ใครที่พลังลมปราณไม่แข็งแกร่งพอแนะนำให้สูดลมหายใจลึกๆก่อนสองเฮือกค่ะ
บทส่งท้าย
แดดอ่อนๆในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นอ่อนโยนสุดประมาณ
โต๊ะทรงงานของฉีเซี่ยงหยวนตั้งไม่ห่างจากหน้าต่างถูกแสงธรรมชาติสาดส่องจนรู้สึกผ่อนคลาย ร่างสูงสง่าพลิกม้วนฎีกาอ่านอย่างละเอียด
กลิ่นชาลอยเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของอิ๋งฮวา นางวางถ้วยชาเอาไว้ในระยะที่เอื้อมถึงของเขา มองคนที่ขะมักเขม้นทำงาน แล้วล่าถอยออกไปเงียบๆ
บุรุษผู้นี้คือบุคคลที่นายท่านรักที่สุด นางได้ทำหน้าที่ของนางอย่างเต็มความสามารถแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน มองเงาหลังของอิ๋งฮวา มองน้ำชาถ้วยนั้น มุมปากเรียบเฉยคล้ายกับมีรอยยิ้มอันอ่อนโยน
แล้วบ่าวที่ยืนสงบรอคอยรับใช้อยู่ก็ได้เห็นต้าอ๋องของพวกเขายกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก อิริยาบถที่ไม่แปรเปลี่ยนมาเป็นเวลาหลายชั่วยามถูกการมาถึงของหญิงรับใช้ผู้นั้นเปลี่ยนแปลง
พวกเขาเห็นนายเหนือหัวทรงงานอย่างหนักมาหลายปี
และพวกเขาก็เห็นสถานะพิเศษของหญิงรับใช้ชาวเหลียนผู้นั้นมานานหลายปี
นางคล้ายไม่ค่อยใยดีต้าอ๋อง แต่กับดูแลรับใช้อย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนต้าอ๋องก็คล้ายมิได้ให้ความสนใจนาง แต่นางกลับเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ต้าอ๋องหยุดหักโหมทำงาน
พวกเขาล้วนไม่ทราบ...ไม่มีทางทราบ ว่าสำหรับเป่ยชางอ๋อง นางเป็นตัวแทนความห่วงใยของบุคคลผู้หนึ่ง
ฉีเซี่ยงหยวนก้มลงมองถ้วยชา อดมิได้ต้องถามตัวเอง...ท่านจากไปกี่ปีแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ไม่มีท่านมันช่างยาวนาน
ฉีเซี่ยงหยวนยังคงจำได้ดี ปีนั้นเขาอายุสี่สิบห้า มันเป็นวันที่แดดสว่างจ้าวันหนึ่ง เป็นวันธรรมดาที่ดูไม่น่าจะมีเหตุการณ์สลักสำคัญใดๆเกิดขึ้น วันนั้นเหลียนอันสุ่ยหมดสติล้มลงในสวน...
---------------------
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดการเดินเล่นเช่นทุกวันจึงลงท้ายด้วยการทำให้คนหมดสติได้ หมอหลวงถูกตามตัวมาอย่างรวดเร็ว ฉีเซี่ยงหยวนเองก็มาถึงอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าเรื่องราวกะทันหันจนเขาไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีหมอหลวงคนไหนทราบว่าเมื่อไหร่เหลียนอันสุ่ยจะฟื้น ไม่ทราบกระทั่งว่าสุดท้ายจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ เพราะนอกจากลมหายใจอ่อนเบาก็ไม่มีลักษณะแสดงถึงการรู้สึกตัวอย่างอื่นอีก
โต๊ะทำงานของฉีเซี่ยงหยวนถูกยกเข้ามาตั้งไม่ไกล แต่คนสั่งให้ยกเข้ามากลับทราบดีว่าตัวเองจิตใจไม่สงบพอจะทำงาน ชำเลืองมองคนบนเตียงซ้ำๆ ความหวาดหวั่นไม่แน่ใจในรูปแบบที่ไม่เคยประสบมาก่อนแผ่ขยายกลืนกิน
ยังดีที่ว่าสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็ฟื้นขึ้นมา ทว่าแม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วคนกลับคล้ายมีความในใจ กุมผ้าห่มด้วยใบหน้าซีดขาว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่อสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่จึงค่อยข่มอาการนั้นลงไป
“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง คนเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบ จนอีกฝ่ายช่วยพยุงให้นั่งชันตัวขึ้นก็ยังคงไม่ตอบ ทว่าความสับสนกังวลที่ซ่อนอยู่ในท่าทีกลับเกินกว่าจะปกปิดเอาไว้ได้
