หากมีสงครามจริงแคว้นเหลียนก็ต้องเลือกข้าง  ใจของท่านลุงยังตัดแคว้นเหลียนไม่ขาด  ดังนั้นคำพูดนี้ต่อให้มีจุดประสงค์แอบแฝงก็ไม่มีทางหวังร้ายต่อแคว้นเหลียน  บางทีหากจะลองใคร่ครวญดูก็คงไม่เสียหายอะไร

คนเราขบคิดต่างๆนานา  ผู้คนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง  อดีตกลับยังคงอยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์
 
วันนี้ที่แห่งนี้มีเป่ยชางอ๋องสนทนาเรื่องบ้านเมือง  วันวานที่แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ 
เด็กน้อยคนหนึ่ง  บิดาที่อ่อนโยนคนหนึ่ง  บิดาบุญธรรมที่ไม่ได้รับเชิญอีกคนหนึ่ง

เด็กน้อยโตเป็นผู้ใหญ่  องค์ชายสี่กลายเป็นเป่ยชางอ๋อง 
สูงศักดิ์เป็นต้อยต่ำ  ต่ำต้อยเป็นสูงส่ง  ความใกล้ชิดเป็นคลางแคลง  ความห่างเหินเป็นสนิทสนม 

สิ่งที่ยั่งยืนที่สุดเกรงว่าเป็นรอยประทับที่แนบสนิทอยู่ในหัวใจ
---------------------
เพียงแต่บางรอยประทับกลับเจือจางจนเลือนรางยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยกลับมาจากการไปเยือนสุสานราชวงศ์เพื่อบอกลาน้องสาวก็เห็นบ่าวรับใช้วุ่นวายอยู่กับการลำเลียงหีบเสื้อผ้า  ในผู้คนที่เดินสวนไปมาไม่หยุดมีร่างของเหลียนจิ้งเต๋อยืนอยู่ไม่ไกล  เมื่อควานหาร่างบุตรชายจนเจอเหลียนอันสุ่ยก็ตรงเดินเข้าไปหา  พลางถามว่า
“เจ้าไปบอกลาท่านแม่แล้วหรือยัง”
เหลียนจิ้งเต๋อพยักหน้า  พอบิดาเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อยก็กล่าวด้วยสีหน้ากังวลว่า
“ท่านพ่อ ข้าอกตัญญูใช่หรือไม่  ข้า...ข้านึกหน้าท่านแม่ไม่ค่อยออก”

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วกลับมีรอยยิ้มไม่ถือสา  ยีหัวลูกชายที่สูงเลยบ่าเขาแล้ว  กล่าวว่า
“นางตายไปตั้งแต่เจ้ายังไม่สองขวบดีจะไปจำได้ได้อย่างไร  จำได้แค่ว่านางเป็นผู้หญิงที่ดีมากและรักเจ้ามากก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนนัก  แต่เมื่อมันกระทบโสตประสาทของฉีเซี่ยงหยวนกลับให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

‘เป็นคนดีมาก’ คำๆนี้เหลียนอันสุ่ยไม่มีทางใช้เพื่อบรรยายเขาเด็ดขาด  เหวินจีอายุสั้นเกินไป  ไม่อย่างนั้นครอบครัวนี้จะต้องเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมครอบครัวหนึ่ง 

เทียบกับความเรียบง่ายของแคว้นเป่ยชาง  แคว้นเหลียนช่างเต็มไปด้วยความวิจิตรงดงามที่ชวนตื่นตา  ราวกับทุกรอยจำจะถูกสลักเสลาเอาไว้อย่างประณีตบรรจง   ที่นี่เต็มไปด้วยอดีตของเขากับเหลียนอันสุ่ย  และแน่นอนว่าที่นี่มีอดีตของเหลียนอันสุ่ยกับคนอื่นที่กินความยาวมากกว่าอดีตในช่วงของเขา
   ---------------------
นอกทางสายหลักที่ตัดตรงไว้เดินทางไปมาหาสู่  สีเขียวขจีตัดกับสีน้ำตาลของผืนดิน
 เป็นดั่งตัวแทนของชีวิตที่งอกงามมาจากรากฐานอันมั่นคง  ลมหายใจแห่งผืนพิภพเป่ารดยอดหญ้าจนไหวเอน

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองเงาร่างคึกคักกระปรี้กระเปร่าของเหลียนจิ้งเต๋อที่โลดแล่นไปทางนู้นทีทางนี้ที  สีหน้าพลันปรากฏรอยยิ้ม  เหลียนจิ้งเต๋อเติบโตที่แคว้นเป่ยชางจึงซึมซับฝีมือในการควบขี่ม้าของชาวเป่ยชางมาด้วย ตัวเขาในวัยเดียวกันไม่แน่ว่าจะคล่องแคล่วได้ขนาดนี้  คิดพลางลูบแผงคอสีน้ำตาลของม้าตัวเอง

“มันอายุเท่าไหร่แล้ว” เสียงทุ้มของคนข้างกายถามเบาๆ
“สิบสองปี  ...คิดไปก็ใจหายจำได้ว่าตอนที่มันอายุไม่ถึงห้าขวบ ฟันยังขึ้นไม่ครบดี  ข้าก็เริ่มฝึกมันแล้ว  นอกจากจิ้งเอ๋อ  นี่เป็นเด็กอีกคนที่ข้าเลี้ยงขึ้นมากับมือ”
“เด็กดีเสียด้วย  ไม่เหมือนม้าจอมดื้อแถวๆนี้”ดูเหมือนร้อยราตรีจะฟังคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  จึงยังเฉยเสีย  ฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ท่านจำได้หรือไม่  ที่นี่เป็นที่ที่เราขี่ม้าด้วยกันครั้งแรก”
“ย่อมต้องจำได้” ตอบขณะมองร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นหลังม้า  คนเป่ยชางเวลาปีนขึ้นปีนลงจากหลังม้า  หรือแม้แต่เวลาควบขี่  มักให้ความรู้สึกราวกับม้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา  มันเป็นความสอดคล้องที่แปลกดี  เหลียนอันสุ่ยมองได้ไม่รู้เบื่อ

ฉีเซี่ยงหยวนขึ้นม้าเรียบร้อยก็เอ่ยปากชวน
“ไปทางนี้เป็นแม่น้ำเหอสุ่ย  ครั้งที่แล้วไปไม่ถึงต้นน้ำ  ท่านเคยบอกว่าต้นสุดของแม่น้ำสายนี้มีดอกบัวป่าใช่หรือไม่  นี่หน้าร้อนพอดีดอกบัวกำลังบาน  ไปดูกันเถอะ”
เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า
“นี่ต้องขี่อีกไกลทีเดียว...”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะกล่าวว่า
“เส้นทางยาวไกลกว่านี้ก็หาเป็นไรไม่  แค่ท่านไปด้วยกันกับข้าก็พอ” กระตุ้นม้าเบาๆม้าสีดำสนิทก็ล้ำไปข้างหน้า  เหลียนอันสุ่ยมองตามไป  บนเรียวปากและในแววตามีรอยยิ้มน้อยๆ  มือกระตุกบังเหียนม้า
...ไม่ว่าเส้นทางที่ท่านเลือกจะเป็นเส้นทางไหน  ข้าก็ไปกับท่านอยู่แล้ว...
---------------------
สายลมโชยปะทะหน้า  เส้นผมปลิวไปด้านหลัง  ต้นไม้ตามรายทางถอยห่างออกไปทีละต้น 
ทางที่ไปทั้งแลดูคุ้นเคยและแลดูแปลกหน้า  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนมันทำให้เขาคิดถึงอดีต 
น่าแปลกที่กระแสเวลากลับเชี่ยวกรากถึงเพียงนี้  วูบเดียวผ่านพ้นไปไกล  วูบเดียวพลิกทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

หกปีที่แล้วเขายังไม่มีคนที่อยากอยู่ร่วมชั่วชีวิต  แต่หกปีให้หลังเขามีแล้ว 
หกปีที่แล้วเขากับเหลียนอันสุ่ยยังไม่ได้เป็นคนรักกัน  ม้าที่ขี่เป็นตัวเดิม  แต่ความรู้สึกของคนบนหลังม้าแตกต่างกันสุดประมาณ 

ถนนที่ทอดยาวย่อมต้องมีจุดเริ่มต้นของเส้นทาง  การมาแคว้นเหลียนหมุนกงล้อย้อนกลับไปยังต้นทางแรกสุดที่ชะตาระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยพาดทับซ้อนกัน
ทบทวนดูแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นมีแต่สิ่งที่ไม่น่าจดจำ  แม้มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำดีๆ  แต่มันกลับไม่น่าจดจำแม้แต่น้อย  หากจะถามฉีเซี่ยงหยวนนี่นับเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา  และความผิดพลาดนี้ก็ไม่มีที่ให้เขาได้แก้ตัว

‘...คนที่ทำให้มันเป็นไปตามที่ข้าจัดฉากมิใช่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่หรือไร  เจ้าเองก็ช่วยข้าทำลายเขา...’

บางรอยประทับลึกล้ำเกินไป  เกินกว่าจะแปรเปลี่ยน  เกินกว่าจะลบเลือน
องค์หญิงจินผิงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก  แต่คำพูดนี้ของนางกลับไม่ผิดเลย  ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ย  ยิ่งขับเน้นช่วงเวลาที่เหลียนอันสุ่ยต้องใช้รอยยิ้มฝืนๆมาปิดบังความเจ็บปวดแท้จริงในใจ 

แต่ก่อนเขากลับเห็นแก่ตัวได้ถึงเพียงนี้  ใช้แผนการสกปรกจนเคยชิน  ยึดถือว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าจนเคยตัว  ทราบดีว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการเป็นของเขาแต่กลับมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง  คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ  บังคับคนที่ดิ้นไม่หลุดปฏิเสธไม่ได้ให้มอบมันออกมา  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่มากที่คนที่เขารักคือเหลียนอันสุ่ย  หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงไม่ได้รับการอภัยให้ชั่วชีวิต
การมาแคว้นเหลียนครั้งนี้เขาหวังจะสะสางทุกอย่างให้มันถูกต้อง  ฝังรอยจำดีๆเข้าไปแทนที่ความเลวร้ายในอดีต  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ลืมเฉินเสีย  แม้องค์หญิงจินผิงจะเป้นคนชักใยเฉินเสีย  แต่หากไม่มีหมากเช่นเฉินเสียแผนการของนางไหนเลยทำสำเร็จ  เช่นเดียวกับหากไม่มีตัวเขาเข้าไปร่วมด้วยแผนการของนางไหนเลยจะสำเร็จ  ทุกอย่างเป็นห่วงโซ่ร้อยโยงกันไปหมด  น่าเสียดายที่เฉินเสียหลุดรอดออกไปจากห่วงโซ่นี้ก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงก้าวหนึ่ง
นี่เรียกเคราะห์กรรมที่หนีไม่พ้น  ขุนนางที่มีสันดานฉ้อฉลโกงกิน  ถึงแม้ไม่มีใครจงใจหาเรื่อง  ก็ยังคงสามารถทำจนตัวเองถูกจับยัดเข้าคุกเข้าตาราง

ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็เรียกชะตากรรมที่หนีไม่พ้น  ร้ายกาจกับผู้อื่นไว้มาก  สุดท้ายกลับกลายเป็นปมในใจที่แกะไม่ออก  คู่รักคู่อื่นคิดถึงจุดเริ่มต้นของความรักกันอย่างหวานชื่น  แต่ระหว่างพวกเขาจุดเริ่มต้นของความรักกลับมีแต่ความขมขื่น

ฉีเซี่ยงหยวนหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงมันมาโดยตลอด  กระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าคิดว่าถ้าเหลียนอันสุ่ยนึกออกจะเกิดความรู้สึกอยากไปจากเขาหรือไม่  ชีวิตที่สงบสุขเขามอบให้เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ ความทรงจำที่สะอาดก็ไม่มีเขาอีกเช่นกัน  ได้แต่หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำในภายหลังจะพอชดเชยให้ได้บ้าง ...ได้แต่หวังว่าความผูกพันที่เกิดขึ้นในภายหลังกับความจริงใจของเขาจะพอเทียบกับความรักอันบริสุทธิ์ที่เหวินจีมอบให้เหลียนอันสุ่ย
---------------------
ฤดูร้อน  ใบบัวสีเขียวสด  บัวตูมสีขาวพร่าง บัวแรกผลิสีชมพูจาง  บัวที่บานเต็มที่อวดเกสรท่ามกลางกลีบอ่อนบางที่ไล่เฉดสีอย่างละเมียดละไม
เหลียนอันสุ่ยมองภาพนั้นเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งฝัน  พึมพำออกมาอย่างลืมตัว
“ข้าไม่เคยมาที่นี่ตอนกลางฤดูร้อนมาก่อน  ที่แท้ดอกบัวกลับงดงามได้ถึงขนาดนี้  เหวินจีเคยบอกว่านางอยากจะมาเห็นซักครั้ง  น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งจะกดความรู้สึกผิดของตัวเองลงไปได้เป็นผลสำเร็จ  ได้ยินคำนี้ก็ปวดแปลบไปทั้งหัวใจ  จากมาไกลขนาดนี้คิดไม่ถึงว่าเหลียนอันสุ่ยยังคงคิดถึงนาง
“ท่านรักนางเหลือเกิน...”
คำพึมพำเบาๆ ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  เหลียวมองร่างสูงใหญ่
“ท่านเป็นอะไรไป” อันที่จริงตลอดทางที่ขี่ม้ามาด้วยกันฉีเซี่ยงหยวนเหมือนมีเรื่องหมกมุ่นครุ่นคิดบางอย่าง
“เปล่า  ข้าแค่คิดว่าท่านอยู่กับนางแค่สองปี  แต่ความทรงจำดีๆระหว่างท่านกับนางคงมีไม่น้อย” กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม  ปัดความรู้สึกแย่ๆทิ้งไป
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” สายตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยนลง

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง  เก็บซ่อนความเจ็บปวดระคนยอมรับชะตากรรมเอาไว้ในส่วนลึกของแววตา
เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง  มองดอกบัวที่บานสะพรั่งอยู่บนผิวน้ำ  ทรุดกายลงช้าๆ  ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ค่อยไม่ดังว่า
“ดอกบัวเอย  เจ้าขี้น้อยใจหรือไม่” ดอกบัวย่อมมิได้ตอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลือบตาไปเห็นร่างสูงใหญ่ชะงักก็กล่าวต่อ

“แต่ข้ารู้จักคนผู้หนึ่ง  จนวันนี้เขายังคงเชื่อว่าข้ารักผู้อื่นมากมายกว่าเขา  ชั่วชีวิตของข้าเหลียนอันสุ่ย  ทำเรื่องดีงามมาไม่น้อย  ทำเรื่องผิดพลาดมาไม่น้อย  ผูกพันกับคนไม่น้อย  แต่กลับเพิ่งเข้าใจโฉมหน้าที่แท้จริงของความรักตอนที่รู้จักกับเขา  ทำอย่างไรดี  ไม่ถูกทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง  เจ้าว่าข้าสมควรบอกเขาหรือไม่  เจ้าว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ว่าที่ข้าไม่เคยกล่าวออกจากปากเป็นเพราะว่ารู้สึกผิดต่อ ‘นาง’  เพราะความรู้สึกที่ข้าควรจะมีต่อนางข้ากลับมีต่อผู้อื่น  เขามิใช่คนเดียวที่ข้ารัก  แต่กลับเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ข้าไม่เป็นตัวของตัวเอง  ถลำลึกจนเกินเยียวยา  เจ้าว่าความรู้สึกที่รุนแรงขนาดนี้ถือเป็นความรักได้หรือไม่  หรือว่ามีเพียงความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้จึงสมควรถูกเรียกว่าความรักกันหนอ...”

ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้  แต่เหลียนอันสุ่ยยังคงพูดต่อด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
“ความรักฉันหนุ่มสาว...เจ้าว่ามันแปลกหรือไม่ที่ข้ากลับมีความรักฉันหนุ่มสาวตอนที่ตัวเองไม่หนุ่มเท่าไหร่  และคนที่ข้ารักก็มิใช่สาวน้อยที่ไหนอีกด้วย  ดอกบัวเอย  ความลับที่เจ้าได้ยินอย่าเอาไปบอกใครอีก  ข้าเองก็จะพูดครั้งนี้ครั้งเดียว  เรื่องบางอย่างกระจ่างแจ้งแก่ใจแต่ไม่ควรพูดออกไป  เพราะแค่นี้ข้าก็ทำผิดต่อนางมามากพอแล้ว” คนรักในรูปแบบที่ข้าควรจะมอบให้นางข้ามอบให้นางไม่ได้  แต่พื้นที่ที่เป็นของนางข้าจะไม่ใช้วาจาไปลบหลู่มัน

“ทำไมถึงเป็นข้า” เสียงทุ้มเค้นออกมาด้วยความยากลำบากถามอย่างไม่เข้าใจ
เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมาบางๆ  ยืนขึ้นช้าๆ  มองสระบัวที่ส่งกลิ่นหอมรวยรินตรงหน้า  พลางตอบว่า

“...ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นท่าน  ข้าบอกตัวเองให้รักคนธรรมดา  รักคนธรรมดาก็พอ  รักคนธรรมดาถึงจะมีความสุข  แต่สุดท้าย...คนที่ทำให้ข้าไม่อาจละสายตาจากไปได้กลับเป็นเป่ยชางอ๋องอยู่ดี  บางทีข้าคงเพ่งมองท่านมานานเกินไป  ถูกตัวตนของท่านดึงดูดไว้นานเกินไป  เรื่องนี้ข้าทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ปล่อยให้มัน...ฝังลึกลง...ทุกที” ไม่ทันจบคำพูดพยางค์สุดท้ายร่างก็ถูกดึงเข้าไปกอดไว้แนบแน่น

สายลมฤดูร้อนพัดผ่านแผ่วเบา  กลิ่นหอมจางของดอกบัวและแมกไม้เคลียเคล้าอ่อนโยน

“แล้วท่านเล่า  เหตุใดถึงเป็นข้า” ถามพลางหมุนกายกลับไปเผชิญหน้ากับเสี้ยวหน้าคมสัน “ตอนนั้นข้าทั้งแต่งงานแล้ว  มีลูกแล้ว  อายุก็ไม่น้อยแล้ว  ทั้งยังไม่เต็มใจเป็นของท่านซักนิด  แต่ท่านกลับติดพันข้าไม่เลิกรา  ข้ามั่นใจว่าตอนนั้นตัวเองจืดชืดมาก  เส้นทางชีวิตสงบราบเรียบมาก  ท่านใยต้องมาสนใจคนที่เส้นทางชีวิตแตกต่างกับท่านโดยสิ้นเชิงด้วยเล่า”

ฉีเซี่ยงหยวนปล่อยให้ร่างในอ้อมกอดหมุนตัวมาสบตากับเขา สองมือยังคงโอบเอวเพรียวเอาไว้  ฟังคำถามแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด 
“นั่นสิ  ทำไมกันหนอ...” ลากเสียงยาวอย่างจงใจ  ดวงตาเฉียบขาดหรี่ลงอย่างครุ่นคิด  พูดต่อว่า
 “ข้ารู้แค่ว่าตั้งแต่เห็นท่านครั้งแรกข้าก็อยากได้ท่าน  ...หลังจากได้ท่านมาแล้วข้าก็เอาแต่ขบคิดว่าจะทำอย่างไรให้ท่านเป็นของข้าแค่คนเดียว  บางทีข้าอาจจะหลงรักท่านตั้งแต่คืนนั้นที่เมืองอู๋เล่ย  หรือบางทีตั้งแต่พูดคุยโต้ตอบกับท่านครั้งแรกข้าก็ประทับใจท่านแล้ว  ท่านบอกว่าตัวตนของข้าดึงดูดท่าน  ท่านต่างหากที่ดึงดูดข้า  ข้ามักสงสัยว่าแท้จริงท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่  ทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้  ทำไมถึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้  ท่านตั้งใจจะปฏิเสธข้าจริงหรือ  เหตุใดข้ายิ่งมายิ่งละสายตาไปจากท่านไม่ได้ 
ในตอนที่ข้าคิดว่าท่านไม่มีทางให้อภัย  ท่านกลับให้อภัยง่ายๆ 
ในตอนที่ข้าเข้าใจว่าทุกอย่างราบรื่น  ท่านกลับใจแข็งจนข้าคาดไม่ถึง 
ในตอนที่ข้าเข้าใจว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจทนทานรับได้  ท่านกลับสามารถแบกรับเอาไว้ทั้งหมดและเผชิญหน้ากับมันทั้งหมด  ท่านเยือกเย็นจนข้าเป็นฝ่ายหวั่นไหว  ในบางครั้งท่านก็เปราะบางจนข้าทำอะไรไม่ถูก  ข้ามักรู้สึกตัวว่าตัวเองยังดีไม่พอ  แต่ข้าก็รู้สึกตัวอีกนั่นแหละว่าคงไม่มีวันยอมปล่อยท่านไป”
 
มันเป็นแค่ถ้อยคำธรรมดาที่ตรงไปตรงมาที่มิได้หวานหูเป็นพิเศษ  แต่ความธรรมดาของมันกลับมีความหมายต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างยิ่ง  และหวานล้ำอย่างยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยซุกใบหน้าลงกับอ้อมอกแกร่ง  พึมพำว่า
“เซี่ยงหยวน ท่านดีต่อข้ามากพอแล้ว  ดีต่อข้ายิ่งกว่าที่ข้าดีต่อท่านมากนัก”   

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เย้  มาต่อแล้ว ยาวจุใจเลย
สารภาพตามตรง  ยิ่งอ่านยิ่งหลงในภาษาที่ใช้
มันละมุ่นมากกกกกกกกก แล้วประโยคที่ว่า "คนเราขบคิดต่างๆนานา  ผู้คนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง  อดีตกลับยังคงอยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์"
แบบ โดนใจอ่ะ อธิบายไม่ถูก อ่่านแล้วนนี้แล้วเราแบบ
รู้สึกอินตามไปกับตัวละคร คือบรรยายได้ดีมากจริงๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บรรจบกันอย่างงดงาม ยังจำตอนที่ทั้งคู่ขี่ม้ากันครั้งแรกได้เพราะอ่านซ้ำตอนนั้นบ่อยมาก แต่คำสารภาพต่อกันหน้าดอกบัวนั่น ทำเอาจิกหมอนแทบขาด

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 79
«ตอบ #304 เมื่อ28-03-2015 20:54:46 »

บทที่ 79 นกยวนยาง(จบ)

แนะนำให้กลับไปท่อนสุดท้ายของอ่านบทที่แล้วก่อนค่ะ  ไม่งั้นอารมณ์จะไม่ต่อเนื่อง

...ข้ามักรู้สึกตัวว่าตัวเองยังดีไม่พอ  แต่ข้าก็รู้สึกตัวอีกนั่นแหละว่าคงไม่มีวันยอมปล่อยท่านไป”
มันเป็นแค่ถ้อยคำธรรมดาที่ตรงไปตรงมาที่มิได้หวานหูเป็นพิเศษ  แต่ความธรรมดาของมันกลับมีความหมายต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างยิ่ง  และหวานล้ำอย่างยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยซุกใบหน้าลงกับอ้อมอกแกร่ง  พึมพำว่า
“เซี่ยงหยวน ท่านดีต่อข้ามากพอแล้ว  ดีต่อข้ายิ่งกว่าที่ข้าดีต่อท่านมากนัก”   


มีเสียงอุบอิบดังมาว่า
“จะไปพออะไร  แต่ก่อนข้าเลวร้ายกับท่านแค่ไหน  ท่านจำไม่ได้หรือ”
เห็นเหลียนอันสุ่ยชะงัก  ใจของฉีเซี่ยงหยวนก็หายวูบ  แต่กลับได้ยินเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า
“ท่านคิดมากเพราะเรื่องนี้เอง  ที่จริงแล้วมันก็...ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย”
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  กล่าว
“ท่านอย่าพยายามพูดให้ข้ารู้สึกผิดน้อยลงเลย  เพราะนั่นทำให้ข้ายิ่งรู้สึกผิด  ความรักดีๆเขาไม่เริ่มต้นกันบนเตียงหรอก  และมันก็ไม่ควรเริ่มต้นที่การข่มขู่ด้วย”
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะจนหน้าแดง  ปล่อยให้ฉีเซี่ยงหยวนจูงมือมานั่งบนโขดหิน  ฟังเสียงธารน้ำไหลรินไปพลางเอามือเท้าคางอย่างครุ่นคิด  ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวว่า

“มีหลายครั้งที่ข้าอยากให้พวกเราเริ่มต้นกันแบบอื่น  ข้าเคยคิดกระทั่งว่าข้าอยากเจอท่านเร็วกว่านี้  เจอท่านก่อนใครๆ  จะได้มีเวลาอยู่กับท่านไปอีกหลายๆปี  ข้าควรจะมาเป็นทูตที่แคว้นเหลียนตั้งนานแล้ว  ข้าจะเริ่มจากจีบท่านก่อน  ส่งของขวัญไปให้ท่าน  ติดตามพัวพันท่าน  ข้า...” นิ้วมือเรียวยาวปิดปากเขาไว้  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีรอยยิ้มอยู่  แต่กลับส่ายหน้าน้อยๆ
“ต้าอ๋อง  ถ้าข้าเจอท่านตอนนั้นจริง  ข้าอาจจะรักท่าน  แต่พวกเราไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน”

“ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นแค่องค์ชายสี่  แต่แค่ท่านคนเดียวข้ามีหนทางเอามาได้น่า”

สายตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยน
“เอามาได้แล้วอย่างไร  ต้าอ๋อง  ความจริงท่านต้องขอบคุณจิ้งเอ๋อ  หากไม่มีจิ้งเอ๋อ  ท่านคิดว่าระหว่างชีวิตกับเกียรติของแคว้นเหลียนข้าจะเลือกอย่างไหนหรือ” หากไม่มีจิ้งเอ๋อ การตายสำหรับข้าไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย

“...” เหลียนอันสุ่ยยังคงเป็นเหลียนอันสุ่ย  เมื่อครู่ปากบอกว่ารักเขามาก  แต่พอเลือกเขากับบ้านเมืองกลับเลือกบ้านเมืองได้อย่างปลอดโปร่ง
“อีกอย่างถ้าเจอกันตอนนั้นคนที่ท่านต้องตาจะต้องไม่ใช่ข้า  แต่เป็นน้องสาวของข้า” รูปโฉมของเหลียนอวี้เสวี่ยงามพอจะทำให้คนหลงลืมตัวตน  ฉีเซี่ยงหยวนเองย่อมต้องเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับนางมา  แต่กลับถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“นิสัยข้าเหมือนคนหลงใหลในรูปโฉมหรือ  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงชิงอีไม่ได้แต่งงานหรอก”

เหลียนอันสุ่ยได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงเสิ่นชิงอีก็หลุบตาลงต่ำ  เสิ่นชิงอีแต่งงานไปกับขุนนางหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน  ในที่สุดนางก็เป็นอิสระจากความรักที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนแล้ว
“ใจท่านไม่เสียดายแม่นางเสิ่นบ้างหรือ” ถามอย่างจริงจัง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับตอบว่า
“ข้าใยต้องเสียดาย  คนที่ข้ารักคือท่าน  อีกอย่างเขาต้องดูแลนางได้ดีกว่าข้ามากนัก เขาเป็นคนหนุ่มที่ข้าดูแล้วว่าใช้ได้คนหนึ่ง”

น้ำสะอาดเซาะผ่านแก่งหินอย่างมีจังหวะจะโคน  ยิ่งนั่งริมน้ำเสียงยิ่งกังวานเสนาะชัด 
สายน้ำไหลไปไม่หวนกลับ  เส้นทางชีวิตของแต่ละคนก็ไหลไปข้างหน้าไม่หวนคืนเช่นกัน   
ขณะเงียบไปพักใหญ่  เหลียนอันสุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าใช้ปลายนิ้วระผิวน้ำที่เย็นจัด
 
ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยถึงเหวินจี  ส่วนตัวเขาสนใจเรื่องของเสิ่นชิงอี  ทั้งๆที่คนรักกันคือพวกเขาสองคนเหตุใดจึงเอาแต่สนใจเรื่องของคนอื่น  เหลียนอันสุ่ยขบคิดแล้วรู้สึกขบขัน  ตัดสินใจทำทุกอย่างให้มันกระจ่างชัด

“หลังจากนี้ท่านเลิกถือสาเวลาที่ข้าพูดถึงเหวินจีได้แล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยหึงหวงเรื่องของเหวินจี  แต่มักจะมีสีหน้าเจ็บปวดแฝงอยู่บางเบา
“ข้าไม่ได้ถือสานาง  ข้าแค่คิดว่าท่าน...สมควรจะรักนางมากกว่าข้า”
“ท่านใช้อะไรเป็นตัวตัดสินว่าข้าสมควรรักนางมากกว่าท่านหรือ” ถามอย่างจริงจังพลางเลิกคิ้วสูง
“พวกเราเริ่มต้นกันแย่มาก...”

“เซี่ยงหยวน จุดเริ่มต้นสำคัญก็จริง  แต่ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าปลายทางของมันสำคัญยิ่งกว่า  ที่ต้นน้ำถูกหวนคิดถึง  เป็นเพราะปลายทางของมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต  เรื่องระหว่างเราใยไม่ให้มันเป็นเหมือนดั่งสายน้ำ  ที่ผ่านเลยไปก็ให้มันผ่านเลยไป  ส่วนความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงก็คือข้ารักท่าน  ท่านรู้หรือไม่ว่านานแล้วที่ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับอดีต  เพราะไม่ว่าอย่างไรในนั้นยังคงมีเงาที่ทอดยาวเป็นทางเดินให้ท่านกับข้าเดินมาจนถึงวันนี้”
---------------------
อดีตอีกช่วงที่ทำให้เส้นทางของพวกเขาเลี้ยวมาในรูปนี้เกรงว่าอยู่ที่เมืองอู๋เล่ย

‘อู๋เล่ย’ คือไร้น้ำตา  หากหัวใจมีรอยยิ้มคนเราไหนเลยจะหลั่งน้ำตา 

พระอาทิตย์ไม่อยู่บนฟากฟ้า  ห้องหับเปิดหน้าต่างเชื้อเชิญสายลมแห่งรัตติกาล

“ครั้งนี้ข้าไม่มีเรื่องกลัดกลุ้มเสียใจแล้ว  ท่านยังคงเต็มใจเป็นของข้าหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  ขณะถูกอีกฝ่ายฉุดดึงจนล้มกลิ้งลงไปบนเตียงด้วยกัน  สุดท้ายร่างกำยำเป็นฝ่ายทาบทับอยู่บนร่างสูงโปร่ง  เสียงทุ้มถามขึ้นอีกว่า
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้า”

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาอย่างจริงจัง  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบคำ  แค่ประทับริมฝีปากตัวเองเข้ากับเรียวปากที่เม้มสนิทคู่นั้น 
พวกเขาดูราวกับนกยวนยางคู่หนึ่งที่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันใต้แสงจันทร์  คล้ายกับมีเสียงครวญครางเบาๆว่า...

‘ข้าเต็มใจเป็นของท่านตั้งนานแล้ว’
---------------------
“พระจันทร์คืนนี้สวยเหลือเกิน” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพึมพำพลางมองออกไปข้างนอก
“เหมือนคืนนั้นที่ข้าหลงรักท่านไม่มีผิด” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวพลางยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้อีกฝ่าย เหลียนอันสุ่ยสวมชุดสีขาวที่ยับยุ่งไม่เรียบร้อยอยู่บ้างนั่งอยู่บนเตียง  แต่กลับดูมีเสน่ห์ถึงเพียงนั้น  สงบนุ่มนวลถึงเพียงนั้น

“อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะวันเกิดข้าแล้ว” เสียงกระจ่างอ่อนโยนกล่าวพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
“ใกล้วันเกิดมีอันใดไม่ดี” ฉีเซี่ยงหยวนไม่เข้าใจ
“แก่ขึ้นอีกปีมีอะไรดี”
ได้ยินเช่นนั้นมือใหญ่ก็เอื้อมมาเชยคางมน  บังคับอีกฝ่ายให้หันหน้ากลับมา
“อีกสามเดือนข้าก็อายุเท่าท่านแล้ว  ‘แก่’ อย่างนั้นหรือ  คนกลุ้มใจใช่สมควรเป็นข้าหรือไม่  ข้าแม้อายุน้อยกว่าท่าน  แต่เดินกับท่านทีใดทุกคนเป็นต้องเข้าใจว่าข้าต่างหากที่แก่กว่าท่าน” บางทีอาจเพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเหลียนอันสุ่ยก็ดูเป็นคนดี  คนเช่นนี้อายุมากแค่ไหนกลับสามารถดูอ่อนกว่าวัยเสมอ

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วหัวเราะ
“ข้าแค่รู้สึกว่าหนึ่งปีมันผ่านไปเร็วเกินไป  ต้าอ๋อง  ทุกปีที่ผ่านไปคือเวลาที่ท่านสามารถใช้กับคนสำคัญของท่านที่ลดน้อยลงอีกหนึ่งปี  ท่านอย่าลืมว่าเวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ  ในขณะที่อาขัยคนมีจำกัด”
ฉีเซี่ยงหยวนจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“แล้วอย่างไร  หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ท่านมีอันใดต้องเสียใจหรือ  หากสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีอันใดต้องเสียใจ มันก็เป็นหนึ่งปีที่คุ้มค่า” อีกอย่างสำหรับข้ามันเป็นหนึ่งปีที่ดีมาก  เพราะมันเป็นตลอดหนึ่งปีที่ข้ามีท่าน
ช่างสมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวน  ราวกับความซับซ้อนวุ่นวายใดๆเมื่อผ่านสายตาของบุรุษผู้นี้ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายอย่างยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกอัศจรรย์ใจจนเลิกอัศจรรย์ใจไปนานแล้ว

“อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปสู่โลกแบบเดิม  ท่านเดินทางเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้  ใช่รีรอลังเลไม่อยากกลับไปหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ ตอบว่า
“ข้าแค่ไม่อยากเร่งตัวเองเฉยๆไม่ใช่ไม่อยากกลับไป  สำหรับข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน” ถึงวังหลวงจะไม่ได้มีอิสระมากมาย  แต่แค่มีอิสระสามารถทำเรื่องที่อยากทำได้เท่านี้ตรงตามความหมายของคำว่าอิสระแล้ว

“ข้ารู้ว่ายังไงท่านก็ต้องกลับไปให้ทันวันเกิดข้า  เพราะจือหลันจะมาอวยพรให้ข้าทุกปี  ปีนี้คาดว่านางคงพาอิ๋งอิ๋งมาด้วย”
ขณะฟังคำสัพยอกล้อเลียนของเหลียนอันสุ่ยฉีเซี่ยงหยวนก็เอื้อมมือไปโอบรั้งร่างสูงโปร่งเข้ามาในอ้อมอก  ขบคิดตามแล้วกล่าวว่า
“ใช่แล้ว  มันจะเป็นวันที่วุ่นวายมาก  เริ่มที่จิ้งเอ๋อก่อนเป็นคนแรก  ต้องวางท่าเป็นคนจัดระเบียบดูแลความเรียบร้อย  ทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหละแหกกฎบ่อยที่สุด” หลังจากนั้นพวกที่ติดค้างบุญคุณกับพวกที่หวังประจบประแจงก็จะแห่กันมา  นับเป็นวันที่หาความสงบสุขไม่ได้เลยจริงๆ
“ข้าชอบลูกบุญธรรมของท่านนะ  องค์รัชทายาทมักจะมีคำอวยพรดีๆที่สละสลวยแปลกใหม่มาให้ข้าตลอด”
“นี่เรียกว่าประจบเอาใจอย่างไรเล่า”
“นี่เรียกว่ามีพรสวรรค์ด้านอักษรไม่เลวต่างหาก” มีพ่อบุญธรรมประเภทไหนบ้างที่ชอบพูดค่อนแคะลูกบุญธรรมของตัวเอง
“ท่านชอบแต่พวกมีพรสวรรค์ด้านอักษรนี่เอง  ถึงสนิทสนมกับคนแบบหานญื่อหลัว”
“จริงสิ  คุณชายหานบอกว่ากลางฤดูร้อนจะกลับมา  ป่านนี้คงถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง”

เฮอะ! ไม่เห็นจะอยากรู้ตรงไหน  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางกลอกตา  หานญื่อหลัวกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสองเดือน  แต่จริงๆฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าคนรกหูรกตาเช่นนี้ไปอยู่ไกลๆได้ก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
“ต้าอ๋อง  อายุก็ไม่น้อยแล้ว  ทำใจให้กว้างขึ้นบ้างเถอะ”
“ข้าก็เป็นคนจิตใจคับแคบแบบนี้แหละ” มีคนประชดแล้ว
เหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ  พิงแผ่นหลังเข้ากับแผ่นอกกว้าง  ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนก็แค่พูดจาหาเรื่อง  มิได้น้อยใจอะไรจริงจัง  ดวงตาคู่งามหลับพริ้มลง  ถอนหายใจออกมาอย่างเป็นสุข

แม้จะเพิ่งพูดประชดไปเมื่อครู่  แต่ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนกลับอ่อนโยน  ถามเบาๆว่า
“ท่านง่วงหรือ”
เหลียนอันสุ่ยสั่นหน้า
“ข้าแค่กำลังคิด...ว่าถ้าเกิดตอนนั้นข้าเลือกที่จะจากไป  ระหว่างเราคงไม่อาจมีวันนี้”
รู้สึกว่าอ้อมกอดของคนบางคนรัดแน่นขึ้นเหลียนอันสุ่ยก็ยิ้ม กล่าวต่อว่า
“ข้าดีใจที่สุดท้ายตัวเองเลือกเช่นนี้  มาทบทวนดูแล้วกับเรื่องของความรักข้าไม่มีความกล้าเอาเสียเลย  กลัวไปทุกอย่าง  กลัวว่าเรื่องของเราจะไม่อาจผ่านอุปสรรคของโชคชะตา  กลัวว่าวันหนึ่งท่านจะหมดรักในตัวข้า...” มองมือใหญ่ที่โอบอยู่รอบเอว  ทาบมือทับลงไปจนสนิทพอดี “ระหว่างเรามันไม่ง่ายเลย  ตลอดหกปีมานี้ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้อยู่แก่ใจ  และมันยังคงไม่จบ  เราคงไม่มีวันได้อยู่ด้วยกันสงบๆ  ท่านเหนื่อยหรือไม่” เผชิญอุปสรรคแล้วอุปสรรคเล่า  ความยากของมันไม่ได้อยู่แค่ตอนเริ่มรัก  แต่เป็นทุกช่วงเวลาตลอดหกปี