หญิงรับใช้รีบร้อนยกชามยาเข้ามา ฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวว่า
“ท่านกินยาก่อนเถอะ”
ดวงตาคู่งามเพ่งมองชามยาในมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ถามกระทั่งว่าเป็นยาอะไร แค่รับมากินเงียบๆ ลักษณะท่าทางเช่นนี้ราวกับยาอะไรล้วนไม่แตกต่าง
ใจของฉีเซี่ยงหยวนรุ่มร้อนกังวลอย่างมาก แต่สีหน้ายังข่มให้สงบนิ่ง มีความรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยยังไม่พร้อมสำหรับคำอธิบายจึงมิได้คาดคั้นถาม ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งพิงร่างกับเขาเงียบๆ
แดดที่สะท้อนกับแววตากระจ่างคล้ายกับมีวูบหนึ่งที่เจือประกายน้ำตา อาจบางทีเป็นแค่ภาพลวงตาที่เขาคิดไปเอง เพราะสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยก็มิได้มีน้ำตาซักหยด
---------------------
เย็นวันนั้นเหลียนอันสุ่ยบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกับเขา
ฉีเซี่ยงหยวนรู้แต่ว่าตัวเองไม่มีทางลืมท่าทีในวันนั้นของเหลียนอันสุ่ยได้ ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเตียงเพราะหมอหลวงยังไม่อนุญาตให้เขาลุกจากเตียง ส่วนผู้อื่นก็กังวลว่าเขาจะหมดสติล้มลงไปอีก เหลียนอันสุ่ยสงบขึ้นมากแล้ว แต่บางอย่างในท่าทีของเขากลับให้ความรู้สึกเปราะบางไม่มั่นคงเหมือนอย่างเคย
“เซี่ยงหยวน ท่านเชื่อเรื่องคำสาปหรือไม่”
หากเป็นยามปกติฉีเซี่ยงหยวนมั่นใจว่าตัวเองจะต้องปฏิเสธคำถามนี้อย่างปลอดโปร่ง แต่ท่าทีของเหลียนอันสุ่ยกลับทำให้เขาไม่อาจไม่จริงจังกับคำถามที่ดูง่ายดายนี้
“ถ้าจะถามข้า...ข้ายังเชื่อเรื่องโชคชะตามากกว่าคำสาปเสียอีก”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมา
“ข้าเองก็เช่นกัน...มีคนบอกว่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนมีคำสาปที่สืบทอดกันมาในสายเลือด”
“อย่างนั้นหรือ คำสาปอันใด” ถามพลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย
“คำสาปให้อายุสั้น”
รอยยิ้มจางหายไปจากสีหน้าฉีเซี่ยงหยวน
“คำสาปเป็นเรื่องงมงาย มีใครกล้าบอกว่าท่านจะอายุสั้น!”
คงเพราะได้ยินโทสะในน้ำเสียง เหลียนอันสุ่ยจึงอิงศีรษะเข้ากับไหล่หนา กล่าวว่า
“เซี่ยงหยวน ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องคำสาป ข้าก็แค่คิด...ว่าบางที...บางทีอาจมีโรคบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดทางสายเลือด”
คำพูดนี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป ได้ยินเหลียนอันสุ่ยกล่าวต่อว่า
“น้องสาวข้าจากไปในวันที่ไม่มีใครคิดว่านางจะจากไป นางยังคงงดงามถึงเพียงนั้น อ่อนเยาว์เกินกว่าจะสิ้นอายุขัย นางกำนัลบอกว่านางกรีดร้องว่าปวดหัวมาก ปวดหัวจนถึงกับหมดสติไปและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ผู้คนต่างบอกว่าฟ้าริษยาโฉมสะคราญ ทั้งที่รูปโฉมโดดเด่นกว่าใครแต่กลับอายุขัยไม่ยืนยาว”
“ยังมีท่านตาข้า เหลียนอ๋องที่นับย้อนขึ้นไปสองรุ่น ท่านตาก็จากไปอย่างกะทันหันมากเช่นกัน ท่านแม่เคยบอกว่าในรุ่นปู่ทวดก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ คนอื่นล้วนบอกว่ามันคือคำสาป แต่ข้ากลับคิดว่ามันเหมือนโรคภัยมากกว่า”
“...ถ้าเป็นโรคภัยก็ต้องมีหนทางรักษา” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ค้นหาเสียงของตัวเองเจอ