“ข้าเหนื่อยหรือ?  ความจริงปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากฐานะต้าอ๋องของข้า  คนบ่นจึงควรเป็นท่าน”

เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  เพราะคิดเสียอย่างนี้  ทุกครั้งที่เจอปัญหาฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องหาทางยื่นมือเข้ามาช่วยแก้  เซี่ยงหยวน  ท่านกำลังทำให้ข้าเคยชิน  ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนอาศัยท่านจัดการแทน  นิสัยข้อนี้ไม่ดีเลย  เพราะมันเอาเปรียบท่าน  ซ้ำยังทำให้ข้าพึ่งพาท่านโดยไม่รู้ตัว  แล้วหลังจากนี้การอยู่โดยไม่มีท่านก็กลายเป็นยากขึ้น  ก็มันเคยตัวเสียแล้ว

นี่เป็นความเอาใจใส่ของท่าน  หรือเป็นแผนการของท่านด้วย  ถ้าเป็นแผนการก็นับว่าท่านทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว  เพราะข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีตรงไหนที่อยู่แล้วข้าจะสบายใจมากไปกว่าข้างกายท่าน  เหมือนคนทำงานหนักมาตลอดชีวิต  พอได้มาเกียจคร้านบ้างก็เสพย์ติดความเกียจคร้านเสียอย่างนั้น

เหลียนอันสุ่ยใคร่ครวญดูแล้วก็ตัดสินใจแก้คำพูดของฉีเซี่ยงหยวน
“เซี่ยงหยวน  ปัญหาเกิดจากฐานะของเราสองคนไม่ใช่ของท่านคนเดียว  และปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเราทั้งคู่ต่างเป็นบุรุษ  ส่วนเรื่องบ่นจะให้ข้าบ่นอะไรดี  ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าแลกกับอุปสรรคที่ต้องเจอ  ความรักชั่วครั้งคราวเช่นนี้ไม่คุ้มค่า  ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าแลกกับหกปีที่ผ่านมาต่อให้ต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิตหาเป็นไรไม่  ต่อให้วันพรุ่งนี้ท่านไม่รักข้าแล้วก็หาเป็นไรไม่เช่นกัน” ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนานจะมีซักกี่คนที่ได้เจอกับคนที่เข้าใจท่าน  รักท่านอย่างที่ท่านเป็น  ช่วงเวลาที่อยู่กับคนแบบนี้ต่อให้กระชั้นสั้นเหลือเกินก็คุ้มค่าที่จะแลกมาจนเกินพอ
 
ข้าเคยเวทนาคนที่ตะเกียกตะกายเรียกร้องหาความรัก  แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าพวกเขามากนักเพราะแค่ความกล้าที่จะยื่นมือออกไปคว้าไว้ก็ยังไม่มี  ดังนั้นตอนนี้ข้าจะขอกุมมือท่านไว้แน่นๆ  รักท่านให้มากๆ  ความรักอาจจะมีทั้งสุขและทุกข์  แต่เราใยต้องมองด้านทุกข์ของมันด้วย  ข้าจะเก็บเกี่ยวแต่ความสุข  ให้ความทรงจำระหว่างเรามีแต่เรื่องดีๆ

นิ้วมือเรียวยาวเปลี่ยนจากทาบทับเป็นแทรกเข้าไประหว่างนิ้ว  เหมือนหัวใจคนที่ประสานสนิทเป็นหนึ่งเดียว

“พูดแต่ว่าข้าจะไม่รักท่าน  เหลียนอันสุ่ย  ข้าหลงท่านจะแย่  ตอนแรกเข้าใจว่ามัดท่านจนดิ้นไม่หลุดอยู่ในกำมือข้าแล้วแน่นอน  สุดท้ายคนที่ดิ้นไม่หลุดกลับกลายเป็นตัวข้า  เอาแต่คิดถึงท่านซ้ำๆ  ปวดหัวเพื่อท่าน  เป็นเดือดเป็นร้อนแทนท่าน  ไหนท่านบอกข้าซิว่าจะรับผิดชอบข้าอย่างไร  หืม”

เหลียนอันสุ่ยฟังคำถามแล้วกระพริบตาปริบๆ  นี่คล้ายกับ...คล้ายกับไม่ใช่ความผิดของเขา
“...ปกติเวลาข้าแก้ปัญหาไม่ได้ข้าจะปรึกษาคนผู้หนึ่ง  ท่านไปถามเขาเอาก็แล้วกัน”
“ผู้ใด ? ”
“ฉีเซี่ยงหยวน”
“...” คิดไม่ถึงคนที่ใช้ชีวิตจริงจังอย่างเหลียนอันสุ่ยก็รู้จักล้อเล่นแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ก้มหน้าลง  เพ่งมองใบหน้าหมดจดอย่างรักใคร่
“ฉีเซี่ยงหยวนบอกข้าว่าคนที่ขโมยหัวใจผู้อื่นไปแล้วก็ต้องดูแลให้ดี  ซื่อตรงกับตัวเองให้มาก  ดูแลตัวเองให้มาก  รักคนผู้นั้นให้มาก  ต้องทำให้ได้สามข้อนี้”
“ตกลง” เสียงสงบนุ่มนวลรับคำ

ดวงตะวันค่อยๆเผยตัวที่ขอบฟ้า  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนยังคงอยู่ที่คนในอ้อมแขน  ริมฝีปากเคลื่อนเข้าไปประทับแผ่วเบาลงบนหน้าผากเนียน  มันเป็นความปรารถนาดีที่เรียบง่าย  ใช้สัมผัสแผ่วเบาถ่ายทอดความรักลึกล้ำ

ความจริงทั้งหมดของเรื่องราวมันก็แค่ว่า  ฉีเซี่ยงหยวนสามารถกักขังสายน้ำ  แต่ไม่มีปัญญาบังคับไม่ให้ตัวเองจมลงไป  อำนาจของเขาสามารถผูกมัดพันธนาการตัวตนผู้อื่นไว้  แต่กลับเป็นเหตุให้ตัวตนของผู้อื่นพันธนาการจิตใจของเขา...ตราบลมหายใจสุดท้าย

แสงแรกแห่งทิวาสว่างขึ้นทีละน้อย  สายตาสองคู่ประสานสบ...เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยความใด

     ...ในเมื่อข้าพบท่านแล้ว  หลังจากนี้จะไม่มีคำว่าโดดเดี่ยวเกินไป...
---------------------


      ‘เมื่อหัวใจไม่ว่างเปล่า  คนเราไหนเลยจะโดดเดี่ยว’



นกยวนยางคือนกเป็ดน้ำ  (บางคนเรียกเป็นนกเป็ดน้ำแมนดาริน  ในภาษาจีนแต้จิ๋วคืออวงเอีย)เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักที่รักกันมาก เนื่องจากมันมักอยู่เป็นคู่เสมอ ชาวจีนโบราณเชื่อว่านกชนิดนี้จับคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต 


เหลือบทส่งท้ายอีกหนึ่งตอนเรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์  เดินทางด้วยกันมาจะ80ตอนแล้ว 
ระหว่างทางเชื่อว่าที่ยังตามอ่านกันมาจนจะสุดทางจะต้องเป็นเพราะมีบางบรรทัดที่ผู้อ่านชื่นชอบเป็นการส่วนตัวแน่ๆ 
อยากรู้ว่าตั้งแต่อ่านมานี่ผู้อ่านชอบประโยคไหนในเรื่องที่สุดคะ(อยากรู้จริงๆนะตอบเค้าหน่อยเถอะตัวเอง :impress2:)



ปล. บทส่งท้ายจะมาประมาณเดือนพ.ค.นะคะ  เพราะต้องหยุดอ่านสอบแล้วค่ะ :m15:
(ถ้ายังจำกันได้เคยออกตัวว่าจะมีสอบมหาโหดอยู่ตัวหนึ่งซึ่งตอนนี้ไม่เริ่มอ่านไม่ได้แล้วฮะ)  แต่ไม่ต้องกังวลเพราะปั่นยิกให้จนจบแล้ว  ที่เหลือในบทส่งท้ายมีไว้เก็บรายละเอียด  โดยบทส่งท้ายนี้ค่อนข้างแยกตัวออกมาชัดเจนดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความต่อเนื่อง  ส่วนสาเหตุที่ไม่เขียนตอนนี้เพราะเขียนไม่ได้ค่ะ  บทนี้ยากไม่น้อยไปกว่าบทไหนในเรื่องเลยไม่อยากใช้อารมณ์ช่วงอ่านสอบมาเขียนมันเพราะมันจะออกมาไม่ดี  สรุปเจอกันพ.ค.ฮะผู้อ่านที่รัก
(จะแจ้งข่าวรวมเล่มช่วงนั้นเช่นกัน)

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ  ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆสนุกๆให้ได้อ่านกัน

ขอบคุณค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
รักเรื่องนี้มากจริงๆ
ขอบคุณคนเขียนที่มาต่อนะคะ

เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นการสอบไปด้วยดีค่ะ

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 914
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ประทับใจมากครับ

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อ่านแล้วประทับใจมากๆค่ะ ความรู้สึกมันล้นจนเราบรรยายไม่ถูกเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบ เป็นเรื่องที่มีคุณค่ามากค่ะ เป็นผลงานที่เรารู้สึกว่านักเขียนใส่ใจและทุ่มเทที่จะเขียนทำให้คนอ่านคุ้มค่ามาก

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ :L1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อีกตอนเดียวจบบริบูรณ์แล้วหรอ
อยากอ่านไปเรื่อยๆ ชอบภาษาที่ใช้เขียนจริงๆ
สำหรับเรานะ ชอบหลายประโยคมาก แต่ที่ชอบที่สุดก็อันที่เคยบอกไปแล้วอ่ะ
รู้สึกว่ามันโดยมาก เพราะมาก ใช่มากกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
เสียดายที่ใกล้จะจบแล้ว อยากอ่านความหวานของฉีฉีกับเหลียนเหลียนต่ออีก :mew6:  ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ ภาษา บทบรรยาย บุคลิกตัวละคร เหตุการณ์ที่เสมือนจริง อ่านแล้วเห็นเหมือนกับอ่านนิยายมีภาพประกอบ ทุกอย่างลงตัว ต้องบอกว่าคนเขียนอายุน้อย แต่การเขียนไม่น้อยเลย ทำการบ้านมาดีมากๆๆๆ ถามว่าชอบประโยคไหน ต้องบอกว่าทุกประโยค ขอโทษมันคือความจริง เลือกไม่ได้ เพราะเราชอบทุกอย่างในเรื่องนี้  o13  ตอนนี้อ่านแล้วเขินบิดจิกหมอนกันเลยเวลาเขาพูดหยอกกัน :-[ ฉีฉีที่ให้โตยังไง โหดร้ายในสายตาคนอื่น แต่กับเหลียนเหลียน เขาเหมือนเด็กที่ต้องการความรัก ต้องการแบบไม่เหลือให้ใคร มีมุมน้อยใจที่น่าเอ็นดูซะเหลือเกิน ส่วนเหลียนเหลียนก็รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะปราบเด็กขี้ใจน้อยได้ ทั้งที่ตัวเองก็เขินอายกลับการจะพูดไปตรงๆเลยไปลงกับดอกบัวแทน  :laugh: และมันก็ได้ผลทำให้เด็กขี้ใจน้อยหายน้อยใจไปได้ ตัดมาที่ห้องนอนก็พาฟินอีกถึงไม่บรรยายฉากรักแต่ก็สามารถฟินได้เองว่าทั้งคู่ทำไรกัน  :haun4: มีแอบฮาวันเกิดกับคำตอบเหลียนเหลียน ก็แกขึ้นอีกปีดียังไง  :m20: นั่นสินะ แต่ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน ฉีฉีก็ตามทันหรอกน่าไม่ต้องกังวลแถมยังรักมากยิ่งขึ้นไม่เสื่อมคลาย :กอด1:

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ถ้าให้ตอบว่าชอบประโยคไหนมากที่สุด
ค่อยๆหลับตาแล้วนึก จริงๆแล้วประทับใจเป็นภาพจำนะ มันออกมาเป็นฉากๆเลย
รักตัวตนของเหลียนๆมาก ไม่ว่าการคิด พูด การกระทำ มันช่างพอเหมาะไปหมด
ต้าอ๋องก็เป็นคนแกร่งที่น่าเอ็นดูบอกไม่ถูก เรื่องนี้ข้อคิดคำคมเยอะนะ แต่ที่คมสุดๆ
เราว่าคือกระบวนการคิดและทำของตัวละครแต่ละตัว มันทำให้เห็นภาพของคนที่คมในฝัก
ว่าเป็นยังไง การปล่อยตัว การเห็นแก่ส่วนรวม ในจุดแข็งมีจุดอ่อน ในเรื่องดีอาจมีเรื่องร้าย
และในเรื่องร้ายๆอาจมีเรื่องดี รักการดำเนินเรื่องมากๆ อ่านซ้ำกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย
ตอนที่นักพรตพูดถึงน้ำในบ่อ เราชอบมากๆ สอนเหลียนๆแล้วก็สอนเราไปด้วย

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา ขอบคุณมากๆเลย

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
บอกเลยว่าอ่านไป  ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป  สงสารเหลียนอันสุ่ย  คนบ้าอะไรแบบรับแต่ความทุกข์  ทุกข์จนคนอ่านอย่างฉันจะออกแตกตาย  มิอาจไม่หลั่งน้ำตา 

ยิ่งมายิ่งจินตนาการเพริศไป  กลิ่นอายรักอวลอยู่รอบกายมิใช่หรือ  สายลมเหมันต์ครางครวญอยู่ในอก

แต่ที่ติดค้างอยู่คือ อวี้เสียน  บุรุษมือเปื้อนเลือด  หากแต่หัวใจเปี่ยมรัก

น้ำตาข้ารอหลั่งให้เจ้าอยู่นะ  อวี้เสียน  ชายโฉดแห่งแคว้นเหลียน   

ข้าอยากรู้ว่า  เจ้ายินดีคืนสู่เมืองหลวง  คืนสู่หนทางตาย  เพียงด้วยใจปรารถนาให้สมหวังดั่งใจหมายของคนรักหรือไม่

เมื่อนั้น  ป้ายวิญญาณของเจ้าจะสลักรอยลึกลงในใจข้ามิรู้กาล  อวี้เสียน


แก้คำผิด

ออฟไลน์ AfternoonTea

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อ่านตามทันแล้ววววว ฮืออออ
หลังจากอ่านเรื่องนี้ไปได้ตอนเดียว ก็คิดได้เลยว่า นี่แหละคือนิยายที่กำลังตามหามาแสนนาน
ฮือออออ ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเพิ่งมาเจอตอนนี้
เราชอบอ่ะ ชอบมาก ชอบแบบไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว รักมากด้วย ฮือออ มันแบบดีที่ไปเสียทุกอย่างเลย
ความรู้สึกในทุกๆตอนที่อ่าน มันจะฟุ้งๆพองๆ อยู่ในใจอ่ะ อธิบายมาถูก รู้แต่ว่ามันมีความสุขอ่ะ
เวลาอ่านแต่ละตอนหรือเจอประโยคที่ใช่ทีไร
ต้องออกมากรี๊ดมาเวิ่นในทวิต แล้วก็กลับไปอ่านต่อ ฮ่าๆ
คือเป็นเอามากจริงๆค่ะ พอจบแล้วนี่ก็ยังอินอยู่เลย ใจหายด้วย TT
คนแต่งเก่งมากจริงๆ ค่ะ ทั้งด้านภาษาที่ใช้บรรยาย
และการผูกเรื่อง พอถึงเรื่องการเมืองเราไม่เบื่อเลยค่ะ กลับชอบไปอีก
เพราะได้เห็นมุมความคิดของพระเอกมากขึ้น ซึ่งเราชอบมาก

อ่านความเห็นคนอื่นๆในตอนแรกๆ มีแต่คนไม่ชอบฉีซี่หยวนสงสารเหลียนอันสุ่ย
แต่นี่ไม่เกลียดพี่ฉีเลยนะ กลับสนับสนุนและสงสารเหลียนอันสุ่ยไปพร้อมๆกัน 555

แล้วเวลาที่คนแต่งบรรยายถึงเหลียนอันสุ่ย เราจะนึกภาพและรู้สึกตามไปด้วยเลยค่ะ
เวลาเราอ่านก็จะรู้สึกสงบ สบายผ่อนคลายงี้เลย
รู้สึกว่าจริงๆแล้วเรื่องบางเรื่องไมได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดเสมอไป
ทุกอย่างมีเหตุผลให้มันเป็นไป
ส่วนพี่ฉี เวลาเราอ่านถึง แล้วเราจะรู้สึกปลอดภัยอ่ะ
อยู่กับคนๆนี้แล้วทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ
เรื่องที่ยากๆจะกลายดูง่ายไปเลย

สองคนนี้ ต่างคนต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ซึ่งมันดีที่สุดเลย ดีใจที่พวกเค้าได้พบกัน
ได้รักกัน ต่างคนต่างเปลี่ยนอีกคน จนมันเพียงพอ ฮือออ

จริงๆมีอีกหลายตอนที่เราชอบเป็นพิเศษ
อย่างตอนที่ไปช่วยเหลียนๆไม่ให้โดนธนู
คือรักมากแค่ไหนถึงจะยอมแลกได้ขนาดนั้นอ่ะ
แล้วก็ตอนสองสัปดาห์ ฮือออออหน่วงไปเพื่อใครรรรร TT

อีกอย่างค่ะ พอถึงฉากนั้น (?55)
คนแต่งไม่ได้ใช้ภาษาที่ล่อแหลมเลย แต่มันสุดยอดกว่าการใช้คำที่ล่อแหลมเป็นไหนๆ
อ่านแล้วมันเห็นภาพตามชัดเจนกว่าอีก ซึ่งเราชอบมากกกก5555

จริงๆ มีอะไรอยากจะคอมเม้นมากมายเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมายังไง
ที่เม้นมาเยอะๆนี่กลับไปอ่านเองก็ยังงงเองเลยค่ะ 5555
คือมันตื้นตัน และดีใจมากค่ะ
ที่ค้นพบนิยายดีๆแบบนี้ คือมันเป็นนิยายแนวจีนโบราณและวายอย่างที่เราชอบเลย

ขอขอบคุณจริงๆค่ะ ที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา รู้เลยว่า คนแต่งต้องหาข้อมูลและใช้เวลามากแค่ไหน
สู้ๆนะคะ จะติดตามและเป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องการแต่งนิยาย (ที่หวังว่าอาจจะมีเรื่องใหม่นะคะ อิอิ)
แล้วก็เรื่องเรียนด้วย คนแต่งเรียนหมอหรือป่าวเอ่ย เดาจากกาที่มีสอบทุกๆอาทิตย์ แฮะๆ สู้ๆนะคะ

ประโยคที่ชอบมีหลายอันเลย จริงๆนะคะ แต่เอาอันที่ยังไงก็จำได้แม่นก็คงเป็นอันนี้
“กล้าที่จะรักด้วยทั้งหมดของหัวใจ ไม่เสียใจจนวันสุดท้ายของชีวิต "

และที่เหลียนอันสุ่ยบรรยายไว้ในตอนจบ

“นี่เป็นความเอาใจใส่ของท่าน  หรือเป็นแผนการของท่านด้วย 
ถ้าเป็นแผนการก็นับว่าท่านทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เพราะข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีตรงไหนที่อยู่แล้วข้าจะสบายใจมากไปกว่าข้างกายท่าน” งื้ออออรักอ่ะ 
 :hao5:

สุดท้ายแล้วรอรวมเล่มอยู่นะคะ เตรียมสั่งจองแล้ววววววว
 
 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ใจหนึ่งก็รู้สึกดีนะคะ ที่มาตามอ่าน 79 ตอนทีเดียว (ใช้เวลา 2 วัน การบ้าน งานการไม่ทำฮะ ใจไม่สงบพอ :m20:)
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เม้นท์เป็นกำลังใจให้คนเขียนบ้างเลย น่าจะเข้ามาอ่านเร็วกว่านี้ :sad4:
ชอบนิยายจีนโบราณมากค่ะ ช่วงหนึ่งก็ติดนิยายแจ่มใสชุดมากกว่ารักแบบหนึบหนับมาก เราว่ามันโแมนติกสุดๆ แล้วพระเอก นายเอกเราก็จะมีลักษณะแบบที่เราชอบ รักเดียวใจเดียวงี้ :-[
ตอนฉากทำสงครามก็ชอบค่ะ รู้สึกว่าพระเอกเก่งจัง :katai2-1:
รอบทสุดท้ายนะคะ เรื่องสอบก็สู้ค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
รอตอนที่แปดสิบน้า

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สละสลวยมาก  ชอบมากๆเลยค่ะ  ขอบคุณคุณคนเขียนมากเลยค่ะ  สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
อ่านเรื่องนี้จากเด็กดี นะ นานแล้วล่ะ นี่หาตามเพื่อจะมีประกาศรวมเล่มก็เจอในนี้พอดี แปะโลด หึหึ

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังคงประทับใจ รอรวมเล่มค่ะ มิพลาดๆแต่ขอเวลาเก็บตังนานๆ :katai5:

ออฟไลน์ wews

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-0
ชอบมากๆเลยค่ะ  ขอบคุณคนเขียนมากๆ
 :L1: :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80
«ตอบ #320 เมื่อ13-05-2015 10:59:39 »

ใครที่พลังลมปราณไม่แข็งแกร่งพอแนะนำให้สูดลมหายใจลึกๆก่อนสองเฮือกค่ะ

บทส่งท้าย

แดดอ่อนๆในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นอ่อนโยนสุดประมาณ
โต๊ะทรงงานของฉีเซี่ยงหยวนตั้งไม่ห่างจากหน้าต่างถูกแสงธรรมชาติสาดส่องจนรู้สึกผ่อนคลาย  ร่างสูงสง่าพลิกม้วนฎีกาอ่านอย่างละเอียด
กลิ่นชาลอยเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของอิ๋งฮวา  นางวางถ้วยชาเอาไว้ในระยะที่เอื้อมถึงของเขา  มองคนที่ขะมักเขม้นทำงาน  แล้วล่าถอยออกไปเงียบๆ
บุรุษผู้นี้คือบุคคลที่นายท่านรักที่สุด  นางได้ทำหน้าที่ของนางอย่างเต็มความสามารถแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน  มองเงาหลังของอิ๋งฮวา  มองน้ำชาถ้วยนั้น  มุมปากเรียบเฉยคล้ายกับมีรอยยิ้มอันอ่อนโยน
แล้วบ่าวที่ยืนสงบรอคอยรับใช้อยู่ก็ได้เห็นต้าอ๋องของพวกเขายกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก  อิริยาบถที่ไม่แปรเปลี่ยนมาเป็นเวลาหลายชั่วยามถูกการมาถึงของหญิงรับใช้ผู้นั้นเปลี่ยนแปลง
พวกเขาเห็นนายเหนือหัวทรงงานอย่างหนักมาหลายปี
และพวกเขาก็เห็นสถานะพิเศษของหญิงรับใช้ชาวเหลียนผู้นั้นมานานหลายปี 
นางคล้ายไม่ค่อยใยดีต้าอ๋อง  แต่กับดูแลรับใช้อย่างละเอียดรอบคอบ  ส่วนต้าอ๋องก็คล้ายมิได้ให้ความสนใจนาง  แต่นางกลับเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ต้าอ๋องหยุดหักโหมทำงาน 

พวกเขาล้วนไม่ทราบ...ไม่มีทางทราบ ว่าสำหรับเป่ยชางอ๋อง  นางเป็นตัวแทนความห่วงใยของบุคคลผู้หนึ่ง

ฉีเซี่ยงหยวนก้มลงมองถ้วยชา  อดมิได้ต้องถามตัวเอง...ท่านจากไปกี่ปีแล้ว  เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ไม่มีท่านมันช่างยาวนาน
ฉีเซี่ยงหยวนยังคงจำได้ดี  ปีนั้นเขาอายุสี่สิบห้า  มันเป็นวันที่แดดสว่างจ้าวันหนึ่ง  เป็นวันธรรมดาที่ดูไม่น่าจะมีเหตุการณ์สลักสำคัญใดๆเกิดขึ้น  วันนั้นเหลียนอันสุ่ยหมดสติล้มลงในสวน... 
---------------------
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดการเดินเล่นเช่นทุกวันจึงลงท้ายด้วยการทำให้คนหมดสติได้  หมอหลวงถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว  ฉีเซี่ยงหยวนเองก็มาถึงอย่างรวดเร็ว  รู้สึกว่าเรื่องราวกะทันหันจนเขาไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีหมอหลวงคนไหนทราบว่าเมื่อไหร่เหลียนอันสุ่ยจะฟื้น  ไม่ทราบกระทั่งว่าสุดท้ายจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่  เพราะนอกจากลมหายใจอ่อนเบาก็ไม่มีลักษณะแสดงถึงการรู้สึกตัวอย่างอื่นอีก

โต๊ะทำงานของฉีเซี่ยงหยวนถูกยกเข้ามาตั้งไม่ไกล  แต่คนสั่งให้ยกเข้ามากลับทราบดีว่าตัวเองจิตใจไม่สงบพอจะทำงาน  ชำเลืองมองคนบนเตียงซ้ำๆ  ความหวาดหวั่นไม่แน่ใจในรูปแบบที่ไม่เคยประสบมาก่อนแผ่ขยายกลืนกิน

ยังดีที่ว่าสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็ฟื้นขึ้นมา  ทว่าแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วคนกลับคล้ายมีความในใจ  กุมผ้าห่มด้วยใบหน้าซีดขาว  สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  เมื่อสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่จึงค่อยข่มอาการนั้นลงไป
“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง  คนเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบ  จนอีกฝ่ายช่วยพยุงให้นั่งชันตัวขึ้นก็ยังคงไม่ตอบ  ทว่าความสับสนกังวลที่ซ่อนอยู่ในท่าทีกลับเกินกว่าจะปกปิดเอาไว้ได้
หญิงรับใช้รีบร้อนยกชามยาเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวว่า
“ท่านกินยาก่อนเถอะ”
ดวงตาคู่งามเพ่งมองชามยาในมืออยู่ครู่หนึ่ง  ไม่ได้ถามกระทั่งว่าเป็นยาอะไร  แค่รับมากินเงียบๆ  ลักษณะท่าทางเช่นนี้ราวกับยาอะไรล้วนไม่แตกต่าง
ใจของฉีเซี่ยงหยวนรุ่มร้อนกังวลอย่างมาก  แต่สีหน้ายังข่มให้สงบนิ่ง  มีความรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยยังไม่พร้อมสำหรับคำอธิบายจึงมิได้คาดคั้นถาม  ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งพิงร่างกับเขาเงียบๆ
แดดที่สะท้อนกับแววตากระจ่างคล้ายกับมีวูบหนึ่งที่เจือประกายน้ำตา    อาจบางทีเป็นแค่ภาพลวงตาที่เขาคิดไปเอง  เพราะสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็มิได้มีน้ำตาซักหยด
---------------------
เย็นวันนั้นเหลียนอันสุ่ยบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกับเขา
ฉีเซี่ยงหยวนรู้แต่ว่าตัวเองไม่มีทางลืมท่าทีในวันนั้นของเหลียนอันสุ่ยได้  ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเตียงเพราะหมอหลวงยังไม่อนุญาตให้เขาลุกจากเตียง  ส่วนผู้อื่นก็กังวลว่าเขาจะหมดสติล้มลงไปอีก  เหลียนอันสุ่ยสงบขึ้นมากแล้ว  แต่บางอย่างในท่าทีของเขากลับให้ความรู้สึกเปราะบางไม่มั่นคงเหมือนอย่างเคย

“เซี่ยงหยวน  ท่านเชื่อเรื่องคำสาปหรือไม่”
หากเป็นยามปกติฉีเซี่ยงหยวนมั่นใจว่าตัวเองจะต้องปฏิเสธคำถามนี้อย่างปลอดโปร่ง  แต่ท่าทีของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้เขาไม่อาจไม่จริงจังกับคำถามที่ดูง่ายดายนี้
“ถ้าจะถามข้า...ข้ายังเชื่อเรื่องโชคชะตามากกว่าคำสาปเสียอีก”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมา
“ข้าเองก็เช่นกัน...มีคนบอกว่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนมีคำสาปที่สืบทอดกันมาในสายเลือด”
“อย่างนั้นหรือ  คำสาปอันใด” ถามพลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย
“คำสาปให้อายุสั้น”
รอยยิ้มจางหายไปจากสีหน้าฉีเซี่ยงหยวน
“คำสาปเป็นเรื่องงมงาย  มีใครกล้าบอกว่าท่านจะอายุสั้น!”
คงเพราะได้ยินโทสะในน้ำเสียง  เหลียนอันสุ่ยจึงอิงศีรษะเข้ากับไหล่หนา  กล่าวว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องคำสาป  ข้าก็แค่คิด...ว่าบางที...บางทีอาจมีโรคบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดทางสายเลือด”
คำพูดนี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“น้องสาวข้าจากไปในวันที่ไม่มีใครคิดว่านางจะจากไป  นางยังคงงดงามถึงเพียงนั้น  อ่อนเยาว์เกินกว่าจะสิ้นอายุขัย  นางกำนัลบอกว่านางกรีดร้องว่าปวดหัวมาก  ปวดหัวจนถึงกับหมดสติไปและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย  ผู้คนต่างบอกว่าฟ้าริษยาโฉมสะคราญ  ทั้งที่รูปโฉมโดดเด่นกว่าใครแต่กลับอายุขัยไม่ยืนยาว”
“ยังมีท่านตาข้า เหลียนอ๋องที่นับย้อนขึ้นไปสองรุ่น  ท่านตาก็จากไปอย่างกะทันหันมากเช่นกัน  ท่านแม่เคยบอกว่าในรุ่นปู่ทวดก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้  คนอื่นล้วนบอกว่ามันคือคำสาป แต่ข้ากลับคิดว่ามันเหมือนโรคภัยมากกว่า”
“...ถ้าเป็นโรคภัยก็ต้องมีหนทางรักษา” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ค้นหาเสียงของตัวเองเจอ
“ต้าอ๋อง  โรคบางโรคไม่มีหนทางรักษา  ...ข้าพยายามมาเกินยี่สิบปี  สนใจศึกษาวิชาแพทย์ก็เพราะเหตุนี้  ทว่าสาเหตุของมัน...กระทั่งทราบก็ยังไม่ทราบ” พูดพลางส่ายหัวด้วยท่าทีจนใจ  น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยสงบราบเรียบ  ทว่าเนื้อความของมันกลับหนักหนาจนแทบจะทนทานรับไม่ไหว

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็รู้แล้วว่าตอนที่อีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องต้องพูดกับเขาต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหน  สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยไหนเลยเหมือนคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย
ฉีเซี่ยงหยวนเอื้อมมือไปกุมมือเรียวไว้  กล่าวว่า
“แต่ท่านฟื้นแล้ว พวกเขาล้วนไม่ฟื้นใช่หรือไม่  แต่ท่านฟื้น  แสดงว่าอาการของท่านหาได้หนักหนาเช่นพวกเขา”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งไปครู่จึงกล่าวว่า
“...อาจเป็นเช่นนั้น” ทว่าในน้ำเสียงกลับมิได้มีความหนักแน่นมั่นใจ
“ให้หมอหลวงเข้ามาตรวจอย่างละเอียดอีกทีดีหรือไม่  ไม่แน่ว่าท่านอาจจะเป็นโรคอื่น...”
“ก่อนสลบไปข้าจำได้แต่ความรู้สึกปวดหัวรุนแรง  กับความรู้สึกอยากจะอาเจียน”
 “...ยังปวดอยู่หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว  เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มออกมาบางๆ
ฉีเซี่ยงหยวนใช้สองมือประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้  เหตุใดท่านยังคงยิ้มได้อีก
“เซี่ยงหยวน  ข้าไม่รู้ว่าตัวเองมีเวลาอีกนานแค่ไหน  ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีกว่าพวกเขาตรงที่มีอาการล่วงหน้าให้เห็น  ข้าไม่อยากจากไปกะทันหันแบบนั้น” เอาจริงๆแล้วข้า...ไม่อยากจากท่านไปเลย  ประโยคสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยไม่ได้พูดออกไป

ฉีเซี่ยงหยวนได้แต่มองคนข้างกายเขา  ท่านโชคดีอย่างนั้นหรือ  แต่วันเวลาหลังจากนี้ของท่านต้องอยู่กับความหวาดกลัว  เหลียนอันสุ่ยท่านอย่าพยายามเข้มแข็ง  เพราะท่าทีพยายามเข้มแข็งของท่านทำให้ข้าหัวใจสลาย

ไม่มีผู้ใดเข้าใจอารมณ์ที่เสียดแทงอยู่ในความรู้สึกของฉีเซี่ยงหยวนในเวลานั้น  ความรู้สึกปวดร้าวคล้ายกับกำลังเฉือนเขาออกเป็นชิ้นๆ  ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พรากท่านไปจากข้าจะเป็นโรคภัย  ข้าเอาชนะชะตากรรมของตัวเองมาตลอดชีวิต  ยืนอยู่ในตำแหน่งที่มิได้ด้อยกว่าผู้ใดในหล้า  ทว่ามันกลับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ข้าไม่มีปัญญาเอาชนะได้  ข้าไม่ยอมรับชะตากรรมเช่นนี้  ไม่อาจยอมรับ  ไม่ต้องการยอมรับ
แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ความจริงแล้วไม่ว่าความรักในรูปแบบไหนบทสรุปของมันคือการพรากจากทั้งนั้น

...ต่อให้รักลึกล้ำปานใด  สุดท้ายความตายจะพรากพวกท่านจากกัน
---------------------
หมอหลวงเข้าออกตำหนักเสียงวสันต์ไม่ซ้ำหน้า  ทำให้เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนว่า
“ข้าก็แค่เป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองจะมาถึงวันไหน  ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้  หากเวลาข้าเหลือไม่มากจริง  ที่ข้าต้องการคือใช้เวลาอยู่กับท่าน  ไม่ใช่ใช้เวลาอยู่กับหมอหลวงพวกนั้น”

เมื่อฉีเซี่ยงหยวนว่าราชการ  เหลียนอันสุ่ยจะนั่งอยู่ในห้องด้านหลังที่มีเอาไว้ให้ต้าอ๋องผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ว่าราชการพวกเขาจะอยู่ด้วยกันในตำหนักเสียงวสันต์  ส่วนกำหนดการอื่นนอกเหนือจากนี้ฉีเซี่ยงหยวนล้วนให้คนเลื่อนออกไปทั้งหมด  งานในโรงหมอของเหลียนอันสุ่ยเองก็ถูกงดไปทั้งหมด

มีคนบอกว่าต้าอ๋องลุ่มหลงบุรุษจนละเลยราชกิจ  มีคนบอกว่าการสลบไสลของเหลียนอันสุ่ยเป็นเพียงแผนการที่ใช้เพื่อล่วงรู้ข้อราชการของแคว้นเป่ยชาง  ทว่าแม้เรื่องจะถูกเอาไปพูดถึงในทางไม่ดี  ทั้งฉีเซี่ยงหยวนทั้งเหลียนอันสุ่ยต่างไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก  หลังอยู่เคียงข้างกันมาเกินสิบปีการถูกเอาไปพูดลับหลังเป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่ชินชามานานแล้ว  แม้เรื่องในครั้งนี้จะนับเป็นการแหกกฎครั้งที่ชัดเจนที่สุด  แม้ปกติเหลียนอันสุ่ยจะไม่เคยยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนความสำคัญหรือสิทธิพิเศษกับเขาจนเกินพอดีตลอดมา  แต่คราวนี้กลับเป็นข้อยกเว้น  เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว

ดูจากภายนอกเหลียนอันสุ่ยไม่เหมือนคนที่เจ็บป่วย  ยิ่งไม่คล้ายคนที่กำลังจะตาย  มีเพียงตัวเขาเองที่ทราบว่าสายตาของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  แม้ยังคงอ่านออกแต่กลับมองได้ไม่ครบถ้วนเท่าเดิม  การสลบครั้งนั้นทิ้งรอยบางอย่างอยู่ในหัวเขา  มันคล้ายกับเป็นคำเตือนล่วงหน้าถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
ถามว่าหวาดกลัวหรือไม่ เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าสองคืนแรกเขานอนไม่หลับ  แต่คนที่รับมือกับเรื่องนี้ได้แย่ยิ่งกว่าเขาคือฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนจิ้งเต๋อ  สองพ่อลูกที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดคู่นั้นราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน  เข้าใจแต่กลับมิใช่ว่ายอมรับ  เห็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงสองคนเหลียนอันสุ่ยพลันรู้สึกว่าชีวิตนี้เขาได้อะไรมาไม่น้อยเลย  เวลาของเขาแม้อาจไม่ยาวนานเท่าผู้อื่น  แต่ทุกวันของเขามีคุณค่าความหมายตลอดมา  และมีคุณค่าความหมายอย่างยิ่งต่อคนที่รักเขา  คนที่มีความสำคัญต่อท่านรักท่านถึงเพียงนี้ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก 