“ต้าอ๋อง โรคบางโรคไม่มีหนทางรักษา ...ข้าพยายามมาเกินยี่สิบปี สนใจศึกษาวิชาแพทย์ก็เพราะเหตุนี้ ทว่าสาเหตุของมัน...กระทั่งทราบก็ยังไม่ทราบ” พูดพลางส่ายหัวด้วยท่าทีจนใจ น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยสงบราบเรียบ ทว่าเนื้อความของมันกลับหนักหนาจนแทบจะทนทานรับไม่ไหว
ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็รู้แล้วว่าตอนที่อีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องต้องพูดกับเขาต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหน สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยไหนเลยเหมือนคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย
ฉีเซี่ยงหยวนเอื้อมมือไปกุมมือเรียวไว้ กล่าวว่า
“แต่ท่านฟื้นแล้ว พวกเขาล้วนไม่ฟื้นใช่หรือไม่ แต่ท่านฟื้น แสดงว่าอาการของท่านหาได้หนักหนาเช่นพวกเขา”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งไปครู่จึงกล่าวว่า
“...อาจเป็นเช่นนั้น” ทว่าในน้ำเสียงกลับมิได้มีความหนักแน่นมั่นใจ
“ให้หมอหลวงเข้ามาตรวจอย่างละเอียดอีกทีดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะเป็นโรคอื่น...”
“ก่อนสลบไปข้าจำได้แต่ความรู้สึกปวดหัวรุนแรง กับความรู้สึกอยากจะอาเจียน”
“...ยังปวดอยู่หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหัว เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มออกมาบางๆ
ฉีเซี่ยงหยวนใช้สองมือประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้ เหตุใดท่านยังคงยิ้มได้อีก
“เซี่ยงหยวน ข้าไม่รู้ว่าตัวเองมีเวลาอีกนานแค่ไหน ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีกว่าพวกเขาตรงที่มีอาการล่วงหน้าให้เห็น ข้าไม่อยากจากไปกะทันหันแบบนั้น” เอาจริงๆแล้วข้า...ไม่อยากจากท่านไปเลย ประโยคสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยไม่ได้พูดออกไป
ฉีเซี่ยงหยวนได้แต่มองคนข้างกายเขา ท่านโชคดีอย่างนั้นหรือ แต่วันเวลาหลังจากนี้ของท่านต้องอยู่กับความหวาดกลัว เหลียนอันสุ่ยท่านอย่าพยายามเข้มแข็ง เพราะท่าทีพยายามเข้มแข็งของท่านทำให้ข้าหัวใจสลาย
ไม่มีผู้ใดเข้าใจอารมณ์ที่เสียดแทงอยู่ในความรู้สึกของฉีเซี่ยงหยวนในเวลานั้น ความรู้สึกปวดร้าวคล้ายกับกำลังเฉือนเขาออกเป็นชิ้นๆ ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พรากท่านไปจากข้าจะเป็นโรคภัย ข้าเอาชนะชะตากรรมของตัวเองมาตลอดชีวิต ยืนอยู่ในตำแหน่งที่มิได้ด้อยกว่าผู้ใดในหล้า ทว่ามันกลับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ข้าไม่มีปัญญาเอาชนะได้ ข้าไม่ยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ ไม่อาจยอมรับ ไม่ต้องการยอมรับ
แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ ความจริงแล้วไม่ว่าความรักในรูปแบบไหนบทสรุปของมันคือการพรากจากทั้งนั้น
...ต่อให้รักลึกล้ำปานใด สุดท้ายความตายจะพรากพวกท่านจากกัน
---------------------
หมอหลวงเข้าออกตำหนักเสียงวสันต์ไม่ซ้ำหน้า ทำให้เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนว่า
“ข้าก็แค่เป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองจะมาถึงวันไหน ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ หากเวลาข้าเหลือไม่มากจริง ที่ข้าต้องการคือใช้เวลาอยู่กับท่าน ไม่ใช่ใช้เวลาอยู่กับหมอหลวงพวกนั้น”