หลับตาลงช้าๆ  เงี่ยหูฟังเสียงทุ้มต่ำที่ลอดออกมาจากท้องพระโรง  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้สนใจเนื้อหา  เขาเพียงต้องการฟังเสียงของคนผู้หนึ่ง  และให้คนผู้หนึ่งวางใจว่าตัวเขาอยู่ไม่ไกล

ท้องพระโรงเงียบเสียงลงแล้ว เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้น  ม้วนเก็บม้วนไม้ไผ่ที่หยิบมาแต่อ่านไม่จบเหล่านั้น
“คิดอะไรอยู่” มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามากุมมือเขาไว้
“คิดถึงท่าน” ยิ้มพลางตอบกลับไปตามตรง
คนฟังเงียบไป  เพ่งมองเขาอย่างตั้งใจ  สุดท้ายกล่าวถามว่า
“ทำไมไม่นอนพัก” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงเตียงที่เขาอุตส่าห์ให้คนยกมาตั้งไว้
ทว่าเหลียนอันสุ่ยมองเตียงหลังนั้นแล้วตอบว่า
“ช่วงนี้ข้านอนมากพอแล้ว  ไม่ง่วงเสียหน่อยจะนอนอีกทำไมกัน” เหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะนอนหลับ  ผู้อื่นแม้เห็นเขาเป็นคนป่วย  แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกว่าเขาเป็นปกติดี  เขายังไม่ต้องการการนอนหลับตอนนี้ ไม่ได้ต้องการ...การหลับใหลอันยาวนานก่อนเวลาที่มันจะมาถึง
---------------------
เหลียนอันสุ่ยมีอาการคลื่นไส้สองสามครั้ง   แต่ละครั้งฉีเซี่ยงหยวนล้วนต้องมาดูด้วยตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยมองเงาหลังที่เป็นกังวลของอีกฝ่าย  อดไม่ได้ต้องพึมพำออกมาเบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองสมควรภาวนาแบบไหน  อาการเล็กๆน้อยๆของข้ากลับเป็นสิ่งที่ทรมานเขา  แต่หากคิดจะให้มันจบลง...ทั้งข้าและเขาต่างหวังให้มันยืนยาวออกไปอีกซักนิด”

อิ๋งฮวาไม่ได้ตอบ นางมีแต่น้ำตาคลอเต็มนัยน์ตา  ผู้อื่นอาจรู้สึกว่าอาการเล็กๆน้อยๆนี้ไม่สำคัญ  แต่กับนางที่อยู่กับครอบครัวที่พัวพันกับโรคร้ายนี้มาชั่วชีวิตกลับไม่อาจวางใจอยู่ตลอดเวลา  มิใช่ไม่เคยมีคนฟื้นขึ้นมาเช่นเดียวกับนายท่าน  แต่คนผู้นั้นหลังจากฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นคนพิการ  โรคภัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้โรคนี้ไม่ทราบคิดจะเอาสิ่งใดไปจากนายท่านก่อนจะพรากชีวิตเขาไป

“ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้ข้านึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเราต่างเข้าใจว่าต้องจากกัน  มันเป็นสองสัปดาห์ที่ทรมานยิ่ง  ตอนนั้นข้าไม่ควรปฏิเสธเขาเลย  ไม่ควรทิ้งขว้างโชคชะตาที่สวรรค์ให้มาอย่างจำกัดนี้ไปกับความเจ็บปวด  หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้  ข้ายอมแลกทุกอย่างกับความสุขในช่วงสองสัปดาห์นั้นของเขา”

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจ็บป่วยที่นางเห็นนายท่านเศร้าเสียใจ
---------------------
มีคนบอกว่าสวนในตำหนักชุนเกองามยิ่งกว่าอุทยานหลวง  ต้าอ๋องโปรดปรานคนผู้หนึ่งมาสิบสี่ปี  ที่แห่งนี้จึงถูกต่อเติมทีละน้อยด้วยความรักเอาใจใส่  เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในเก๋งริมน้ำ  มองธรรมชาติที่งามประดุจภาพวาด  รอยยิ้มอ่อนบางปรากฏขึ้นบนเรียวปาก
“สิบสี่ปี  ที่แท้เราอยู่ด้วยกันมาสิบสี่ปีแล้ว  สิบสี่ปีแม้ว่าไม่มากมาย  แต่กลับไม่น้อยเลย”
มือคู่หนึ่งยื่นมาจากข้างหลังโอบร่างสูงโปร่งไว้  คางคมสันวางลงบนบ่า  สูดกลิ่นหอมสะอาดบนร่างของคนที่สลักลึกในใจเขา  สิบสี่สำหรับฉีเซี่ยงหยวน...มันยังคงไม่เพียงพอ

ต่างจมลงในความคิด  อยู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็พูดขึ้นว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านมักบอกว่าข้าเป็นคนของท่าน  เช่นนั้นหากข้าตายจากไปก็ไม่ต้องฝังข้าแบบชาวเหลียน  หลังจากเผาแล้วก็ไม่ต้องให้คนเอาเถ้ากระดูกกลับไปที่นั่น  ข้าอยากให้ท่านโปรยมันไปกับสายลม  ใต้หล้านี้ไม่มีที่ใดที่สายลมไปไม่ถึง  ที่ใดที่สายลมไปถึงข้าย่อมไปถึงเช่นกัน”
“ท่านยังไม่ตายเสียหน่อย  พูดเหลวไหลอะไร”
เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ยิ้ม  ไม่ได้ตอบโต้คำตำหนิ  รู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจำได้  ทุกคำพูดของเขาฉีเซี่ยงหยวนจำได้เสมอ

ฉีเซี่ยงหยวนมองร่างสูงโปร่ง  ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้เขายึดติดจึงปฏิเสธทั้งการฝังและการเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง  ทว่าใจหนึ่งไม่ต้องการให้ยึดติด  แต่อีกใจกลับอยากอยู่เคียงข้างเขา ความคิดที่ขัดแย้งกันเองในรูปแบบนี้ฉีเซี่ยงหยวนคุ้นชินเป็นอย่างดีและไม่คิดจะกล่าวเปิดโปง 

ชาวเป่ยชางตายไปอยากไปที่ใดก็เอาเถ้ากระดูกไปโปรยไว้ที่นั่น  แต่เชื้อพระวงศ์ชาวเป่ยชางตายไปเถ้ากระดูกจะถูกเก็บไว้ในสุสานหลวง  คนธรรมดาไม่สามารถเข้าออกสุสานหลวง  แต่สายลมกลับเป็นข้อยกเว้น
---------------------
รัตติกาลมืดสนิท  ฉีเซี่ยงหยวนไม่รู้สึกง่วง  เหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่รู้สึกง่วง  พวกเขานั่งอยู่บนเตียงสนทนากันจนดึกดื่น 
คืนนั้นอาการปวดหัวมาเยือนเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง  ปวดในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน  ปวดจนยากจะเชื่อว่ามีความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่บนโลก 
ได้ยินเสียงทุ้มตวาดให้ข้างนอกรีบไปตามหมอหลวงมา  ร่างถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้  เหลียนอันสุ่ยฝังใบหน้าลงกับซอกคอหนา ไม่อยากให้ฉีเซี่ยงหยวนเห็นสีหน้าของเขา  ทว่าแม้จะกัดฟันแน่นเสียงร้องเจ็บปวดก็ยังลอดออกไป

หากจะถามฉีเซี่ยงหยวนช่วงเวลาสั้นๆนั้นยาวนานราวชั่วกัปกัลป์
ความเจ็บปวดของเหลียนอันสุ่ย...เขาไม่อาจแบ่งเบาแม้แต่น้อย  ได้แต่รับรู้ว่าร่างสูงโปร่งเกร็งจนสั่นสะท้าน  มือเรียวยาวที่ยึดร่างเขาไว้บีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ...เป็นความเจ็บที่ร้าวลงไปจนถึงกระดูก  เป็นความเจ็บที่ทำให้หัวใจของเขาแหลกสลาย

ทว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ตอนที่เหลียนอันสุ่ยคลายมือจากเขาจะเป็นตอนที่เขาเจ็บปวดที่สุดในชีวิต

ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยสงบอย่างยิ่ง  ดูราวกับความเจ็บปวดใดๆไม่อาจสัมผัสเขาอีกแล้ว  ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันและจบในไม่กี่ชั่วอึดใจ  ฉีเซี่ยงหยวนก็โน้มใบหน้าลงไป จูบเบาๆลงบนเรียวปากคู่นั้น...สัมผัสเรียวปากแต่ไม่อาจสัมผัสลมหายใจ 
หัวใจของฉีเซี่ยงหยวนว่างเปล่า  ชะงักไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะกดจูบลึกล้ำกว่าเดิม
---------------------
ข้างนอกสับสนวุ่นวาย  หมอหลวงเพิ่งมาถึง  ทว่ามีเพียงอิ๋งฮวาที่ถูกเรียกตัวเข้าไป
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ริมเตียง  ท่าทีสงบของนายท่านทำให้ความกังวลของอิ๋งฮวาค่อยๆบรรเทาลง
“ท่านหมอมาถึงแล้ว”
เป่ยชางอ๋องไม่ได้มองนาง  มือใหญ่ลูบคลำใบหน้าของคนที่ดูคล้ายเพียงแค่หลับใหลไป  กล่าวว่า
“ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา  เจ้าไปตามเหลียนจิ้งเต๋อมา...เขาต้องมาพบหน้าบิดาของเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ขาทั้งสองข้างของอิ๋งฮวาเปลี่ยนเป็นไม่มีแรง  ร่างของนางทรุดลงกับพื้น  ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไปสิ  ไปได้แล้ว  อย่าลืมให้คนไปตามรัชทายาทมาด้วย” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบติดจะอ่อนโยน  ดวงตาคมกริบของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง 

อิ๋งฮวาเหม่อมองดูความสงบเยือกเย็นของเขา  ไม่รู้ทำไมนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด  อิ๋งฮวายกมือปาดเช็ดน้ำตา  ผุดลุกขึ้นวิ่งออกไป  นางไม่เคยชอบเป่ยชางอ๋องผู้นี้  แต่ความรักที่เขามีต่อนายท่านนางประจักษ์ชัดมาตลอดสิบสี่ปี  ทั้งเขาและนางต่างเป็นผู้สูญเสีย  สูญเสียและเจ็บปวด

การปวดหัวครั้งแรกกับครั้งที่สองห่างกันเพียงสัปดาห์กว่า 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  การตายจากไปของเหลียนอันสุ่ยได้นำเอาวิญญาณครึ่งหนึ่งของเขาจากไปด้วย...
---------------------
เถ้ากระดูกของเหลียนอันสุ่ยถูกเอาไปโปรยส่วนหนึ่ง  และถูกฉีเซี่ยงหยวนเก็บไว้ส่วนหนึ่ง
“ฉางเฟย  วันไหนที่ข้าตายไป  ให้ผนึกกระดูกของเขาเอาไว้ในโถเดียวกันกับข้า” สุสานหลวงโดดเดี่ยวเกินไป  ถึงตอนนั้นข้ากับเขาจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก
เรื่องนี้ละเมิดกฎของบรรพชน  แต่หลิวฉางเฟยกลับไม่มีคำทัดทานใด
ตั้งแต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไปต้าอ๋องก็ไม่เหมือนเดิม  เวลาสูญเสียคนรักคนเรามักอ่อนแอลง  ข้อนี้หลิวฉางเฟยเข้าใจได้  แต่ที่เขาไม่เคยเจอคนที่สูญเสียความรักแล้วถี่ถ้วนกว่าเดิม  เข้มงวดกับตัวเองกว่าเดิม
เวลาเศร้าเสียใจหลิวฉางเฟยเคยเห็นต้าอ๋องจมตัวเองอยู่ในไหสุรา  แต่เวลาที่สูญเสียคนที่เขารักจริงๆไปฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องสุรา
“ต้าอ๋อง  ท่านต้องระบายออกมาบ้าง  เก็บไว้กับตัวเองแบบนี้  ไม่มีอะไรดีขึ้น”
ทว่าคนเป็นต้าอ๋องกลับมองกาสุราในมือคนสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องมานานหลายปีแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ  โบกมือให้เอาไปเก็บพลางบอกว่า
“การเมามายไม่ได้คืนเหลียนอันสุ่ยกลับมาให้ข้า  มีแต่จะทำให้เขาเป็นห่วง” ตอนที่เขามีชีวิตคนที่เขารักที่สุดคือข้า  ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว  ข้าจะทำร้ายคนที่เขารักที่สุดได้อย่างไร
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้อยากเมามาย  เขาไม่ได้ต้องการจะลืมเลือน  ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเพราะข้ารักเขา  เป็นหลักฐานยืนยันว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเขามีคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง
“จิ้งเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีใครเห็นเขาที่กรมมาสามวันแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนวางพู่กัน  ผุดลุกขึ้น  สั่งหลิวฉางเฟย
“เก็บฎีกาพวกนี้ให้เรียบร้อย  ข้าจะไปสั่งสอนเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่มีทางอยากให้บุตรชายของเขาทำตัวแบบนี้”
---------------------
“ท่านกลับดูเป็นปกติเหลือเกิน” คำพูดของเหลียนจิ้งเต๋อไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นคำเสียดสี
“ข้าแค่ไม่ได้ทำตัวไม่เอาไหนเหมือนเจ้า” ฉีเซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  พลางฉวยกาเหล้าจากมืออีกฝ่ายผลักทิ้งลงบนพื้น
เสียงตกแตกดังบาดหูในห้องที่เงียบสงบ
“เหล้าดีๆเสียไปเปล่าๆเพราะท่าน  กาที่ปั้นขึ้นอย่างตั้งใจถูกคนไร้หัวใจอย่างท่านทำลายไปเสียได้”
“กาที่แตกแล้วไม่มีประโยชน์อีก  คิดไม่ถึงว่าเจ้าจำทำตัวไร้ประโยชน์พอๆกับมัน  ทำลายความหวังดีของคนที่ปั้นเจ้าขึ้นมาอย่างตั้งใจ”
เหลียนจิ้งเต๋อมองเศษกาที่แตกเป็นเสี่ยง  กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หรือข้าสมควรเป็นอย่างท่าน  ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ กล่าวว่า
“เจ้าทำไม่ได้หรอก  สำหรับเจ้าบิดาของเจ้าอาจตายจากไปแล้ว  แต่สำหรับข้าตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่  เรื่องที่เขาทำไมได้ข้าจะทำแทนเขา  ใช้ชีวิตเผื่อในส่วนของเขา  คนที่เขารักจะไม่กลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ในวันที่เขาจากไป”
คำพูดนั้น  เสียงหัวเราะนั้น  ไม่ต่างจากการตบหน้าเรียกสติฉาดใหญ่  เหลียนจิ้งเต๋อจุกจนพูดอันใดไม่ออก  กับเรื่องบางเรื่องฉีเซี่ยงหยวนก็ชมชอบใช้ไม้แข็งที่รวบรัดหมดจดในคราวเดียว
---------------------
กลับถึงห้องทำงานตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆนั่งลงช้าๆ  เขายังคิดจะทำงานต่ออีกหน่อย  เขายังไม่อยากกลับไปนอนเร็วนัก  เตียงหลังนั้นว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นั่น  เหลียนอันสุ่ยอยู่ในใจเขา
มีแต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองที่ทราบว่าเขาหาได้เข้มแข็งอย่างที่ใครๆเข้าใจ  เขาคิดถึงเหลียนอันสุ่ยบ่อยครั้ง  และเจ็บปวดเพราะความคิดถึงบ่อยครั้ง  เขาไม่ได้ร้องไห้มานานหลายปี  แต่คืนที่เหลียนอันสุ่ยจากไปโดยไม่รู้ตัวเขากลับหลั่งน้ำตา

มีคนบอกว่าการที่คนเราหลั่งน้ำตามิใช่เป็นเพราะความอ่อนแอ  แต่เป็นเพราะความผูกพัน

ผูกพัน ?  ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่ความผูกพัน

รัก ?  ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่แค่ความรัก

มันยังมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นความไว้วางใจเสมอหนึ่งตัวเอง  เป็นการยอมรับและให้อภัยทุกความผิดพลาด 
เป็นความเคยชินที่จะเป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตของฝ่ายตรงข้าม

เขาไม่เหมือนเดิมในวันที่เหลียนอันสุ่ยเข้ามา  และไม่เหมือนเดิมอีกในวันที่เหลียนอันสุ่ยจากไป  เมื่อมีเหลียนอันสุ่ยเขาถึงได้เข้าใจว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาขาดอะไร  ตอนที่เขาสูญเสียเหลียนอันสุ่ยเป็นตอนที่เขาพบว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน
ที่ตำหนักเสียงวสันต์เหลียนอันสุ่ยทิ้งร่องรอยเอาไว้มากเหลือเกิน 
ทว่าในตัวตนของเขาเหลียนอันสุ่ยทิ้งร่อยรองเอาไว้มากมายยิ่งกว่า 

เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน  เรื่องเหี้ยมโหดกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยอยากจะกระทำ
เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน  ทำให้ทุกเรื่องราวต้องมองละเอียดรอบคอบกว่าเดิมสามสี่เท่า
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก  คนที่ทำอะไรรวบรัดชัดเจนอย่างเขาจึงต้องใช้ลูกไม้ประเภทค่อยเป็นค่อยไป
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก  คนที่ไม่ค่อยสนใจคำพูดชาวบ้านอย่างเขาถึงต้องคอยเงี่ยหูฟังเอาไว้บ้าง

ความทรงจำของท่านมีชีวิตอยู่ภายในหัวใจของข้า  ตัวตนของท่านแทรกอยู่ในทุกการกระทำของข้า  เช่นนี้ข้าจะยึดถือว่าท่านตายไปแล้วได้อย่างไร  เช่นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะลืมเลือนท่าน  เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่อยากให้ข้ายึดติด  แต่ท่านไม่เคยรู้ตัวเลยหรือว่าพันธนาการที่ท่านใช้ผูกมัดข้าไว้แน่นหนาจนไม่มีปัญญาแกะออก

ท่านแกะไม่ได้  ตัวข้าเองก็แกะไม่ได้

ข้าพบว่าถึงจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องลงเอยเช่นนี้  ข้าก็ยังคงเลือกที่จะพบท่าน  ถึงแม้ว่าจะต้องลงเอยที่จากกัน  ข้ายังคงเลือกที่จะรักท่าน  คนบางคนไม่เริ่มต้นเพราะกลัวว่ามันจะจบลง  แต่พวกเขากลับหลงลืมไปว่าคนเราย้อนทบทวนสิ่งที่ผ่าน ‘เข้ามา’ ในชีวิต  คนเราย้อนทบทวนเรื่องที่ ‘เคย’ กระทำ  หากเรื่องใดๆท่านล้วนไม่เคย  เช่นนั้นความทรงจำของท่านต้องว่างเปล่าอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ข้าไม่ยอมรับความสูญเสีย  ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ  เมื่อใดที่พบพานย่อมต้องมีวันที่พรากจากแน่นอน  การพบพานและพรากจากเป็นแค่ภาพสะท้อนของกันและกันเท่านั้น
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80
«ตอบ #321 เมื่อ13-05-2015 11:19:04 »


คนตายจากไป  ความรักใช่จะตายจากไปด้วยหรือไม่ ?

หลังเหลียนอันสุ่ยจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนมักชอบมองดาว  ทบทวนเรื่องราวระหว่างพวกเขา  เข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น  หากแลกกันได้ฉีเซี่ยงหยวนหวังให้คนที่ตายเป็นตัวเขา  คนดีๆแบบเหลียนอันสุ่ยสมควรมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่านี้  ทว่าเมื่อขบคิดอย่างละเอียด  คิดถึงการเจ็บปวดของการสูญเสีย  ฉีเซี่ยงหยวนกับหวังให้ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เป็นตัวเขาดุจเดิม

วันสุดท้ายของเหลียนอันสุ่ยสมควรจากไปท่ามกลางผู้คนที่รักเขา  ส่วนเรื่องหลังของเขาสมควรมีคนจัดการแทนให้เรียบร้อย

วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนมาจัดการเรื่องราวในโรงหมอ  และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าบางทีการจากไปอย่างกะทันหันอาจมิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร  การจมอยู่กับเจ็บป่วยทั้งปีทั้งชาติที่ไม่อาจหาย  ไม่อาจใช้ชีวิต  และไม่อาจตายต่างหากที่น่ากลัว

ยุคสมัยของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเป็นยุคสมัยแรกที่มีการตั้งโรงหมอของทางการในเขตเมือง  เปิดโอกาสโอกาสให้ชาวบ้านเข้าถึงการรักษา  และเปิดโอกาสให้ลูกหลานของคนธรรมดาสามารถร่ำเรียนวิชาแพทย์

...บางครั้งความสูญเสียก็เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

วันนั้น  ครึ่งหนึ่งของฉีเซี่ยงหยวนตายจากไป  ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเหลียนอันสุ่ย...มีชีวิตอยู่ภายในตัวเขา

‘โรคบางโรคไม่มีหนทางรักษา  แต่โรคบางโรคที่มีหนทางรักษาแต่ไม่อาจได้รับเพราะไม่มีโอกาส...นั่นต้องเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง’ ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเอาไว้เช่นนี้
---------------------
โรคภัยไข้เจ็บ  ความทุกข์ทรมานที่ไม่ว่าผู้ยิ่งใหญ่สูงศักดิ์แค่ไหนก็ยากจะเอาชนะได้
หนานเหมินอ๋องล้มป่วยมาพักใหญ่  ช่วงเวลาสุดท้ายใกล้เข้ามาหาเขาเต็มที  ทว่าเขาไม่อาจวางใจ...ไม่วางใจแม้แต่น้อย

“พระบิดา  ท่านให้คนไปหายาอายุวัฒนะอีกแล้วหรือ” ผู้กล่าววาจาเป็นองค์หญิงหกที่หนานเหมินอ๋องรักใคร่ที่สุด
“หรือเจ้าไม่หวังให้บิดาตัวเอง  แค่กๆ...อายุยืนยาว”
ฟังถ้อยคำที่เจือโทสะของบิดา  องค์หญิงหกคุกเข่าลงกับพื้น  กล่าวว่า
“พระบิดาโปรดฟังลูกซักครั้ง  หากยาอายุวัฒนะมีจริง  ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคสมัยไหนเลยจะไม่มีผู้ใดอยู่มาจนถึงวันนี้  พระบิดากินยาหลายขนานแล้ว  ลูกไม่อยากให้ยาที่ไม่ทราบจริงหรือหลอกนี้ทำร้ายท่าน”
หนานเหมินอ๋องมองลูกสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น  นิ่งอยู่นานจึงกล่าวว่า
“ลุกขึ้นเถอะ  มีแต่เจ้าที่ห่วงใยข้า  ลูกอกตัญญูพวกนั้น...แค่กๆ  ยังกัดกันไม่เลิก  ข้า...” พูดยังไม่ทันจบก็ไออย่างหนัก
องค์หญิงหกรีบรินน้ำชาส่งให้  พลางกล่าวว่า
“พระบิดาอย่าพูดอีกเลย  พี่รองยุ่งอยู่กับการบริหารบ้านเมืองแทนท่าน  ไม่เช่นนั้นเขาต้องมาเยี่ยมท่านแน่”
หนานเหมินอ๋องรับน้ำชามาจากมือลูกสาว  แต่ยังคงไม่ดื่ม  กล่าวว่า
“พี่รองของเจ้า  แค่กๆ...เขาดีทุกอย่าง  แต่ใจอ่อนเกินไป  หากยังมองสถานการณ์ไม่ขาดมัวแต่เห็นแก่สายสัมพันธ์  ซักวัน...ซักวันเขาจะต้องเดือดร้อน”
“แต่พี่รองมีพี่ใหญ่ช่วยเหลือ...”
“ช่วยอะไรกัน  พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักแต่อวดโอ่  ทะเยอทะยานแต่ไร้ความสามารถ...” ปิดปากไออีกระลอก  จากนั้นจึงหยุดจิบน้ำชาในมือ 
ทั้งแคว้นหนานเหมิน  คงมีเพียงหนานเหมินอ๋องที่สามารถวิจารณ์องค์ชายใหญ่ชนิดไม่ไว้หน้า
องค์หญิงหกรีบปลอบว่า
“พระบิดายังอยู่พี่สามไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายแน่”
หนานเหมินอ๋องส่ายหน้า  ถอนหายใจ
“เพราะข้ายังอยู่เขาถึงยังไม่กล้าทำอันใด  ไม่เช่นนั้นคนที่นิสัยโหดเหี้ยมเอาแต่ใจเช่นเขา  ไหนเลย...ไหนเลยยอมลงให้พี่รองของเจ้า  ยังมีบรรดาพี่สาวของเจ้า  พวกนางล้วนคิดอ่านแทนสามี  แต่ไม่เคยคิดอ่านแทนบ้านเมือง  แค่กๆ  ยิ่งไม่  ยิ่งไม่สนใจบิดาตัวเอง”
“พระบิดาท่านอย่าคิดมากอีกเลย  ท่านยิ่งคิดตัวท่านเองก็ยิ่งโมโห  ขุนนางในราชสำนักที่พระบิดาคัดเลือกไว้ล้วนเป็นคนมีความสามารถ  ไม่ว่าอย่างไรแผ่นดินหนานเหมินก็ต้องสงบมั่นคงในที่สุด”

คราวนี้หนานเหมินอ๋องไม่ได้พูดอะไรอีก  ลูกสาวคนที่หกของเขามองโลกง่ายดายเกินไป  แต่นี่หาใช่ความผิดของนาง  แผ่นดินหนานเหมินยิ่งใหญ่มานานปี  แต่ละคนล้วนเข้าใจว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีวันถูกโค่นล้มลง  แต่กลับมองไม่เห็นว่าเสาแต่ละต้นที่พยุงแผ่นดินผืนนี้ไว้ถูกกัดกร่อนจนมีสภาพเป็นอย่างไรไปแล้ว หนานเหมินอ๋องเข้าใจลูกแต่ละคนของเขากระจ่างชัด  แต่ยิ่งเข้าใจกระจ่างชัดก็ยิ่งไม่อาจวางใจ

เหตุใดลูกแต่ละคนของเขาถึงใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้  แต่ละคนล้วนเกิดมาในสถานะที่ดีกว่าฉีเซี่ยงหยวน  แต่กลับไม่มีคนไหนเทียบกับลูกนอกคอกของอดีตเป่ยชางอ๋องได้แม้แต่คนเดียว

หนานเหมินอ๋องคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำหน้าที่เป็นทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีที่แคว้นหนานเหมินอยู่ครั้งหนึ่ง  อดีตเป่ยชางอ๋องส่งลูกชายที่ไม่สลักสำคัญมาเสี่ยงภัย  ตอนนั้นเขาไม่ควรมองข้ามความสามารถของเด็กคนนี้เพราะเข้าใจว่าคงไม่มีวันได้ครองบัลลังก์  เขาประเมินฉีเซี่ยงหยวนต่ำเกินไป ประเมินต่ำเกินไปมาโดยตลอด  ทำให้วาระสุดท้ายของเขาไม่อาจนอนตายตาหลับเพราะเด็กคนนี้
---------------------
ตอนที่ข่าวหนานเหมินอ๋องสวรรคตมาถึงแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ  สำหรับเขาอายุขัยคนเป็นสิ่งจำกัด  หากหนานเหมินอ๋องไม่สามารถกำจัดเขา  สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้จะต้องเป็นอีกฝ่าย 

พ่ายแพ้เพราะอายุขัยที่ไม่ยืนยาว 
พ่ายแพ้เพราะตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนปีกกล้าขาแข็งจะเป็นตอนที่หนานเหมินอ๋องไม่อาจอยู่เป็นคู่มือเขาอีกแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนสวมชุดขาวไว้อาลัยให้ศัตรูคนสำคัญของเขาหนึ่งคืน  การสวมชุดขาวทำให้เขาหวนคิดถึงบุคคลผู้หนึ่ง 
ดาวกระจ่างฟ้า  น่าเสียดายที่คืนนี้ข้างกายเขาไม่มีผู้ร่วมชม  ชัยชนะอีกขั้นของเขา  น่าเสียดายที่คืนนี้ปราศจากผู้ร่วมดื่ม 

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มออกมา  รินเหล้าให้ตัวเอง  และรินเหล้าให้ผู้อื่น

สายลมพัดมา  ท่านมองเห็นใช่หรือไม่  ข้างบนนั้นหนาวหรือไม่  เอาไว้ข้าสะสางเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน
ดวงดาวกระพริบไหว  สายลมยังคงไม่หยุดพัด
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนหมุนถ้วยน้ำชา  อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเหล่านั้นคิดไม่ถึงเขายังคงจำได้กระจ่างชัด  มองแสงแดดด้านนอก  แดดวันนี้อบอุ่น  แต่ดูจะมีคนไม่ค่อยอยากให้เขาผ่อนคลาย
“ใต้เท้ามู่มาแล้วขอรับ” เสียงรายงานดังขึ้น
“ให้เขาเข้ามา”
หลายปีมานี้มู่ซางก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย  ประสานมือนอบน้อมพลางกล่าวว่า
“ต้าอ๋องมีคำสั่งตามตัว  มู่ซางจึงรีบรุดมา  ไม่ทราบมีบัญชาใด”
“ข้าอยากฝากคำพูดไปถึงคนผู้หนึ่ง  บอกเขาว่าคิดงัดข้อกับข้า  ข้าไม่ได้ห้าม  แต่อย่าใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาเป็นโล่  ไม่อย่างนั้นคนต้นคิดข้าจะให้มันตายไร้ที่ฝังกลบ”
มู่ซางฟังคำพูดเรียบเฉยไม่ใส่ใจนั้นด้วยความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ  ขณะกำลังคิดจะกล่าวแก้ตัวสักสองประโยคก็ได้ยินคำพูดตัดบทเสียก่อนว่า
“ข้ายังมีงานต้องทำ  เจ้าออกไปเถอะ  รัชทายาทรับผิดชอบงานหนัก  เจ้าคิดช่วยแบ่งเบาข้าไม่ว่า  แต่ต้องรู้จักแยกแยะ”
แยกแยะว่าเรื่องไหนแตะได้  เรื่องไหนไม่ควรแตะ !
มู่ซางกลืนน้ำลายอึกใหญ่  ประสานมือล่าถอยออกไป

หลายปีมานี้อำนาจในราชสำนักของรัชทายาทเติบโตกล้าแข็ง  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงเฝ้ามองห่างๆไม่ได้ยื่นมือไปสกัดกั้น   ลูกบุญธรรมคนนี้ของเขาทำสิ่งใดระมัดระวังรอบคอบ  ไม่เปิดโอกาสให้อาคนที่ห้าของตัวเองสามารถฉกฉวยที่ยืนในราชสำนัก  เพียงแต่คราวนี้คิดหยั่งท่าทีของเขากลับเอาเหลียนจิ้งเต๋อมาเป็นโล่  อาศัยว่าเขาไม่มีทางเอาชีวิตลูกชายของเหลียนอันสุ่ย  ความคิดแบบนี้ไม่ใช่มู่ซางแล้วยังจะเป็นใครไปได้ 

ความจริงเรื่องมู่ซางยืนอยู่ฝ่ายรัชทายาทฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ใส่ใจ  เพราะอำนาจในราชสำนักในที่สุดก็ต้องถ่ายโอนไปสู่อีกมือหนึ่ง  ขั้นตอนถ่ายโอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนต้องการให้มันค่อยเป็นค่อยไปป้องกันการเกิดการช่วงชิงภายใน  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังเฝ้าดูว่าลูกชายของพี่ใหญ่จะมีหนทางไหนถ่ายโอนอำนาจไปจากมือเขา 

ใช่แล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยกให้ง่ายๆ  คนที่ไม่มีความสามารถเอามาย่อมดูแลไม่เป็น  เพราะขนาดคนที่มีความสามารถเอามาบางคนยังดูแลไม่เป็นเลย  ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนานเหมินอ๋องคือการที่ผู้สืบทอดของเขาไม่มีปัญญาแบกอำนาจยิ่งใหญ่ของบิดาตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่เดินซ้ำรอยนั้น

แผ่นดินหนานเหมินตอนนี้มีแต่ความวุ่นวาย  องค์ชายรองเด็ดขาดไม่พอถูกน้องชายตัวเองบีบจนต้องสละบัลลังก์  องค์ชายสามปกครองคนอย่างเหี้ยมโหด  ใช้คนไม่เป็นและไม่รู้จักซื้อใจคน  แผ่นดินยิ่งใหญ่ที่หนานเหมินอ๋องสร้างเอาไว้ง่อนแง่นเต็มที  ล้วนเป็นลูกชายที่ไม่เข้าใจความยากแค้นของแผ่นดินก่อเรื่องขึ้นมา  รอดูไปเถอะ  ผู้คนเอาใจออกห่างเมื่อไหร่ แผ่นดินหนานเหมินจะต้องถึงกาลล่มสลาย  แตกออกเป็นเสี่ยงๆ 
แน่นอนว่าตัวฉีเซี่ยงหยวนเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสจังหวะนี้ผิดพลาดไปเป็นอย่างอื่น

ฉีเซี่ยงหยวนหยิบพู่กัน  ลงชื่ออนุมัติในฎีกาของเขาต่อ  อันที่จริงการดูบุตรบุญธรรมสองคนของเขาผนึกกำลังกันงัดข้อกับน้องห้าก็เป็นอะไรที่ไม่เลว  ตั้งแต่อดีตเป่ยชางอ๋องสวรรคตน้องห้าก็เริ่มไม่ค่อยสงบเสงี่ยม  ฉีเซี่ยงหยวนขี้เกียจไปยุ่งวุ่นวาย  ผู้ใดที่อยากเป็นรัชทายาทก็ให้ผู้นั้นคอยดูแลอำนาจของตัวเองไปให้ดีเถอะ

‘ท่านแกล้งคนอีกแล้ว’ คล้ายกับมีเสียงตำหนิดังลอยมา 
เหลียนอันสุ่ยไม่ค่อยเห็นด้วยเวลาเขาแกล้งคนอื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกล้งลูกบุญธรรมของตัวเอง

คิดพลางจรดพู่กันอย่างปลอดโปร่ง  หลังแกล้งคนฉีเซี่ยงหยวนมักจะอารมณ์ปลอดโปร่งเป็นพิเศษ
---------------------
องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงอาศัยความช่วยเหลือจากแคว้นเป่ยชางสุดท้ายสามารถนั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง สถาปนาตัวเองเป็นโหยวเฉิงอ๋อง  ส่งของกำนัลให้แคว้นเป่ยชางไม่ขาด  ทางหนึ่งคิดอาศัยเวลานี้ฟื้นฟูแคว้น  ทางหนึ่งพึ่งพาอำนาจของแคว้นเป่ยชางป้องกันตัวเองจากแคว้นหนานเหมิน  การยกทัพใหญ่บุกแคว้นโหยวเฉิงในครั้งนั้นฝังรอยประหวั่นพรั่นพรึงสุดประมาณเอาไว้ในหัวใจชาวโหยวเฉิงทุกผู้คน  หลังหนานเหมินอ๋องสิ้นไป  โหยวเฉิงอ๋องคิดสะระตะเห็นว่าเข้มแข็งที่สุดในเวลานี้ไม่มีแคว้นใดเกินแคว้นเป่ยชาง  ตัดสินใจยกธิดาองค์โตให้แต่งงานกับเป่ยชางอ๋อง

ด้วยวัยนางสมควรแต่งกับรัชทายาท  แต่ตำแหน่งชายารัชทายาทย่อมไม่มีทางเทียบได้กับตำแหน่งอัครชายาในเป่ยชางอ๋องที่ยังคงว่างเปล่า  ส่วนน้องสาวที่เคยงามพริ้งและเป็นตัวเลือกก่อนหน้านี้ก็พ้นวัยที่จะเป็นที่ต้องการไปแล้วหลังถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่นถึงสองครั้ง
อันที่จริงครั้งที่สามนี้แคว้นโหยวเฉิงไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก  ทว่าคงเพราะเปลี่ยนตัวเจ้าสาวแคว้นเป่ยชางจึงตอบตกลง
---------------------
ค่ำคืนยาวนาน  บุปผาเฝ้ารอคอย  วันนี้เขาให้คนมาบอกว่าจะมาค้างที่นี่นางจึงเริ่มต้นรอคอย  มิใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานจนดึกดื่น  และมิใช่ครั้งแรกที่นางรอคอยเขา  ฉู่เตี๋ยไม่เคยคิดว่านางจะหลงรักบุรุษที่อายุห่างจากนางถึง 25 ปี  การแต่งงานมาที่นี่ของนางเพียงทำเพื่อบ้านเมือง  ทว่าเขากลับทำให้นางเข้าใจความหอมหวานและความขมฝาดของชีวิต 

นางแต่งให้เขามา 4 ปีแล้ว  ไม่มีใครรู้ว่านางยังคงเป็นหญิงพรหมจรรย์  การที่เขามาค้างที่นี่ไม่ได้ทำให้ระยะห่างของนางกับเขาแคบลง  เพราะตั้งแต่คืนแรกที่เข้าหอเขาบอกนางว่าเขาไม่อาจแตะต้องนางได้เพราะที่เขาชมชอบคือบุรุษ  ทว่านางกลับไม่เคยเห็นบุรุษคนใดอยู่ข้างกายเขาในฐานะคนรักมาก่อน

นางมักรู้สึกว่าเขามีคนผู้หนึ่งอยู่ในใจ  เวลามองแสงดาวสายตาของเขามักจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ  และเพราะสายตาเช่นนั้นนางจึงหลงรักเขา  นางหลงรักความรักที่งมงายของเขา  หลงใหลความสามารถที่โดดเด่นเหนือใครของเขา  ตั้งแต่ปีแรกที่แต่งงานกันนางก็ค้นพบว่าตัวเองแต่งงานให้กับบุรุษที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง  เขาเหมือนตำนานมีชีวิตที่นางทำได้เพียงแหงนหน้ามองดูด้วยความยกย่องชื่นชม
      ---------------------
“ต้าอ๋อง  ยามจื่อ(23.00 น.-01.00 น.)แล้ว” หลิวฉางเฟยเตือนเบาๆ
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง  สุดท้ายกล่าวว่า
“ข้ายังจัดการงานไม่เสร็จ  ...ให้คนไปบอกพระอัครชายาให้นางเข้านอนเถอะ  ไม่ต้องรออีกแล้ว”

ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ถูก  วัยสาวของนาง  ความรักของนางกลับถูกทิ้งขว้างไปกับความอ้างว้าง  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้ไม่ทราบความรู้สึกที่นางมีต่อเขา  ทว่าไม่ว่าจะเสแสร้งหรือจริงใจนั่นล้วนไม่สำคัญ  การคงอยู่ของนางเติมเต็มอำนาจในมือเขาให้สมบูรณ์  ทว่านางมิอาจเติมเต็มหัวใจของเขา 

บางทีมันอาจเป็นความดื้อรั้นยืนกรานชนิดหนึ่ง  เป็นความยึดติดชนิดหนึ่ง  ถ้าเหลียนอันสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ไม่มีทางยินดีให้เขาทำอย่างนี้  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวนหากนางจะเป็นอีกรักหนึ่งของเขา  นางย่อมมีวิธีเข้ามาในหัวใจของเขาเอง  กับเรื่องเช่นนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยฝืนรั้งบังคับเสมอมา  เพราะมันมิใช่เรื่องที่ฝืนรั้งบังคับได้  นางก็แค่ยังมิใช่  มิได้มีความผิดอื่นใดอีก  ดังนั้นแม้ว่าเขาและนางจะแต่งงานเพราะบ้านเมือง  เขาก็ยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี

เขาแต่งงานกับนางเพราะบ้านเมือง  นางเองก็แต่งงานกับเขาเพราะบ้านเมือง  สิ่งที่เขาและนางแลกเปลี่ยนกันมิใช่ความรู้สึก  แต่เป็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของสองแผ่นดิน  ยุติธรรมหรือไม่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ  ทราบแต่ตัวเองมิใช่ฝ่ายยื่นข้อเสนอนี้  ในเมื่อแคว้นโหยวเฉิงสมัครใจก็ไม่อาจโทษว่าที่เขาตอบตกลง

ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าเขาเข้าใจพระบิดามากขึ้น  เทียบกับการหันหอกดาบใส่กันแล้วชีวิตจำนวนมากต้องสูญสิ้นไปการแต่งงานนับเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก  ทว่านอกจากองค์หญิงแคว้นโหยวเฉิงแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะแต่งงานอีกเพราะไม่มีแผ่นดินผืนอื่นคู่ควรกับการตัดสินใจเช่นนี้
สำหรับตัวเขาการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมิใช่หมากที่สามารถเดินได้ง่ายดาย
---------------------
ตั้งแต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไป  ตำหนักชุนเกอส่วนที่พระมาตุลาเคยพำนักก็ถูกปิดเป็นเขตหวงห้าม  มีเพียงปีกตำหนักส่วนที่เป็นของเหลียนจิ้งเต๋อที่ยังมีคนเข้าออก
ปีนั้นเป็นปีที่ 5 ที่ตำหนักถูกปิด  หานญื่อหลัวกลับถึงเมืองหลวง
น่าแปลกที่ว่าเมื่อองค์รักษ์รายงานต่อเป่ยชางอ๋องเรื่องพระภาดาคิดรุกล้ำเขตหวงห้าม  ฉีเซี่ยงหยวนกลับแค่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า
‘ให้เขาเข้าไปเถอะ’

วันนี้เป็นวันแห่งการรำลึกถึง  เพราะเป็นวันครบรอบการตายของบิดาบุญธรรมที่เคยใกล้ชิดเมื่อครั้งยังเยาว์  เถี่ยอิ๋งอิ๋งเหยียบเข้าตำหนักเสียงวสันต์ก็เดินวนไปในส่วนของพี่จิ้งเต๋อ  เห็นเจ้าตัวยังไม่กลับมาก็ตัดสินใจเดินไปยังปีกขวา  นางเข้าออกวังหลวงได้อิสระ  ตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้ยิ่งไม่เคยเป็นที่ไม่ต้อนรับและมิใช่เขตหวงห้ามสำหรับนาง

เสียงพิณไหลเรื่อยดั่งน้ำจากที่สูงไหลลงสู่ที่ต่ำ  ต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ในเสียงแจ่มกระจ่างแฝงอารมณ์หวนรำลึกไว้อย่างลึกล้ำ  ราวขณะน้ำเซาะผ่านแก่งหินแต่ละก้อนได้ชะเอาผิวหน้าเปิดเผยความรู้สึกอาวรณ์ที่เก็บซ่อนไว้ในใจคนออกมา

ได้ยินเสียงพิณเช่นนี้เถี่ยอิ๋งอิ๋งพลันทราบว่าผู้บรรเลงคือใคร  เหนือจรดใต้ของแผ่นดินเป่ยชางความสามารถทางดนตรีของพระภาดาหานญื่อหลัวไม่มีผู้ใดไม่ทราบ
นางไม่ได้พบเขามาหลายปี  หลังพระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไปหานญื่อหลัวก็ไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง  จากนั้นนางก็พบว่าคำร่ำลือล้วนเชื่อถือไม่ได้  ผู้ใดบอกว่าเป่ยชางอ๋องไม่ถูกกับลูกพี่ลูกน้องผู้นี้  พวกเขามิใช่นั่งคุยกันอย่างสันติอยู่หรือไร

“ได้ยินว่าเจ้ายังไม่แต่งงาน” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่าท่านแต่งงานแล้ว” ใครอีกคนย้อนเรียบๆ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงแต่ไม่ได้ตอบโต้  วันนี้เขาไม่ได้อยากขัดแย้งกับหานญื่อหลัว  ความจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยคิดว่าระหว่างพวกเขาจะมีวันนั่งสนทนากันดีๆ  บางทีคงเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ย
หานญื่อหลัวมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา  แต่สำหรับฉีเซี่ยงหยวน...พระมาตุลาแคว้นเหลียนคงเป็นความรักที่ยากจะลืม  มองตำหนักเสียงวสันต์ที่ไม่ได้ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมลงเลย  ถอนหายใจออกมาเบาๆ
---------------------
ความโดดเดี่ยวไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้างกายท่านมีคนกี่คน
บางครั้งแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย  ท่านก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว

หิมะตกแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่คนเดียว  สีขาวของหิมะราวกับย้อมโลกทั้งใบให้ตกอยู่ใต้ความเหน็บหนาวอ้างว้าง  เกล็ดหิมะตกลงในอุ้งมือใหญ่  แผ่วเบาและเยือกเย็น  ความหนาวเย็นบางเบานี้ราวสามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจคน  ทว่าหัวใจฉีเซี่ยงหยวนไม่เหน็บหนาว  ตัวเขาเองก็มิได้รู้สึกโดดเดี่ยว  แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปบนผิวหิมะสงบมั่นคง  ท่ามกลางแผ่นฟ้าและแผ่นดินอันสงัดเงียบงัน  ทีละก้าว...ทีละก้าว...
บางครั้งความเงียบสงบก็เป็นความสุขอันเรียบง่ายชนิดหนึ่ง...การได้อยู่กับตัวเองก็เช่นกัน
เพราะความโดดเดี่ยวไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้างกายท่านมีคนกี่คน
...ความโดดเดี่ยวเกี่ยวกับว่าหัวใจของท่านมีใครอยู่หรือไม่
---------------------
กลางฤดูหนาว  ในปีที่ 24 ของการครองราชย์  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนสิ้นพระชนม์

รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อ  รัชสมัยใหม่มาถึง  ความยิ่งใหญ่ของแคว้นเป่ยชางสุดที่ผู้ใดจะสามารถทาบรัศมีได้

รากฐานที่มั่นคงส่งต่อความสำเร็จ  ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของแผ่นดินผืนหนึ่งกำเนิดสืบเนื่องมาจากยุคก่อนหน้า
แคว้นโหยวเฉิงเห็นแคว้นเป่ยชางเพิ่งผลัดเปลี่ยนผู้ครองแคว้นจึงกระด้างกระเดื่องไม่ส่งบรรณาการ  ทว่าเงื้อมมือของแคว้นเป่ยชางที่ยื่นเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงตั้งแต่สมัยฉีเซี่ยงหยวนหยั่งรากลึกจนยากจะถอน  แผ่นดินโหยวเฉิงแม้อยู่ในอาณาเขตของโหยวเฉิงอ๋อง  แท้จริงกลับอยู่ในกำมือของฉีเซี่ยงหยวนแล้วครึ่งหนึ่ง  แคว้นโหยวเฉิงจึงเป็นแคว้นแรกที่ถูกเป่ยชางกลืนกิน

ท่านเอย  การแต่งงานทางการเมืองกระชับมิตรที่แน่นแฟ้นก็จริง  แต่มันก็เป็นการดึงศัตรูเข้ามาใกล้กว่าที่คิดด้วย  โหยวเฉิงหวังประโยชน์จากการแต่งงานทางการเมือง  หารู้ไม่ว่าแคว้นที่ได้ประโยชน์แท้จริงกลับเป็นแคว้นเป่ยชาง

แคว้นโหยวเฉิงกำลังถูกกลืน  คนถูกบีบคั้นกลับเป็นแคว้นหนานเหมิน  ยิ่งอาณาเขตของเป่ยชางถลำเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงมากเท่าไหร่  แคว้นหนานเหมินยิ่งร้อนรนเท่านั้น

ตาชั่งอำนาจที่ถ่วงดุลระหว่างสามแคว้นเอียงกระเท่เร่  เมื่อสมดุลเทเอียง  สิ่งที่เกิดขึ้นคือปรับเข้าสู่สมดุลใหม่  เป่ยชางดำเนินแผน  หนานเหมินแก้เกม  เป่ยชางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว  โหยวเฉิงพลิกปรับหลีกหนี  คนนับหมื่นนับพันดิ้นรนอยู่ในหนทางที่แตกต่าง  ต่างเพียรพยายาม  ต่างมุ่งมาดปรารถนา  แผนการแผนแล้วแผนเล่าผุดขึ้นใหม่ไม่หยุดหย่อน  การคาดคะเนครั้งแล้วครั้งเล่าละเอียดถี่ยิบ
ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทายาทที่เป็นสายเลือดตรง  แต่ทายาทสืบทอดอำนาจของเขากลับทำให้สามแคว้นสั่นสะเทือน
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเคยกล่าวไว้กับเหลียนอันสุ่ยว่า
‘เด็กคนนี้เก่งกว่าข้า  เรื่องที่ข้าทำไม่ได้  จะสำเร็จในยุคสมัยของเขา’
---------------------
ฤดูหนาวเวียนบรรจบ  ทุกวันครบรอบวันตายของผู้ครองแคว้นคนก่อนจะเป็นวันที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเก็บตัวในสุสานบรรพชนเพื่อเซ่นไหว้
เป่ยชางอ๋องมองโถกระดูกที่เรียงราย  สายตาจรดนิ่งอยู่ที่โถใบริมสุด  ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับนึกไปถึงวันเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน  วันที่พระบิดาบุญธรรมหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย  มันควรจะเป็นแค่การงีบหลับสั้นๆระหว่างวันตามปกติ  แต่การงีบหลับครั้งนี้กินความยาวตลอดกาล

ในตอนเช้าพระบิดาบุญธรรมยังเรียกเขาไปมอบหมายงานสองสามอย่าง  นึกไม่ถึงว่านั่นจะเป็นครั้งที่สุดท้ายที่เขาได้พบพระบิดาบุญธรรมตอนยังมีชีวิตอยู่  เหตุใดคนที่เหนือธรรมดาคนหนึ่งเมื่อถึงอายุขัยกลับเดินจากไปอย่างง่ายดายปานนี้

หรือว่าความตายแท้จริงก็เป็นเช่นนี้เอง  เรียบง่ายและสามัญธรรมดา

ทว่าไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร  มันก็ทำให้เขาได้รับทราบความจริงข้อหนึ่ง  ว่าที่แท้ตัวเขากลับผูกพันกับพระบิดาบุญธรรมถึงเพียงนี้  ผูกพันกับท่านอาคนนี้มากมายถึงเพียงนี้  ว่างโหวงอย่างประหลาด  รู้สึกสูญเสียอย่างประหลาด
ทุกอย่างแปลกประหลาดยิ่ง

เหลียนจิ้งเต๋อที่เข้าใจว่าคงไม่มีทางเสียน้ำตากับเรื่องนี้กลับร้องไห้จนน้ำตานองหน้า  ขุนพลที่ห้าวหาญนับสิบนักรบที่กร้าวแกร่งนับร้อยคุกเข่าตลอดทางยาวหน้าตำหนักเสียน้ำตาให้กับผู้ที่จากไป  พระอัครชายาร่ำไห้  เถี่ยอิ๋งอิ๋งที่เป็นเหมือนน้องสาวของเขาก็ร้องไห้อย่างหนัก  ตัวเขาเองก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง  ต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะยอมรับการจากไปครั้งนี้ได้

ทั้งๆที่เป็นแค่บิดาบุญธรรม  เหตุใดตัวตนของอีกฝ่ายในใจเขาจึงดูยิ่งใหญ่จนยากก้าวข้าม  มีน้ำหนักมากเหลือเกิน  อาจบางที...มากยิ่งกว่าท่านพ่อเสียอีก
วันนั้นหลายสิ่งหลายอย่างถูกเปิดเผยออกมา ไม่นึกสงสัยอีกต่อไปว่าเหตุใดเหตุการณ์กระด้างกระเดื่องในราชสำนักจึงไม่อาจสั่นคลอนอำนาจทางทหารในมือของพระบิดา  พระบิดา...บางทีตัวเขาก็คุ้นชินกับการเรียกอีกฝ่ายเป็นพระบิดา
ท่านอาของเขาคนนี้มีอิทธิพลต่อตัวเขามากมายยิ่งกว่าที่เขารู้เสียอีก

โถกระดูกหนึ่งใบผนึกวิญญาณคนผู้หนึ่งไว้ชั่วนิรันดร์  โถกระดูกหนึ่งใบผนึกความลับหนึ่งไว้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ 
คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไม่ล่วงรู้  ใต้หล้ายิ่งไม่มีวันทราบ
ว่าโถกระดูกธรรมดาโถนี้ที่มันผนึกไว้กลับเป็นความรัก...
---------------------
สาส์นสวามิภักดิ์เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า  ในที่สุดแคว้นหนานเหมินก็ยินยอมศิโรราบ  แผ่นดินที่แตกเป็นเสี่ยงไม่เหลือทุนรอนไว้ให้ใช้ต่อต้าน  จะได้ทั้งหมดมาครบเมื่อไหร่เป็นเพียงเรื่องที่ขึ้นกับเวลาเท่านั้น

ฟ้ากว้างทอดต่อเนื่องเป็นผืนเดียว  แผ่นดินกว้างทอดต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่อยู่เบื้องหน้า 
จากที่สูงมองลงไปราวเหยียบใต้หล้าเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า

 “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของท่าน” เหลียนจิ้งเต๋อกล่าวพลางพลิกตัวลงจากหลังม้า
คนเป็นเป่ยชางอ๋องกอดอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด  ปล่อยให้สายลมพัดชายเสื้อเขา  พลางกล่าวว่า
“...นี่เป็นความฝันของพระบิดาบุญธรรม”
“ใช่  เป็นความฝันของเขา  แต่เป็นความจริงในมือท่าน  ท่านเหนือล้ำกว่าเขาแล้ว”

เหนือล้ำกว่า?  เหตุใดเขาจึงไม่ค่อยรู้สึกเช่นนั้น  เบื้องหลังความสำเร็จของเขามีคนที่ลงมืออย่างแนบเนียนผู้หนึ่ง  คนที่ไม่เคยปล่อยให้เขาได้สิ่งใดโดยง่ายดายตลอดมา  ยอมรับนับถือจากใจ  ไม่อาจปฏิเสธว่าหากไม่มีอีกฝ่ายตัวเขาคงยากจะมีวันนี้
ข้ารู้ว่าท่านมองเห็น...และข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านมีความสุขยิ่ง
มองเหลียนจิ้งเต๋อ  จากนั้นหัวเราะเบาๆกับตัวเอง

ใช่แล้ว  ท่านจะไม่มีความสุขได้อย่างไร  ท่านพบเขาแล้วใช่หรือไม่  คนที่จนวันสุดท้ายของชีวิตท่านก็ไม่อาจลืมเลือนคนนั้น  ผู้อื่นล้วนเห็นว่านี่เป็นความผิดพลาดในชีวิตท่านและหลีกเลี่ยงที่จะไปกล่าวถึง  แต่ข้ารู้ว่าความผิดพลาดนี้ในใจของท่านไม่เคยนับมันเป็นความผิดพลาดเลย
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้าอ๋ององค์เดียวในประวัติศาสตร์แคว้นเป่ยชางที่ไม่มีทายาท  บ้างก็ว่าเป็นเพราะเขาเคยมีความรักที่ไม่อาจลืม  บ้างก็ว่าเป็นเพราะความยึดติดที่เขามีต่อพี่ชาย  บ้างก็ว่าเป็นเพราะความละอายจากการแย่งชิงบัลลังก์มาโดยมิชอบ  มีคำร่ำลือว่าเขามีลูกไม่ได้  มีคำร่ำลือว่าเขาชมชอบบุรุษ  แน่นอน  ไม่มีผู้ใดทราบว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร  อย่างน้อยในยุคนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบ
ปริศนาถูกกลบฝังอยู่ในรอยของประวัติศาสตร์  เวลายิ่งเคลื่อนผ่านรอยนั้นยิ่งเจือจางเบาบางลง

บันทึกประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้  พื้นที่ว่างเปล่าระหว่างแต่ละบรรทัดอันเรียบง่ายคือพันรอยยิ้ม  หมื่นหยาดน้ำตา 
โลหิต ชีวิต และหยาดเหงื่อ  ฝังความรักที่งมงายที่สุด  ความรักที่เรียบง่ายที่สุด  และความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงที่สุด

ตัวละครนับหมื่นนับพันถักทอรวมกันเป็นเงาเพียงผืนเดียวที่เรียกว่า ‘อดีต’  เมื่อวานคืออดีตของวันนี้  วันนี้คืออดีตของวันพรุ่งนี้  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอีกร้อยปีข้างหน้าการคงอยู่ในวันนี้จะถูกเขียนถึงอย่างไร  เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าอายุของตัวเองจะยืนยาวแค่ไหน  ทุกคนเพียงรู้ว่าตัวเองจะคงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง...เป็นที่จดจำของคนที่รักเรา  ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอ

--- จบบริบูรณ์ ---

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
จากใจผู้แต่ง
«ตอบ #322 เมื่อ13-05-2015 11:20:27 »