เมื่อฉีเซี่ยงหยวนว่าราชการ เหลียนอันสุ่ยจะนั่งอยู่ในห้องด้านหลังที่มีเอาไว้ให้ต้าอ๋องผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ เมื่อฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ว่าราชการพวกเขาจะอยู่ด้วยกันในตำหนักเสียงวสันต์ ส่วนกำหนดการอื่นนอกเหนือจากนี้ฉีเซี่ยงหยวนล้วนให้คนเลื่อนออกไปทั้งหมด งานในโรงหมอของเหลียนอันสุ่ยเองก็ถูกงดไปทั้งหมด
มีคนบอกว่าต้าอ๋องลุ่มหลงบุรุษจนละเลยราชกิจ มีคนบอกว่าการสลบไสลของเหลียนอันสุ่ยเป็นเพียงแผนการที่ใช้เพื่อล่วงรู้ข้อราชการของแคว้นเป่ยชาง ทว่าแม้เรื่องจะถูกเอาไปพูดถึงในทางไม่ดี ทั้งฉีเซี่ยงหยวนทั้งเหลียนอันสุ่ยต่างไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก หลังอยู่เคียงข้างกันมาเกินสิบปีการถูกเอาไปพูดลับหลังเป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่ชินชามานานแล้ว แม้เรื่องในครั้งนี้จะนับเป็นการแหกกฎครั้งที่ชัดเจนที่สุด แม้ปกติเหลียนอันสุ่ยจะไม่เคยยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนความสำคัญหรือสิทธิพิเศษกับเขาจนเกินพอดีตลอดมา แต่คราวนี้กลับเป็นข้อยกเว้น เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว
ดูจากภายนอกเหลียนอันสุ่ยไม่เหมือนคนที่เจ็บป่วย ยิ่งไม่คล้ายคนที่กำลังจะตาย มีเพียงตัวเขาเองที่ทราบว่าสายตาของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แม้ยังคงอ่านออกแต่กลับมองได้ไม่ครบถ้วนเท่าเดิม การสลบครั้งนั้นทิ้งรอยบางอย่างอยู่ในหัวเขา มันคล้ายกับเป็นคำเตือนล่วงหน้าถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
ถามว่าหวาดกลัวหรือไม่ เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าสองคืนแรกเขานอนไม่หลับ แต่คนที่รับมือกับเรื่องนี้ได้แย่ยิ่งกว่าเขาคือฉีเซี่ยงหยวนกับเหลียนจิ้งเต๋อ สองพ่อลูกที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดคู่นั้นราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เข้าใจแต่กลับมิใช่ว่ายอมรับ เห็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงสองคนเหลียนอันสุ่ยพลันรู้สึกว่าชีวิตนี้เขาได้อะไรมาไม่น้อยเลย เวลาของเขาแม้อาจไม่ยาวนานเท่าผู้อื่น แต่ทุกวันของเขามีคุณค่าความหมายตลอดมา และมีคุณค่าความหมายอย่างยิ่งต่อคนที่รักเขา คนที่มีความสำคัญต่อท่านรักท่านถึงเพียงนี้ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก
หลับตาลงช้าๆ เงี่ยหูฟังเสียงทุ้มต่ำที่ลอดออกมาจากท้องพระโรง เหลียนอันสุ่ยไม่ได้สนใจเนื้อหา เขาเพียงต้องการฟังเสียงของคนผู้หนึ่ง และให้คนผู้หนึ่งวางใจว่าตัวเขาอยู่ไม่ไกล
ท้องพระโรงเงียบเสียงลงแล้ว เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้น ม้วนเก็บม้วนไม้ไผ่ที่หยิบมาแต่อ่านไม่จบเหล่านั้น
“คิดอะไรอยู่” มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามากุมมือเขาไว้
“คิดถึงท่าน” ยิ้มพลางตอบกลับไปตามตรง
คนฟังเงียบไป เพ่งมองเขาอย่างตั้งใจ สุดท้ายกล่าวถามว่า
“ทำไมไม่นอนพัก” ฉีเซี่ยงหยวนหมายถึงเตียงที่เขาอุตส่าห์ให้คนยกมาตั้งไว้
ทว่าเหลียนอันสุ่ยมองเตียงหลังนั้นแล้วตอบว่า
“ช่วงนี้ข้านอนมากพอแล้ว ไม่ง่วงเสียหน่อยจะนอนอีกทำไมกัน” เหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะนอนหลับ ผู้อื่นแม้เห็นเขาเป็นคนป่วย แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกว่าเขาเป็นปกติดี เขายังไม่ต้องการการนอนหลับตอนนี้ ไม่ได้ต้องการ...การหลับใหลอันยาวนานก่อนเวลาที่มันจะมาถึง
---------------------
เหลียนอันสุ่ยมีอาการคลื่นไส้สองสามครั้ง แต่ละครั้งฉีเซี่ยงหยวนล้วนต้องมาดูด้วยตัวเอง เหลียนอันสุ่ยมองเงาหลังที่เป็นกังวลของอีกฝ่าย อดไม่ได้ต้องพึมพำออกมาเบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองสมควรภาวนาแบบไหน อาการเล็กๆน้อยๆของข้ากลับเป็นสิ่งที่ทรมานเขา แต่หากคิดจะให้มันจบลง...ทั้งข้าและเขาต่างหวังให้มันยืนยาวออกไปอีกซักนิด”
อิ๋งฮวาไม่ได้ตอบ นางมีแต่น้ำตาคลอเต็มนัยน์ตา ผู้อื่นอาจรู้สึกว่าอาการเล็กๆน้อยๆนี้ไม่สำคัญ แต่กับนางที่อยู่กับครอบครัวที่พัวพันกับโรคร้ายนี้มาชั่วชีวิตกลับไม่อาจวางใจอยู่ตลอดเวลา มิใช่ไม่เคยมีคนฟื้นขึ้นมาเช่นเดียวกับนายท่าน แต่คนผู้นั้นหลังจากฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นคนพิการ โรคภัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้โรคนี้ไม่ทราบคิดจะเอาสิ่งใดไปจากนายท่านก่อนจะพรากชีวิตเขาไป
“ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้ข้านึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเราต่างเข้าใจว่าต้องจากกัน มันเป็นสองสัปดาห์ที่ทรมานยิ่ง ตอนนั้นข้าไม่ควรปฏิเสธเขาเลย ไม่ควรทิ้งขว้างโชคชะตาที่สวรรค์ให้มาอย่างจำกัดนี้ไปกับความเจ็บปวด หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ข้ายอมแลกทุกอย่างกับความสุขในช่วงสองสัปดาห์นั้นของเขา”
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจ็บป่วยที่นางเห็นนายท่านเศร้าเสียใจ
---------------------
มีคนบอกว่าสวนในตำหนักชุนเกองามยิ่งกว่าอุทยานหลวง ต้าอ๋องโปรดปรานคนผู้หนึ่งมาสิบสี่ปี ที่แห่งนี้จึงถูกต่อเติมทีละน้อยด้วยความรักเอาใจใส่ เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในเก๋งริมน้ำ มองธรรมชาติที่งามประดุจภาพวาด รอยยิ้มอ่อนบางปรากฏขึ้นบนเรียวปาก
“สิบสี่ปี ที่แท้เราอยู่ด้วยกันมาสิบสี่ปีแล้ว สิบสี่ปีแม้ว่าไม่มากมาย แต่กลับไม่น้อยเลย”
มือคู่หนึ่งยื่นมาจากข้างหลังโอบร่างสูงโปร่งไว้ คางคมสันวางลงบนบ่า สูดกลิ่นหอมสะอาดบนร่างของคนที่สลักลึกในใจเขา สิบสี่สำหรับฉีเซี่ยงหยวน...มันยังคงไม่เพียงพอ
ต่างจมลงในความคิด อยู่ๆเหลียนอันสุ่ยก็พูดขึ้นว่า
“ต้าอ๋อง ท่านมักบอกว่าข้าเป็นคนของท่าน เช่นนั้นหากข้าตายจากไปก็ไม่ต้องฝังข้าแบบชาวเหลียน หลังจากเผาแล้วก็ไม่ต้องให้คนเอาเถ้ากระดูกกลับไปที่นั่น ข้าอยากให้ท่านโปรยมันไปกับสายลม ใต้หล้านี้ไม่มีที่ใดที่สายลมไปไม่ถึง ที่ใดที่สายลมไปถึงข้าย่อมไปถึงเช่นกัน”
“ท่านยังไม่ตายเสียหน่อย พูดเหลวไหลอะไร”
เหลียนอันสุ่ยเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบโต้คำตำหนิ รู้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะจำได้ ทุกคำพูดของเขาฉีเซี่ยงหยวนจำได้เสมอ
ฉีเซี่ยงหยวนมองร่างสูงโปร่ง ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้เขายึดติดจึงปฏิเสธทั้งการฝังและการเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง ทว่าใจหนึ่งไม่ต้องการให้ยึดติด แต่อีกใจกลับอยากอยู่เคียงข้างเขา ความคิดที่ขัดแย้งกันเองในรูปแบบนี้ฉีเซี่ยงหยวนคุ้นชินเป็นอย่างดีและไม่คิดจะกล่าวเปิดโปง
ชาวเป่ยชางตายไปอยากไปที่ใดก็เอาเถ้ากระดูกไปโปรยไว้ที่นั่น แต่เชื้อพระวงศ์ชาวเป่ยชางตายไปเถ้ากระดูกจะถูกเก็บไว้ในสุสานหลวง คนธรรมดาไม่สามารถเข้าออกสุสานหลวง แต่สายลมกลับเป็นข้อยกเว้น
---------------------
รัตติกาลมืดสนิท ฉีเซี่ยงหยวนไม่รู้สึกง่วง เหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่รู้สึกง่วง พวกเขานั่งอยู่บนเตียงสนทนากันจนดึกดื่น
คืนนั้นอาการปวดหัวมาเยือนเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง ปวดในลักษณะที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน ปวดจนยากจะเชื่อว่ามีความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่บนโลก
ได้ยินเสียงทุ้มตวาดให้ข้างนอกรีบไปตามหมอหลวงมา ร่างถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้ เหลียนอันสุ่ยฝังใบหน้าลงกับซอกคอหนา ไม่อยากให้ฉีเซี่ยงหยวนเห็นสีหน้าของเขา ทว่าแม้จะกัดฟันแน่นเสียงร้องเจ็บปวดก็ยังลอดออกไป
หากจะถามฉีเซี่ยงหยวนช่วงเวลาสั้นๆนั้นยาวนานราวชั่วกัปกัลป์
ความเจ็บปวดของเหลียนอันสุ่ย...เขาไม่อาจแบ่งเบาแม้แต่น้อย ได้แต่รับรู้ว่าร่างสูงโปร่งเกร็งจนสั่นสะท้าน มือเรียวยาวที่ยึดร่างเขาไว้บีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ...เป็นความเจ็บที่ร้าวลงไปจนถึงกระดูก เป็นความเจ็บที่ทำให้หัวใจของเขาแหลกสลาย
ทว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบ ตอนที่เหลียนอันสุ่ยคลายมือจากเขาจะเป็นตอนที่เขาเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยสงบอย่างยิ่ง ดูราวกับความเจ็บปวดใดๆไม่อาจสัมผัสเขาอีกแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันและจบในไม่กี่ชั่วอึดใจ ฉีเซี่ยงหยวนก็โน้มใบหน้าลงไป จูบเบาๆลงบนเรียวปากคู่นั้น...สัมผัสเรียวปากแต่ไม่อาจสัมผัสลมหายใจ
หัวใจของฉีเซี่ยงหยวนว่างเปล่า ชะงักไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะกดจูบลึกล้ำกว่าเดิม
---------------------
ข้างนอกสับสนวุ่นวาย หมอหลวงเพิ่งมาถึง ทว่ามีเพียงอิ๋งฮวาที่ถูกเรียกตัวเข้าไป
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ริมเตียง ท่าทีสงบของนายท่านทำให้ความกังวลของอิ๋งฮวาค่อยๆบรรเทาลง
“ท่านหมอมาถึงแล้ว”
เป่ยชางอ๋องไม่ได้มองนาง มือใหญ่ลูบคลำใบหน้าของคนที่ดูคล้ายเพียงแค่หลับใหลไป กล่าวว่า
“ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา เจ้าไปตามเหลียนจิ้งเต๋อมา...เขาต้องมาพบหน้าบิดาของเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ขาทั้งสองข้างของอิ๋งฮวาเปลี่ยนเป็นไม่มีแรง ร่างของนางทรุดลงกับพื้น ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไปสิ ไปได้แล้ว อย่าลืมให้คนไปตามรัชทายาทมาด้วย” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบติดจะอ่อนโยน ดวงตาคมกริบของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง
อิ๋งฮวาเหม่อมองดูความสงบเยือกเย็นของเขา ไม่รู้ทำไมนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด อิ๋งฮวายกมือปาดเช็ดน้ำตา ผุดลุกขึ้นวิ่งออกไป นางไม่เคยชอบเป่ยชางอ๋องผู้นี้ แต่ความรักที่เขามีต่อนายท่านนางประจักษ์ชัดมาตลอดสิบสี่ปี ทั้งเขาและนางต่างเป็นผู้สูญเสีย สูญเสียและเจ็บปวด
การปวดหัวครั้งแรกกับครั้งที่สองห่างกันเพียงสัปดาห์กว่า
สำหรับฉีเซี่ยงหยวน การตายจากไปของเหลียนอันสุ่ยได้นำเอาวิญญาณครึ่งหนึ่งของเขาจากไปด้วย...
---------------------
เถ้ากระดูกของเหลียนอันสุ่ยถูกเอาไปโปรยส่วนหนึ่ง และถูกฉีเซี่ยงหยวนเก็บไว้ส่วนหนึ่ง
“ฉางเฟย วันไหนที่ข้าตายไป ให้ผนึกกระดูกของเขาเอาไว้ในโถเดียวกันกับข้า” สุสานหลวงโดดเดี่ยวเกินไป ถึงตอนนั้นข้ากับเขาจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก
เรื่องนี้ละเมิดกฎของบรรพชน แต่หลิวฉางเฟยกลับไม่มีคำทัดทานใด
ตั้งแต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจากไปต้าอ๋องก็ไม่เหมือนเดิม เวลาสูญเสียคนรักคนเรามักอ่อนแอลง ข้อนี้หลิวฉางเฟยเข้าใจได้ แต่ที่เขาไม่เคยเจอคนที่สูญเสียความรักแล้วถี่ถ้วนกว่าเดิม เข้มงวดกับตัวเองกว่าเดิม
เวลาเศร้าเสียใจหลิวฉางเฟยเคยเห็นต้าอ๋องจมตัวเองอยู่ในไหสุรา แต่เวลาที่สูญเสียคนที่เขารักจริงๆไปฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยแม้แต่จะแตะต้องสุรา
“ต้าอ๋อง ท่านต้องระบายออกมาบ้าง เก็บไว้กับตัวเองแบบนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้น”
ทว่าคนเป็นต้าอ๋องกลับมองกาสุราในมือคนสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องมานานหลายปีแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ โบกมือให้เอาไปเก็บพลางบอกว่า
“การเมามายไม่ได้คืนเหลียนอันสุ่ยกลับมาให้ข้า มีแต่จะทำให้เขาเป็นห่วง” ตอนที่เขามีชีวิตคนที่เขารักที่สุดคือข้า ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ข้าจะทำร้ายคนที่เขารักที่สุดได้อย่างไร
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้อยากเมามาย เขาไม่ได้ต้องการจะลืมเลือน ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเพราะข้ารักเขา เป็นหลักฐานยืนยันว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเขามีคนที่เขารักอย่างลึกซึ้ง
“จิ้งเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีใครเห็นเขาที่กรมมาสามวันแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนวางพู่กัน ผุดลุกขึ้น สั่งหลิวฉางเฟย
“เก็บฎีกาพวกนี้ให้เรียบร้อย ข้าจะไปสั่งสอนเขา เหลียนอันสุ่ยไม่มีทางอยากให้บุตรชายของเขาทำตัวแบบนี้”
---------------------
“ท่านกลับดูเป็นปกติเหลือเกิน” คำพูดของเหลียนจิ้งเต๋อไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นคำเสียดสี
“ข้าแค่ไม่ได้ทำตัวไม่เอาไหนเหมือนเจ้า” ฉีเซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางฉวยกาเหล้าจากมืออีกฝ่ายผลักทิ้งลงบนพื้น
เสียงตกแตกดังบาดหูในห้องที่เงียบสงบ
“เหล้าดีๆเสียไปเปล่าๆเพราะท่าน กาที่ปั้นขึ้นอย่างตั้งใจถูกคนไร้หัวใจอย่างท่านทำลายไปเสียได้”
“กาที่แตกแล้วไม่มีประโยชน์อีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจำทำตัวไร้ประโยชน์พอๆกับมัน ทำลายความหวังดีของคนที่ปั้นเจ้าขึ้นมาอย่างตั้งใจ”
เหลียนจิ้งเต๋อมองเศษกาที่แตกเป็นเสี่ยง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หรือข้าสมควรเป็นอย่างท่าน ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ กล่าวว่า
“เจ้าทำไม่ได้หรอก สำหรับเจ้าบิดาของเจ้าอาจตายจากไปแล้ว แต่สำหรับข้าตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องที่เขาทำไมได้ข้าจะทำแทนเขา ใช้ชีวิตเผื่อในส่วนของเขา คนที่เขารักจะไม่กลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ในวันที่เขาจากไป”
คำพูดนั้น เสียงหัวเราะนั้น ไม่ต่างจากการตบหน้าเรียกสติฉาดใหญ่ เหลียนจิ้งเต๋อจุกจนพูดอันใดไม่ออก กับเรื่องบางเรื่องฉีเซี่ยงหยวนก็ชมชอบใช้ไม้แข็งที่รวบรัดหมดจดในคราวเดียว
---------------------
กลับถึงห้องทำงานตัวเอง ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆนั่งลงช้าๆ เขายังคิดจะทำงานต่ออีกหน่อย เขายังไม่อยากกลับไปนอนเร็วนัก เตียงหลังนั้นว่างเปล่า เหลียนอันสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นั่น เหลียนอันสุ่ยอยู่ในใจเขา
มีแต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองที่ทราบว่าเขาหาได้เข้มแข็งอย่างที่ใครๆเข้าใจ เขาคิดถึงเหลียนอันสุ่ยบ่อยครั้ง และเจ็บปวดเพราะความคิดถึงบ่อยครั้ง เขาไม่ได้ร้องไห้มานานหลายปี แต่คืนที่เหลียนอันสุ่ยจากไปโดยไม่รู้ตัวเขากลับหลั่งน้ำตา
มีคนบอกว่าการที่คนเราหลั่งน้ำตามิใช่เป็นเพราะความอ่อนแอ แต่เป็นเพราะความผูกพัน
ผูกพัน ? ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่ความผูกพัน
รัก ? ระหว่างเขากับเหลียนอันสุ่ยไม่ใช่แค่ความรัก
มันยังมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นความไว้วางใจเสมอหนึ่งตัวเอง เป็นการยอมรับและให้อภัยทุกความผิดพลาด
เป็นความเคยชินที่จะเป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตของฝ่ายตรงข้าม
เขาไม่เหมือนเดิมในวันที่เหลียนอันสุ่ยเข้ามา และไม่เหมือนเดิมอีกในวันที่เหลียนอันสุ่ยจากไป เมื่อมีเหลียนอันสุ่ยเขาถึงได้เข้าใจว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาขาดอะไร ตอนที่เขาสูญเสียเหลียนอันสุ่ยเป็นตอนที่เขาพบว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน
ที่ตำหนักเสียงวสันต์เหลียนอันสุ่ยทิ้งร่องรอยเอาไว้มากเหลือเกิน
ทว่าในตัวตนของเขาเหลียนอันสุ่ยทิ้งร่อยรองเอาไว้มากมายยิ่งกว่า
เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน เรื่องเหี้ยมโหดกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยอยากจะกระทำ
เขาคิดเผื่อเหลียนอันสุ่ยจนเคยชิน ทำให้ทุกเรื่องราวต้องมองละเอียดรอบคอบกว่าเดิมสามสี่เท่า
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก คนที่ทำอะไรรวบรัดชัดเจนอย่างเขาจึงต้องใช้ลูกไม้ประเภทค่อยเป็นค่อยไป
เพราะเหลียนอันสุ่ยเป็นพวกคิดมาก คนที่ไม่ค่อยสนใจคำพูดชาวบ้านอย่างเขาถึงต้องคอยเงี่ยหูฟังเอาไว้บ้าง
ความทรงจำของท่านมีชีวิตอยู่ภายในหัวใจของข้า ตัวตนของท่านแทรกอยู่ในทุกการกระทำของข้า เช่นนี้ข้าจะยึดถือว่าท่านตายไปแล้วได้อย่างไร เช่นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะลืมเลือนท่าน เหลียนอันสุ่ย ท่านไม่อยากให้ข้ายึดติด แต่ท่านไม่เคยรู้ตัวเลยหรือว่าพันธนาการที่ท่านใช้ผูกมัดข้าไว้แน่นหนาจนไม่มีปัญญาแกะออก
ท่านแกะไม่ได้ ตัวข้าเองก็แกะไม่ได้
ข้าพบว่าถึงจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องลงเอยเช่นนี้ ข้าก็ยังคงเลือกที่จะพบท่าน ถึงแม้ว่าจะต้องลงเอยที่จากกัน ข้ายังคงเลือกที่จะรักท่าน คนบางคนไม่เริ่มต้นเพราะกลัวว่ามันจะจบลง แต่พวกเขากลับหลงลืมไปว่าคนเราย้อนทบทวนสิ่งที่ผ่าน ‘เข้ามา’ ในชีวิต คนเราย้อนทบทวนเรื่องที่ ‘เคย’ กระทำ หากเรื่องใดๆท่านล้วนไม่เคย เช่นนั้นความทรงจำของท่านต้องว่างเปล่าอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ข้าไม่ยอมรับความสูญเสีย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ เมื่อใดที่พบพานย่อมต้องมีวันที่พรากจากแน่นอน การพบพานและพรากจากเป็นแค่ภาพสะท้อนของกันและกันเท่านั้น
---------------------