มาตามสัญญา  เป็นบทส่งท้ายที่ยาวเหยียด
จมน้ำตาตายกันหมดแล้วรึยังเอ่ย? 
สำหรับใครที่รู้สึกว่าการจบแบบนี้ไม่แฮปปี้เอนดิ้งสามารถถือว่าเรื่องจบในตอนที่แล้วได้ค่ะ 
ตอนนี้ลังเลอยู่นานมากว่าจะเขียนออกมายังไงดี  เพราะผูกพันจนไม่อยากทำร้ายพวกเขา  แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงความตั้งใจเดิมก็รู้สึกว่าหากไม่เขียนแบบนี้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่นิยายในรูปแบบที่ข้าพเจ้าต้องการจะเขียน 
ความจริงแล้วนิยายแฮปปี้เอนดิ้งทุกเรื่องหากเขียนตอนต่อมันจะลงท้ายด้วยอยู่ด้วยกันตลอดไป??? 
ไม่  หากเขียนตอนต่อจะเป็นคำถามที่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายตายจากไปก่อน 
หากเขียนต่อไปจะเป็นคำถามที่ว่าพวกเขาจะรักกันไปจนวันสุดท้ายจริงๆหรือ 

ผู้แต่งมักรู้สึกว่าความรักมันไม่ได้จบที่ใครตายจากไปก่อน มันมากกว่านั้น  และนั่นคือสิ่งที่อยากเขียน 
ดังนั้นสำหรับผู้แต่งแล้วนิยายเรื่องนี้ไม่ได้จบไม่แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ  มันแค่เป็นแฮปปี้เอนดิ้งในอีกมุมที่แตกต่าง
 
หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าว  แล้วทำไมคนที่ตายทีหลังถึงเป็นฉีเซี่ยงหยวน 
จะว่าอย่างไรดี  มันเป็นความสมัครใจของพระเอกเอง  และมันเป็นเพราะผลของหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ 
ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มต้นด้วยการบีบบังคับจนได้มา  ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้สูญเสียมันไปในท้ายที่สุด 
ดังนั้นเขาจึงถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายสูญเสียและเป็นฝ่ายที่หวนคิดถึง 

แล้วความจริงใจของเขาล่ะ?  ความจริงใจกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำเพื่อเหลียนอันสุ่ยล่ะ? 
ความจริงใจของเขาแลกมากับช่วงเวลาที่สวยงามถึง14ปี 
หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำแลกมากับความรักอันล้ำค่าที่อยู่กับเขาไปจนชั่วชีวิต 
เวลา14ปีแม้อาจไม่มากมาย  แต่กลับไม่น้อยเลยจริงๆ 
อย่าลืมว่ายุคสมัยนั้นคนเราไม่ได้มีอายุเฉลี่ยขัยอยู่ที่ 60 ปีเหมือนปัจจุบัน 
ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยตายตอนอายุ45ไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้  พระเอกต่างหากที่อายุยืนเกินไป

ทีนี้ก็อาจมีคนไม่เข้าใจว่าทำไมเหลียนอันสุ่ยถึงตายก่อน
เขาเป็นคนดีนี่นา  เขาไม่ควรตายสิ
ความจริงไม่ว่าคนดีหรือคนไม่ดีปลายทางสุดท้ายของทุกคนก็เหมือนกัน
และข้าพเจ้าไม่อาจเขียนให้เขาเป็นคนที่ถูกเหลือทิ้งไว้ 

...ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะเวลาชั่วนิรันดร์  ทว่าความรักกลับมีความเป็นนิรันดร์ในตัวมันเอง 
สามารถเปลี่ยนชั่วเสี้ยวนาทีให้มีความหมายไม่ด้อยไปกว่าคำว่าตลอดกาล...




จากใจผู้แต่ง...

พันธนาการแห่งสายน้ำเป็นนิยายที่ข้าพเจ้ารักมาก  ทุ่มเทความคิดและจิตใจให้มันไปอย่างมากมาย  ตอนที่ปิติยินดีที่สุดและรู้สึกเหงามากที่สุดคือตอนที่แต่งบทสุดท้ายจบลง  รู้สึกโล่งใจมากที่ในที่สุดก็ไม่ต้องติดค้างผู้อ่านอีก  ข้าพเจ้ามักรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่อัพลงให้ได้ไม่สม่ำเสมอ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะเป็นนักเขียนที่ใจดี(หรอ?)กับตัวละคร  สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนคือบุคคลที่สามารถลิขิตชีวิตตัวเองและยอมรับผลที่ตามมา  เพราะข้าพเจ้าเชื่อเสมอมาว่าทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะเลือกทางเดินของตน  ท่านอาจไม่ได้ยินดีกับมันนัก  แต่ก็ต้องก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญเพราะท่านได้เลือกแล้ว 

ที่ข้าพเจ้าบอกว่าตัวเองใจดีเพราะในหลายๆครั้งที่ตัวเอกต้องเลือกข้าพเจ้ามักยินยอมให้สติอยู่กับพวกเขา  ท่านเอย  ท่านอย่าได้ทราบเลยว่าการไม่มีสติตอนตัดสินใจทำร้ายคนเราได้มากมายแค่ไหน  ความผิดพลาดที่เสียใจไปจนวันตายมีสภาพเป็นอย่างไร
 
ข้าพเจ้านับว่าใจดีกับพวกเขาจนถึงหน้าสุดท้ายจริงๆ(ถึงแม้หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าคำว่าใจดีกับบทส่งท้ายที่น้ำตาท่วมจอนั่นเกี่ยวข้องกันตรงไหน55)  ข้าพเจ้าเลือกโรคให้เหลียนอันสุ่ยอยู่นานมาก  สุดท้ายก็เลือกโรคที่เกี่ยวกับพันธุกรรม  ความจริงแล้วการตกบันไดในครั้งนั้นข้าพเจ้าสามารถจะให้เหลียนอันสุ่ยพิการไปชั่วชีวิต  สามารถทิ้งเป็นโรคภัยเรื้อรังไว้ให้พระเอกเจ็บปวดใจเล่น  แต่ข้าพเจ้าก็สงสารหลันเซียงเกินกว่าจะทำเช่นนั้น 

ข้าพเจ้าสามารถเขียนให้ฉีเซี่ยงหยวนฆ่าบิดาตัวเองกับมือ  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ เพราะข้าพเจ้าคิดว่านั่นน่ากลัวจะทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอีกคน  การนอนข้างๆคนที่ฆ่าบิดากับฆ่าพี่ชายตัวเองได้อย่างเลือดเย็นนับเป็นฝันร้ายชัดๆ  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักแปลกใจอยู่เสมอที่หลายๆเรื่องฆ่าพี่ฆ่าพ่อกันได้แบบขำๆ  ชีวิตคนไม่ควรถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองถึงเพียงนั้น  ถึงแม้ชีวิตในสมัยนั้นบางทีก็ไร้ค่ายิ่งกว่ามดปลวก  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอีกนั่นแหละว่ามดปลวกเองก็มีสิทธิ์จะมีชีวิต 

ทุกคนอาจจะแปลกใจที่หนานเหมินอ๋องจะไม่ได้ถูกฉีเซี่ยงหยวนฆ่าตาย  แต่มันไม่มีข้อกำหนดให้ตัวร้ายต้องตายด้วยน้ำมือพระเอกเสียหน่อย  ดังนั้นหนานเหมินอ๋องจะแก่ตายเองและสามแคว้นจะรวมเป็นหนึ่งในรัชสมัยของรัชทายาท  เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสำเร็จได้ในชั่วอายุคนๆเดียว  โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าแว่นแคว้นหรือประเทศชาติ  มันเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังต้องสานต่อ  และการรวมกันอย่างรวดเร็วเกินไปไม่มีทางให้ผลดี  สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับระบบปกครองคือคำๆนี้ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’

ขอบคุณทุกคำถาม  เพราะมันทำให้รู้ว่ามีจุดไหนในเรื่องที่ยังอธิบายได้ไม่ละเอียดพอ  ขอบคุณทุกความเห็น  เพราะมันสะท้อนว่าสิ่งที่เราสื่อออกไปทำให้คนอ่านเข้าใจไปในแนวทางไหน  ยอมรับว่าบางทีตัวเองก็ชอบอุบไว้มากเกินไปเพราะไม่ต้องการให้โฟกัสมันไหลออกไปจากตัวเนื้อเรื่องหลัก  แถมบางประเด็นเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายมากความ55  หลายความเห็นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่าแต่ละคนอ่านกันละเอียดมากอะ(ปาดเหงื่อ)  ยอมรับว่าอ่านบางความเห็นแล้วคาดไม่ถึงจริงๆว่าผู้อ่านได้จากเรื่องนี้  ตกผลึกกันได้สุดยอดมาก  ไปเปิดย้อนดูถึงได้  เออแฮะ  มันคิดอย่างนี้ได้จริงด้วย  แสดงว่าเรื่องมันเริ่มมีจักรวาลของตัวเองละ  มีชีวิต  และดิ้นได้  รู้สึกประสบความสำเร็จ555

สุดท้ายนี้แน่นอนว่าต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบ 
       ทั้งนักอ่านที่ตามอ่านกันมาตั้งแต่เรื่องยังไปไม่ถึงไหน 
       ทั้งนักอ่านใหม่ที่เข้ามาอ่านทีหลัง
       ทั้งนักอ่านที่ตามจนตามไม่ไหว...หยุดไป...แล้วกลับมาอ่านใหม่ 
       ทั้งนักคอมเมนท์ที่ไม่ว่ายาวหรือสั้นก็เป็นกำลังใจให้กันตลอด 
       รวมถึงนักอ่านเงาทุกคนที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องโปรดในใจคุณ 

เรื่องนี้แต่งมายาวนานถึงสามปี  เหลือเชื่อที่ในที่สุดมันก็สามารถมาถึงจุดนี้  เป็นเพราะทุกๆคนจริงๆค่ะ  ขอบคุณมากๆที่มาเป็นเพื่อนร่วมทางให้ทางเดินนี้ไม่เหงาและเปี่ยมไปด้วยสีสัน  อยากจะบอกว่าคุณเป็นส่วนเติมเต็มของเรื่องนี้นะ  คุณทำให้มันสมบูรณ์  คุณทำให้มันมีค่า  คุณทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่เข้ามาลงตอนใหม่  ขอบคุณจริงๆค่ะ

Wind of Autumn




เรื่องนี้ไม่มีภาคต่อ  แต่เรื่องนี้มีตอนพิเศษ 3 ตอน  ซึ่งจะปรากฏในฉบับรวมเล่ม
...เพียงภาพย่อของความผูกพัน  เพียงรอยฝันในวันวาน  เพียงรอยจารเหนือเงาเมฆ...
ของเหลียนอันสุ่ยหนึ่งตอน  ของฉีเซี่ยงหยวนหนึ่งตอน  และของฉีเซี่ยงหยวนกับนายเอกอีกหนึ่งตอน

          ตอนแรกชื่อ เพียงภาพย่อของความผูกพัน  เป็นตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนพาเหลียนอันสุ่ยไปเที่ยวในเมือง  แต่ดันไปเจอหานญื่อหลัว รัชทายาทและเหลียนจิ้งเต๋อ แล้วเรื่องยุ่งทั้งหลายแหล่ก็ตามมา  ตอนนี้คือบางส่วนของช่วงเวลาที่หายไปในเรื่อง  ตั้งใจจะเอามาถ่วงน้ำหนักกับบทส่งท้ายโดยเฉพาะ  และตั้งใจเขียนให้รู้สึกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่  บอกแล้วว่าคนเรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง  เรื่องนี้เป็นนิยายย้อนยุคดังนั้นทุกคนรู้ดีว่าความจริงพวกเขาตายไปแล้ว  ตายไปนานแล้ว  แต่นั่นแหละ  พวกเขายังมีชีวิตค่ะ:)
 
          ตอนที่สองชื่อ เพียงรอยฝันในวันวาน  ตอนนี้เป็นการมองอดีตของเหลียนอันสุ่ยผ่านสายตาของอวี้เฉียน  อ่านจบแล้วจะรู้ว่าทำไมคนที่เหลียนอันสุ่ยรักคือฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่อวี้เฉียน  และจะได้รู้ว่าทำไมคนที่อวี้เฉียนรักคือเหลียนอันสุ่ย  ความรักครั้งนี้เริ่มต้นจากที่ไหน  และแน่นอน...มันจบลงตรงไหน

          ตอนที่สามชื่อ เพียงรอยจารเหนือเงาเมฆ  ตอนนี้เป็นอดีตของฉีเซี่ยงหยวนกับครอบครัวที่ซับซ้อนวุ่นวายของเขา  บรรดาพี่น้องของหมอนี่จะโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งองค์ชายใหญ่(ที่ไม่เคยโผล่ในเรื่องมาก่อน)  องค์ชายรองที่ตายไปแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเคยเล่าถึงเส้นทางชีวิตในแต่ช่วงของเขา  นี่คือภาพขยายที่อ่านจบแล้วจะได้คำตอบว่าแต่ก่อนหมอนี่แสบแค่ไหนและเขาเป็นเขาในวันนี้ได้อย่างไร
            ตอนที่สามจะโยงมาจบถึงฉากที่ฉีเซี่ยงหยวนมีเหลียนอันสุ่ยในช่วงเวลาของเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเล่าครอบครัวในอดีตสลับกับครอบครัวในปัจจุบัน อ่านจบแล้วท่านจะได้ความรู้สึกว่าจบในอีกรูปแบบหนึ่ง

         ตอนพิเศษทั้งหมดข้างต้นเป็น ‘ส่วนเสริม’ ของเนื้อเรื่องหลัก  อ่านแล้วจะเข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้น แต่ถึงไม่อ่านก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องหลักค่ะ  ประเด็นคือแค่อยากเขียนสิ่งที่เรียกว่าความสุขเพิ่มเติมเพราะรู้สึกว่าตัวเองจบเรื่องได้ทำร้ายผู้อ่านไปหน่อย55  และอยากเขียนอดีตที่ปรากฏเงาในเรื่องคร่าวๆเพราะมันไม่ใช่พล๊อตหลักแต่ดันมีรายละเอียดในตัวของมันเอง

รู้นะว่ารออยู่  ใครที่สนใจข่าวรวมเล่มสามารถติดตามได้ที่นี่ค่ะ 
http://my.dek-d.com/mastermay/writer/viewlongc.php?id=756295&chapter=94

 ข้าพเจ้ามีเพจfacebookมาให้ตามแล้วแหละ(ของใหม่ต้องรีบอวด)
ชื่อเพจแปลกนิดหน่อย แต่นี่ไม่ใช่ตัวปลอม สายลม ณ ปลายสารทคือข้าพเจ้าเอง
https://www.facebook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A1-%E0%B8%93-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97-1671796716421867/?ref=ts&fref=ts
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2016 23:13:40 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เรารักเรื่องนี้มากนะ ชอบและติดตามเป็นเงามากกว่าจะแสดงตัว แต่ชอบเรื่องนี้มากๆ เป็นนิยายดีๆที่ไม่ได้มีมาให้อ่านบ่อย ถ้ารวมเล่มล่ะก็ ขอจองเลยนะคะ 1 ชุด ราคาเท่าไหร่ก็โอเคค่ะ

ออฟไลน์ BBnuna

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 299
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ไปเม้นในเด็กดีมาแล้วแวะมาเม้นที่นี้ ว่าถ้ามีหนังมือะซื้อแน่นอนค่ะ แต่พอซื้อมาคงไม่กล้าอ่านในเร็ววันนี้กลัวตอนจบอ่ะ เราว่าคนตายกลัวตายน่าสงสารน่ะ แต่คนยังอยู่ที่เสียคนตายน่าสงสารกว่า

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
ทำเอาน้ำตาซึมกับบทส่งท้าย  :mew6:  มันไม่ใช่การจบที่เศร้าหรือไม่สมหวังซะทีเดียว แต่มันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งของความรักที่คนสองคนมีให้กันผูกพันจนกระทั่งตายจาก เห็นใจฉีเซียงหยวนที่ต้องมาเสียเหลียนอันสุ่ยไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคภัยที่ไม่มีทางรักษา เดาว่าถ้าเป็นปัจจุบัน เหลียนอันสุ่ยน่าจะเป็นเนื้องอกในสมองนะ  มันให้อารมณ์อาลัยอาวรณ์ คิดถึงจนแทบจะขาดใจ แต่ด้วยพลังความรักที่มีต่อกันก็ทำให้ฉีเซียงหยวนผ่านมาได้ เพราะไม่อยากให้เหลียนอันสุ่ยเสียใจที่ตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ฉีเซียงหยวนจมปลักกับความเศร้า ฉีเซียงหยวนคิดถึงตรงนี้เลยทำหน้าที่ของตัวเองและทำเผื่อในสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยทำค้างไว้จนลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งลมหายใจสุดท้ายก็ยังทำเต็มที่ เพื่อที่จากไปและได้ไปเจอเหลียนอันสุ่ยจะได้ไม่สิ่งค้างคา น้ำตาซึมคลอเบ้าเลยเมื่อนึกถึงว่าถ้าวันหนึ่งที่เรารักจากไปจะอยู่ได้ไหม ฉีเซียงหยวนแม้จะเข้มแข็งแต่พอเวลาได้อยู่ก็อดคิดถึงเหลียนอันสุ่ยไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ตามไป เป็นความรักที่กินใจมากๆ คงต้องหาเวลากลับมาอ่านอีกหลายๆรอบแน่นอน ถ้าทำเป็นหนังสือน่าสนใจยิ่ง หวังว่าคนเขียนจะทำออกมา คือมันหายากนะนิยายที่เหมือนนิยายแปลแต่เขียนโดยนักเขียนไทยและอายุน้อย แต่ทำได้ดีขนาดนี้ ทำเถอะ  :กอด1:

ออฟไลน์ wews

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-0

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
โอ้ยยยยยย  ไม่กล้าอ่าน

เม้นต์ก่อน

ตื้นเต้นจุง

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
คนเขียนทำเราน้ำตาซึม
ถึงจะจบไม่แฮปปี้นัก แต่เรารุ้สึกว่ามันสมบูรณ์ ทำให้รุ้สึกถึงคำว่า รักนิรันดร์
ขอบคุณคนเขียนมากๆ สำหรันนิยายเรื่องนี้ ตามมาตลอดแต่อาจไม่คอ่ยได้เม้นต้องขออภัย
เป็น1ในนิยายไม่กี่เรื่องที่เราไม่สามารถจะติเตียน ไม่ใช่เพราะสมบูรณ์แบบ แต่มันลื่นไหล เป็นเรื่องราวชีวิตที่เราคิดว่ามันเกิดขึ้นจริง และยังคงอยู่
ถ้ามีรวบเล่มไม่พลาดแน่นอน
ขอบคุณอีกครั้งที่พาเราเค้าไปในโลกของเขาทั้ง2คน

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ยอมรับว่าเสียน้ำตาให้กับตอนจบ
แต่อย่างที่ผู้เขียนบอก มันคือ แฮปปี้เอนดิ้งในอีกรูปแบบหนึ่ง
สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้ไปอยู่ด้วยกัน เราคิดแบบนี้ค่ะ

ขอบคุณจริงๆจากใจ กับเรื่องราวที่สวยงาม ที่คุณบรรจงถ่ายทอดให้เราได้อ่าน
เดี๋ยวจะแวะไปติดตามการรวมเล่มนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด